ประชาชนจำนวนมากเดินทางมาเข้าคิวรอต่อแถว เพื่อเข้ากราบถวายบังคม พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง อย่างเนืองแน่น ซึ่งทางสำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชน เข้ากราบสักการะพระบรมศพ ตั้งแต่เวลา 05.00 น
วันนี้ (2 พ.ค.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 181 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
ด้าน นางสาวธัญภร กวางรัตน์ อายุ 39 ปี อาชีพสัตวแพทย์ รพ.สัตว์ไอเวท ย่านพระราม 9 กรุงเทพฯ พาคุณแม่วันเพ็ญ จันทร์พวง วัย 65 ปี อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ทอผ้า ที่เดินทางมาจาก ต.หนองบ่อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี พร้อมด้วยน้องสะใภ้และหลานชาย
โดย นางสาวธัญภร กล่าวว่า โดยส่วนตัวซึ่งทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ จึงได้มีโอกาสเดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ ๙ หลายครั้งแล้ว แต่คุณแม่อยู่ต่างจังหวัดอยากจะเดินทางมากราบพระองค์ท่านนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาศ ประกอบกับช่วงนี้หลานปิดเทอมด้วย ตนจึงได้ลาหยุดงานเพื่อพาคุณแม่และหลานๆมากราบพระองค์ท่าน
ด้าน นางวันเพ็ญ กล่าวว่า ดีใจมากที่ได้มีโอกาสเดินทางมากราบในหลวง ร.๙ เป็นครั้งแรก อยากจะมากราบนานแล้วแต่เนื่องจากบ้านอยู่ไกลเดินทางเองลำบากจึงต้องรอให้ลูกสาวพามา วันนี้ได้มากราบแล้วก็รู้สึกปลาบปลื้มใจ ส่วนวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ ก็ตั้งใจว่าจะเดินทางมาอีกเพื่อมาส่งเสด็จพระองค์ ขณะขึ้นกราบก็อธิษฐานขอให้พระบารมีของพระองค์ปกป้องคุ้มครองประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองและสงบสุขเหมือนตอนที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ “ที่ผ่านมา ก็ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์มาใช้ในการดำเนินชีวิต โดยใช้จ่ายไม่ฟุ่มเฟือย และนอกจากทำนาปลูกข้าวแล้วก็ยังปลูกผักกินเอง เหลือกินก็ขายเพิ่มรายได้ และเป็นสมาชิกอนุรักษ์การทอผ้าโบราญ ของหมู่บ้าน ในการทอผ้ามัดหมี่ปราสาทผึ้ง รวมถึงร่วมอนุรักษ์ชุดพื้นบ้านเสื้อดำไหม ย้อมมะเกลือ และร่วมอนุรักษ์ภาษาถิ่นสำเนียงของหมู่บ้านที่ยังเหลืออยู่เพียงหมู่บ้านเดียว และอนุรักษ์ประเพณีฟ้อนกลองตุ้ม เพื่อให้รุ่นหลังๆ ได้ดู” นางวันเพ็ญ กล่าว
ด้าน นายพัฒนพงศ์ กิ่งมณี อายุ 35 ปี ชาวระยอง พนักงานบริษัทเอกชน พร้อมด้วยภรรยา นางจรรยารักษ์ อายุ 35 ปี และลูกๆ ด.ช.ปริวัฒน์ อายุ 7 ขวบ และ ด.ช.ปิยวัฒน์ อายุ 5 ขวบ กล่าวภายหลังจากเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ว่า วันหยุดยาวที่ผ่านมาได้พาครอบครัวเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อกราบพระบรมศพเป็นครั้งแรก โดยพักโรงแรมใกล้ๆ สนามหลวง แล้วมารอเข้าแถวเวลา 08.00 น. ได้เข้ากราบเวลา 08.30 น. ครอบครัวมีความรักและเทิดทูนในหลวง ร.๙ ส่วนตัวเกิดมาก็เห็นพระองค์ท่านทำงานมาตลอด อยากให้ลูกๆ ได้มีโอกาสมาแสดงความจงรักภักดีด้วย “เด็กๆ ชอบดูการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ หรือเทพเจ้าในจินตนาการ ก็บอกลูกว่าในหลวง ร.๙ ท่านเป็นเทพเจ้านะ วันนี้เรามาไหว้เทพเจ้า ถ้าอยากเก่งเหมือนท่านก็ต้องตั้งใจเรียน เรียนเก่งๆ ว่า นอนสอนง่าย ตอนกราบพระบรมศพรู้สึกขนลุก ต่างจากที่เราดูทางทีวีมาก บอกไม่ถูก ตื้นตันมาก เราเรียนรู้เรื่องการทำงานจากพระองค์ท่าน ทรงเป็นต้นแบบทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการช่วยเหลือคนอื่น จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งบริษัทผลิตรถยนต์ยี่ห้อดังจะโละพนักงาน เพราะประสบปัญหาขาดทุน เศรษฐกิจไม่ดีเลยขายยาก จะมีคนตกงานมากมาย ท่านก็ทรงเป็นพรีเซ็นเตอร์ขับรถยี่ห้อนี้ สุดท้ายก็มีคนซื้อรถตาม ทำให้ไม่ต้องปิดโรงงาน ไม่มีการเลิกจ้าง ความจริงท่านอาจไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นก็ได้ แต่ด้วยพระบารมีของท่าน ทำให้สามารถช่วยคนได้เยอะ” หัวหน้าครอบครัวกิ่งมณี กล่าว