เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติและเป็นวันหยุด ประชาชนจำนวนมาก เข้ามารอกราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางสำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชน เข้ากราบสักการะพระบรมศพ ตั้งแต่เวลา 05.00 น.
วันนี้ (1 พ.ค.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 180 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ใช้เวลาช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
ด้าน นางสาวดวงกมล ศรีพลอย อายุ 29 ปี พสกนิกรจังหวัดปทุมธานี พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้ใช้โอกาสช่วงวันหยุดวันแรงงานแห่งชาติชักชวนเพื่อนมาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล เป็นครั้งแรก ได้กล่าวภายหลังที่สักการะพระบรมศพเสร็จแล้วว่า รู้สึกปลาบปลื้มใจ ภูมิใจที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสใกล้ชิดในหลวง รัชกาลที่ ๙ ได้ขนาดนี้ ที่ผ่านมา ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ได้ประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยได้อยู่ดีกินดี ถึงแม้จัฝะเป็นคนรุ่นใหม่เกิดไม่ทันช่วงที่พระองค์เสด็จฯแปรพระราชฐานไปทรงงานและทรงเยี่ยมเยียนพสกนิกรในถิ่นทุรกันดารต่างๆ แต่จากการติดตามข่าวพระราชกรณียกิจของพระองค์ที่เสด็จฯไปทรงช่วยเหลือพสกนิกรแล้วทำให้รู้ว่าในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงรักพสกนิกรของพระองค์เป็นอย่างมาก เวลาดูภาพพระราชกรณียกิจแล้วเห็นภาพที่กระเสโทไหลขณะทรงงานนั้นเป็นภาพที่ดูครั้งใดก็ร้องไห้ทุกที ทำไมในหลวงของพวกเราชาวไทยต้องเหนื่อยขนาดนี้
“ทุกวันนี้เราได้ใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทุกประการนอกจากจะใช้ชีวิตพอเพียงไม่ฟุ้งเฟ้อมีเงินพอใช้และเหลือเก็บในฐานะคนทำงานออฟฟิศแล้ว ที่บ้านจังหวัดปทุมก็ยังได้แบ่งพื้นที่ปลูกผัก และขุดสระเลี้ยงกุ้งขายเพื่อเป็นอาชีพเสริมอีกด้วย อันเป็นการเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายได้อย่างถาวร” นางสาวดวงกมล กล่าว
ด้าน นายพสิฐกร เลี้ยวสกุล พนักงานบริษัทเอกชนวัย 41 ปี ถือโอกาสวันหยุดเดินทางมากราบพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ ๙ เป็นครั้งแรกพร้อมกับครอบครัว ประกอบด้วย นางวรารี อายุ 56 ปี และนายพันธกิจ อายุ 16 ปี จากบ้านพักย่านดอนเมือง กล่าวว่า วันนี้ตั้งใจพาครอบครัวมากราบส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสู่สวรรคาลัย
“ตอนที่พระองค์ท่านยังมีพระชนม์ชีพอยู่มีโอกาสได้รับเสด็จฯ พระองค์ท่านที่วัดพระแก้วในวันจักรี ถึงจะนานมากแล้วจนจำไม่ได้ว่าปีไหน แต่ครั้งนั้นเห็นพระองค์ท่านชัดเจนรู้สึกปลาบปลื้มใจมาก จากนั้นก็ติดตามข่าวสารผ่านสารคดีพระราชกรณียกิจมาตลอด ได้เห็นถึงความเหน็ดเหนื่อยที่ทรงงานเพื่อประชาชนชาวไทยตลอดพระชนม์ชีพ ในฐานะที่เราเกิดเป็นคนไทยยังได้น้อมนำคำสอนของพระองค์ในเรื่องความพอเพียงมาใช้ในชีวิต อย่างหาเงินได้เท่าไหร่ก็ใช้ตามความจำเป็น เหลือก็เก็บออมไว้ใช้ในยามจำเป็น” นายพสิฐกร กล่าวก่อนพาครอบครัวไปชมนิทรรศการ “เย็นศิระ เพราะพระบริบาล” กลางท้องสนามหลวงต่อไป
ด้าน นายบุญชัย เบญรงคกุล ในฐานะประธานกรรมการบริษัท เบญจจินดา โฮลดิ้ง เปิดเผยความรู้สึกหลังเป็นเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศลพระบรมศพ ว่า ในวันนี้ตนรู้สึกเป็นเกียรติที่มีโอกาสเข้ากราบพระบรมศพ ซึ่งเป็นโอกาสเดียวที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิด ส่วนงานพระราชพิธีในวันนี้นับเป็นความอาลัยอย่างสุดซึ้ง ส่วนโครงการพระราชดำริและแนวทางคำสอนที่ได้น้อมนำมาใช้ในหน้าที่การงาน อันดับแรกตนได้มีบริษัทร่วมด้วยช่วยกัน และบริษัท สำนึกรักษ์บ้านเกิด ซึ่งตลอดระยะเวลา 20 ปีนี้เราได้มีแนวทางในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการเกษตรให้แก่เกษตรกร และได้นำมาต่อยอดสู่โครงการเกษตรกรดีเด่นประจำปี ซึ่งดำเนินมาแล้วกว่า 8 ปี ตลอดจนมีการมอบทุนการศึกษาให้แก่เยาวชนกลับไปตอบแทนบ้านเกิดกว่า 1,000 คนได้เสร็จสิ้นโครงการไปแล้วและมีผลตอบรับที่ดี เยาวชนส่วนหนึ่งกลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตน นับเป็นความภาคภูมิใจยิ่ง
นายบุญชัย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สำหรับชีวิตประจำวัน ตนยังได้น้อมนำแนวทางที่พระองค์ท่านทรงพระราชทานในเรื่องของการรู้จักประมาณตน แม้กระทั่งในบริษัทก็ได้ยึดหลักชัดเจนว่า จะไม่กู้ยืมเงินจากธนาคารแต่อย่างใด แต่เราจะใช้ทุนทรัพย์ที่มีอยู่เพื่อให้เกิดประโยชน์ไปพร้อมกัน ทั้งนี้ จะไม่ทะเยอทะยานจนเกินไป ส่วนชีวิตในครอบครัวพยายามเดินตามรอยพระองค์ท่าน นำท่านเป็นต้นแบบของครอบครัว โดยใช้ทุกอย่างอย่างประหยัดและพอเพียง ใช้ของอัตภาพแม้จะมีมากก็ต้องใช้ตามศักยภาพของตนและสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การช่วยเหลือผู้คน โดยทางบริษัทยังได้จัดเต็นท์คอยบริการประชาชนที่เข้ามากราบพระบรมศพด้วย ในชื่อเต็นท์ “ร่วมด้วยช่วยกัน” โดยมีอาสาสมัครช่วยบริการน้ำดื่มและดูแลประชาชน โดยมีความตั้งใจว่าจะช่วยเหลือประชาชนจนถึงวันถวายเพลิงพระบรมศพในเดือนตุลาคมนี้
“ถ้าทุกท่านมีโอกาสได้เดินทางมากราบพระบรมศพของในหลวงรัชกาลที่ 9 หมายความว่าท่านจะมีโอกาสได้แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อพระองค์ท่านที่ท่านทรงครองราชย์มากว่า 70 ปีแล้ว ท้ายสุดหวังว่าประชาชนชาวไทยจะรักใคร่สามัคคีเป็นหนึ่งเดียว” นายบุญชัยกล่าว
ทั้งนี้ สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมากราบถวายบังคม พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เมื่อวันที่ 30 เม.ย. หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง ในเวลา 21.37 น. ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 42,338 คน รวม 179 วัน มี 6,624,064 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงินรวม 179 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 529,740,254.76 บาท