“บอส อยู่วิทยา”ทายาทเจ้าของเครื่องดื่มกระทิงแดง ส่งทนายความขอเลื่อนฟังคำสั่งฟ้องคดีขับรถสปอร์ตหรูชนนายดาบตำรวจทองหล่อเสียชีวิต อ้างเหตุผลเดิมๆ ติดภารกิจต่างประเทศ อัยการลั่นไม่ยอม เตรียมขอศาลออกหมายจับพรุ่งนี้ พร้อมประสานอังกฤษขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน
วันนี้ (27 เม.ย.) นายสุทธิ กิตติศุภพร อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ เปิดเผยว่า ทนายความของ นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทเจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มกระทิงแดง ได้ประสานขอเลื่อนฟังคำสั่งฟ้องกรณีขับรถเฟอร์รารี่ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อดีตผู้บังคับหมู่ปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 55 ตามที่ได้นัดหมายในเวลา 14.00 น. วันนี้ โดยอ้างเหตุผลเหมือนเดิม ว่า ติดภารกิจต่างประเทศ ซึ่งอัยการยืนยันว่า จะไม่ยอมให้เลื่อนรับฟังคำสั่งฟ้องได้อีกแล้ว ทั้งนี้ ได้ส่งหนังสือขอเลื่อนดังกล่าวให้อัยการสูงสุดพิจารณา เพื่อออกหมายจับนายวรยุทธต่อไป คาดว่า จะมีความชัดเจนเรื่องการนำตัวนายวรยุทธมาดำเนินคดีช่วงบ่ายวันนี้
ต่อมา เวลา 14.00 น.วันนี้ (27 เม.ย.) เรือโท สมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายอำนาจ โขติชัย อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ ร่วมแถลงความคืบหน้าคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง ผู้ต้องหาคดีขับรถยนต์หรูชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อดีตผู้บังคับหมู่ปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2555 ว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2560 ผู้ต้องหาได้มอบหมายให้ นายธนิต บัวเขียว ทนายความมาขอเลื่อนคดี โดยอ้างว่า มีความจำเป็นในการเดินทางไปจัดการธุรกิจในประเทศต่างๆ ซึ่ง นายสุทธิ กิตติศุภพร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ พิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี เนื่องจากผู้ต้องหาขอเลื่อนในลักษณะนี้หลายครั้งอย่างต่อเนื่อง โดยให้ผู้ต้องหามาพบพนักงานอัยการตามนัดในวันนี้ หากไม่มาจนหมดเวลาราชการ 16.30 น. ถือว่ามีเจตนาประวิงคดีและหลบหนี และจะดำเนินการส่งเรื่องให้ตำรวจขอศาลออกหมายจับในวันพรุ่งนี้ต่อไป
ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด อ้างว่า ไม่ได้ขับรถโดยประมาท พร้อมอ้างคำให้การของพยานผู้เชี่ยวชาญ และอ้างรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบคำร้องขอความเป็นธรรม และขอให้พิจารณาสั่งไม่ฟ้องนั้น อัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากคดีนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน และมีความผิดบางฐานที่อัยการมีคำสั่งฟ้องไว้จะขาดอายุความในวันที่ 3 ก.ย. นี้ จึงพิจารณาแล้วเห็นว่า มีเพียงเฉพาะพยานหลักฐานในส่วนการจัดทำรายงานและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งให้การไว้เป็นพยานต่อพนักงานสอบสวนที่เป็นข้อเท็จจริงใหม่ ซึ่งไม่เคยพิจารณามาก่อน ส่วนพยานหลักฐานอื่นได้เคยมีการร้องขอความเป็นธรรมไว้แล้ว ทั้งนี้ อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่าความเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานเดิม จึงให้ยุติเรื่องขอความเป็นธรรม และให้อธิบดีสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ แจ้งพนักงานอัยการดำเนินการเพื่อให้ได้ตัวนายวิทยาผู้ต้องหามาฟ้องตามคำสั่งฟ้องต่อไป
ด้าน นายอำนาจ โชติชัย อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ ระบุว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดไว้ชัดเจนว่า หากมีการสั่งฟ้องผู้ต้องหา ต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ได้ตัวมาดำเนินคดี และหากอยู่ต่างประเทศก็จะต้องดำเนินการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
ซึ่งตามขั้นตอนพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบสำนวนต้องแจ้งพนักงานสอบสวนติดตามตัว โดยส่งคำขอไปยังศาลว่าผู้ต้องหามีเจตนาหลบหนีขอศาลออกหมายจับ และเมื่อศาลออกหมายจับแล้วจะต้องติดตามจับให้ก่อนคดีขาดอายุความ และหากผู้ต้องหาอยู่ต่างประเทศ ตำรวจต้องสืบสวนให้ชัดเจนก่อนว่าผู้ต้องหาหลบหนีอยู่ที่ใด และอยู่ในประเทศอังกฤษ ตามที่นำเสนอในข่าวหรือไม่ หากระบุที่อยู่ได้ชัดเจนแล้ว พนักงานสอบสวนจะต้องรวบรวมคำสั่งฟ้องของอัยการ ประกอบการพิจารณาอัตราโทษตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 ที่ระบุโทษจำคุก ตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป สามารถเข้าสู่กระบวนการนี้ได้ ยกเว้นเฉพาะความผิดทางการเมืองและทหารเท่านั้น
ส่วนประเทศอังกฤษ มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ต้องพิจารณาเงื่อนไขอื่นอีก อาทิ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พนักงานสอบสวนจึงต้องส่งเรื่องนี้ให้อัยการสำนักงานต่างประเทศ ส่งเรื่องผ่านกระทรวงการต่างประเทศ และหากเรื่องถึงประเทศอังกฤษ ทางประเทศอังกฤษ ก็จะมีการพิจารณาอีกว่า คดีนี้ขาดอายุความตาทกฎหมายไทยแล้วหรือไม่ และข้อหาที่เกิดขึ้นต้องเป็นความผิดทางอาญามีกำหนดไว้ในประเทศอังกฤษด้วย และจะพิจารณาหมายจับของศาลไทย หากเข้าเงื่อนไขทางประเทศอังกฤษก็จะออกหมายจับและจับกุมทันที
นายอำนาจ ระบุอีกว่า ที่ผ่านมา มีการประสานงานส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศอังกฤษ และในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา มีการส่งเรื่องไปต่อเนื่อง และ ประเทศอังกฤษ ก็เคยขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนเมื่อปี 2555 ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย กรณีขับรถชนคนเสียชีวิตที่ประเทศอังกฤษ แล้วหลบหนีมาที่ประเทศไทยเช่นกัน แต่หากประเทศอังกฤษ ปฏิเสธคำขอของไทบด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งก็จะใช้ พระราชบัญญัติความร่วมมือคดีอาญาระหว่างประเทศ ขอให้ประเทศอังกฤษ เริ่มต้นคดีใหม่โดยดำเนินคดีที่ประเทศอังกฤษ ได้เช่นกัน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวสามารถกระทำได้กับทุกประเทศที่มีสนธิสัญญา แต่หากประเทศที่ไม่มีสนธิสัญญาก็จะใช้กฎหมายอื่นอย่างเต็มกำลังในการติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดี
และหากนายวรยุทธ มีการขอสัญชาติอังกฤษ ก็จะทำให้เงื่อนไขการส่งตัวยากขึ้น แต่ก็สามารถดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ หาก นายวรยุทธ หลบหนีจนคดีขาดอายุความ กระบวนการตามกฎหมายก็ไม่สามารถดำเนินการใดได้
สำหรับ นายวรยุทธ อัยการสั่งฟ้องในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย อายุความ 15 ปี และจะหมดวันที่ 3 กันยายน 2570 และไม่หยุดให้ความช่วยเหลือตามสมควร อายุความจะหมดวันที่ 3 กันยายน 2560 นี้ ส่วนข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ขาดอายุความแล้ว