xs
xsm
sm
md
lg

สุดยอดนักเดินทาง!! “บอลพาเที่ยว” เงิน 3 หมื่น ท่องทั่วไทย กับมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ลาออกจากงานเพื่อทำตามความฝัน
เดินทางท่องเที่ยวด้วยพาหนะสองล้อคู่ใจ
ใช้เวลาท่องเที่ยวทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย ด้วยระยะเวลา 312 วันรวด
ไปครบ 77 จังหวัดด้วยเงินเก็บก้อนสุดท้าย 30,000 บาท

สิ่งที่เราบอกเล่าไว้ข้างต้นนั้นหลายคนอาจจะคิดว่าการเดินทางท่องเที่ยว 70 กว่าจังหวัดด้วยการใช้งบสามหมื่นบาทไม่เห็นน่าแปลกอะไร เพราะในสื่อออนไลน์ก็มีเรื่องราวเช่นนี้บ่อยๆ เช่น แบกเป้เที่ยวประเทศลาวด้วยงบ 3,000 บาท แบ็กแพ็กญี่ปุ่น 7 วันด้วยงบ 30,000 บาท หรือจะเป็นในประเทศไทย อย่าง เที่ยวเชียงใหม่ไม่เกิน 1,500 บาท, นอนริมน้ำแควเมืองกาญจน์ ด้วยงบพันต้นๆ ฯลฯ อะไรทำนองนั้น

แต่การท่องเที่ยวของแต่ละคนนั้นมีกลิ่นอายและความรู้สึกที่ได้รับแตกต่างกันออกไป เนื่องด้วย สถานที่ พาหนะ ที่พัก หรือแม้แต่งบในกระเป๋า เช่นเดียวกับหนุ่มนครศรีธรรมราชคนนี้ ที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อออกมาทำตามความฝันด้วยการเดินทางทั่วประเทศไทยด้วยงบก้อนสุดท้ายที่มีในกระเป๋าเพื่ออยากไขว่คว้าอิสระและทำตามจิตวิญญาณเรียกร้อง ซึ่งการเดินทางครั้งนั้นนอกจากจะทำให้เขาได้ประสบพบเจอกับอะไรใหม่ๆ แล้ว เขายังสามารถรวบรวมเรื่องราวต่างๆ ที่นำมาบันทึกอยู่ในหนังสือชุด 3 เล่มที่จะวางขายเร็วๆ นี้ ด้วย

และนี่คือชีวิตการเดินทางของ "บอล-นเรศร นันทสุทธิวารี" หรือเจ้าของเพจ "บอลพาเที่ยว Backpacker Ball" หนุ่มใต้ผู้มีสโลแกนติดปากที่ว่า “ฉันไม่มีเงินมากมาย แต่ฉันมีความสุขมหาศาล”

      • จุดเริ่มต้นกว่าจะมาเป็น “บอลพาเที่ยว”

เดิมทีบอลก็ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป โตมาเราก็พยายามเรียนให้ดี เพื่อที่จะได้ทำงานดีๆ ได้เงินเอาไปซื้อบ้าน ซื้อรถ ซึ่งเราจะคิดแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ส่วนตัวบอลไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลย เรียนก็เรียนไม่จบ ติดยา เกเร สารพัด ก็เรียกได้ว่า ชีวิตแหลกเหลวเลยล่ะครับ สุดท้ายก็เรียนจนได้วุฒิ ปวส. แต่เราก็ยังอยากจะรวย พยายามดิ้นรนหาเงิน ผมเปลี่ยนงานมาเยอะมาก 30 กว่าแห่งได้ แต่มันก็ไม่ได้ตามที่เราหวังไว้ โอเค บางคนเขาอาจจะสำเร็จ แต่สำหรับเราคือไม่ เราแค่พยายามทำให้เหมือนที่สังคมเขาออกแบบมา

ผมไปเป็นทั้งพนักงานออฟฟิศ ขับวินมอเตอร์ไซค์ ขายไก่ต้มน้ำปลา กุ้งอบวุ้นเส้น สุดท้ายก็เจ๊ง ติดหนี้ เรียกว่าชีวิตเวลาที่เราจะเปลี่ยนงาน ทะเลาะกับเพื่อน ทะเลาะกับหัวหน้างาน เราก็จะมั่นใจว่าเรามีความสามารถระดับหนึ่ง เพราะเราช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ว่าจะเป็นความสามารถแบบล้มเหลวก็ตาม ลึกๆ แล้วเรามีความมั่นใจอยู่ แต่ก็นั่นแหละ พอติดหนี้ ความมั่นใจมันหายหมด

วันที่ติดหนี้ ผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงความคิดตัวเอง เพราะตอนนั้นผมอายุ 30 ปีแล้วด้วย แต่สิ่งที่เราพยายามดิ้นรนหาเงิน มันก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสักที แถมยังมีหนี้พอกพูนขึ้นมาแสนกว่าบาท ซึ่งสำหรับผมตอนนั้นมันเยอะมากนะครับ ตอนนั้นเงินเดือนผมได้แค่ 12,000 บาท ผมก็เลยคิดว่า ต่อไปนี้ ขอแค่ปลดหนี้ได้ แล้วก็ได้ทำงาน หรือทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่เราชอบ โดยที่เราจะไม่สนใจว่าเราจะต้องรวย เราจะต้องมีรถ เราจะต้องมีบ้าน ขอแค่ปลดหนี้ และได้ใช้ชีวิตเป็นอิสระ ได้ทำอะไรที่อยากทำก็พอ ขอแค่มีข้าวกิน มีที่นอน ปลดหนี้ได้ แฮปปี้ อยากทำอะไร ทำ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้โฟกัสเรื่องเที่ยว

      • แล้วมาโฟกัสเรื่องเที่ยวตอนไหนคะ

ผมอายุ 30 ปี ผมยังไม่เคยไปเที่ยวไหนเลย เต็มที่ก็มีแค่เอาติ้งกับบริษัท ไปทะเลบ้าง ก็แค่กินเหล้า เมา นอน จบแค่นั้น แต่ไม่เคยไปไหนจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง จนกระทั่งพอได้เริ่มอยู่กับตัวเอง ได้โฟกัสมองหาสิ่งที่เราชอบ เราไม่ได้โฟกัสว่าเราจะต้องหางานที่ได้เงินเยอะๆ เราก็แค่ทำไปวันๆ แล้วก็ได้เงิน เอามาโปะหนี้ก็พอ

ผมมามองว่าเราอยากทำอะไร ก็คิดขึ้นได้ว่าผมอยากเที่ยว ผมอยากเดินทาง เพราะตอนเรียน ปวส. ผมเรียนการท่องเที่ยวมา แต่ว่าผมจบ ผมก็ยังไม่เคยได้ใช้ชีวิตคลุกคลีอะไรกับตรงนี้เลย กลายเป็นว่าเราโฟกัสที่ความชอบแล้วไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เราโฟกัสที่เงินล้วนๆ

พอเราเลิกโฟกัสเรื่องเงินแล้วไปหางานที่ชอบ สรุปได้ไปสมัครงานที่บริษัททัวร์ หน้าที่ของผมจะพิมพ์เอกสาร พิมพ์โปรแกรมทัวร์ พิมพ์โปรแกรมเที่ยว ออกแบบเส้นทาง ซึ่งเราก็มีความสุขที่ได้ทำงาน ได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ในอินเทอร์เน็ต แล้วเราก็มาจัดแต่งโปรแกรม วางแพลนให้ลูกค้า ยิ่งทำก็ยิ่งได้เห็นตัวเองว่าเราอยากไปบ้างจัง เราอยากเดินทางบ้าง แต่ตอนนั้นเรายังมีข้ออ้างเยอะ ว่าเรามีหนี้ เราต้องมีเงินเก็บก่อน แล้วประจวบกับบริษัทผมเป็นบริษัททัวร์ต่างประเทศ ผมเลยอยากไปต่างประเทศมากๆ แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ทำงานที่บริษัททัวร์ ไม่ออกไปไหนเลยนะ เพราะปกติ แป๊บเดียว ผมก็จะย้ายงาน

ทำงานบริษัททัวร์อยู่ได้ปีกว่า ผมก็มีโอกาสเดินทางไปประเทศเวียดนามครั้งแรก เป็นการเดินทางที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะตอนที่ผมทำงาน เรารู้ว่าเราอยากเที่ยวก็จริง แต่เรายังมีข้ออ้างเยอะ เงินไม่พอ ภาษาอังกฤษไม่ได้ ยังมีหนี้อยู่ จนไปคุยกับน้องคนหนึ่งเขาเห็นว่าเราอยากไปก็จองตั๋วให้ ไปกลับ 2,400 บาท แต่ผมก็ปฏิเสธไปก่อนนะครับ ผมเกรงใจ ไม่อยากรบกวนนะ แต่เขาบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวให้ผ่อนเดือนละ 300 บาท หรือจะผ่อนนานเท่าไหร่ก็ได้ สุดท้ายแล้วผมก็เลยได้ไป

      • เป็นการเที่ยวครั้งแรก แถมยังไปต่างประเทศเสียด้วย

ใช่ครับ หลังจากนั้นอีก 6 เดือน เชื่อไหมครับ ผมผ่อนบัตรน้องเขาหมด แล้วผมก็สามารถเก็บเงินได้ 5,000 บาท ผมไม่มีเงินมาก แค่ 6 เดือน ผมเก็บเงินไปต่างประเทศได้แค่ 5,000 บาท ผมอาศัยหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ไปอ่านรีวิว ทำการบ้าน ท้ายที่สุดผมก็ได้ไปในโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามทั้งหมด 4 วัน 3 คืน นั่นคือครั้งแรกที่ผมได้ออกเดินทาง ครั้งแรกที่ผมได้เที่ยวจริงๆ แล้วไปต่างประเทศเลย แล้วเป็นครั้งแรกที่ผมบินไปเองคนเดียวด้วย ซึ่งภาษาอังกฤษผมก็ไม่ได้ ณ เวลานั้น ขี้หมากาไก่มาก แล้วตอนนั้นมีเงินติดตัวแค่ 5,000 บาท บัตรเครดิตไม่มี เงินหาย ผมก็ชิบหายเลย

สิ่งที่ได้กลับมากลายเป็นว่าผมได้ไปเมืองตากอากาศที่ดีมากๆ ได้ไปดูทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ได้รับมิตรภาพมากมายที่เขาเห็นว่าเรามาคนเดียว แล้วเราไม่รู้เรื่อง เขาพยายามที่จะสื่อสาร ทั้งคนเวียดนาม คนเกาหลี คนไทย ผมได้เพื่อนเยอะมาก จนสุดท้ายวันที่ 4 ผมมาเหยียบที่สนามบินโฮจิมินห์ผมได้รู้ว่าผมกลับบ้านได้แน่ๆ อารมณ์เหมือนกับปีติ ที่เราใฝ่ฝันมาตลอด ไอ้ที่เรากลัว ไม่กล้า ข้ออ้างสารพัดที่เราอ้างขึ้นมาเพื่อให้สบายใจตัวเอง มันไม่จริงเลย แท้ที่จริงทุกอย่างมันทำได้ง่ายมาก และนี่คือจุดเปลี่ยนจุดที่ 2 จุดแรกเป็นจุดเปลี่ยนทางด้านความคิด จุดเปลี่ยนที่ 2 คือทางด้านปฏิบัติ

หลังจากที่ผมไปประเทศเวียดนาม อีกสองเดือนผมก็ไปประเทศไปสิงคโปร์ ถัดจากประเทศสิงคโปร์ ผมไปประเทศกัมพูชา จากกัมพูชาอีกสองเดือนผมไปประเทศพม่า จากประเทศพม่าอีกเดือนเดียวผมไปบาหลี ไปสุราบายา ไปปีนภูเขาไฟ ไปดูไฟสีน้ำเงินที่มีสองแห่งในโลก หลังจากนั้นผมเที่ยวรัวๆ เลยครับ (ยิ้ม)

ผมใช้เวลา 2 ปี 2 เดือน ผมเที่ยวไป 17 ประเทศ ประเทศไทยเกือบครึ่ง อาเซียนขาดอีก 2 ประเทศ ญี่ปุ่น จีนผมไปหมดแล้ว โครเอเชีย ออสเตรีย อินเดีย ฝรั่งเศส ไปส่วนใหญ่ใช้งบของตัวเอง แต่ก็มีปีละครั้งที่บริษัทให้ไปฟรี เพราะว่าเขาเห็นศักยภาพเรา เราไปเที่ยว เราก็กลับมาพัฒนา เราทำงานเรามีความสุข ศักยภาพมันก็ออกมาเอง แล้วผมไม่เคยเปลี่ยนงานเลย กลายเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่ก่อนหน้านี้ผมเคยวิ่งหางาน วิ่งหาเงิน และท้ายที่สุดผมก็ได้ลาออกจากงานมาขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวทั่วไทย

      • ลาออกจากงานเพื่อเที่ยวทั่วไทย?

ผมลาออกจากงานทั้งๆ ที่ตอนนั้นผมได้เงินเดือน 20,000 กว่าบาทแล้ว บางเดือนได้มากกว่านั้นด้วยซ้ำ ที่ผมลาออกในครั้งนั้น แน่นอนว่าจุดเริ่มต้นการเดินทางมันอาจจะยาวหน่อย แต่นี่ก็คือพื้นฐานทุกอย่างที่มันทำให้ผมมองเห็นว่า ยิ่งเราทำอะไรตามความชอบของตัวเราเอง มันก็จะมีแต่ได้กับได้ เพียงแค่ ณ ปัจจุบันที่เราเลือก มันอาจจะดูไร้เหตุผล มันดูเหมือนไม่มีตรรกะ แต่สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่ามันจะมีอะไรดีๆ รอเราอยู่ข้างหน้าอย่างแน่นอน และด้วยความเชื่อนี้ มันเลยทำให้ผมกล้าที่จะลาออกจากงาน กล้าที่จะหนีห่างจากความมั่นคงที่สังคมเขาบอก เพื่อไปลุยสิ่งที่เรารัก เพื่อไปลุยในสิ่งที่เราฝัน เราอยากทำ โดยผมคิดว่านั่นคือความสำเร็จแล้ว ส่วนเรื่องอนาคต ปัจจัยทางด้านการเงิน เดี๋ยวค่อยว่ากัน แต่ผมจะอยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่าเดี๋ยวปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นเอง

ผมตัดสินใจลาออกจากงาน เพราะผมมั่นใจแล้วว่า ยิ่งเราทำในสิ่งที่ชอบ ตลอด 2 ปี 2 เดือนที่ผมเดินทาง ผมเดินทางไม่ใช่แค่เที่ยว แต่ผมสังเกตตัวเอง สังเกตสิ่งแวดล้อม สังเกตนิสัยตัวเราเอง ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปในแนวทางที่ดีขึ้นหมดเลย ดังนั้น ผมจึงมั่นใจว่า ถ้าผมไปทำในสิ่งที่ผมรัก ผมให้เวลากับตัวเองในการทำสิ่งที่ผมรัก เดี๋ยวหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างมันจะตอบโจทย์ในอนาคตเอง แล้วผมก็ออกจากงานมาพร้อมเงินเก็บ 30,000 บาท

      • เงิน 30,000 บาทคือทุนที่จะใช้เดินทางเที่ยวทั่วไทยใช่ไหมคะ

ใช่ครับ ผมคิดว่าผมจะเที่ยวทั่วประเทศไทย แต่ว่าผมไม่รอให้ทุกอย่างพร้อม เพราะผมรู้ว่า ถ้าเรารอให้ทุกอย่างพร้อม มันก็จะมีการเลื่อนไปเรื่อยๆ สำหรับผม 2 ปีกว่าที่เริ่มเดินทางมา การเดินทางของผมเป็นการเดินทางแบบเรียบง่าย กินง่ายอยู่ง่าย ผมฝึกตัวเอง แล้วเราก็รู้ เวลาที่เรากินง่าย อยู่ง่าย การเดินทางของเรายิ่งมีคุณค่า ในเรื่องราวระหว่างทางที่เราเจอมันจะยิ่งเจอเรื่องราวที่มีคุณค่าเยอะแยะมากมาย รวมทั้งมันจะทำให้เราได้ฝึกตัวเองด้วย ดังนั้นสำหรับผม ความไม่พร้อมเรื่องเงินถือว่าเป็นปัจจัยที่ไร้สาระที่สุด แต่ผมก็จำเป็นต้องมีเงินก้อนหนึ่งเพื่อให้พร้อมสำหรับการเติมน้ำมันรถ ค่าอาหารเบื้องต้น ค่าเข้าสถานที่ในบางที่ เบื้องต้นต้องมีไปก่อน ผมจะใช้ชีวิตยึดติดกับปัจจุบันเลยครับ ซึ่งถ้าอนาคตเงินหมด ผมเชื่อว่าเดี๋ยวมันจะมีทางไปของมันเอง ดังนั้นผมก็เลยมีเงินใช้เดินทางแค่ 30,000 บาท

ด้วยการที่ผมมีเงินน้อย ผมก็เลยดีไซน์ให้ทริปของผมประหยัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็คือ นอนวัดเป็นหลัก หรือว่าไปกางเต็นท์นอนในอุทยานแห่งชาติ เพราะเขาไม่เก็บเงิน ถึงแม้จะเก็บก็ถูก ก็ประหยัด ก็คือทริปนี้ผมจะเดินทาง 148 อุทยานครบทั้งประเทศ 77 จังหวัด ไปให้ทั่วทุกจังหวัดในรวดเดียว

      • เป้าหมาย 148 อุทยาน 77 จังหวัด ในรวดเดียว ช่วยเล่าการเดินทางให้ฟังหน่อยค่ะ

ผมเริ่มเดินทางวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ผมแพลนไปที่จังหวัดกาญจนบุรีก่อน เพราะว่าที่นั่นมีน้ำตกสวยหลายที่ ถ้าหากผมมาทีหลัง น้ำจะแห้ง ช่วงนั้นปลายฝนแล้ว ผมไปเก็บกาญจนบุรี เพราะผมอยากจะไปเก็บน้ำตกบางที่ จากกาญจนบุรีผมก็ขึ้นไปเรื่อย เลาะริมขอบประเทศไทย กำแพงเพชร ตาก อุทัยธานี ไปเรื่อยจนไปถึงภาคเหนือ วนไปภาคเหนือแล้วมาเก็บภาคกลางตอนบน ไปภาคอีสาน แล้วมาเก็บภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเสร็จก็ไปภาคกลางตอนล่าง แล้วก็ลงมาภาคใต้ สุดที่ภาคใต้

ผมหาข้อมูลจากการดูภาพรวมก่อนครับว่าเราจะไปในโซนไหนของประเทศก่อน แน่นอนว่าทริปของผม ผมจะไปปิดทริปที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นที่สุดท้าย ฉะนั้นจึงวนไปอีสานตอนนั้นมันก็ไม่น่าไป ใช่ไหม ปลายฝนต้นหนาว มันก็ต้องออกไปตอนเหนือๆ ผมเลยไล่ไปส่วนนั้น แต่ส่วนของการวางแผนที่คิดจะไปแต่ละจังหวัด ก็คือหาข้อมูลก่อน ในจังหวัดแต่ละสถานที่ว่ามีสถานที่อะไรให้เราเที่ยวบ้าง หลังจากหาข้อมูลผมก็วิ่งแต่ละสถานที่ แต่ผมไม่วางแผนว่าจะวิ่งสถานที่นี้กี่วัน จะอยู่สถานที่นั้นกี่วัน ผมก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ บางครั้งระหว่างทางเจอแหล่งท่องเที่ยวอื่นที่เราไม่ได้หาข้อมูลมาก่อน มีป้ายแนะนำ ผมก็จะแวะ อาจจะแวะบางทีวันสองวันด้วยซ้ำ อะไรอย่างนี้

ส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยวผมจะเก็บรายละเอียด เก็บรูปภาพทุกที่ที่ผมไป เพื่อนำมาโพสต์ในเฟซบุ๊ก ให้คนที่เขาติดตามได้ดูว่าจังหวัดนี้ จุดนั้นมีแหล่งท่องเที่ยวอะไรบ้าง ลักษณะแหล่งท่องเที่ยวหน้าตาเป็นยังไง รวมทั้งเล่าเรื่องราวที่เราเจอในแต่ละวัน เล่าเรื่องราวของคนบางคน บางครั้งผมไปเจอคนเก็บขยะ ไม่ได้สักแต่ให้ของ ผมไปคุยกับเขาด้วย ทำให้รู้เรื่องราวของเขาในแง่มุมที่ดีๆ ก็เอามาแชร์ต่อให้หลายคนในเฟซบุ๊กรับรู้

ยกตัวอย่างพี่คนนึง ออกจากบ้านตั้งแต่สงกรานต์ไปปั่นจักรยาน ปั่นทั่วภาคเหนือ ภาคอีสาน วน 1 รอบแล้วค่อยกลับมาบ้านเกิด ในระหว่างที่เขาปั่นเขาก็ไปเก็บพวกใบท้อใบอะไรมาสาน แล้วก็ขายในตัวเมือง ขายเพื่อหารายได้ แล้วก็ปั่นต่อ แล้วก็ขายต่อ สรุปเมื่อครบ 1 ปี พี่เขามีเงินเหลือเป็นหมื่นเลยครับ เป็นอาชีพเลยนะครับ ผมได้รู้ เขาก็กินอยู่ง่ายๆ นอนตามวัด เหมือนกับคนเร่ร่อน ผมก็เอาชีวิตของคนเหล่านี้มาถ่ายทอดให้กับผู้ที่เขาติดตามอ่าน ให้เขาได้รู้ว่าแง่มุมของชีวิตมันมีหลากหลายมิติ มันมีมิติที่หลากหลาย อย่างผมเองตอนอายุ 30 ปี ผมยึดอยู่แค่ว่า เราเปรียบเทียบกับสังคม เราอยากรวย สุดท้ายแล้วผมก็เปลี่ยนงาน เปลี่ยนแฟน เป็นไม้หลักปักขี้เลน ไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย แต่พอเราเริ่มเปลี่ยนทัศนคติ ทุกอย่างก็ดีขึ้น

      • เห็นบอกว่าไปเจอคนไทยที่น่ารักเยอะเลย อยากให้เล่าถึงความประทับใจอีกหน่อยค่ะ

ครั้งหนึ่งที่อุทยานแห่งชาติแม่ปืม จังหวัดพะเยา ตรงนั้นผมไปช่วงอากาศหนาวที่สุดของประเทศไทย ผมไปติดฝนที่นั่น แล้วก็หนาวมาก หนาวเย็นยะเยือกเลยครับ ผมมีแค่เต็นท์บางๆ เปียกด้วยอะไรด้วย สุดท้ายผมออกไปไหนไม่ได้ ติดอยู่ที่อุทยาน 3 วัน แต่ได้เจ้าหน้าที่ที่อุทยานทุกคนช่วยเหลือ หาข้าว หาอาหารให้ผมรับประทาน ผมก็เกรงใจ แต่ว่า ก็คือเราเป็นคนที่ชอบ พยายามช่วยเหลือตัวเองเป็นอันดับแรก มื้อแรก สองมื้อแรกยังพอได้ แต่พอหลายๆ มื้อเข้าเริ่มเกรงใจ แต่ทุกคนก็ให้การดูแลเรา เหมือนลูกเหมือนหลาน

ที่นี่เป็นที่หนึ่ง ที่ทำให้ผมท้อแท้เหมือนกันนะครับ ผมอยากกลับบ้าน เพราะมันหนาว ทรมานมาก แล้วผมก็อยู่คนเดียวในอุทยาน กางเต็นท์อยู่ใต้ถุน ฝนตกๆ หนาว ตอนเที่ยงผิงไฟควันยังออกจมูก แต่ว่าเจ้าหน้าที่ที่นั่นดูแลผมเหมือนลูก ตอนเช้า ตอนเที่ยงที่เขาอยู่ที่ทำงาน เขาก็จะเรียกผมไปทานข้าว เรียกผมไปนั่งคุย คอยดูแล จนสุดท้ายผมก็... เรียกว่ารอดตาย จบตรงนั้นจนอากาศกลับมาปกติ ผมก็เลยกลับมาเดินทางต่อ

อีกที่หนึ่งที่จังหวัดสตูล ผมก็ติดฝนเหมือนกัน แล้วก็ไปขอหลบฝนที่บ้านชาวบ้านแถวนั้น หลบฝน คุยไปคุยมา ชาวบ้านเขาเลยชวนนอนเลย แกชื่อพี่ณรงค์ครับ หลังจากชวนนอนแกก็พาไปเดินเล่นในสวน คุยนู่นคุยนี่ แล้วก็ทำกับข้าวให้กิน คือประทับใจตรงที่ว่า เป็นบ้านชาวบ้าน บ้านแรกและบ้านเดียวในทริป ที่ผมได้นอนที่บ้านเขา ที่เหลือผมแทบจะไม่ได้นอนแบบนี้เลย คือเขาก็ดูแลเราดี ทั้งๆ ที่ผมปฏิเสธเขาไป 3 ครั้ง ผมจะปฏิเสธก่อน คือใครให้ข้าวให้อะไรผมจะปฏิเสธก่อน 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย เพราะเราไม่รู้ว่าเขาให้ตามมารยาทหรือเปล่า ชวนผม 2 ครั้ง ผมก็ปฏิเสธเสียงแข็ง ครั้งที่ 3 เขาบอกไปเลย เมียพี่ ลูกพี่ไม่มีปัญหา ปกติใครผ่านไปผ่านมาก็ให้นอนบ้านพี่ประจำ จนผมมั่นใจก็ไปนอน ก็กลายเป็นแบบ...เป็นพี่น้อง เหมือนญาติ ถ้าหากผมจะกลับไปที่นั่นอีก ผมก็จะแวะไปหา

หรืออย่างพี่กานต์ พี่กานต์จะขายอาหาร ขายข้าวแกงใต้ครับ มีวันนึงผมจะไปสั่งข้าวเปล่าเพื่อมาราดกับน้ำพริก เพื่อจะได้ประหยัด ผมจะมีน้ำพริกนรก ปลากระป๋องบ้าง แล้วผมก็พอใจที่จะกินตามสภาพที่ผมมี ผมไม่ได้รู้สึกแย่หรืออะไร ผมแค่กินเพื่ออยู่ ให้ท้องมันอิ่มก็พอแล้ว วันนั้นผมขับมอเตอร์ไซค์ไปจอด สั่งข้างเปล่าจานนึง พี่เขาคงงง สงสัย หลายๆ คนก็สงสัย มาร้านข้าวแกง สั่งข้าวเปล่า แล้วคุณจะกินกับอะไรอย่างนี้ คือดูจากสายตาก็พอรู้ เพราะผมจะเจอเคสแบบนี้บ่อย ไม่ต้องปล่อยให้เขาถาม ผมก็บอกว่าผมมีน้ำพริกอยู่ พอกินได้สองคำก็มีถ้วยมาวาง เป็นแกงหมู มีชุดผัก มีน้ำพริกมาตั้งให้ หันไปดูพี่กานต์ก็บอกกินไปเลยน้องพี่เอามาให้ ไม่คิดเงิน พี่ไปยืนอ่านข้างรถน้องมาแล้ว เห็นว่าเดินทางทั่วประเทศเหรอ อะๆ พี่ให้กิน

ผมจะเจอเคสประทับใจแบบนี้บ่อย มันกลายเป็นว่า ถ้าผมมีเงินในตอนแรก ผมก็จะซื้อข้าว มีกับข้าว พี่กานต์ก็จะเป็นแม่ค้า ผมเป็นลูกค้า กินเสร็จผมจ่ายเงิน ต่างคนต่างแยกย้าย เราไม่รู้จักกัน ดีไม่ดี ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่วันนี้ผมยังพูดถึงพี่กานต์และใครหลายๆ คนที่ผมจำได้อยู่ มันไม่ได้กลายเป็นแค่แม่ค้ากับลูกค้า มันกลายเป็นพี่เป็นน้อง จริงอยู่ที่พี่กานต์เขาเสียกับข้าวมา 1 มื้อ แต่เขาได้ความสุขใจ ส่วนผมได้รับกับข้าวมา แต่ผมก็ได้พี่สาวมาอีกคนนึงด้วย ฉะนั้นทุกครั้งที่ผมผ่านไปเส้นนั้นผมจะแวะไปหาพี่กานต์หรือใครหลายๆ คน มันเป็นเรื่องของหัวใจแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมได้รับจากความมีน้ำใจของคนไทย แล้วเราไม่จำเป็นต้องเรียกร้อง แล้วเราก็ไม่ได้ขาดด้วย แต่ว่ามันจะมีสิ่งนี้คอยให้เราอิ่มเอิบ ชุ่มชื่นใจอยู่ตลอดการเดินทาง นี่คือน้ำใจของคนไทยที่ผมสัมผัสได้

ผมรู้ฟีลนี้มาก่อนการเดินทางแล้ว เพราะเวลาการเดินทางที่เรียบง่าย เราจะเจอแบบนี้ ฉะนั้นผมจึงมั่นใจว่าการเดินทาง ไม่ใช่มั่นใจว่าผมไม่อดนะ แต่เรามั่นใจว่าจะมีดอกไม้คอยเติมเต็มให้เราตลอดการเดินทาง จะทำให้การเดินทางฉ่ำชื่น สดชื่น และสุดท้ายจะจบทริปในการเดินทาง และแน่นอน ถ้าหากมีอะไรให้ได้ ผมก็จะให้ เราไม่ได้รับอย่างเดียว เรามีโอกาสให้ปลากระป๋อง ให้เสบียงที่เขาบริจาคมาให้เรา เราก็แจกจ่ายไป ก็จะมีบริจาคให้เงินบ้างสำหรับคนที่เขาลำบากกว่าเรา ดูแล้วจะให้เขาคนละร้อย แต่เงินไม่ใช่เงินผม เป็นเงินแฟนที่เขาให้มาทำบุญกับคนที่ลำบาก เราก็ผสมผสาน คือการเดินทางของผมบางมุมก็เป็นผู้รับ บางมุมก็เป็นผู้ให้ เรารู้คุณค่าของการรับ และเราก็รู้คุณค่าของการให้

อย่าง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมก็ประทับใจมากนะครับ หลายคนที่ไม่เคยไปจะกลัว ก่อนหน้านั้นมีพี่หลายคน เขาก็เตือนผมเหมือนกันนะครับว่า ไอ้บอล มึงเข้าสามจังหวัดระวัง เพราะการเดินทางของมึง เดินทางทั่วประเทศไทย แล้วมาจบ 3 จังหวัด มันสุ่มเสี่ยงที่จะถูกนำมาใช้สร้างสถานการณ์ เพราะถ้าเขายิงมึง ข่าวทุกสำนักจะประโคมข่าวมึงว่ามึงมาโดนยิงตายสามจังหวัด นักเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย แต่มาจบชีวิตสามจังหวัด มันตีข่าวได้ พอโดนเตือนมา ผมก็ไม่เคยเข้าสามจังหวัด ผมก็กลัว ผมก็เลยปิดไปก่อน อ่านมาเยอะเหมือนกัน ผมจะเดินทางอย่างระมัดระวังมาก แต่เมื่อวันที่ผมเข้าสามจังหวัด เดิมทีจะไม่อยู่ถึง 7 วันด้วยซ้ำรีบเก็บให้หมดแล้วรีบออก แต่ด้วยภารกิจสำรวจอุทยาน ผมต้องทั่ว ผมต้องจบ ก็จำเป็นต้องไป

วันแรกที่ผมไปถึง มันไม่เหมือนที่เราคิด ผู้คน รถราบนถนน วิ่งกันขวักไขว่เลย ตลาดมุสลิมน่าเข้าไปดู เข้าไปสำรวจ คนใส่ฮิญาบ ผมก็จอดแล้วก็เข้าไปดู ทุกคนเห็นผมเป็นนักท่องเที่ยวก็เข้ามาพูดคุย ทักทาย คือคิดดู ลูกชิ้นเสียบไม้มีอยู่ 5 ลูก ไม้ละสองบาทห้าสิบสตางค์ หาที่ไหนได้ ยิ่งผมอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่เคยเจอเลย ผมซื้อ เขายังแถมให้ผมอีกนะ ผมได้รับการต้อนรับ ผมได้รับน้ำใจเยอะมาก อีกอย่างที่เที่ยวก็สวย ธรรมชาติก็สวย มันเหมือนไม่ใช่ประเทศไทย อุดมไปด้วยวัฒนธรรม อุดมไปด้วยศิลปะมากมาย ยิ่งอยู่มันยิ่งหลงใหล กลายเป็นว่า ผมอยู่ตรงนั้นครึ่งเดือน ไปกินก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวแถมทุเรียนให้ลูกนึง จ่าย 30 บาท ได้ทุเรียน แต่ผมไม่เอานะ เขาก็ให้เงาะให้ลองกองมากิน พอนักท่องเที่ยวไป เขาไม่รู้หรอกไอ้บอล เขารู้มาจากกรุงเทพ เขาพยายามต้อนรับ เขาเป็นเจ้าบ้านที่ดี นี่คือสิ่งที่ผมได้รับ นี่คือสิ่งที่นักท่องเที่ยวหลายคนได้รับ เพื่อนที่เคยเดินทางมาสามจังหวัดบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า อยากกลับมาอีก

      • คือจะบอกว่าการเดินทางเหมือนไม่ได้ไปเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้ความประทับใจและประสบการณ์กลับมามากมาย

ใช่ครับ ผมไม่ได้ไปเที่ยวอย่างเดียวครับ ถ้าใครรู้จักอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ผมจะใช้ท่านเป็นคนต้นแบบในการเดินทาง ในการใช้ชีวิตของผม อาจารย์ประมวลท่านเป็นดอกเตอร์ทางด้านปรัชญาและศาสนา สอนเกี่ยวกับพวกสัจธรรมต่างๆ ที่มหา'ลัยเชียงใหม่ เขามาค้นพบว่าสิ่งที่เขาสอนมันเป็นแค่หนังสือ เขารู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองสอน รู้สึกมันยังไม่ใช่แก่นแท้ เขาก็เลยเกษียณก่อนอายุราชการแล้วเดินเท้าจากเชียงใหม่ไปสมุย ใช้เวลา 66 วันโดยไม่ใช้เงินแม้แต่บาทเดียว ชีวิตตัวเองให้ดำรงอยู่กับสิ่งแวดล้อมในระหว่างทาง และไม่ขอ ไม่พกเงิน ปฏิเสธก่อน และรับจะกินแค่มื้อเดียว

นั่นคือผมได้แบบอย่างมาจากท่าน แต่มาผสมผสานกับที่ผมชอบเดินทาง ฉะนั้นการเดินทางของผมไม่เรียกว่าการเที่ยว แต่เป็นการเดินทางเพื่อเรียนรู้ผ่านการท่องเที่ยว ผมอ่านหนังสือ “เดินสู่อิสรภาพ” ก่อนการเดินทางของผมยังติดทางโลกอยู่พอสมควร แต่ว่าหลักๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมเป็นแค่ไอ้บอล เคยติดยา เคยดมกาว เคยขายยาบ้า มีแฟนก็เลิกกับแฟน เคยเป็นเด็กติดเกม เรียนได้ 0.4 เปลี่ยนงานมา 34 ครั้ง เคยเป็นเด็กนั่งดริงก์ ล้างจาน สารพัด ทุกอย่าง จนชีวิตผมดิ่งลงไปในห้วงเหวความมืดมิดในการไม่รู้ตัวตนเลย ไม่รู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไรด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แค่อยู่ไปตามที่สังคมเขาบอกให้ทำ แต่บังเอิญว่าผมเป็นคนโชคร้าย ผมทำแบบหลายๆ คนแล้วมันไม่เวิร์ก ผมล้มเหลวตลอด จนกระทั่งจุดนึงที่ผมล้มเหลว การล้มเหลวครั้งนั้นมันกระทบความมั่นใจของผมไปโดยปริยายเลยตลอด 30 ปี ผมก็เลยศิโรราบให้กับสังคม ให้กับทุกอย่าง มันก็กลายเป็นว่าพอเรายอมแพ้ ยอมเอาอะไรง่ายๆ มันกลับเห็นช่องทางเปิดออก พอเห็นช่องทางเปิดออก ทุกสิ่งเลยประเดประดังเข้ามาจนกลายเป็นผมทุกวันนี้

เป็นเหมือนเรื่องมหัศจรรย์ ผมปลดหนี้แสนกว่าบาทได้ทั้งๆ ที่ผมไปเที่ยวเอาๆ มันเหลือเชื่อสำหรับผม แม้กระทั่งการเดินทางทั่วประเทศไทยจริงๆ มันก็เหลือเชื่ออยู่ดีที่จะทำได้ ผมรู้สึกว่า ยิ่งเราทำอะไรจากหัวใจจริงๆ จากสิ่งที่เราชอบ โดยเอาไอ้คำว่าตัณหา เอาความอยากที่เป็นเปลือกนอกออกไป แล้วเราสัมผัสทุกอย่าง แก่นแท้จริงๆ ที่มาจากรากของตัวเราเองเนี่ย เราจะมีความสุข เราจะประสบความสำเร็จที่ไม่ได้วัดเงินเป็นหลัก ผมก็เลยมีคำติดปาก "ฉันไม่มีเงินมากมาย แต่ฉันมีความสุขมหาศาล" อาจจะเป็นคำสะกดจิตตัวเองก็ได้ว่าให้ตัวเองดำรงอยู่ในช่องทางนี้

      • นอกจากความประทับใจแล้วมีอุปสรรคอะไรบ้างไหมคะ

อุปสรรคก็จะมีบ้าง เอาคร่าวๆ นะครับ ก็คือสองครั้งที่บอกว่าติดอากาศหนาว ไอ้ครั้งแรกคือพระเจ้า ผมนับถือศาสนาพุทธนะครับ พระเจ้าหรือเทวดาเขาจะโยนบททดสอบมาให้ คิดดูครับ 7 วันแรกของการเดินทาง ซื้อขากล้องมาใหม่ พัง ผมต้องไปเปลี่ยนขากล้องอันใหม่ ในราคา 1,700 กว่าบาท ซึ่งบางวันผมใช้เงินวันละ 10 บาท ในการซื้อข้าว 1 จาน ตอนนั้นผมโคตรเซ็งเลย ถัดมาวันที่ 18 ของการเดินทาง เลนส์วายที่แพงที่สุด ผมใช้ของมือสองทุกอย่าง แต่เลนส์มันก็แพงกว่ากล้องอยู่ดี ตกแตก หักเป็น 2 ท่อน ใช้งานไม่ได้ พังไปเลย เพิ่ง 18 วันของการเดินทาง แล้วยังเหลืออีกเป็น 100 วัน แล้วสถานที่สวยๆ ของประเทศไทย ถ้าใครเป็นคนถ่ายวิว ถ้าไม่มีเลนส์วายก็จบครับ ตอนนั้นผมนั่งทรุดอยู่กับหน้า วันนั้นบัตรเอทีเอ็มผมก็หาย ไฟรถผมก็เสีย สารพัดเลย เลนส์ผมก็มาแตกอีก ผมนั่งทรุดอยู่หน้าธนาคาร 1 ชั่วโมง แล้วก็คิด กูจะกลับบ้าน กูไม่เอาแล้ว จะกลับไปตั้งหลักใหม่ดีกว่า แต่บังเอิญ เรายังมีเลนส์สำรอง แล้วมาคิดว่าไม่ได้ เรายังมีหลายคนเชียร์เราอยู่ แล้วอีกอย่างเราทุบหม้อข้าวตัวเองแล้ว ทำไม่ได้ ก็ต้องไปต่อ

ส่วนปัญหาอื่น บางทีก็เจอคนเมาคนบ้า แต่สำหรับผมไม่ใช่ปัญหาเพราะเรายิ้มเข้าให้ ยิ้มใส่ มันเป็นการฝึกให้ตัวเองลดอีโก้ของตัวเองลงมา คนหลายคนมักจะกลัวคนเมาคนบ้า เพราะว่าเขาแผ่รัศมี เราไปแอนตี้เขาทันทีที่เห็นภาพลักษณ์ เขาอาจจะน่ากลัวจริงๆ แต่เมื่อแอนตี้เจอกับแอนตี้ ขั้วมันสปาร์กกัน แต่ถ้าเรายิ้มแย้มใส่ คิกขุ พูดใส่ มันก็จะกลายเป็นอีกเรื่องนึง เวลาผมเจอคนเมาคนบ้า ผมก็วิ่งเข้าไปยิ้ม พูดคุย นอบน้อมให้เขาเป็นหลัก บางทีเจอวัยรุ่นชี้หน้าด่าก็มีเหมือนกัน แต่เราชะลอหลบข้างทางให้เขาไปก่อน แค่นี้ก็ไม่เกิดเรื่องแล้ว

ส่วนเรื่องอื่นอาจจะเป็นพวกเรื่องหลอนๆ ผมเคยเจอสองครั้ง ผมเป็นคนที่จิตแข็งมาก ผมไปนอนข้างเมรุบ่อยมาก นอนข้างวัดบ่อยมาก นอนคนเดียว นอนในป่าบ่อยมาก แต่ผมไม่เคยบ่นเรื่องผีเลย แต่ผมไปเจอมา 2 คืน หนึ่งในนั้นคือคลิปหมาหอนที่แชร์กันในอินเทอร์เน็ต แต่อีกอันไม่ได้เป็นคลิปเป็นเรื่องที่ผมโดนกระชากวิญญาณเลย ก็ทำให้ตกใจเหมือนกัน แต่ผมก็เฉยๆ อยู่ดี ถ้านอนซ้ำได้อีกครั้งก็อยากลองไปนอนดู ผมเป็นคนชอบตั้งคำถาม ชอบพิสูจน์ แต่ไม่ได้ลบหลู่ ผมคิดตามหลักทุกอย่างนะ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ในระหว่างการเดินทาง บางคนบอกว่าผมเหนื่อย ผมมีเหนื่อยกว่าคืนนั้นเยอะเลยครับ คืนนั้นได้หมดเลย สถานที่ สิ่งแวดล้อม

เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนตี 1 ผมไปนอนบนเขาคนเดียว ฝนก็ตก ผมลุกขึ้นมาฉี่ แล้วผมก็เข้าไปนอนเหมือนเดิมในเต็นท์ แต่ผมนอนไม่หลับ นอนปิดตา คิดแบบจิตสะอาดเลย คิดว่าเราตื่นเต็มที่อ่ะ พรุ่งนี้จะมีทะเลหมอกหรือปล่า ฝนตกแบบนี้จะไปได้ไหม ระหว่างที่ผมคิดอยู่ มันมีอะไรบางสิ่งบางอย่างมากระทำบนศีรษะผม ผมนอนอยู่นะครับ เหมือนมันค่อยๆ กด ผมรู้ตัวเสี้ยววินาที ทันทีที่โดนแตะศีรษะ ผมกำหนดรู้ และพิจารณา ผมใช้หลักพิจารณาว่าตอนนี้อะไรเกิดขึ้นกับเรา มันคือวิญญาณใช่หรือไม่ แล้วตัวเรารู้ร้อน รู้เย็นหรือเปล่า เราหลับหรือเปล่า เราโดนผีอำ เราขยับได้หรือเปล่า รู้ตัวทุกอย่าง ขยับได้ คิดแม้กระทั่งลืมตาขึ้นมาดูดีไหม แต่เกิดกลัวเจอภาพที่เราไม่คิดไม่ฝัน คิดว่าจะหนีดีไหม แต่ไร้สาระ เราจะหนีไปไหน ตอนนี้ค่ำมืด ดึกดื่นด้วย จะขี่มอ'ไซค์ลงเขาเหรอ กางเต็นท์ไว้อย่างนี้เหรอ คิดแม้กระทั่ง ไอ้บอล มึงมีพระอยู่ พระอยู่ในลังที่เก็บไว้ที่รถ

จนกระทั่งตอนโดนบีบอัด ทุกอย่างมันกระจ่าง เรารู้ตัวหมดทุกอย่าง เจ็บเรื่อยๆ ตึงเรื่อยๆ เหมือนค่อยๆ กด กดเสร็จมีดึงออก จังหวะที่ดึงมันเหมือนวืดออกไปเลยครับ เราปิดตาแต่รู้ว่าตัวเรากำลังวืดตั้งแต่ท่อนบน วืดออกไปได้ครึ่งนึงแล้ว รู้สึกหมดทุกอย่าง คิดว่า เอาแล้วกู โดนแน่แล้ว อธิบายอย่างอื่นไม่ได้แล้ว เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ตายแน่ๆ ต้องโดนดึงวิญญาณแน่ ทันทีที่คิดน้ำตาไหลลงมาหยดนึงเลยครับข้างแก้ม รู้หมดทุกอย่าง เอาวะ ตายก็ตาย อย่างน้อยก็ดี ไม่เจ็บ เป็นผีแล้วค่อยมาคุยอีกทีแล้วกัน คิดแค่นั้น พอคิดแล้วก็โดนปล่อย วืดกลับมาเหมือนเดิม เราก็นอนอีกนิด หัวก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่นะ ตึ้บๆ แต่เรารู้ว่าไม่ได้มีอะไรกดแล้ว เราก็ค่อยๆ ลืมตา คิดว่ากูจะไปหรือจะนอนต่อดี ก็นอนต่อแบบเสียวๆ ถ้าหากเจออีกก็จะลองลืมตาดู ลองสู้ดู

พอตื่นเช้ามาตอนตี 5 ผมต้องขึ้นเขาไปคนเดียว ตีนเขามีชาวบ้าน กลางเขาชาวบ้านบอกเขาไม่ให้นอนคนเดียว ชาวบ้านจะไปนอนด้วย แต่ผมบอกว่าผมยังไม่มีเงิน ผมนอนได้ ปกติผมนอนแบบนี้ประจำอยู่แล้ว ผมต้องไปนอนกลางเขาคนเดียว ขึ้นไปบนเขาตอนตี 5 จะมีรูปมืดๆ ขึ้นไปบนเขา ลงมาตอนเช้าก็เห็นมีศาลมีอะไรอยู่ตรงนั้น แล้วพอโพสต์ในเฟซบุ๊กเขาก็บอกว่าจริงๆ ตรงนั้นก็เฮี้ยนอยู่นะ ไม่ค่อยให้ใครไปนอนคนเดียว นี่ก็กึ่งๆ ปัญหา กึ่งๆ เรื่องทรหด โหดๆ ที่เจอ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมาก

      • แล้วเห็นว่าเดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซค์ มีอุปสรรคอะไรตรงนี้ไหมคะ

ผมใช้มอเตอร์ไซค์ที่ผมซื้อมาตอนขายไก่ต้มน้ำปลา ผมใช้มา 4 ปีแล้ว แล้วปีที่ 4 ผมก็เอามาขับไปเที่ยว มันเริ่มต้น 40,000 กิโลแล้วครับ มันไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ใหม่ ผมแค่อยากเดินทาง แล้วดูว่าผมมีปัจจัยอะไรบ้าง ในเมื่อผมไม่มีเงินใช้เป็นค่ารถ จะโบกรถก็โหดไป จะปั่นจักรยานก็ไม่รู้กี่ปีจะจบ หันไปเห็นมอเตอร์ไซค์ แม้เราจะไม่เคยเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเลย ลุยมันไปก่อน แนวความคิดผมอย่างนี้ครับ ถ้าเรามีปัญหา ถ้าเราเจอ 100 ครั้ง มันจะทำให้เราแก้ปัญหาได้เก่งขึ้น และถ้าเราเจอปัญหาเราจะเจอมิตรภาพด้วย ผมกล้าการันตีเลยถ้าคุณเข็นรถล้อแบนอยู่ข้างทางไม่เกิน 15 นาทีจะมีคนถาม รถเป็นอะไรเหรอครับ มีอะไรให้ช่วยไหม นั่นคือสิ่งดีเวลาที่เจอปัญหา ทำให้ผมชอบปัญหา

การเดินทางที่ผมไปในแต่ละที่ค่อนข้างโหดมากนะ ถ้าดูรูปนะครับ ผมไปเขา ไปดอย ที่ไหนที่เขาไม่ให้ไป ผมไปหมดทุกที่ ล้มก็บ่อย แต่สุดท้ายมอไซค์ผมไม่เคยเสียเลย ยางรั่วเดือนที่ 7 ของการเดินทาง มหัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างมากกับผมตลอดการเดินทาง ทุกคนเอาแต่กลัว ทุกคนคิดก่อนว่าเดี๋ยวจะเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ ทุกเรื่องในชีวิตเราเราจะกลัวไว้ก่อน แต่แท้ที่จริงความกลัวเกิดจากการปลูกฝัง เกิดจากการที่เราไม่เคย เราเลยคิดมาก่อน เพื่อให้ตัวเราอบอุ่น มนุษย์เราสร้างสัญชาตญาณ อะไรที่เราเสี่ยงที่เรากลัว ให้หนีไปซะ แต่บางสิ่งบางอย่างก็เกินความจำเป็นกับการกลัว ผมไม่ได้บอกว่าให้เราไม่กลัว แต่กลัวในระดับที่จำเป็นต้องกลัว ฉะนั้นสิ่งที่ผมคิดว่ามันไม่ได้เสี่ยงอะไรมาก มันไม่ได้บาดเจ็บ ให้คุณดำเนินไปอย่างมีสติ ไม่ประมาท บางทีมันจะทำได้

อย่างมอเตอร์ไซค์ผมซ่อมไม่เป็นก็จริง แต่ผมขับขี่อย่างระมัดระวังที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวปัญหาก็มีทางแก้ แค่นั้นเอง มันก็ผ่านมาได้จริงๆ และไม่ใช่แค่ผมคนเดียวนะ หลายๆ คนที่ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยว เขาคิดว่าเดี๋ยวจะพัง เดี๋ยวจะอะไร แต่สุดท้ายมันก็ไม่เกิดขึ้น ถึงแม้มันจะเกิดขึ้นก็เป็นส่วนน้อย แต่อากาศในสังคม เรื่องราวในสังคม หรือสิ่งแวดล้อมในสังคมเขาจะแผ่จากเรื่องเล็ก 1 เรื่องดูให้เป็นเรื่องใหญ่ ฉะนั้นใน 1 เรื่องที่มันเกิดขึ้น ยกตัวอย่างคนปั่นจักรยานทั่วทั้งประเทศในเวลาเดียวอาจจะมี 1,000 คน แต่ถ้ามี 1 คนโดนชนตาย เรื่องมันจะขยาย เรื่องจะใหญ่มาก แต่อีก 999 คนปั่นอย่างสนุกสนาน เจอเรื่องราวมากมาย จะไม่โดนขยาย มันจะขายได้ดี 1 คนที่โดนชนตาย นี่คือมวลรวมของลักษณะของโลกเราก็ว่าได้ เราจะถูกโฟกัสไปกับเรื่องพวกนี้ก่อน มันมีนะคนที่โดนชนตาย แต่ถ้าหากคุณเดินทางด้วยความระมัดระวังรอบคอบ คุณอาจจะเป็นอย่าง 999 คนก็ได้ ฉะนั้นคุณต้องเลือกว่าเสี่ยงกับ 1 เปอร์เซ็นต์ ปิดโอกาสการมองเห็นโลกในการที่จะรับมิตรภาพ ในการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต หรือการที่คุณจะทำความฝันของคุณ คุณจะเอาแต่กลัวอย่างเดียวเหรอ สำหรับผม ผมว่ามันไม่คุ้ม

เดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ ถ้าเอาสูตรผมเลยก็ใจอย่างเดียว อันดับแรกๆ เลยคือระวังเรื่องน้ำมันหมด แล้วก็เช็กสภาพตามระยะทาง พอครบ 2,000 กิโลเมตรคุณก็เอาเข้าศูนย์อะไรแบบนี้ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง อะไรก็ว่าไป ดูน้ำมันเครื่อง พอขับไป 4-5 วันก็อาจจะแวะเติมลมซักหน่อยให้มันตึงๆ แล้วพอครบ 20,000 กิโลเมตรก็เปลี่ยนโซ่ เปลี่ยนอะไรตามระยะทาง ทุกอย่างทำตามเบสิกหมดเลย วิ่งตามระยะทางเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนโซ่ เปลี่ยนสเตอร์ การเปลี่ยนพวกนี้ก็เข้าที่ศูนย์ไปเติมลมเติมอะไร เอาแค่นี้เอง อย่าให้น้ำมันไปหมดกลางทาง เดี๋ยวจะลำบากกลางทาง

ส่วนเรื่องอย่างอื่นที่คนเดินทางส่วนใหญ่มักจะกังวล ก็ต้องปะยางเป็น ต้องมีอะไหล่สำรอง ต้องมีประแจ นู่นนี่นั่น เอาโดยส่วนตัวผมนะ มอเตอร์ไซค์ผมใช้มาแล้ว 40,000 กิโลเมตร ไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ใหม่ แล้วมอเตอร์ไซค์ผมยังสามารถขับไปได้ 35,000 กิโลเมตร ไม่พังเลย โดยดูแลแค่ตามที่ผมบอกไป ฉะนั้นผมเชื่อว่ามันไม่มีปัญหา เอาใจเราไว้ก่อน ส่วนถ้าเกิดเหตุสุดวิสัย มันก็คงอาจะเกิดบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ว่าจะเกิดบ่อย เกิดถี่แล้วเกิดกับทุกคน ถ้าหัวใจเราอยากอยากเดินทาง เราก็ออกไปก่อน เจอปัญหาค่อยแก้ปัญหาอย่างที่ผมบอกท้ายที่สุดแล้ว

ยกตัวอย่างว่าถ้าคุณเกิดปัญหาอย่างเช่น ว่าล้อรั่วเดี๋ยวมันก็จะมีคนมาช่วยเข็นเดี๋ยวมันก็จะมีร้านปะยางหรืออะไร เดี๋ยวถึงเวลาแล้วมันก็จะได้ การเดินทางก็มีล้อรั่วเหมือนกันระหว่างทาง สุดท้ายก็บดไปสิ เดี๋ยวก็เจอร้านประยาง ผมเจอ 3 ครั้ง แต่โชคดีทุกครั้งที่เจออยู่ใกล้ร้านปะยางหมดเลย ซึ่งก็ไม่แน่คุณก็อาจโชคดี ถึงแม้คุณจะไม่โชคดีคุณก็อาจจะไม่โชคร้าย โดยรั่วอะไรกันขนาดนั้นก็ได้ ก็คืออย่างที่บอก โดยเฉพาะผมเชื่อว่าทุกคนไม่ได้ออกมาเดินทางมาเดินทางรวดเดียวยาวๆ แบบผม ฉะนั้นสัมภาระคุณไม่เยอะอยู่แล้ว เมื่อไม่เยอะรถเสียมีปัญหาอะไรแก้ไขง่ายกว่าที่สัมภาระเยอะแบบผม ดังนั้นมันก็แทบไม่น่ากลัวอะไรเท่าไหร่

      • จะว่าไปแล้วท่องเที่ยวแบบนี้ ดูจะสุดโต่งเกินไปไหมคะ

ไม่นะครับ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นอย่างที่กล่าวมาก็จริง แต่ผมจะมีกฎอยู่ 3 อย่าง คือ 1. ผมไม่รับเงิน ถึงแม้ว่าผมจะมีเงินน้อยก็ตาม จะไม่รับทุกกรณี 2. ผมไม่ไปบ้านเพื่อนหรือบ้านใครก็แล้วแต่ที่เชื้อเชิญผมไปกินข้าว แล้วผมจะพยายามปฏิเสธอาหารที่เขาจะซื้อให้ แต่ถ้าเขาซื้อมาให้แล้ว ผมจะไม่กล้าปฏิเสธแล้ว เพราะเราจะไปปฏิเสธน้ำใจเขา ผมรับมาผมก็มีกฎว่ากินแค่มื้อเดียว ที่เหลือผมจะแจก ยกตัวอย่าง ถ้ามีคนเอาปลากระป๋องมาให้ผม 6 กระป๋อง รับไว้ 1 กระป๋องที่เหลือผมแจกหมดเลย ฉะนั้นจะมีเคสหลายเคสที่ผมแชร์ในโซเชียล คนเก็บขยะบ้าง คนกวาดถนนบ้าง ผมจะเอาของเหล่านี้ไปบริจาคตลอด ผมจะไม่กักตุน แต่ถึงแม้ว่าผมจะต้องกินอย่างประหยัดก็จริง กินวันละ 1 มื้อก็จริง นั่นคือมื้อหลักนะครับ มื้อรองก็จะมีพวกขนม เช่น ตื่นมาผมก็จะกินประมาณ 10 โมง 11 โมง ผมจะกินขนม ประมาณบ่าย 2 บ่าย 3 ผมจะหิว ผมไม่ได้จะอด มันเป็นอัตโนมัติ ตื่นมาบางคนก็ยังไม่หิว ผมก็เช่นกัน ผมอิสระ ตื่นมาผมยังไม่หิว บางทีคนทำงานออฟฟิศ 10 โมงก็กินไม่ได้ อยู่ในออฟฟิศแล้ว แต่ผมจะกินเมื่อไหร่ก็กินได้ 10 โมงผมก็ทานอะไรนิดๆ หน่อยๆ ขนมที่ผมมีอยู่ในเสบียง แล้วผมก็เที่ยวไปเรื่อย บ่ายๆ ผมก็หิวอีก กลางคืนผมไม่กิน แค่นั้นเอง บางวันผมก็กินมื้อหลัก 2 มื้อ มันไม่ได้กินมื้อเดียวตลอด

3.ผมจะพยายามให้ตัวเองอยู่ในกรอบของตัวเอง พยายามที่จะไม่ให้คนในเฟซบุ๊กหรือคนในระหว่างทางมามีอิทธิพลให้ผมต้องเปลี่ยนแนว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ยืดหยุ่นตามสถานการณ์ นอกเหนือจากนั้นผมก็จะไม่ไปนอนบ้านเพื่อนในเฟซบุ๊ก บ้านญาติ หรือบ้านใครก็แล้วแต่ที่จะอำนวยความสะดวกให้ตัวเอง ผมก็จะนอนวัดไม่ก็อุทยานเป็นหลัก

      • แต่การเดินทางที่เราตั้งเป้าไว้ว่ารวดเดียว คือมันเป็นเรื่องที่คนมองว่า มีเงิน 30,000 เที่ยวรวดเดียว มันเป็นเรื่องที่ยากเหมือนกันนะ

ใช่ครับ แต่ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ โดยกายภาพ แต่ว่าถ้ามันจะเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าใจผมไม่สู้ นี่คือปัจจัยที่ผมรู้ก่อนออกเดินทางแล้วว่า ผมเชื่อว่าผมสามารถเดินทางรวดเดียวครบแน่นอน ถ้าหากใจผมไม่ท้อ เลิกซะก่อน เพราะสุดท้าย คุณอยู่ประเทศไทย คนในประเทศไทยมีความน่ารักมาก ผู้คนมีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เยอะมาก ถึงแม้ว่าคุณพยายามปฏิเสธก็ตาม แต่หากเขารู้ว่าคุณทำอะไรอยู่เนี่ย แล้วมันเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เขาอยากจะช่วยเหลือ อยากจะมีส่วนร่วม อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของคุณด้วย ลองไปถามดู ต่อให้คุณปั่นจักรยานทั่วประเทศไทย คุณรวยเป็นเศรษฐีพันล้าน คุณปั่นไป ถ้ามีคนรู้ อย่างน้อยน้ำซักขวด สปอนเซอร์ซักขวด คุณได้แน่นอน ต่อให้คุณปฏิเสธก็เถอะ เจออย่างนี้ประจำ เยอะมาก

ที่สำคัญ ผมรู้อีกว่าประเทศไทยมันไม่ได้น่ากลัว ไม่ได้อันตรายอย่างที่เราๆ คิดกัน เพราะว่า อย่างที่บอก ผมสะสมประสบการณ์มา 2 ปีกว่าก่อนที่ผมจะมาเดินทางทั่วประเทศไทย ก่อนหน้านั้นผมลองโบกรถ ก่อนหน้านั้นผมนอนสถานีรถไฟ นอน บขส. นอนวัด ผมนอนเต็นท์ ลองเดินทางทุกอย่าง ลองเดินทางแบบงบจำกัด มันทำให้ผมรู้จักประเทศไทยมากขึ้น และรู้จักตัวเองมากขึ้น เมื่อเรารู้จักแท้ที่จริงแล้ว คุณจะรู้เลยว่าศักยภาพของคุณมีขนาดไหน และสิ่งแวดล้อมของคุณเป็นยังไง คุณจะปรับตัว และประสบความสำเร็จกับสิ่งที่คุณทำ นั่นก็คือสิ่งที่ผมทราบ ทำให้ผมมั่นใจว่า ผมจะเดินทางจบ

ผมต้องการประหยัดเงิน ผมก็เลยทำหนังสือไปที่กรมอุทยาน เพื่อของดเว้นค่าธรรมเนียม และผมต้องสร้างเฟซบุ๊กขึ้นมาชื่อว่า บอล พาเที่ยว ในการอ้างอิงว่าเราไปเที่ยว เราจะโพสต์ในเฟซบุ๊กของเราเพื่อเผยแพร่ให้ทุกคนที่ติดตาม จะได้ดูสถานที่เที่ยว ได้รู้จักแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยเพิ่มขึ้นผ่านการเดินทางของเรา ผมเลยทำหนังสือตัวนี้เพื่อที่จะได้ไปยื่นหน้างานในการยกเว้นค่าธรรมเนียม แต่ทางกรมไม่มีนโยบายที่จะเซ็นให้ กระนั้นให้นำหนังสือนี้ไปยื่นหน้างานได้ เพื่อให้หน้างานพิจารณาเป็นเคสบายเคส เขาไม่ได้ปิดโอกาสตรงนี้ ก็กลายเป็นว่าทำให้การเดินทางของผมเพิ่มการประหยัดมากขึ้นในการเข้าหน้างาน เพราะเจ้าหน้าที่อุทยานบางท่านก็เก็บ บางท่านก็ไม่เก็บ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับหน้างาน ทำให้เราประหยัดขึ้น ฉะนั้นเงิน 30,000 บาทที่ผมพกไปบวกกับการที่ผมประหยัด กินข้าววันละมื้อ กินน้ำพริกเป็นหลัก บางทีเจอคน คนไทยมักจะมีน้ำใจอยู่แล้ว ถ้าเขารู้ว่าเราทำอะไร เขาจะช่วยเหลือแล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน มันก็เลยทำให้ผมเดินทางได้ แต่ท้ายที่สุดเงิน 30,000 มันก็ไม่พอ

      • เงินไม่พอแล้วแบบนี้แก้ปัญหายังไงคะ

ที่เงินไม่พอ เพราะว่ากล้อง อุปกรณ์ของผมก็พัง ด้วยความที่ผมเดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซค์ ล้อมอเตอร์ไซค์ก็มีรั่วบ้าง รถก็ต้องเปลี่ยนโซ่เปลี่ยนสเตอร์ เงินผมไปหมดที่จังหวัดชุมพร ที่เป็นภาคสุดท้ายของประเทศไทย ภาคใต้เหลืออีกประมาณ 10 จังหวัด ผมเลยได้ไอเดียหาเงิน โดยการพรินต์รูปแล้วไปแบกะดิน แจกในตลาด แล้วแต่ใครจะบริจาค แต่ผมจะเน้น คุณเอารูปไปฟรีผมไม่ว่า แต่คุณจะให้เงินผมไม่เอารูป ผมไม่รับเงิน ฉะนั้นการแจกโปสเตอร์ของผมมีหน้าที่อย่างเดียวคือให้รูป แล้วบอกเล่าเรื่องราว ส่วนเงินผมไม่สนใจ ผมแค่กลับมาที่พักแล้วดูผมมีค่าน้ำมันเพิ่มขึ้นมา แค่นี้ก็พอ มันก็เลยทำให้ผมได้ไปต่อจนจบทริป สุดท้ายผมใช้เวลา 312 วัน กับการเดินทางทั่วประเทศไทยผมใช้เงินไป 42,000 บาท ด้วยเงินเริ่มต้น 30,000 บาท ก้อนสุดท้ายในชีวิต และผมก็ไม่มีเงินเก็บเลย

      • หลังจากจบทริปครั้งนั้นคือไม่มีเงินติดตัวสักบาทเดียว

ไม่มีครับ แต่การที่ผมเป็นคนกินง่าย นอนง่าย อยู่ง่าย ทุกวันนี้ผมแทบไม่ได้ใช้เงินเลย ถ้าไม่ได้ออกไปไหน ฉะนั้น 3,000 บาทสำหรับผม 1 เดือนก็อยู่ได้แล้ว ตอนนี้ผมอยู่บ้านพ่อก็ไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้านค่าอะไร มันก็ไปได้ ระหว่างนี้ผมก็เขียนหนังสือ เขียนเสร็จก็ขายหนังสือ ถ้าไม่โชคร้ายจนเกินไป ผมก็มีทุนจากการขายหนังสือมาต่อยอดในการเดินทางต่อ หรือว่าถ้าผมอยากให้ตัวเองมั่นคง ผมก็ไปทำในบริษัททัวร์หรือจัดทริปอะไรก็ได้ มันมีช่องทางเยอะไปต่ออีกเยอะครับ

      • ก่อนหน้านั้นมีคนพูดกันไหมคะว่าจะลาออกจากงานมาทำแบบนี้จริงๆ เหรอ แล้วครอบครัวว่ายังไงบ้าง

70 เปอร์เซ็นต์ คือคนไม่เห็นด้วย ณ วันที่เดินทาง เพราะผมประกาศอยู่แล้วว่า ผมจะทำแบบนี้ แล้วตอนที่ชีวิตผมก่อนเดินทางที่เล่าไป 2 ปีกว่านั่นครับ ผมไปโน่นไปนี่มานะครับ คือผมแฮปปี้มาก ชีวิตผมมีความสุขดีอยู่แล้ว มีงานที่ดีมีเงินมันก็ขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น 70 เปอร์เซ็นต์ห้าม แต่นั่นคือชีวิตผม คุณเห็นแค่เปลือก แต่สุดท้ายผมรู้ไงว่าถ้าผมยังอยู่ออฟฟิศอายุ 40 50 เป็นยังไง ผมก็ถามดูว่าพอใจไหม หรือจะลองดูซักตั้งในชีวิต ดีกว่ามานั่งเสียใจในอนาคตว่าทำไมไม่ลอง ก็เลยออกมาลอง ผมเลือกที่จะฟังเสียงตัวเองมากกว่าฟังเสียงบุคคลรอบข้าง

โชคดีที่คุณแม่สนับสนุน คุณแม่ไม่สนับสนุนให้เรียนปริญญาตรี เพราะเขารู้ว่าสาขาที่ผมเรียนไม่ได้มาจากความชอบ เรียนแค่ให้จบปริญญาตรี แม่เป็นคนสนับสนุนให้ผมออกจากงาน เพราะ 2 ปีกว่า แม่เห็นการพัฒนาเยอะทั้งในด้านสภาพจิตใจ ที่การเป็นคนเกรี้ยวกราดลดลงอย่างเยอะมาก แล้วก็การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่ามากขึ้น ใช้เงินเป็นขึ้น ความสามารถต่างๆ ด้านภาษาอังกฤษ ด้านถ่ายรูป ทุกอย่างมีการพัฒนา มาเป็นตอนเดินทาง เดินทางแรกๆ ยังใช้กล้องมือถืออยู่เลย ซึ่งรูปก็ห่วยมาก มันพัฒนา ท่านเลยสนับสนุน และท่านรู้ว่าผมไปได้ ท่านรู้ว่าผมไม่อดตายแน่นอนในวิถีชีวิตแบบนี้ ท่านเชื่อมั่น ฉะนั้นผมต้องเชื่อมั่นในตัวผมเองด้วย

ส่วนพ่อจะคัดค้านตั้งแต่ตอนแรก ไปคิดใหม่ลูก ไปคิดใหม่ ก็คือพ่อส่งให้จบปริญญาตรีแล้วหวังว่าจะได้เงินเดือน แต่ผมจบปริญญาตรีแล้วดันลาออกเลย ก็คือพ่อไม่สนับสนุน ไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายเมื่อเห็นผมเดินทาง เห็นสิ่งที่ผมทำ เห็นการพัฒนาของตัวผมเอง และเห็นว่าผมให้อะไรกับสังคม มีหลายคนชื่นชมลูกของเขา แล้วก็กลุ่มคนเหล่านี้ บางคนได้นำแนวคิดบางอย่างที่ผมแชร์จากการที่เราได้เจอ เอาไปปรับใช้กับตัวเอง แล้วฟีดแบ็กมาให้ผมเห็น ให้พ่อให้แม่ผมเห็น เขาก็ภูมิใจ พ่อผมทั้งๆ ที่ตอนแรกไม่เห็นด้วย กลับบอกว่า ไม่ครบไม่ต้องกลับบ้านนะลูก

ส่วนแฟนก็ให้กำลังใจตลอด แล้วก็คบกันแบบต่างคนต่างสนับสนุนความฝันของกันและกัน ใครมีหน้าที่ทำอะไรทำไป แล้วเราก็ให้กำลังใจกันและกัน ให้พื้นที่ความเป็นส่วนตัว ให้แต่ละคนได้เป็นตัวของตัวเอง ก็อยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจและความเชื่อใจ ฉะนั้นแฟนก็เลยสนับสนุน ตัวเราเอง หน้าที่ของการเป็นแฟนของตัวเราก็คือไม่นอกใจ แล้วทำอะไรก็แล้วแต่ให้เขารู้ ให้เขาสบายใจ ถ้าเราทำแบบนี้ได้ แล้วเมื่อผู้หญิงเขารู้ว่าเราก็ไม่ได้นอกใจ และสิ่งที่เราทำมันดีต่อตัวเรา มันดีต่อสังคม นิสัยเราก็ดีขึ้น เขาก็ไม่ว่าอะไร เขาก็กลับเป็นกำลังใจให้เราด้วยซ้ำ ส่วนเราก็เป็นกำลังใจให้เขาในสิ่งที่เขาทำ เราอยู่แบบคล้ายๆ กึ่งเพื่อนกัน ให้กำลังใจกันและกัน ในขณะที่บางโมเมนต์เราก็เป็นแฟนกัน เข้าใจกันและกัน (ยิ้ม)

      • ตั้งแต่จบทริปเที่ยวทั่วไทยครั้งนั้น เราได้อะไรจากตรงนี้บ้างคะ

ผมได้เรื่องของทัศนคติ แง่มุมในการมองโลก เราเข้าใจอะไรมากขึ้น เรานิ่งเฉยมากขึ้น เราไม่จำเป็นต้องไปคอมเพลนอะไรก็แล้วแต่ที่เราไม่พอใจ เราเข้าใจ เมื่อเราเข้าใจแล้วเราก็จะปล่อย ต่อให้มันไม่ดีเราก็จะปล่อย เราจะมองในมุมที่ว่า เราไม่สามารถไปทำอะไรกับมันได้ ต่อให้ไม่ดี เราก็จะปล่อย แต่ถ้าอะไรที่เราทำได้เราก็จะทำ ตามที่เราพอจะทำได้ แนวคิดทุกอย่างเปลี่ยน โดยเฉพาะวิถีชีวิตในการที่จะกิน จะอยู่ จะเลือก ทุกอย่างเปลี่ยน มันมาดร็อปทุกอย่างให้ง่ายลงหมดทุกอย่างเลย มันทำให้ทางด้านของพฤติกรรมผมเปลี่ยนไป

การเดินทางของผมมันไม่ใช่แค่การท่องเที่ยว ผมอยากจะเรียนรู้ชีวิตไปด้วย เพราะทุกครั้ง การเดินทางอย่างลำบาก การเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก มันจะช่วยสอนอะไรเราหลายอย่าง อย่างน้อยๆ มันก็สอนให้เรากินง่าย อยู่ง่าย เรียบง่ายกับชีวิต ถ้าเราเจอคนด่า สมมติถ้าคุณโดนด่า 100 ครั้ง ครั้งแรกคุณจะโมโหลนลาน มือไม้สั่น คุณฆ่ามันได้ คุณยิงมันได้ ถ้าคุณเจอสถานการณ์เดียวกันครั้งที่ 100 คุณจะเปลี่ยนไปเลย คุณจะสงสาร ดีไม่ดีคุณจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ เห็นอดีตของคนที่ด่าคุณ เห็นโคตรเหง้าเขาเลย นี่คือสิ่งที่ผมได้จากการเดินทาง

ผมได้เรื่องความประพฤติด้วยนะครับ ผมนิสัยดีขึ้น แต่ก่อนโมโหง่าย เอาง่ายๆ เลยครับ บางทีเราเห็นข้อความในเฟซบุ๊ก คุณลองไปอ่านคอมเมนต์ดู ทุกคนจะคอมเมนต์แบบติ ด่านู่นนี่นั่น โวยวาย ทั้งๆ บางทีมันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเรา คนที่เรื่องเกี่ยวกับตัวเองก็ยิ่งปรี๊ดแตกเร็ว ง่ายขึ้นไปเรื่อย แต่กับผมตอนนี้ผมมองกลางๆ หมด ถ้าใครโกรธโมโหอะไร เราก็เย็นเข้าใส่ มันเป็นหลักการเดียวกับที่ผมใช้ในการเดินทางตอนเดินทาง มันโอเค อาจจะเรียกว่าจำเป็นก็ได้ เพราะบางครั้งเราเจอคนเมา เราเจอวัยรุ่น เราเจอเด็กแว้น เราเจออันธพาล แต่เราต้องยิ้มเข้าใส่ เขาด่าเราเราก็ต้องยิ้มเข้าใส่ แล้วต้องคุยดีๆ กับเขา มันก็เลยกลายเป็นว่าอย่างที่บอกนะ เหตุการณ์ที่เราโมโหมาก ถ้าเราเจอเหตุการณ์นั้นซ้ำเนี่ย มันจะซอฟต์ลงแล้วมันจะติดเป็นพฤติกรรมของเราเอง

และสุดท้ายเขาเรียกว่า สติมา ปัญญาเกิด สติก็คือเวลาเราไม่ฉุนเฉียว เวลาเราเกิดปัญหา เกิดเรื่องเนี่ย อารมณ์เรานิ่ง เราอยู่ที่เดิม แล้วเราก็จะพิจารณาว่าเราจะทำยังไงต่อไป เมื่อก่อนเวลาทะเลาะกับพ่อกับแม่ เวลาขัดใจแล้วอยากทำอะไรแล้วโดนห้าม เราก็จะโมโห เราคิดว่าทำไมต้องอย่างนู้นอย่างนี้ ทำไม เราจะยึดตัวเราเป็นหลัก เราจะคิดถึงแต่เรื่องของเรา แต่ว่าเวลาเดินทางเยอะๆ บ่อยครั้งที่เราต้องลำบาก เราจะมาคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้แล้ว เราจะคิดถึงสิ่งแวดล้อมด้วย คิดถึงคนนั้นคนนี้ด้วย แล้วยิ่งตอนเดินทาง เราเดินทางแบบยาจก แล้วเวลาเราได้รับความช่วยเหลือ เราจะรู้สึกคิดถึงคนรอบข้าง บางครั้งเราเจอคนที่ลำบาก แล้วเวลาเราเจอเรื่องที่คับแค้นใจ หรือว่าไม่พอใจ เราก็ไปคิดถึงคนที่เขาลำบาก ยังมีคนแบบนี้ในสังคมเยอะกว่าเรา ฉะนั้น เรื่องของเรามันจิ๊บจ๊อยไปหมด

ทัศนคติผมเปลี่ยนไป หน้ามือเป็นหลังมือ เปลี่ยนเยอะมาก จากเมื่อก่อนทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานกับหัวหน้างาน กลายเป็นว่างานปัจจุบันที่ผมลาออกมา ผมทำอยู่ 4 ปี ไม่ลาออก พอลาออกมาเจ้านายก็แฮปปี้ดีจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันกับแฟนเมื่อก่อนก็ทะเลาะ หมายถึงว่าแฟนก่อนหน้านี้นะครับ ทะเลาะเอาๆ จนผมกลายเป็นคนโรคจิต เพราะผมหาเรื่องทะเลาะตลอด เราอยากจะให้คนมาโอ๋ อยากให้ทุกคนตามใจเรา อยากให้ได้ดั่งใจเรา อะไรที่ไม่ได้ดั่งใจเราก็คิดเข้าข้างตัวเอง มันต้องอย่างนี้สิ มันต้องอย่างนั้นสิ เราจะต้องถูก พอมาตอนนี้ บางเรื่องเราก็อาจจะถูก แต่เราไม่จำเป็นต้องให้เขายอมรับก็ได้ เราก็ทำตามที่เราเป็นไป เออ บางเรื่องอาจจะทำให้กระทบกระทั่งกัน โกรธกัน เลี่ยงได้เราก็เลี่ยง ก็จะกลายเป็นอย่างนั้นแทน แต่มันก็ไม่ได้โดยปริยายนะ ผมก็ยังมีความโกรธ ยังโมโหอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ถี่แบบเมื่อก่อน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ และคนใกล้ตัวเขาก็เห็นชัดเจน อารมณ์ตรงนั้นแทบไม่มีแล้ว

      • แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้างคะ

ตอนนี้ผมกำลังทำด้านงานเขียนอยู่ ผมเขียนหนังสืออย่างเดียว ใช้เวลา 6 เดือน ทำต้นฉบับเองแต่ไม่ได้ออกแบบ เพราะออกแบบไม่เป็น ตอนนี้ส่งไปให้เขาออกแบบให้อยู่ จ้างช่างออกแบบ จ้างพิมพ์ แล้วก็เรา ก็คือจริงๆ ผมก็มีแม่คอยสนับสนุน หาเงินส่วนที่เกินไป ยกตัวอย่างเช่น ผมไม่มีเงินหลักหมื่นในการจ้างตรงนี้อยู่แล้ว แต่แน่นอนก็คือครอบครัวก็คือกำลังใจ ที่เขาคอยสนับสนุนบางสิ่งบางอย่างที่ผมขาด ช่วงที่ผมกำลังจะเรียกว่าก้าว ในก้าวถัดไป เขาก็จะเข้ามาซัปพอร์ตในบางสิ่งบางอย่าง อย่างเช่น ค่าออกแบบหนังสือ เป็นต้น

หนังสือที่ผมทำเป็นเหมือนไดอารี บันทึกการเดินทางที่จะมีเรื่องราวทุกอย่าง คละเคล้าลงไปอยู่ในนี้นะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความลำบาก เรื่องมิตรภาพที่ได้เจอ เรื่องราวที่ผมได้เรียนรู้ เรื่องเกี่ยวกับแง่คิดแนวความคิดมุมมองการใช้ชีวิต ทุกอย่างจะอยู่ในนี้หมดเลย รวมทั้งเรื่องราวของเพื่อนๆ ทุกคนที่เจอ เรื่องราวของคนบางคนที่เราว่ามันเจ๋งนะที่เราไปคุย ที่เราเจอ มันก็เลยกลายเป็นหนานิดนึง 3 เล่ม ปล่อยทีเดียวเลยตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ 312 ถูกบันทึกอยู่ในหนังสือเล่มนี้ น่าจะไม่เกิน 2 เดือนน่าจะเสร็จเรียบร้อยทุกขั้นตอน

ตอนนี้เล่ม 1 ก็เสร็จแล้ว ที่เหลือก็มาลุ้นอีกทีเรื่องเกี่ยวกับยอดขายว่าจะมีคนสนใจมากน้อยแค่ไหน จะขายในเฟซบุ๊ก แล้วก็อาจจะดูใน e-book ด้วยนะครับ แล้วก็อาจจะลองไปติดต่อตัวแทนจำหน่ายหนังสือต่างๆ ด้วยนะครับว่าเขาจะรับหนังสือเราไปจำหน่ายหรือเปล่า ก็คือลองทุกช่องทาง สุดท้ายก็คือทำทุกอย่างให้เต็มที่ แล้วก็ไม่คาดหวังกับผลได้เท่าไหนเท่านั้น เพราะอย่างน้อยความสำเร็จของการทำหนังสือไม่ได้อยู่ที่กำไร อยู่ที่ผมมีพ็อกเกตบุ๊กเป็นของตัวเองก็พอ

      • คือ ณ จุดนี้ ก็จะทำสิ่งที่ชอบต่อไปใช่ไหมคะ

ใช่ครับ ผมไม่รับสปอนเซอร์จ้างให้ผมโพสต์ ถ้าผมอยากจะโพสต์อะไรผมจะโพสต์เอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเขาอยากให้ เอ้า บอล ไปลุยอาเซียนรวดเดียว เห็นว่าจะทำอยู่ไม่ใช่หรอ เดี๋ยวพี่ขอสนับสนุนนะ พี่ให้เงิน มึงไปลุยเลย อะไรประมาณนั้นนะครับ ผมไม่ได้ว่าจะไม่รับ กระต่ายขาเดียว แล้วมันต้องดูว่าไอ้สิ่งที่คนเขาจะเอามาให้เราเป็นสปอนเซอร์ คนในเฟซบุ๊ก คนที่เขามาให้กำลังใจเรา ชอบหรือไม่ชอบแค่นั้นเอง ผมยึดแค่นั้นแหละ ผมไม่ได้บอกจะไม่รับ แต่ถ้าหากเพื่อนๆ เราดูแล้วว่าอันนี้เขาชอบ อันนี้ไม่ได้ขัดกับเจตนารมณ์ ไม่ได้ขัดกับตัวตนเรา ผมรับ แต่มันใหญ่มันไม่ค่อยมีหรอก เพราะที่เข้ามาก็ปฏิเสธอย่างเดียว ไม่ว่าโรงแรม สายการบิน หรือว่าองค์กรท่องเที่ยวอะไรก็แล้วแต่ มันจะเป็นโฆษณาซะส่วนใหญ่

ผมจะทำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไปไม่ได้ อย่างเช่นหนังสือ ก็คือเพื่อนในเฟซบุ๊ก คือผู้สนับสนุนในการซื้อหนังสือ แต่ว่าถ้าทำออกมา สุดท้ายแล้วมันไม่ได้ต้นทุน อาจจะได้ต้นทุนก็ดี สมมตินะผมก็แค่ไปต่อไม่ได้ ผมก็ภูมิใจ อย่างน้อยก็ได้ทำฝันของผมแล้ว มันแค่ไปต่อไม่ได้แค่นั้นเอง ผมก็เบนเข็มไปทำอย่างอื่น

ตอนนี้ผมก็มีแพลนอยู่ 2-3 อย่าง ก็อาจจะไปเรียนภาษาเวียดนาม เพราะผมชอบเวียดนาม ผมอยากได้ภาษาเวียดนามและผมอยากได้ภาษาจีน เป็นความชอบของตัวผมเอง แล้วถ้าผมได้ 2 ภาษา คืองานเดี๋ยวมันก็มี ให้คุณมีศักยภาพพอ เดี๋ยวงานมันก็เข้ามาเอง เป็นไกด์นี่ยังไงก็ได้แน่นอนครับ ตอนนั้นผมอยู่บริษัททัวร์ แล้วก็รู้จักบริษัทอะไรมาบ้าง ประมาณนี้ แล้วฉะนั้นคือตัวผมเองผมไม่ได้ห่วงเรื่องอนาคตเรื่องการเงิน แค่อย่ามาถามว่าผมจะรวยหรือเปล่า ผมตอบไม่ได้ มันมีช่องทาง แค่เราไม่รู้ว่าเราจะรวยหรือไม่รวย แต่คนส่วนใหญ่เขาจะโฟกัสว่า เมื่อฉันอายุเท่านั้นจะต้องมีเท่านี้ ฉันก็มีบ้านก็มีรถต้องอายุเท่านั้น เพียงแต่ผมไม่โฟกัสตรงนั้น ผมโฟกัสแค่ว่า ผมอยากทำอะไรผมก็พยายามทำในสิ่งที่ผมอยากทำ ส่วนเรื่องเงินนี่มาทีหลัง แต่ว่าบนทางที่ผมเดิน เงินมันมาอยู่แล้วล่ะ

      • แล้วเป้าหมายสูงสุดในชีวิตสำหรับการท่องเที่ยวของเราในอนาคตคืออะไรคะ

เป็นอิสระครับ อิสระโดยบริบูรณ์ อิสระหมายถึงว่า อยากทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่หมายถึงอยากปล้นธนาคาร ก็ไปปล้นนะครับ ก็คือเราอยากอยู่บ้านก็อยู่ มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะคงเที่ยวตลอดชีวิต วันไหนเราอยากอยู่บ้าน เราก็อยู่ วันไหนเราอยากไปเวียดนามเราก็ไป วันไหนเราอยากไปกางเต็นท์ที่ไหนเราก็ต้องได้ไป นี่คือความอิสระของชีวิต วันไหนเราจะออกไปทำงานหาเงิน เรามีอารมณ์นั้น เราอยากไปขายก็ไป อยากทำไร่เราก็ทำ อยากไปทำนู่นทำนี่ เราก็ทำ นั่นคือความอิสระในความฝันอันสูงสุดของชีวิต และแน่นอนในการทำของผม ได้ให้ประโยชน์ต่อคนอื่นด้วยไม่มากก็น้อย อย่างเรื่องการสร้างแรงบันดาลใจเรื่องของแนวคิดหรือแม้แต่พื้นฐานที่สุดเลย ก็คือการเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยว การเผยแพร่สถานที่ใหม่ๆ หรือที่ที่เราไป ให้หลายคนได้รู้จัก เราก็จะรู้สึกว่าเราได้ทำประโยชน์เพื่อสังคมถึงแม้กลุ่มน้อย เล็กนิดเดียวก็ตาม นั่นก็คือความฝันของผมได้เป็นอิสระ แล้วเราก็ยังสามารถทำประโยชน์ให้ด้วย

ฉะนั้นผมก็เลยมองว่า ตอนนี้ผมยังไม่อิสระบริบูรณ์ เพราะว่าผมยังมี ต่อไป ผมยังมีพ่อแม่ต้องรับผิดชอบในอนาคต ตอนนี้คือต้องลุ้นหนังสือให้มันจะไปรอดไม่รอด หากว่าไม่รอดผมก็อาจจะได้ลู่ทางในการประกอบอาชีพในอนาคต แต่ตอนนี้ก็ยังอยู่ในระหว่างลุ้นอยู่ แค่นั้นเอง

      • อยากจะฝากอะไรถึงคนที่อยากจะมาเดินทางเที่ยวแบบเราบ้าง

คนที่อยากเดินทางนะครับ ไม่ต้องลาออกจากงาน แล้วเดินทางรวดเดียวแบบผมก็ได้ นั่นมันก็สุดโต่งไปหน่อย แต่ว่าผม ทุกอย่างมันลงตัว แต่สำหรับคนที่อยากเดินทาง คุณอยากเดินทาง แต่คุณไม่กล้า ก็อยากให้ลอง คือผมอยากให้คนเหล่านั้นลองคิด ถ้าเขาอยากไปไหน แต่เขาไม่กล้า แต่ว่ามีหลายๆ คนที่เขาไป ทำไมคุณไม่ลองทำดูบ้าง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นผู้หญิง แล้วคุณบอกว่าอยากไปประเทศลาว แต่คุณไม่กล้าแบ็กแพ็กคนเดียว คุณเคยตั้งข้อสงสัยไหมว่าทำไมมีผู้หญิงเยอะมากที่เขาแบ็กแพ็กไปลาวคนเดียว แล้วเขาไปได้ แล้วก็สนุก ผมอยากจะให้คุณตั้งคำถามกับตัวเอง ทำไมคุณไม่ลองทำในสิ่งที่คุณอยากทำ ไม่แน่ว่าสิ่งนั้นมันอาจจะเปลี่ยนชีวิตคุณ เหมือนกับเปลี่ยนชีวิตผมตอนไปเวียดนาม สิ่งที่เรากลัว เราก็แค่กลัวความที่เราไม่เคย แต่ลองมองคนอื่นดู คนอื่นเขาก็ไม่เคย แต่เขาก็ไปกันได้ แล้วการเดินทางมันก็สนุกมากในหลายๆ อย่าง

หรือคนที่อยากขับมอเตอร์ไซค์เที่ยว คือถ้าคุณมีรถมอเตอร์ไซค์แม่บ้าน ผมไปมาแล้วทั่วประเทศ ฉะนั้นถ้าคุณจะไปแค่ 100 กิโลเมตร 150 กิโลเมตร คุณลองทำดูสิ อยากจะฝากว่า ชีวิตคุณเกิดมา จันทร์-ศุกร์ทำงาน วันหยุดถ้าคุณจะอยู่บ้าน อยู่แต่ที่บ้านมันจะน่าเบื่อเกินไป ลองไปหาชีวิต หาสีสันอะไรใหม่ๆ ที่คุณยังไม่เคยทำ แต่งแต้มเติมสีให้ตัวคุณเองบ้าง ถ้าสิ่งนั้นคุณอยากทำ แล้วสิ่งนั้นมันสร้างสรรค์ ไม่ได้ทำให้คุณทุพพลภาพ หรือถึงแก่ชีวิต และคนส่วนใหญ่เขาก็ทำกันได้ และเขาก็สนุกด้วย ผมอยากจะให้คุณลองทำดูบ้าง สักครั้ง ลองออกจากความไม่คุ้นชินดูครับ ออกจากเซฟตี้โซนดูบ้าง ลองสกปรก ลองได้แผลดูบ้างเล็กน้อย และตรงนั้น มันจะเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่กับตัวคุณเองเลยก็เป็นได้

ส่วนผมทุกวันนี้เรียกตัวเองว่าเป็นนักเดินทางได้เต็มปากแล้วครับ เพราะว่าผมใช้ชีวิตได้คุ้มค่าแล้วนะครับ พร้อมจะตายได้ทุกวัน บอกได้เลย แต่ก็ไม่อยากตายนะ (หัวเราะ) ถามว่าทุกวันนี้ผมอยากทำอะไร ผมจะใช้ชีวิตทำสิ่งที่ผมอยากจะทำ เพราะผมว่าผมทำ ยังไม่สุดนะครับ สุดของผมในที่นี้ก็คือ อยากเดินทางรอบโลก อยากไปรอบโลก แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นการคาดหวังนะครับ แต่นั่นคือ ไปได้ก็ดี แต่ว่าก็เอาวันนี้แหละ วันนี้เขียนหนังสือ ดูว่ามีทุนหรือเปล่า ถ้ามีทุนก็มีเป้าหมายว่าจะเดินทางไปประเทศอาเซียนให้ครบ กลับมาขายหนังสือ แล้วก็ขยายตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบรอบโลก นี่คือเป้าหมายต่อไปในอนาคตครับ


เรื่อง : วรัญญา งามขำ, แพรวา คงฟัก
ภาพ : สันติ เต๊ะเปีย และ เพจ บอลพาเที่ยว Backpacker Ball

กำลังโหลดความคิดเห็น