ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ขณะที่ไทยกำลังสร้างเมืองหลวงใหม่ ได้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในเมืองญวน องไกเซิน เจ้าเมืองกุยเยิน ได้ยกกองทัพเข้าตีเมืองไซ่ง่อน องค์เชียงสือ เจ้าเมืองจำเป็นต้องทิ้งเมือง พามารดา ภรรยา บุตร และขุนนาง พร้อมด้วยสมัครพรรคพวก ลงสำเภาหนีมาไทย ขึ้นอาศัยที่เกาะกระบือในภาคตะวันออก พระยาชลบุรีและพระระยอง ตระเวนปราบโจรสลัดไปพบเข้า องเชียงสือก็แนะนำตัวว่าเป็นบุตรของ องคางเวือง หลานพระเจ้าแผ่นดินญวน บ้านเมืองเสียแก่ข้าศึกจึงหนีมา พระยาชลบุรีและพระระยองจึงชวนเข้ากรุงเทพฯ แต่องเชียงสือไม่กล้าเข้า บอกว่า องเชียงชุน ผู้เป็นอาเคยหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารคนหนึ่งแล้ว แต่ถูกประหารชีวิต พระยาชลบุรีและพระระยองจึงบอกว่าตอนนี้เปลี่ยนแผ่นดินแล้ว พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ไม่ดุร้ายเหมือนองค์ก่อน องค์เชียงสือซึ่งวัยเพียง ๒๑ ปี จึงยอมเป็นบุตรบุญธรรมของพระยาชลบุรี ให้พาเข้าพักที่เมืองชลฯ แล้วบอกเข้ามาที่กรุงเทพฯ โปรดมีตราออกไปให้องเชียงสือเข้ามาเฝ้า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯให้องเชียงสือและครอบครัวตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านต้นสำโรง ซึ่งก็คือบริเวณสี่พระยาที่เป็นสถานทูตโปรตุเกสในปัจจุบัน พระราชทานเบี้ยหวัดให้ปีละ ๕ ชั่ง แล้วพระราชทานเครื่องยศประกอบด้วย ถาดหมาก คนโททอง กระบี่บั้งทอง กลดคันสั้น โปรดเกล้าฯให้เข้าเฝ้าทุกวัน มารดาและภรรยาขององเชียงสือก็ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดตามสมควร ทั้งยังดำรัสสั่งเจ้าเมืองและกรมการเมืองสมุทรปราการว่า ถ้าญวนพรรคพวกองเชียงสือจะเข้าออกไปหากินในท้องทะเล ก็ให้ด่านเปิดทางให้ด้วย
นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯให้องเชียงสือเรียบเรียงจดหมายเหตุในปฐมวงศ์ขององเชียงสือเอง ลำดับพระเจ้าแผ่นดินมาตั้งแต่ต้นจนเสียเมืองแก่องไกเซิน ซึ่งองเชียงสือได้มอบหมายให้ องเบ็ดจัด กับ องเบ็ดตรึง ขุนนางผู้ใหญ่ที่เข้ามาด้วยกัน ช่วยเรียบเรียงพงศาวดารญวนขึ้นทูลเกล้าฯ
พงศาวดารญวนฉบับที่องเชียงสือและคณะเรียบเรียงขึ้นทูลเกล้าฯนี้ มีเนื้อหาสนุกยังกับนิยาย มีทั้งผู้มีบุญและโจรป่ามีปาฏิหาริย์ได้ขึ้นครองแผ่นดิน รวมทั้งเรื่องที่พระเจ้าตากสินนั่งทางใน เห็นองเชียงชุน อาขององเชียงสือ กลืนเพชรเม็ดใหญ่ซ่อนไว้ในท้อง จึงรับสั่งให้ฆ่าองเชียงชุนพร้อมบุตรชาย เพื่อค้นหาเพชร
พงศาวดารญวนฉบับทูลเกล้าฯรัชกาลที่ ๑ นี้ เริ่มตั้งแต่ตังเกี๋ยเป็นเมืองหลวง สืบราชวงศ์มาถึงองค์ที่ ๖ คือ ทุงเมือง พระเจ้ากรุงจีนได้ส่ง เลียวทาง เป็นแม่ทัพมาตีตังเกี๋ย จับทุงเมืองและพรรคพวกฆ่า จากนั้นเลียวทางก็สถาปนาตัวขึ้นเป็นเจ้าเมืองตังเกี๋ยเสียเอง ตังเกี๋ยจึงเป็นเมืองขึ้นของจีนมาตั้งแต่บัดนั้น
ต่อมามีผู้มีบุญคนหนึ่งชื่อ เลเลย เป็นญวนชาวเมืองลำเซิน นิมิตฝันว่าตนจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และมีอุปราชชื่อ เวียนกราย เทพยดายังบอกอีกว่า ดวงตรากับกระบี่สำหรับพระเจ้าแผ่นดินอยู่ที่ห้วยน้ำ ครั้นเช้าตรู่ เลเลยจึงรีบไปที่ลำห้วย ค้นพบดวงตรากับกระบี่ตามที่เทพยดาบอก จึงนำไปเก็บไว้ที่บ้าน
ฝ่ายชายหนุ่มอีกคนนามว่า เวียนกราย อาศัยนอนอยู่ในศาลเจ้า เทพยดาก็มานิมิตฝันบอกว่า ตัวเขาจะได้เป็นอุปราชของพระเจ้าแผ่นดินที่ชื่อเลเลย ให้เดินทางไปที่บ้านลำเซีย ในกลางคืนให้สังเกตดูรัศมี ถ้าสว่างเรืองขึ้นที่เรือนใด เรือนนั้นก็คือที่อยู่ของเลเลย เช้าขึ้นเวียนกรายจึงออกจากศาลเจ้ามุ่งไปหมู่บ้านลำเซิน รอจนค่ำจึงสังเกตเห็นแสงสว่างเรืองขึ้นที่เรือนหลังหนึ่ง เมื่อเข้าไปที่เรือนหลังนั้นก็พบเลเลย ทั้งสองได้ถามชื่อเสียงเรียงนามกัน ก็ตรงตามนิมิตของทั้งสองคนทุกประการ เวียนกรายขอดูดวงตราและกระบี่ เลเลยก็ให้ดู ทั้งสองจึงแน่ใจว่าจะได้ขึ้นครองเมืองตังเกี๋ยด้วยกันเป็นแน่แท้
สองคนตกลงกันว่า เลเลยจะตั้งกองเกลี้ยกล่อมผู้คนที่ลำเซินต่อไป ส่วนเวียนกรายจะเข้าไปเกลี้ยกล่อมผู้คนในตังเกี๋ย เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานทั้งสองก็ส้องสุมผู้คนได้จำนวนมาก จึงนำกำลังเข้าตีเมืองตังเกี๋ย จับเจ้าเมืองประหาร เลเลยตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทน แล้วตั้งเวียนกรายขึ้นเป็นอุปราช สมดังนิมิตทุกประการ
ฝ่ายพระเจ้ากรุงจีนทราบข่าวกบฏเมืองตังเกี๋ย จึงส่งกองทัพมาปราบ เลเลยและเวียนกรายรู้ดีว่าไม่อาจรับมือกองทัพจีนได้ จึงเอาทองคำทำเป็นรูปตัว พร้อมด้วยเครื่องราชบรรณาการ ให้คณะทูตเดินทางไปสกัดแม่ทัพจีน ขอสวามิภักดิ์เป็นเมืองขึ้นต่อจีนตามเดิม แม่ทัพจีนมีใบบอกไปทางปักกิ่ง พระเจ้ากรุงจีนก็มีหนังสือมาถึงแม่ทัพ ให้ตั้งเลเลยขึ้นเป็นเจ้าเมืองตังเกี๋ย สืบราชสันตติวงศ์ต่อไป เวียนกรายก็ได้เป็นมหาอุปราช มีสิทธิ์ขาดในการบริหารราชการแผ่นดิน
เวียนกรายมีบุตรหญิงคนหนึ่งชื่อ กงจัง และมีบุตรชายคนเล็กชื่อ จังเตียน กงจังเป็นภรรยาของ ตินเกียม ซึ่งเป็นขุนนางของเมืองตังเกี๋ย ต่อมามหาอุปราชเวียนกรายได้ทูลเลเลยพระเจ้ากรุงตังเกี๋ยว่า ตัวเองนั้นแก่ชราลงมากแล้ว อยากให้ตินเกียมบุตรเขยขึ้นเป็นมหาอุปราชแทน จนกว่าจังเตียนบุตรชายโตพอ ก็จะขอให้เป็นมหาอุปราชสืบต่อ พระเจ้ากรุงตังเกี๋ยก็ยอมให้
ครั้นเวียนกรายตาย มหาอุปราชตินเกียมก็คิดจะฆ่าน้องภรรยาเสีย นางกงจังรู้ข่าวก็แอบไปกระซิบกับน้องชายให้รู้ตัว แล้วให้แกล้งทำเป็นคนวิกลจริต จังเตียนก็ทำตามคำแนะนำของพี่สาว นางกงจังจึงทำอุบายไปบอกกับตินเกียมว่า น้องชายเป็นบ้าไปแล้ว เลี้ยงไว้ก็จะอับอายขายหน้า ขอให้ขับออกไปเสียให้พ้นเมือง ตินเกียมรู้ไม่เท่าทันมารยาหญิง ก็จัดเรือให้คนนำน้องเมียไปปล่อยที่ป่าโอจัง ซึ่งอยู่ห่างตังเกี๋ยไป ๑๕ วัน ซึ่งที่นั่นเป็นป่าสำหรับปล่อยนักโทษ ภูมิประเทศซับซ้อนเป็นเขาวงกต คนที่มาส่งจังเตียนก็พร้อมใจกันไม่กลับไปตังเกี๋ย อยู่ส้องสุมผู้คนขึ้นที่ป่าแห่งนั้น จนตั้งขึ้นเป็นเมืองเว้
ฝ่ายมหาอุปราชตินเกียมรู้ข่าวว่าน้องเมียไปส้องสุมผู้คนจนตั้งเมืองขึ้นได้ จึงส่งกองทัพไปตีเมืองเว้ แต่ก็ถูกตีแตกพ่ายกลับไป เจ้าเมืองเว้กลัวว่าจะเป็นศึกติดพัน จึงแต่งเครื่องราชบรรณาการให้ขุนนางนำไปคำนับจิ้มก้ององตินเกียมพี่เขย และขอเป็นเมืองขึ้นต่อพระเจ้ากรุงตังเกี๋ย ซึ่งเลเลยก็โปรดให้จังเตียนขึ้นครองเมืองเว้ต่อไป
วงศ์ของจังเตียนครองเมืองเว้สืบทายาทต่อมาถึง องเฮียงฮูเวียง เจ้าเมืองคนที่ ๖ เว้ก็แข็งเมืองไม่ยอมขึ้นกับตังเกี๋ย เจ้าเมืองตังเกี๋ยส่งกองทัพไปตีหลายครั้งก็ตีเมืองเว้ไม่ได้ องเฮียงฮูเวียงตั้งด่านทางบกขึ้นที่ตำบลไปจัน ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำชงยัน ชายแดนเมืองตังเกี๋ย ซึ่งก็คือ เมืองกวางเบื้อง ในปัจจุบัน ส่วนทางน้ำเอาโซ่ไปขึงแม่น้ำดงเฮยไว้ ไม่ให้พวกตังเกี๋ยเอาเรือขึ้นไปเมืองเว้ได้ ตังเกี๋ยกับเว้จึงขาดกันหลายปี ต่างฝ่ายต่างตั้งตัวเป็นกษัตริย์ด้วยกันทั้งสองเมือง
เมื่อองเฮียงฮูเวียงถึงแก่กรรมใน พ.ศ.๒๓๐๘ องกวักกอ ขุนนางผู้ใหญ่ก็จับ องคางเวียง อายุ ๓๓ ปี ซึ่งเป็นบิดาขององเชียงสือและเป็นรัชทายาท ขังคุกจนตายในคุก แล้วยก องเทิงกวาง บุตรชายคนที่ ๓ ใน ๕ คนขององเฮียงฮูเวียง ซึ่งอายุเพียง ๑๒ ปีขึ้นเป็นเจ้าเมืองเว้ ตัวเองขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ ใช้สิทธิ์ขาดแต่ผู้เดียว บรรดาขุนนางและราษฎรต่างไม่พอใจ บ้านเมืองจึงเกิดจลาจลวุ่นวายอยู่เสมอ
ต่อมามีโจรป่าคนหนึ่ง มีชื่อว่า อ้ายอยาก ชาวเมืองกุยเยิน เมื่อพ่อตายอ้ายอยากกับน้องชายอีกสองคนจึงไปหาซินแสให้ดูที่ฝังศพพ่อ ซินแสว่าเขาที่กวางหนำเป็นฮวงซุ้ยดี มีเขาเป็นรูปปากมังกร ถ้าใครฝังศพพ่อตรงนั้น ภายหน้าบุตรหลานจะได้ดี อ้ายอยากจึงเอาศพพ่อไปฝังที่เขาปากมังกร พอขุดหลุมลงไปก็พบทอง ๒ ไห อ้ายอยากเอาทองส่วนหนึ่งออกขาย ได้เงินก็ไปช่วยคนทุกข์ยาก ทำให้ได้รับความชื่นชมนิยมจากผู้คนมากมาย จึงคบคิดกับน้องชายที่จะชิงราชสมบัติเมืองเว้ ด้วยเห็นว่าองกวักกอกับองเทิงกวางไม่เอาใจใส่ในราชการ ตั้งหน้าแต่เสพสุราและดูงิ้ว บรรดาขุนนางทั้งหลายต่างเอาใจออกห่าง
สามพี่น้องจึงวางแผนกัน ให้ อ้ายบาย น้องคนกลาง นำทองหลายลิ่ม ลิ่มละ ๑๐ ตำลึง ไปให้เจ้าเมืองกวางหนำ ขอทำราชการด้วย เจ้าเมืองกวางหนำก็รับไว้ อ้ายบายเดินแผนอยู่นาน จนเจ้าเมืองกวางหนำเห็นว่าเป็นคนมีสติปัญญาและอุสาหะพากเพียรดี จึงแต่งตั้งให้ว่าราชการสิทธิ์ขาดแทนตัวซึ่งชรามากแล้ว จากนั้นคนทั้งปวงก็เรียกโจรสามพี่น้องเป็นองญวนทั้งสามคน
องบายเกลี้ยกล่อมผู้คนในกวางหนำได้พวกพ้องมาก ฝ่ายองอยากพี่ชาย กับองตาม น้องคนเล็ก ก็คุมไพร่พลอยู่ในป่า คิดว่าจะต้องกำจัดองเทิงกวางเจ้าเมืองเว้ให้ได้
เจ้าเมืองเว้รู้ข่าวก็ส่ง องภอมา ขุนนางผู้ใหญ่เป็นแม่ทัพไปตีเมืองกวางหนำ พอถึงหน้าเมือง องบาย ผู้สำเร็จราชการ ก็มีหนังสือไปเกลี้ยกล่อมชวนเป็นพวก อ้างว่าที่คิดการเช่นนี้ก็เพื่อจะยก องวางตน บุตรชายของ องดึกบู ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตขององเฮียงฮูเวียง ขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน องภอมาจึงยอมเข้าร่วมกับองบาย องบายมีหนังสือไปถึงกองโจรพี่น้อง ให้ยกมาสมทบกับกองทัพขององภอมา ทั้งยังส่งหนังสือไปถึงเจ้าเมืองตังเกี๋ยแจ้งว่า เจ้าเมืองเว้ไม่อยู่ในความยุติธรรม จะยกทัพกวางหนำไปกำจัดเสีย เพื่อยกองวางตนขึ้นเป็นแทน และขอกองทัพตังเกี๋ยมาช่วย เจ้าเมืองตังเกี๋ยเห็นชอบด้วยจึงส่งกองทัพมา องบายจึงนำกองทัพผสมเข้ายึดเมืองเว้ได้โดยง่าย เพราะขุนนางและราษฎรต่างพากันเกลียดเจ้าเมือง ไม่มีใครยอมออกรบ องเทิงกวางจึงพาองเชียงชุน น้องชาย กับ องยาบา องเชียงสือ องหมัน หลาน ๓ คน หนีไปไซ่ง่อน แต่องวางตนไม่หนี เพราะได้ข่าวเขาจะเอาตัวขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทน
เมื่อยึดเมืองเว้ได้ แทนที่สามพี่น้องโจรจะยกองวางตนขึ้นเป็นเจ้าเมืองตามที่ว่า กลับส่งไปไว้ที่เมืองกุยเซิน องวางตนเห็นว่าสามพี่น้องไม่สุจริต วางอุบายให้ตัวเป็นแค่เจว็ด สำเร็จแล้วก็คงจะฆ่าเสีย จึงคบคิดกับคนสนิทหาเรือเล็กลอบหนีไปไซ่ง่อนได้ องเทิงกวางเห็นว่าราษฎรนิยมองวางตนหลานชาย จึงยกขึ้นเป็นเจ้าเมืองไซ่ง่อน เพื่อจะเกณฑ์ผู้คนไปตีเมืองเว้คืน แต่ไม่ทันยกทัพไป สามพี่น้องก็ยกทัพมาตีไซ่ง่อนแตก จับองเทิงกวางและองวางตนฆ่าเรียบ
ส่วนองเชียงชุนพาบุตรชาย คือ องกลัก กับ มูเซ บุตรสาว หนีไปอยู่เมืองฮาเตรียม คือบันทายมาศ เมื่อพระเจ้าตากสินยกทัพไปตีเมืองบันทายมาศได้ จึงนำองเชียงชุนและครอบครัวมาอุปถัมภ์ที่กรุงธนบุรี จนปลายแผ่นดินกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินเสียพระจริต นั่งทางในเห็นว่าองเชียงชุนกลืนเพชรเม็ดใหญ่ซ่อนไว้ในท้อง จึงรับสั่งให้ตามตัวองเชียงชุนมาเข้าเฝ้า องค์เชียงชุนไม่ยอมรับ ต่อมามีผู้เพ็ดทูลว่ากำลังหนี จึงรับสั่งให้ประหารองเชียงชุนพร้อมด้วยบุตรชาย ส่วนบุตรสาวให้นำไปเลี้ยงไว้ในวัง
เมื่อปราบไซ่ง่อนได้แล้ว องอยากก็ตั้งตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มีชื่อใหม่ว่า ไกเซิน ยกเอาน้อยชายคนกลางเป็น เจ้าบากบินเยือง ครองเมืองไซ่ง่อน ส่วนน้องชายคนเล็กเป็น เจ้าลองเยือง ครองเมืองเว้
ฝ่ายเมืองตังเกี๋ยแค้นที่ถูกหลอกให้เอากองทัพไปช่วยตีเมือเว้ แต่หักหลังกลับขึ้นครองราชย์เสียเอง เมืองตังเกี๋ยจึงไม่ยอมขึ้นกับสามพี่น้อง องลองเยือง เจ้าเมืองเว้ จึงวางอุบายเขียนชื่อองเชียงสือลงในธง แล้วยกไปเมืองตังเกี๋ย ขุนนางเมืองตังเกี๋ยคิดว่าองเชียงสือรวบรวมผู้คนได้แล้วยกมา จึงพากันเปิดประตูเมืองต้อนรับ องลองเยืองเข้าเมืองตังเกี๋ยได้ก็จับบรรดาขุนนางและพรรคพวกเจ้าเมืองฆ่าเสีย เจ้าเมืองตังเกี๋ยรากเลือดตาย ส่วนอุปราชเชือดคอตัวเองตายตาม องลองเยืองจึงตั้ง องเจียงทอ หลานเจ้าเมืองตังเกี๋ย อยู่รักษาเมือง แล้วกวาดเอาทรัพย์สินและศัตราวุธทั้งหลายกลับไปเมืองเว้ องเจียงทอมีความแค้นเคือง จึงมีหนังสือลับขอความช่วยเหลือไปถึงพระเจ้ากรุงจีน พระเจ้ากรุงจีนก็ส่งกองทัพมา แต่ก็ถูกองลองเยืองตีกองทัพจีนแตกพ่ายไป องเจียงทอกับพวกหนีไปอยู่เมืองจีน องลองเยืองจึงตั้งบุตรชายเป็นเจ้าเมืองตังเกี๋ย
องเชียงสือนั้นเมื่อแตกทัพ พลัดพรากจากพี่น้องสองคนแล้ว ก็หนีไปอยู่ป่าบ้านโกเตา หลบอยู่ในป่า ๓ ปี พวกญวนที่ไปตีผึ้งพบเข้าจึงร่ำลือกันว่าเจ้านายมาตกระกำลำบาก ต่างก็แบ่งเสบียงอาหารมาให้ จนมีคนจีนคนหนึ่งชื่อว่า จีนทัด ทราบข่าวจึงปรึกษากับพรรคพวกญวนว่า องไกเซินเป็นกบฏ จับเจ้านายฆ่าแล้วตั้งตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทำให้ลูกหลานเจ้านายต้องตกระกำลำบาก จึงเกลี้ยกล่อมผู้คนว่าจะร่วมกันเข้าตีเมืองไซ่ง่อนคืนให้กับองเชียงสือ ผู้คนในไซ่ง่อนจึงร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็ตีเมืองไซ่ง่อนได้ องบายหนีไปเมืองกุยเซิน จีนทัดตั้งตัวเป็น องกงเซิน แล้วเชิญองเชียงสือเข้ามาเป็นเจ้าเมืองไซ่ง่อน องเชียงสือจึงแต่งตั้งจีนทัดเป็น องเทืองกง ขุนนางผู้ใหญ่
เมื่อเป็นใหญ่ในเมืองไซ่ง่อนแล้ว จีนทัดก็คบคิดกับพวกจีนด้วยกันที่ส้องสุมอยู่ในเมืองไซ่ง่อนจะกำจัดองเชียงสือ อ้ายจูบ่าวขององเชียงสือไปเสพสุราเที่ยวนอนตามโรงเรียนจีนได้ยินพวกจีนคุยกัน จึงมาบอกให้องเชียงสือรู้ตัว องเชียงสือจึงวางอุบายว่าตนไม่สบาย แล้วให้กั้นม่านไว้ ๓ ชั้น ซ่อนคนสนิทติดอาวุธไว้ ๒๐ คน นัดแนะกันว่าถ้าจีนทัดคิดกบฏจริง ก็จะต้องทำอุบายเอายาพิษมาให้ และถ้าเรารู้ว่าเป็นยาพิษจริงก็จะเคาะกระโถนเป็นสัญญาณ ให้เข้ามาจับจีนทัดฆ่าเสีย
ครั้นจีนทัดรู้ข่าวว่าองเชียงสือป่วยก็รีบมาเยี่ยมพร้อมยาห่อหนึ่ง จัดการต้มยาบอกว่าเป็นยาที่บำบัดโรคได้เร็ว แต่พอองเชียงสือเผลอ จีนทัดก็แอบใส่ยาพิษแล้วรินลงถ้วยให้ องเชียงสือรับถ้วยมาเอาตะเกียบงาลงจุ่ม ก็เกิดคราบดำติดตะเกียบ จึงเคาะสัญญาณกระโถน คนติดอาวุธก็ออกมาจับจีนทัดไปฆ่าในวันนั้น
องเชียงสือเห็นว่าบรรดาคนจีนที่เป็นพวกจีนทัดนั้นไว้ใจไม่ได้ ควรจะฆ่าเสียให้หมด แต่จีนแจ จีนเล็ก พ่อค้าใหญ่ในเมืองไซ่ง่อนเตือนสติว่า พวกจีนในไซ่ง่อนคงไม่ยอมตายง่ายๆ ต้องพากันขัดขืนเป็นกบฏ ช่วงนี้ก็จะปิดโอกาสให้พวกไกเซินเข้ามาตีไซ่ง่อนคืน ศึกภายในภายนอกก็จะเกิดขึ้นเป็นสองแรง ขอให้เอาใจจีนพวกนี้ไว้ก่อน องเชียงสือเห็นด้วยจึงให้งดการเข่นฆ่าคนจีนกลุ่มนี้ไว้ก่อน
ต่อมาไกเซินก็ส่งกองทัพเข้าตีไซ่ง่อน องเชียงสือจึงปรึกษาบรรดาขุนนาง เห็นพ้องต้องกันว่า ถ้าออกรบกับพวกไกเซินในตอนนี้ พวกจีนก็จะเป็นกบฏตลบด้านหลัง ถึงตอนนั้นก็คงถูกขนาบจนถอนตัวได้ยาก เห็นทีจะหนีไปพึ่งพระบารมีที่กรุงเทพฯก่อน แล้วจึงค่อยคิดการตั้งตัวใหม่
เมื่อลงมติดังนั้น องเชียงสือก็พามารดา ภรรยา ขุนนาง และผู้จงรักภักดีลงสำเภาออกทางปากน้ำสมิถ่อ แล่นมาจอดที่เกาะกระบือ จนพระยาชลบุรีและพระระยองไปพบ พามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
พงศาวดารญวนฉบับที่องเชียงสือและคณะเรียบเรียงขึ้นทูลเกล้าฯพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็สิ้นคำแต่เพียงนี้
องเชียงสือหวังจะขอกองทัพไทยไปช่วยตีเมืองคืนให้ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงส่งกำลังไปช่วยถึง ๒ ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ด้วยไทยกำลังย้ายเมืองหลวงและมีศึกติดพันกับพม่าอยู่ ไม่อาจเปิดศึกสองทางได้เต็มที่ องเชียงสือจึงแอบพาญวนใหม่และญวนเก่าในไทยรวม ๑๕๐ คนหนีไป แต่ก็ไปปักหลักอยู่แค่เกาะกูด พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงห้ามกรมพระราชวังบวรฯไม่ให้ตามไปจับองเชียงสือแล้ว ยังพระราชทานเรือรบและปืนพร้อมกระสุนดินดำให้องเชียงสือหลายครั้งหลายหน จนองเชียงสือกลับไปรวบรวมเมืองญวนต่างๆเข้าด้วยกันได้ ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิ ครองราชย์สืบต่อกันมาเป็นเวลาถึง ๑๕๓ ปี จนเป็นราชวงศ์สุดท้ายของเวียดนาม ซึ่งจะขอเล่าเรื่องนี้ต่อในตอนหน้านะครับ