คดีฉ้อโกงโดยวิธีระดมเงินจากประชาชนในรูปแบบแชร์ต่างๆนั้น เป็นข่าวอื้อฉาวมาเป็นระยะไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปี มีคนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ในวงเงินจำนวนมหาศาลนับพันๆล้าน และมีคนทำรับผลกรรมไปแล้วหลายราย แต่ถึงวันนี้ก็ยังมีคนกล้าทำ และคนอยากรวยอยากแบบง่ายๆก็ยังไม่ยอมตาสว่าง อย่างกรณีแชร์ซินแสโชกุนที่อื้อฉาวอยู่ในขณะนี้ ทั้งยังโด่งดังไปในโลก ทำให้หลายคนแปลกใจว่าทำไมคนไทยถึงได้ต้มกันง่ายขนาดนี้
คดีประเภทนี้ที่อื้อฉาวแห่งยุค ก็คือคดีที่เรียกกันว่า “ตดีแชร์แม่ชม้อย” ซึ่งเป็นคดีประวัติศาสตร์ของศาลไทย ที่มีการตัดสินลงโทษจำเลยสูงสุด ทั้งเจ้ามือแชร์และหัวหน้าสายได้รับโทษครบถ้วนทุกกระทงกว่าแสนปี มีจำนวนเงินที่เป็นเอกสารฟ้องในศาลร่วม ๕ พันล้าน และยังมีประเภทที่กระซิบว่า “อย่าเอ็ดไปนะ ผมก็โดนไปสองล้าน แต่ไม่อยากไปแจ้งความ อายเขา”
คดีนี้อัยการได้ยื่นฟ้องนางชม้อย ทิพย์โส กับพวกรวม ๘ คนในวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๒๘ ด้วยข้อหาฉ้อโกงประชาชนและกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน มีการสืบพยานโจทก์จำเลยทั้งหมดประมาณ ๗๐๐ ปาก โจทก์จำเลยส่งเอกสารเป็นพยานประมาณ ๗๐,๐๐๐ ฉบับ รวมเป็นเอกสารประมาณ ๙๐,๐๐๐ แผ่น ศาลนัดพิจารณาคดีนี้สัปดาห์ละ ๒ ครั้งติดต่อกันทุกสัปดาห์ แต่ก็ต้องใช้เวลาถึง ๓ ปี ๑๐ เดือน จึงตัดสินได้
จำเลยทั้ง ๘ ปฏิเสธ ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ฟังได้ว่า
จำเลยทั้งแปดกับพวก ได้ร่วมกันประกาศโฆษณาชักชวนประชาชน และตั้งบุคคลมากกว่า ๕ คนขึ้นไปเป็นหัวหน้าสาย ทำการเผยแพร่ข่าวชักชวนประชาชนว่า จำเลยที่ ๑ รับกู้ยืมเงินจากประชาชนทั่วไปไม่จำกัดเงิน เพื่อนำไปลงทุนค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ให้ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินสูงถึงอัตราร้อยละ ๖.๕ ต่อเดือน กำหนดการกู้ยืมเท่ากับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหนึ่งคันรถบรรทุก เป็นเงินจำนวน ๑๖๐,๐๐๐ บาท เสียค่าอากรและค่าลงทะเบียน ๑๐๐ บาท ค่าการตลาด ๒๐๐ บาท ถ้าให้กู้ยืมหนึ่งคันรถเป็นเงินจำนวน ๑๖๐,๕๐๐ บาท จะให้ผลตอบแทนเดือนละ ๑๐,๒๐๐ บาท ถ้าให้กู้ยืมครึ่งคันรถเป็นเงินจำนวน ๘๐,๒๕๐ บาท จะได้ผลประโยชน์ตอบแทนเดือนละ ๕,๑๐๐ บาท ถ้าให้กู้ยืมหนึ่งล้อเป็นเงิน ๔๐,๑๒๕ บาท จะให้ผลตอบแทนเดือนละ ๒,๕๕๐ บาท ถ้าให้กู้ยืมมากกว่า ๑ คันรถ ก็จะได้ผลประโยชน์ตอบแทนมากขึ้นตามอัตราส่วนดังกล่าว และในเดือนธันวาคมของทุกปี จำเลยที่ ๑ จะหักเงินผลประโยชน์ในอัตราร้อยละ ๔ อ้างว่าเพื่อนำไปจ่ายภาษี และหักเป็นค่าเด็กปั๊มอีกเดือนละ ๑๐๐ บาท ต่อ ๑ คัน ประชาชนจำนวนมากรวมทั้งผู้เสียหายในคดีนี้หลงเชื่อ นำเงินไปให้จำเลยที่ ๑ กับพวกกู้ยืมเป็นจำนวนหลายพันล้านบาท โดยก่อนพระราชกำหนดกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.๒๕๒๗ ประกาศใช้บังคับ มีผู้เสียหายจำนวน ๑๓,๒๔๘ คน นำเงินไปให้จำเลยทั้งแปดกู้ยืมรวม ๒๓,๕๑๙ ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน ๔,๐๔๓,๙๙๗,๗๙๕ บาท จำเลยทั้งแปดทำหนังสือสัญญากู้ให้ผู้เสียหายแต่ละคนไว้เป็นหลักฐานรวม ๒๓,๕๑๙ ฉบับ และหลังพระราชกำหนดกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.๒๕๒๗ ประกาศใช้บังคับ มีผู้เสียหายจำนวน ๒,๙๘๓ คน นำเงินไปให้จำเลยทั้งแปดกู้ยืมรวม ๓,๖๔๑ ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน ๕๑๐,๕๘๔,๖๔๕ บาท จำเลยทั้งแปดทำหนังสือสัญญากู้ให้ผู้เสียหายแต่ละคนไว้เป็นหลักฐานรวม ๓,๖๔๑ ฉบับ เมื่อได้รับเงินที่กู้ยืมจากประชาชนและผู้เสียหายไปแล้ว จำเลยทั้งแปดกับพวกได้ร่วมกันทุจริต เบียดบังเอาเงินส่วนหนึ่งไปเป็นประโยชน์ส่วนตน โดยนำไปซื้อทรัพย์สินมีค่าต่างๆจำนวนมาก มีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท โดยปกปิดอำพรางซุกซ่อนไว้ ในที่สุดเมื่อกู้ยืนเงินมาได้มากแล้ว จำเลยทั้งแปดกับพวกก็ร่วมกันเอาเงินที่เหลือทั้งหมดหลบหนีไป ทำให้ผู้เสียหายจำนวน ๑๖,๒๓๑ คน ไม่ได้รับเงินคืนรวมจำนวน ๔,๕๕๔,๕๘๒,๔๔๐ บาท
จึงพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๓๒ ว่า
จำเลยทั้งแปดมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๓ วรรคแรก รวม ๒๓,๕๑๙ กระทง ฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.๒๕๒๗ มาตรา ๔, ๕, ๑๒, รวม ๓,๖๔๑ กระทง เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป โดยจำคุกจำเลยทั้งแปดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ วรรคแรก กระทงละ ๕ ปี รวม ๒๓,๕๑๙ กระทง เป็นจำคุกคนละ ๑๑๗,๕๙๕ ปี ฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.๒๕๒๗ กระทงละ ๑๐ ปี รวม ๓,๖๔๑ กระทง จำคุกคนละ ๓๖,๔๑๐ ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้ว คงจำคุกทั้งสิ้นคนละ ๒๐ ปี...”
แม้โทษทุกกระทงของกฎหมายทั้งสองฉบับ จะมีโทษจำคุกรวมกันถึง ๑๕๔,๐๐๕ ปีก็ตาม แต่กฎหมายให้จำคุกได้ไม่เกินคนละ ๒๐ ปีเท่านั้น
นางชม้อย ทิพย์โส ถูกจำคุกอยู่เพียง ๗ ปี ๑๑ เดือน กับ ๕ วัน เพราะได้รับการลดโทษ ๒ ครั้ง และพ้นโทษในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๓๖
แบบนี้ก็ยังมีคนเห็นว่าน่าจะคุ้ม ถ้าไม่ถูกยึดเงินที่โกงมาได้ไปทั้งหมด จึงมีคนที่กล้าได้กล้าเสียทำกันอีกหลายราย แต่คนที่อยากรวยง่ายๆก็ยังไม่ยอมตาสว่างเสียที จึงมีคนตกเป็นเหยื่อไม่ขาดตลาดเหมือนกัน