xs
xsm
sm
md
lg

Exclusive!! พีท ทองเจือ ประสบการณ์สุดเหลือเชื่อเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หากจะให้พูดถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ‘มนุษย์ต่างดาว’ แล้วนั้น เชื่อได้เลยว่า โดยส่วนใหญ่ก็คงต้องบอกเป็นเสียงเดียวกัน ว่าคงจะเกิดขึ้นผ่านตัวหนังสือทางงานต่างๆ เช่น นิยายวิทยาศาสตร์ และ การค้นคว้าโดยทั่วไป หรือ ถ้าจะให้เห็นภาพอีกซักหน่อย ก็คงจะมาจากสิ่งบันเทิงทั้งภาพยนตร์หรือละครทีวี เนื่องจากการพบหรือมีประสบการณ์ตรงนั้น คงจะแทบเป็นไปไม่ได้เลย เปรียบดั่งเส้นขนานที่ไม่มีโอกาสได้เจอกัน...

แต่จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น คงไม่ใช่สำหรับ ‘พีท ทองเจือ’ นักแสดงและนักแข่งรถมืออาชีพ เพราะเขาคนนี้เป็นผู้ที่สนใจในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ด้วยการที่งานอดิเรกของเขาที่สนใจในหลักวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เยาว์วัย จนค่อยๆ เริ่มพัฒนาขึ้นทีละนิด และจุดตัดก็มาลงเอยที่ศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก และอาจจะเรียกได้ว่าเป็น ‘นักยูเอฟโอวิทยา’ ในที่สุด ซึ่งการมาในแต่ละครั้งของมนุษย์ต่างดาวนั้น เขากลับมีความเชื่อที่ว่า พวกเขาจะมาส่งสัญญาณเตือนภัยให้กับชาวโลก หาใช้จะมาครอบครองโลกไม่ !!!!

• ในส่วนตัวของคุณเอง เริ่มสนใจในเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเพราะอะไรที่ทำให้สนใจในเรื่องนี้

ตั้งแต่เด็กๆ ครับ ผมเป็นคนที่สนใจนิยายวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ตอนนั้น จำได้ว่า ซักประมาณ 8-9 ขวบ ก็จะมาศึกษาพาณิชย์ มาซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ทั้งหลาย คนอื่นจะอ่านการ์ตูน แต่เราจะอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ เราจะชอบเรื่องแบบนี้ เพราะนิยายวิทยาศาสตร์ อ่านแล้วจะเข้าใจยาก มันจะไม่เหมือนนิยายทั่วไป คือถ้าอ่านไปแล้วหน้านึง มันต้องหยุด แล้วก็เริ่มใหม่ เพราะว่าถ้าเราจินตนาการไม่แม่นเนี่ย ก็จะอ่านไม่รู้เรื่อง พอเขาเล่าเราต้องเหมือนภาพต้องไปกับตัวหนังสือเลย ถ้าภาพมันไม่ขึ้น บางคนอ่านแล้วก็จะวาง ไม่สนใจเท่าไหร่ นิยายวิทยาศาสตร์มันเป็นเรื่องไกลตัว มันไม่ใช่แบบสัตว์ไปมีเพื่อนอีกชนิดนึง มันไม่ใช่แบบนั้น เพราะฉะนั้นจึงทำให้ผมชอบมาตั้งแต่เด็กๆ

ฉะนั้นพอโตขึ้นมา จากนิยายวิทยาศาสตร์ จึงเริ่มมาสนใจในเริ่องดาวนพเคราะห์ เรื่องดวงดาวต่างๆ แกแลกซี่ต่างๆ จากนั้น ก็เริ่มมองไปที่สิ่งมีชีวิตรอบโลก การเดินทางระหว่างโลกเราไปที่โลกอื่นๆ ที่ผ่านมา มันเป็นอย่างไรบ้าง มีจริงมั้ย เดินทางไปแล้วทำไมไม่มีใครไปลงที่ดาวดวงอื่นได้ เพราะอะไร กฎของแรงดึงดูดที่ลงไม่ได้ ระบบของยานต่างๆ มันไม่รองรับกับการจอด จนผมไปเจอ ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ซึ่งเป็นท่านที่พัฒนาระบบแลนดิ้งให้นาซ่า ที่เอายานอวกาศไปลงที่ดาวต่างๆ ทำไมถึงเป็นคนไทย ท่านเก่งนะ อะไรแบบนี้ เราก็จะพัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์ไปเรื่อยๆ จนกลายไปเป็นเรื่องดาวนพคราะห์ แกแลกซี่ เรื่องทางช้างเผือก ไปต่างๆ นาๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราชอบ ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ ผมขอบอกเลยว่า มันเป็นงานอดิเรกที่เราสนใจเฉยๆ เหมือนบางคนสนใจโมเดล บางคนเลี้ยงปลา บางคนเลี้ยงกุ้ง แต่ของเราจะเป็นสิ่งที่เราสนใจและชอบ

• เหมือนกับว่า หลักการวิทยาศาสตร์ที่เราสนใจ เริ่มที่จะเรียนรู้กับศาสตร์นี้ประมาณนั้นมั้ย

คือถ้าเราศึกษามาเรื่อยๆ มันก็มาถึงจุดๆ ที่ หลายอย่างที่มันรู้แล้วมีคำตอบหมดมันเห็น แต่พอศึกษาไปในสิ่งที่มันยังไม่มี มันก็ต้องล้วงลึกไปในรายละเอียด แล้วคำตอบหรือสูตรสำเร็จมันก็ไม่มีตายตัว เพราะแม้กระทั่งองค์กรใหญ่ๆ อย่างนาซ่า เขาก็ยังให้คำตอบในเรื่องนี้ไม่ได้เต็มร้อยเลย กลายเป็นว่าทุกๆ อย่าง มันเริ่มสนุกจากตรงนี้แหละ เราก็เลยไปเจอในหลายๆ ทิศทาง ที่น่าสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่นอกโลก มีตรงไหนยังไง จะเป็นกายภาพร่างเนื้อแบบเรา หรือ เป็นภพภูมิที่เป็นเรื่องของพลังงาน หรือว่ามีสภาวะจิตที่มีระดับสูงไปแล้วหรือเปล่า มันจะเป็นเหมือนไปเจอสิ่งต่างๆ ที่มันอธิบายไม่ได้ เราก็เลยต้องศึกษาต่อ พยายามที่จะเอาวัตถุดิบต่างๆ มาประกอบกัน แล้วก็เอาภาพรวมให้เยอะนิดนึง เพื่อที่จะหาคำตอบที่ใกล้เคียงความจริง แม้กระทั่งที่จะไม่ใช่บทสรุป ณ วินาทีนี้

• มองในมุมหนึ่ง ถือว่าได้ทำตามหลักวิทยาศาสตร์ด้วยมั้ยครับ

ถูกต้อง แต่หลักวิทยาศาสตร์ต้องมีเหตุผลมาสนับสนุน คุณมีหลักการบางอย่างที่คุณคิดค้นขึ้นมา แล้วคุณหาคำตอบไม่ได้ แสดงว่าหลักการนั้นยังไม่มีตัวตน แต่ว่าถ้าคุณมีหลักการ มีการตรวจสอบ โดยเฉพาะ ถ้าตรวจสอบได้ถึง 3 ครั้ง ผลออกมาเหมือนเดิม แสดงว่าหลักการของคุณชัดและมีตัวตนและเป็นที่ยอมรับ แต่ถ้าหลายๆ อย่างที่พูดแต่ยังทำไม่ได้ ก็แสดงว่ายังคงเป็นแค่ความคิด เป็นแค่สมมุติฐาน แล้วเรื่องราวที่ผมชอบศึกษามันก็จะมีเรื่องต่างๆ แม้กระทั่งถ้าสังเกตในยุคปัจจุบัน ด้วยโลกไซเบอร์ที่เปิดแล้วเนี่ย มันไม่มีพรมแดนที่หาความรู้ เพียงแต่ว่าคุณเจอคีย์เวิร์ดสิ่งที่คุณสนใจได้มากแค่ไหน ซึ่งคนที่สนใจเยอะในเรื่องนั้นๆ ก็จะมีคีย์เวิร์ดในการที่จะเข้าไปถึงข้อมูลที่เราสนใจมากกว่า สมมุติว่าถ้าเราไปถามเรื่องนี้กับอีกคนหนึ่งที่ไม่สนใจเรื่องนี้เลย เขาก็จะล้วงลึกไม่ถึงในสิ่งที่เรามี ข้อมูลของเขาก็ไม่ลึกเท่าเรา
เช่น ถ้าเราพิมพ์ว่า มนุษย์ต่างดาว เขาก็เจอแต่ที่มาของคำๆ นั้น แต่ถ้าคนที่ศึกษาเยอะกว่า จะพิมพ์คำว่า CROP CIRCLE เหมือนที่เขามีประเด็นถกเถียงกันว่า มีทุ่งหญ้าที่วันต่อมามีลายกราฟฟิกต่างๆ ว่าใครสร้าง ใครมาทำ แต่ถ้าคนทั่วไป ถ้าเข้าไปไม่ถึง ก็ไม่ได้มาศึกษา เพราะไม่รู้ว่า คีย์เวิร์ดนี้มีตัวตนอยู่ อันนี้ก็เหมือนเป็นลักษณะเดียวกัน หรือคนที่ชอบศึกษาเยอะกว่า ก็จะมีข้อมูลเยอะกว่า อะไรประมาณนี้

• แล้วพอมาเป็นเรื่องมนุษย์ต่างดาว อยากให้คุณช่วยเล่าถึงตรงนี้หน่อยครับ

จริงๆ แล้ว ด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ ดาวอนุเคราะห์ต่างๆ อย่างดาวโลก ไม่น่าจะมีแค่สิ่งมีชีวิตอยู่แค่ที่เดียว แต่เผ่าพันธุ์อย่างนี้ อาจจะมีแค่ดาวโลกที่เดียว แต่ดาวอื่นอาจจะมีอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ซึ่งถ้าได้เข้าไปในอินเตอร์เน็ท ซึ่งถ้าเราเข้าไปค้นหา ก็จะมีข้อมูลจากคนที่ไปศึกษามา ก็จะมีพวก REPTILLIAN พวก GREY ที่เป็นตัวเทาๆ และก็พวกที่คล้ายคนขาวที่มีตาสีฟ้า ตัวสูงๆ โปร่งๆ นิดนึง อะไรแบบนี้ ซึ่งมันก็จะมีหลายๆ เผ่าพันธุ์ ทีนี้เราก็เอาข้อมูลเท่าที่เก็บได้ มาเป็นองค์ความรู้ ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า กายภาพเขาเป็นอย่างไร เราก็ไม่รู้ด้วยว่า เขาเป็นพลังงาน หรือมีอวัยวะทางจิตที่สูงกว่าเราหรือเปล่า หรือว่ามีพลังงานที่อยู่เหนือกว่าเรา อย่างของเราก็ต้องใช้ตัวหนังสือเป็นการถ่ายทอด ต้องใช้โทรศัพท์ในการส่งคลื่น แต่ของเขาอาจจะไม่มีตัวหนังสือแล้ว อาจจะใช้ทางโทรจิตคุยกันหรือสื่อสารกันหรือเปล่า เป็นสิ่งที่ผมเรียนและศึกษาแล้วก็พยายาหาความรู้มาตลอด

โดยส่วนตัว ผมไม่เคยเจอครับ แต่จะมีการบันทึกภาพพวกวัตถุบินที่ลึกลับมากพอสมควร มากจนกระทั่งที่เราเป็นBLOGGER มาตั้งแตประมาณ 10 ปีก่อนด้วย เรายังมีรูปที่เก็บไว้ในนั้นอยู่ แล้วก็เก็บไฟล์วีดีโอที่สำคัญๆ เอาไว้ แต่ว่าเป็นไฟล์ที่ได้มาพิเศษ แต่ว่าจะเป็นในแบบที่ไม่อยากเผยแพร่ก็เยอะ หรือว่าถูกตามมาลบไปก็เยอะ เพราะว่าเรามาเก็บเอาไว้ ก็ยังพอมีเหลือบ้าง ถูกลบทิ้งไปบ้าง แต่ในส่วนของรูปถ่าย ก็เป็นของเรา100 เปอร์เซ็นต์ ก็เก็บภาพไว้เยอะ ซึ่งมันจะเป็นในเชิงว่า เก็บสถิติมากกว่า ว่า ยานในลักษณะต่างๆ เห็นบ่อยแบบนี้ หรือลักษณะต่างๆ เช่นยาวๆ เหมือนดินสอ เราก็จะเรียกว่าทรงซิกการ์ ซึ่งมันไม่ได้มีแบบที่เราเคยเห็นโดยทั่วไป หรือบางอันที่เราเห็นตอนกลางคืน แล้วก็จะมีทรงแบบคล้ายเป็นลูกข่าง หรือบางอันก็มีสงไฟหลายๆ สี ที่มันเปล่งออกมา คล้ายๆ กับคริสตัลที่ถูกแสงไฟจ่อ ซึ่งจะมีแสงที่รุ้งๆ อยู่ อันนั้นก็จะเรียกว่ารุ่นทรงไฟดิสโก้ ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานั้น จะเป็นในเชิงการเก็บสถิติว่าเราเห็นแบบนี้บ่อย เช่น ลักษณะซิกการ์ จะอยู่บริเวณนี้ โดยส่วนตัวเราจะถ่ายได้ในทรงซิกการ์บ่อย ซึ่งในหลายๆ ครั้ง เราไม่ได้เห็นแล้วถ่ายเลย แต่จะเป็นแบบว่า พอเรานำมาขยายภาพ เราก็จะเจอโดยตอนตาเปล่าเราไม่เห็น เป็นแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าติดมาเยอะ แต่ถ้าเป็นบริเวณที่ถ่ายแล้วติดบ่อย ก็จะเป็นแบบรุ่นนี้เยอะ อะไรทำนองนี้

• แล้วการที่คุณบอกว่า การศึกษาลักษณะนี้ ต้องใช้หลักธรรมะเข้าช่วย อยากให้ช่วยอธิบายตรงนี้หน่อยครับ

คือถ้าพูดถึงคนไทย เราก็จะนึกถึงพระพุทธศาสนา ซึ่งศาสนานี้เป็นศาสนาที่ยกพัฒนาจิตได้ ง่ายที่สุด คือการ คิดดี ทำดี ปฎิบัติดี ซึ่งถ้าให้ย้อนนิดนึง ธรรมะมันคือหลักวิทยาศาสตร์นะ เวลาคุณทำดี คุณก็ต้องได้ดี คือมันมีเหตุผลของมันอยู่ คุณนั่งปฎิบติธรรมเยอะๆ คุณมีสติเยอะ มีปัญญาเยอะ ระดับจิตคุณก็ถูกยกขึ้นมันเป็นวิทยาศาสตร์ ทีนี้มันเป็นหลักวิทยาศาสตร์ทางจิตตรงๆ เลย เพียงแต่ว่า คนไม่ได้หยิบประเด็นนี้มาแปะว่า ธรรมะเท่ากับวิทยาศาสตร์ทางจิต แต่มันก็เหมือนกับกฎหมายยุคเก่าที่ยังนำมาใช้ในปัจจุบัน ซึ่งคำจำกัดความมันไม่ใช่แบบนั้น แต่ถ้าย้อนกลับไป ถ้าผมทำได้หรือชิ่งหลักธรรมะ ผมก็จะบอกว่า ธรรมะหรือวิทยาศาสตร์ทางจิต คุณทำดี คุณได้ดี ถ้าคุณทำไม่ดี สิ่งเหล่านั้นก็จะกลับมาหาคุณ ถ้าคุณปฎิบัติ นั่งสมาธิ รู้จักปล่อยวาง มันจะเป็นไปไม่ได้หรือ ที่ชีวิตคุณหรือระดับจิตคุณนั้นจะดีกว่าเดิม

คราวนี้พอเราอยู่ตรงนั้นเยอะๆ เรามีสมาธิ เรามีจิตใจที่สงบนิ่ง เราไม่มีทุกข์ หรือไม่มีอะไรต่างๆ และเหมือนเราไม่ปิดกั้นตัวเอง บางคนไม่สนใจในเรื่องที่เรากำลังคุยกันเลยแม้แต่นิดเดียว เอะอะโวยวาย อะไรต่างๆ ก็ไม่ดี ซึ่งสุดท้าย เขาก็จะอยู่ในวังวนโดยที่เขาไม่รู้ตัว พลังงานลบอยู่รอบๆ ตัว ซึ่งบางคนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่เรื่องปกติ ซึ่งสภาพจิตคุณมันอาจจะไม่สดชื่นแจ่มใส ผ่อนคลาย เพราะฉะนั้น ในศาสนาพุทธ ธรรมะหรือธรรมชาติ มันทำให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้น เบาบางลง ไม่มีทุกข์ต่างๆ นาๆ แล้วเราก็จะไม่มีเงื่อนไข เพราะว่าไม่มีสิ่งที่ยึดติดอะไร พอไม่มีเงื่อนไข อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ พอเราไม่ยึดติด เราอาจจะอยากทำในสิ่งที่เราตั้งใจ เช่น พอเรามีพลังเหลือ เราอยากที่จะไปช่วยเหลิอในด้านอื่นๆ ช่วยเรื่องแรงกาย น้ำใจ หรือ เรื่องต่างๆ นาๆ เราสามารถที่จะมีพลังเหลือที่จะให้กับคนอื่นได้มากกว่าตัวเราเอง อะไรทำนองนี้

• จากการที่ได้ศึกษาเรื่องดังกล่าวมา คุณมองยังไงบ้างครับ

อยากจะบอกว่า ในเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิตเนี่ย พอเราเข้าใจในกลไกต่างๆ แล้วเรามีวิธีทางความคิดที่เรา MINDSET ตัวเองว่า อะไรที่ไม่ดี อย่าไปยุ่งกับมันที่นำมาด้วยความทุกข์ ก็หลบเลี่ยง ถ้ามันทุกข์จริงๆ ก็กลับไปดูที่มาของความทุกข์คืออะไร ไม่ใช่ไปแบกรับไว้ หรือยึดถือไว้ว่าเป็นเพราะอะไร ซึ่งถ้าเราเข้าใจแล้ว ดราจะไปแบกมันทำไม ใช้หลักอริยสัจ 4 แล้วเราก็จะต้องเป็นผู้ดู ผู้ปฎิบัติ ก็คือดูตัวเอง เอาตัวเองให้รอดจากภาวะการปรุงแต่งต่างๆให้ได้ตลอดเวลา อย่าไปยอมให้มันเป็นเจ้านายเรา มันก็จะทำให้เราไม่ดีใจเกินไป ไม่เสียใจเกินไป ถ้ามันขึ้นปุ๊บ เราก็ต้องรีบไปดูต้นเหตุ และรีบวางลง และคอยดูส่วนต่อไปที่จะมากระแทกเรา สุดท้ายแล้วก็เท่าที่เล่ามาก็จะเป็นในหลักปฎิบัตินะ เราก็จะใช้แนวทางนี้ในการดำรงชีวิต ในการทำงานต่างๆ อย่างน้อยเราก็มีสติและสมาธิกับตัวเองมากขึ้นแน่นอน เพราะว่าเราเลือกและชินกับปฎิบัติแบบนี้ มากกว่าปฎิบัติและคิดแบบอื่น

• แล้วการที่คุณโพสรูปในส่วนของการรักษานั้น อยากให้ช่วยเล่าขยายความตรงนี้หน่อยครับ

จริงๆ ที่ผมโพสนั้น มันเป็นในส่วนของการทดลองนะ พอสภาวะจิตและร่างกายของเราว่างพอ เรามีสมาธิ เราสงบ เราไม่มีเงื่อนไขที่เราสร้างให้กับตัวเอง ว่าเราทำแต่ละอย่างได้หรือไม่ได้ พอข้างในเราว่าง เราก็เลยคิดว่าพลังงานต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นพลังงานจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือพลังงานดีๆ ทั้งหลาย มนุษย์สามารถดึงมาใช้ได้ ถ้าคุณมีการฝึกแล้วมีการดึงมาใช้ หมายความว่า เอามาบำบัดผู้ป่วย หรือ ถ้าเราเคยได้ยินเรื่องพลังงานจักรวาล มาสแกนพลังในส่วนนี้แล้วปรับคลื่นแม่เหล็กในตัวอีกคนหนึ่ง ทำให้ระบบในร่างกายเขาดีขึ้น ซึ่งในปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องปกติพอสมควร ซึ่งถือว่ามีการได้ยินมาบ้าง ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย ในเรื่องการรักษาอะไรแบบนี้ครับ มันจะเป็นเรื่องของการที่ไม่ใช่ใครก็จะทำได้ มันเป็นเรื่องที่มีความเข้าใจการปล่อยวาง หรือ เรื่องราวต่างๆ ประมาณหนึ่ง ไม่งั้นคุณจะมีในเรื่องของอัตตาเยอะ ประมาณว่า ฉันเป็นผู้วิเศษ ฉันสามารถทำให้อีกคนหนึ่งได้ ถ้าคุณเป็นแบบนั้น คุณจะไม่ได้การตอบรับที่ดีเท่าไหร่จากสิ่งที่คุณพยายามทำ เพราะว่าเรามีเงื่อนไขและข้อแม้มากกว่าคนอื่น แต่ถ้าเราไม่ยึดติดอะไรเลย เราลองทำเพราะว่าเราบริสุทธิ์ใจ อยากช่วย เราไม่ได้ศึกษาและเป็นแพทย์โดยตรง แต่คิดว่าเราอนุญาตให้ใช้ร่างเราเป็นตัวผ่านพลังงานต่างๆ ที่จะไปรักษาคนที่อยู่ข้างหน้า ก็แค่นั้นเอง

มองในมุมหนึ่งคือ เป็นการทำงานหลักวิทยาศาสตร์ เอาพลังงานรอบข้างมาใช้ให้ได้ แต่ต้องผ่านการฝึกและเข้าใจพื้นฐานของธรรมะ ซึ่งถ้าคุณยังไม่เข้าใจวิธีของการปล่อยวาง การทำให้ตัวเองเบาบางจากทุกข์ หรือการตามหาความสงบทางจิตเนี่ย ถ้าคุณไม่ผ่านมันเลย แล้วอยู่ๆ คุณมาทำตรงนี้ คุณคิดว่าคุณจะเอาพลังจากไหนมาได้ คุณคิดว่าจะเอาจากหลักสูตร หรือว่าอะไรมาแล้วแต่ ทำตัวเอง รักษาตัวเอง จนกระทั่งตัวเองมีความว่างแล้ว อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ ความว่าง คือ เราไม่ยึดติด เราเบา เราไม่มีทุกข์ ซึ่งเราทำอย่างนี้ให้ได้ก่อนเราจะไปช่วยคนอื่น พออย่างที่ผมบอกตอนแรกเลยว่าถ้าเราจัดการกับตัวเองได้จนเรียบร้อยแล้ว เรามีสมาธิ มีสติอย่างดีปุ๊บ ทุกคนก็อาจจะมีประเด็นทางด้านความคิดที่มันแตกต่างกันไป บางคนอยากช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน บางคนอยากช่วยโลกที่มันร้อนอยู่ให้มันดีขึ้น เช่นไปช่วยกันเก็บขยะ ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้น อันนี้ก็แล้วแต่ ความคิดของแต่ละคนว่าเขาจะไปไหนทิศทางไหน

• แล้วในเรื่อความเชื่อทั่วไปที่ว่ามนุษย์ต่างดาวมายึดโลกละครับ

(หัวเราะ) ผมว่ามันตลก คือถ้ามันจะยึดมันคงไม่รอตรุษจีนปีหน้าแล้วมายึดหรอก มันคงแบบว่าจัดหนักไปแล้ว ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องนี้ผมก็มีเรื่องเล่าให้ฟัง ก็ข้อมูลที่ศึกษามาคือ ทำไมยูเอฟโอถึงมาหาเรา ทำไมถึงมีการอ้างอิงว่ามีการติดต่อสื่อสาร กัน ทำไมถึงมาเยอะ ทำไมถึงมาทำวงแหวนต่างๆ ทำไมบางคนถึงถ่ายรูปได้ จากมุมโน้นนี้ของโลก ทำไมเขาเป็นห่วงเรื่องภัยพิบัติใหญ่ที่มันจะเกิดขึ้นบนโลก มาจากสภาวะต่างๆ ของโลกที่มันเปลี่ยนไป โลกร้อนขึ้น แกนโลกขยาย ทำให้สนามแม่เหล็กมันเปิด โลกกำลังเข้าสู่ยุควิกฤต เนื่องจากประชากรใช้โลกในรูปแบบผิดวิธี สิ้นเปลือง ทีนี้เขามาเขาจะมาเตือนเรื่องภัยพิบัติแล้วก็มาช่วยเราในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ถ้าเขามาคิดจะครองโลกเขาไม่รออะไรแล้ว เขาคงจะดำเนินการหรืออะไรไปสักอย่าง ถ้ามตามสิ่งที่ผมคิดนะ

ตอนนี้ประเด็นคือว่าเกิดภัยพิบัติแล้วยังไง เราอยู่ในวงโคจรของระบบแกแลคซี่อันนี้ ส่วนหนึ่ง คือเราเป็นลูกๆ หนึ่งที่มี เนปจูน mars ทุกอย่าง รวมกันไป เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ในจักรวาล แล้วประเด็นก็คือว่าถ้าโลกของเราเป็นอะไรไป ระบบแกแลคซี่เขาเสีย เขาไม่รู้จะใช้กี่หมื่นกี่พันกี่แสนล้านปี ที่จะทำให้ระบบแกแลคซี่ของเขามาอยู่ร่วมกันด้วยความสมบูรณ์ โคจรร่วมกันกันเอง ทำงานร่วมกันอย่างปกติ เขาก็มารักษาตรงนี้ไว้ ลองย้อนกลับไปง่ายๆ สักสองปีที่ผ่านมาภัยพิบัติต่างๆ มันเกิดขึ้น เปอร์เซนต์ของสถิติมันเกิดขึ้นมากกมายกว่าตอนเราเด็กๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เรามักจะไม่ค่อยได้ยินข่าวลักษณะแบบนี้เลย แต่ในปัจจุบันนี้มันเต็มไปหมด หมายความว่าอะไร ตัวโลกหมดอายุแล้วหรือยังไง เหมือนรถเริ่มพัง เพราะว่าปีอายุมันเยอะแล้ว หรืออะไรลักษณะนี้ ทำให้มันก็มีเหตุผลว่า มันก็จริงที่เขาพูดว่าภัยพิบัติใหญ่มันกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตหรือเปล่

• เป็นการส่งสัญญาณกลายๆ ว่าจงเพลาๆ ลง

ใช่ครับ อย่างที่บอก คือมันน่าจะเป็นเรื่องของสภาวะต่างๆ ของโลกที่มันเปลี่ยนไปจากการทำลายโลกใบนี้ด้วยมือของเราเอง ของตัวมนุษย์ที่อาศัยอยู่ เช่น โลกร้อนขึ้น แกนโลกขยับ ภูเขาไฟไม่ปะทุ ลาวา มันคงต้องมีอะไรสักอย่างที่มันต้องเกิดขึ้น แต่จะให้บอกเป็นลายลักษณ์อักษร ก็ยังไม่มีใครบอกอะไรได้ แต่มันต้องมีปรากฏการณ์ที่มันเกิดขึ้นต่อไปว่าเร็วๆ นี้ล่ะ นี้มันก็มีแต่ละอันถ้าอยู่บนพื้นที่มันก็หนักพอสมควร

• แสดงว่าในการส่งสัญญาณ พวกเขาพยายามเหมือนกับเราเลือกที่จะมองในอีกมุมหนึ่ง แล้วกลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดตกใจไปพอสมควร

ส่วนมากคนจะมาดูที่ปลายเรื่องมากกว่าว่าอะไรถูกนำเสนอใช่ไหม แล้วก็พอมันไม่ถูกใจ คนค่อยกลับไปว่ามันมาจากไหนมาอย่างไร แต่ถ้าเป็นคนที่สนใจอย่างผม เราจะเริ่มที่ต้นเหตุ แล้วเราค่อยไปดูปลายเหตุที่หลัง แต่ส่วนมากถ้าคนจะรับรู้จากสื่อต่างๆ ก็คือปลายเรื่องแล้ว แล้วก็ถ้าข้องใจค่อยตามกลับมาสาวหาต้นเหตุ อันนี้ไม่สนใจก็ปล่อยทิ้งไปเลย แล้วเขาก็จะใช้ความคิดเห็นของเขาแสดงออกไป แต่เขาไม่รู้ที่มาที่ไปหรือว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นหรือการศึกษามันมาจากไหน แล้วมีอะไรเกี่ยวข้องบ้าง

คือมันก็มาตรฐานการรับรู้มันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ในความสนใจของทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต การเมือง สิ่งมีชีวิตนอกโลก เรื่องอาหาร ความเป็นอยู่ ทุกคนก็จะมีจุดของตัวเองที่มัน นั้นคือข้อดีของมนุษย์ คือมันมีความแตกต่างกัน ไม่อย่างนั้นเราก็จะเหมือนหุ่นยนต์ที่มันเป็นบล็อกเดียวกันเหมด แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข มันเป้นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว ถ้าเราพูดถึง ถ้าเราตีความประโยคนี้ดีๆ ปัญหารอบๆ ตัวมันจะเบาบางกันเยอะ แล้เราก็จะเข้าใจว่าสิ่งที่ผมเป็น กับสิ่งทีคนอื่นเป็นมันมีมีใครดีกว่าใคร

คือของพวกนี้มันเหมือนที่เล่าให้ฟังตอนแรก มันคือเรื่องที่เราชอบ สิ่งที่เราศึกษา แล้วก็เป็นงานดอิเรก มันไม่ใช่แกนนำในการดำรงชีวิตของเรา มันเป็นแค่ภาคส่วนหนึ่งที่เราชอบเฉยๆ แล้วมันเป็นเหมือนกับ คุณเข้ามาในบ้านผม แล้ววันหนึ่งคุณเดินเข้ามาในบ้านผมแล้วคุณบอกบ้านคุณสีนี้ไม่สวย คุณต้องเปลี่ยนสีน้ำเงินถึงจะสวย อ้าว คุณเข้ามาในบ้านผมแล้วบอกว่าบ้านผมสีไม่สวย ผมยังไม่เห็นเข้าไปในบ้านคุณแล้วบอกว่าบ้านคุณเน่ามากเลย ฉะนั้นก็เราควรจะเคารพในสิ่งที่แต่ละคนเป็น เราก็ไม่ข้ามล้ำไปในเส้นของเข้า เขาก็ไม่น่าจะก้าวข้ามมาในเสนของเรา แต่ความคิดเห็นมันแสดงกันได้ ถ้าคุณไม่ชอบหรือคุณคิดว่ามันไม่โอเก็ทำอย่างที่คุณอยากจะทำ จะแสดงความคิดเห็นก็แสดง คุณจะไม่ติดตามตอนต่อไป ก็แล้วแต่ แต่วิธีนี่เรื่องจักรวาล กาแลคซี่ เรื่องแล้นลับสิ่งที่อธิบายไม่ได้ มันเป็นเทรนด์ที่คนไทยชอบและสนใจ แล้วด้วยสื่อต่างๆ ด้วยไอที ไซเบอร์ที่มันเปิดกว้าง คนสามารถศึกษาเรื่องต่างๆ ที่ตัวเองสนใจและชอบได้

• แล้วในกรณีมนุษย์ต่างดาวเข้าไปสิ่งบุคคลต่างๆ ละครับ

ที่อเมริกามีการพูดคุยกันว่า มันมีองค์กรที่เรียกว่า Illuminati คือผู้ที่มนุษย์ต่างดาวสองสามกลุ่มที่เข้ามาอยู่รวมกับบุคคลทั่วๆ ไป มานานแล้ว อันนี้ไมได้คิดเอง ผมแค่เล่าให้ฟังจากสิ่งที่เราศึกษา เขาเข้าบุคคลสำคัญของโลกหลายๆบุคคลจริงๆ แล้วในอีกภาคส่วนของเขาเนี่ยเหมือนเขามี Shape Shifter คือเขามีสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่แฝงตัวอยู่กับเขา ที่นั่นก็มีการศึกษาอย่างจริงจังแล้วก็พยายามค้นหาข้อมูลที่เราเปิดเจอเรื่อยๆ มันก็จะมีคนสำคัญๆ อยู่เยอะ ก็ยังไม่มีใครหาคำตอบได้ มันก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่คนให้ความสนใจเยอะ แล้วก็ส่วนมากที่มันแฝงอยู่ในร่างมันจะชื่อ แรฟทาย์ เนี่ยพื้นฐานเขาจะเป็นลักษณะเผ่าพันของคลายๆ สัตว์เลื้อยคลานที่เป็นจิ้งเหลนหรือพวกงู ที่เป็นผิวเกล็ดแต่เกล็ดเล็ก แต่ว่าลื่น แล้วก็มีตา คือเป็นเผ่าพันธุ์นั้น

• ถ้าจะให้บอกคนทั่วไปในเรื่องมนุษย์ต่างดาว คุณอยากจะบอกอะไรกับพวกเขา

อันนี้แล้วแต่ความคิดเลย แต่ถ้าสำหรับผม เราเปิดใจให้กว้าง เรามานับถอยหลัง รอสักวันหนึ่งว่าเมื่อไหร่ที่จะต้องมีวันที่จานมันลงมาจอดบนพื้นดินต่อหน้าคนจริงๆ เพื่อนฝรั่งก็บอกว่าลงมาจอดเลยแล้วก็มานั่งกินกาแฟมาคุยกัน เพราะมีคำถามเยอะเลย คือผู้ที่สนใจผมก็บอกเพื่อนว่าเพื่อนก็ถามยังไง ก็ไม่ยังไง มึงกับกูก็รอไปจนถึงวันนั้นที่มันมีการติดต่อสื่อสารกันโดยตรง เช่นเดียวกันกับข่าวภัยพิบัติ สองปีที่ผ่านมา เราจะได้ยินเรื่องนี้เยอะขึ้น บ่อยขึ้น ภาพต่างๆ ถ่ายได้เยอะขึ้น เราเอารูปมาแต่ง เอายูเอฟโอ มาแปะ ก็เยอะขึ้น ก็หมายความว่ากระแส มันเริ่มเป็นสิ่งอีกสิ่งหนึ่งที่คนสนใจเยอะขึ้น
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ศิวกร เสนสอน

กำลังโหลดความคิดเห็น