ประชาชนจากทั่วประเทศใช้โอกาสช่วงวันหยุดเดินทางมาร่วมกราบสักการะพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ ๙ อย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
วันนี้ (8 เม.ย.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 157 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
นางสาวดุษฏี บุญชัยมี อายุ 29 ปี พยาบาลประจำโรงพยาบาลศิริราช กล่าวภายหลังที่สักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ว่า ได้เดินทางมาจากบ้านพักย่านฝั่งธน มาถึงสนามหลวงเมื่อเวลา 08.00 น. และได้กราบสักการะพระบรมศพ ตอน 11.00 น. เพิ่งมีโอกาสได้เดินทางมาเป็นครั้งแรก วินาทีที่ได้กราบสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ รู้สึกตื้นตันใจ และรู้สึกใจหายว่าพระองค์จะไม่อยู่กับคนไทยอีกต่อไปแล้ว แต่พระองค์ก็จะยังคงสถิตอยู่ในใจพสกนิกรชาวไทยตลอดไป เพราะที่ผ่านมา พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกายทรงงานอย่างมิได้เหน็ดเหนื่อยเพื่อความมั่นคงของประเทศ พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระปรีชาสามารถมาก พระองค์ทรงรู้ว่าการที่ประเทศจะมั่นคงได้นั้น จะต้องมีทรัพยากรธรรมชาติอย่าง ดิน น้ำ ที่อุดมสมบูรณ์ พระองค์จึงได้พระราชทานโครงการในพระราชดำริที่เกี่ยวกับเรื่องน้ำ และเรื่องดิน เป็นจำนวนมาก
“ในหลวง รัชกาลที่ ๙ เป็นแรงบันดาลใจให้กับเราในเรื่องการทำงาน พระองค์ทรงให้การช่วยเหลือประชาชนทุกหมู่เหล่าอย่างมิได้แบ่งแยกชนชั้น เชื้อชาติ ศาสนา ดังนั้น เราเป็นพยาบาล ก็จะทำหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยทุกคนอย่างเต็มกำลัง และไม่แบ่งแยกว่ารวยหรือจน ที่สำคัญ ทุกวันนี้เราเองก็ยังได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตเช่นเดียวกัน ใช้เงินตามเงินเดือนที่มี ไม่ก่อหนี้สิน สร้างปัญหาให้กับชีวิต”
นางกัญญา เพชรยัง อายุ 61 ปี อาชีพชาวสวนยาง ต.บ้านนา อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า เดินทางมาพร้อมกับน้องสาว และหลานๆ รวม 4 คน คือ น.ส.ปิยาอร เนียมกุล อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี โดยนั่งรถไฟมาตั้งแต่เย็นวันที่ 6 เม.ย. มาถึงกรุงเทพฯ เช้าวันที่ 7 เม.ย. และไปพักค้างคืนที่บ้านน้องสาว ย่านหลักสี่ กทม. ก่อนเดินทางมาเข้ากราบสักการะพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ 9 ในช่วงเช้าวันนี้ โดยตนเพิ่งจะมีโอกาสเดินทางมาเป็นครั้งแรก รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูกในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทำเพื่อพสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะโครงการในพระราชดำริต่าง ๆ มากมายทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สำหรับตนก็ได้น้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้กับอาชีพทำสวนยาง ด้วยการปลูกผัก มะนาว ทุเรียน เลี้ยงปลานิล เลี้ยงไก่ไว้กินเองและขายเพิ่มรายได้
"ขณะขึ้นไปกราบก็ขอพรพระองค์ท่านให้ช่วยคุ้มครองป้องภัยต่างๆ และขอให้หลานเรียนสำเร็จ และขอให้พระองค์ท่านเสด็จสู่สรวงสวรรค์” นางกัญญา กล่าวด้วยความซาบซึ้ง
ส่วน น.ส.ปิยาอร เนียมกุล อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ท่านทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในทุกๆ ด้าน ซึ่งตนก็ยึดในเรื่องความกตัญญูกับทุกๆ คนที่มีพระคุณ รวมถึงเรื่องความประหยัด พอเพียง ความขยันหมั่นเพียรและอดทนตามที่พระองค์ท่านสอน และอยากให้คนไทยรักกัน
“ระหว่างเรียนจะมีปัญหาต่างๆ เยอะพอสมควร ก็จะต้องมีความอดทนและเพียรพยายาม สิ่งไหนที่เรายังไม่เข้าใจก็ต้องถามหรือขยันทบทวนบทเรียน ทำให้เทอมแรกได้เกรด 3.8 อนาคตอยากเป็นครู เพราะชอบให้ความรู้แก่เด็กๆ” น.ส.ปิยาอร กล่าว
ด้าน น.ส.ดลฤดี ฉัตรเสน อายุ 60 ปี เปิดเผยว่า ตนเคยรับเสด็จในหลวง รัชกาลที่ 9 ตอนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษา เมื่อเห็นพระองค์ท่านก็รู้สึกตื้นตันใจ มีความเทิดทูน จากนั้นก็ติดตามพระองค์ท่านจากทางทีวีมาโดยตลอด เห็นพระองค์ท่านทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรชาวไทย จึงตั้งใจว่าสักครั้งในชีวิตต้องมากราบถวายสักการะพระบรมศพ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มา
น.ส.ดลฤดี กล่าวต่อว่า พวกเราคนไทยควรน้อมนำแนวพระราชดำริของพระองค์ท่านมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เศรษฐกิจพอเพียง ส่วนตัวตนจะปลูกพืชผักสวนครัว เช่น พริก กะเพรา ตะไคร้ เพื่อนำมาปรุงอาหารที่บ้านโดยไม่ต้องใช้เงินจ่ายเลย ส่วนของใช้ เช่น ยาสีฟัน ก็จะรีดใช้จนหมดเหมือนที่พระองค์ท่านทรงทำให้เราเห็น
“บ้านเมืองเราตอนนี้ไม่ค่อยสงบเรียบร้อย เพราะคนไทยไม่ค่อยรักกัน แต่พระองค์ท่านทรงสอนคนไทยมาโดยตลอด ให้คนไทยรักกัน มีความสามัคคี ให้อภัย โอบอ้อมอารีต่อกัน แค่พวกเรารักแผ่นดินไทย ทุกอย่างที่เราอยากจะทำเพื่อแผ่นดินไทยจะตามมาเองในทุกๆ ด้าน รักต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รักชาติ และรักศาสนา” น.ส.ดลฤดี กล่าว