เกิดเป็นปรากฏการณ์แชร์และส่งต่ออย่างล้นหลามในช่วงเดือนที่ผ่านมา สำหรับคลิป “อ้ายสาคร” ที่สร้างจากเรื่องจริงของคนที่เคยถูกตัดสินจากภายนอก โดนดูถูก สารพัดสารเพ
“สาคร มูลโพนงาม” หนุ่มพนักงานบริษัทมิตรผล ตำแหน่งพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน วัย 25 ปี ที่ฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นทีละขั้นทีละตอนจนประสบความสำเร็จ กลายเป็นหนังสั้นที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกๆ คนที่ได้รับชม
นอกเหนือจากประโยชน์อันเกิดขึ้นหลังนาทีสุดท้ายของภาพยนตร์จบลง มุมมองความคิด ทัศนคติ และการรับมือกับปัญหา ยังคงเป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้และศึกษาต่อยอดนำมาปรับใช้ เพราะฉะนั้น Manager online จึงไม่ละเลยที่จะอาสาเข้าไปล้วงลึกอดีตเด็กที่ใครๆ ต่างดูถูกดูแคลน อดีตเด็กบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่ง ที่กล้าลุกขึ้นมาสู้ยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเป็น พร้อมๆ กับทำเพื่อผู้อื่น

แค่เพียงเปิด...ใจ
เราก็ไม่ต่างกัน
“ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ออกตุ้งติ้ง มาตั้งแต่วัยเด็ก อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ท่านก็รับรู้ว่าเราไม่ใช่ผู้ชายเต็มร้อย แต่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เราก็เลยไม่รู้สึกว่ามีผลกระทบ ชีวิตในช่วงนั้นก็เป็นเหมือนเด็กทั่วไปปกติ ก็มีความฝันว่าอยากรับใช้ชุมชน เพราะเรามองว่าตั้งแต่สมัยเด็กๆ อยู่ชั้นมัธยม เราอยู่กับวิถีชีวิตชุมชนที่เรียบง่าย วัฒนธรรมที่ดีงาม สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มันเริ่มที่จะหายไป เช่น ประเพณีบุญพระเวส (เทศมหาชาติเวสสันดรชาดก) เป็นวัฒนธรรมหนึ่งที่ชุมชนคนอีสานจะพากันแห่ดอกไม้รอบหมู่บ้าน แล้วก็มีการทำบุญ เป็นกุศโลบายพิธีในการหลอมรวมจิตใจคน สิ่งนี้กำลังค่อยเลือนหายไป
“เราก็เลยคิดว่าวันหนึ่ง ถ้าเราไปเรียนในสายอาชีพที่มันจะได้กลับมาพัฒนาท้องถิ่นมันจะเป็นสายไหนได้บ้าง ก็ศึกษามุ่งมั่นมาทางสายพัฒนาชุมชน ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สาขาวิชาการพัฒนาสังคม ควบคู่กับการช่วยเหลือกิจกรรมในหมู่บ้านทุกงาน”
“หัวหน้าเขียว” ที่คนในชุมชนต่างเรียกขาน พนักงานจากจังหวัดร้อยเอ็ดฝ่ายตำแหน่งพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนของบริษัทมิตรผล เล่าจุดเริ่มต้นของเส้นทางนักพัฒนา
“จริงๆ แต่ก่อนมีความฝันอีกอย่างหนึ่งคือการอยากเป็นเชฟทำอาหาร เพราะชอบทำอาหาร แล้วเวลาที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทาน ท่านก็จะชมว่าอร่อย เราก็เลยอยากทำอาหาร แต่ด้วยความที่เรารักชอบในการทำกิจกรรมกับชุมชน พอทำเรื่อยๆ มันก็ซึมซับ อยากจะทำตรงนี้มากกว่า เพราะพี่ป้าน้าอาในชุมชนไม่ได้มองว่าเราแปลกแยก เขาเห็นเราตั้งแต่เด็กๆ แต่สังคมชุมชนอื่นๆ อาจจะมองเราอีกแบบเพราะไม่เคยเห็นเรา เราก็จะถูกล้อ ถูกเรียกบ้างว่า ไอ้ตุ๊ด
“คือเขาไม่ได้ยอมรับในตัวเรา เพราะเราก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ เรายังไม่ได้ทำงาน เขาก็คงคิดว่าเราจะสามารถทำงานได้หรือเปล่า เป็นคนที่ดีในสังคมได้หรือเปล่า เขาก็ยังไม่รู้ นั่นคือช่วงระหว่างทาง ก็โดนมาเยอะ”
ด้วยความหวังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาช่วยเหลือและได้รับการยอมรับเพิ่มเติมนอกเหนือจากพ่อแม่ พี่น้องครอบครัวเครือญาติและเพื่อนสมาชิกเพศเดียวกันที่มีเพียง 4 คน ในหมู่บ้าน ให้เกิดการยอมรับ
“แรกๆ ในช่วงอายุแค่นั้นเราก็ไม่ได้มองอะไรไกลขนาดนี้ แต่ด้วยนิสัยเป็นคนง่ายๆ ในบางเรื่อง แต่ก็จริงจังในบ้างเรื่อง เช่น เรื่องการทำงาน ซึ่งต่อให้ช่วงที่เรียนจะเรียนไม่เก่ง แต่สิ่งที่ทำให้ตระหนักและขวนขวายให้เรามากยิ่งขึ้นก็คือ ตอนนั้นที่เรียนประถม มี 17 คน เราสอบได้ที่ 16 กับอันดับที่ 17 ครองแชมป์ตำแหน่งนั้นตลอด จน ม.1 ก็อยู่ห้องท้ายๆ ตลอด แล้วก็มีคนมาพูดกับเราว่ามันโง่บ้าง เรียกเต็มๆ ว่า ไอ้ตุ๊ดนี่มันโง่ มันไม่ฉลาด โน่นนี่นั่น ดูถูกเรา แต่เราก็ไม่ได้ไปโกรธเขานะ มันคือสิทธิในการคิดของเขา เราก็เลยเก็บแรงผลักดันตรงนั้น พยายามที่จะตั้งใจเรียน คือเราห้ามความคิดเขาไม่ได้ แต่เราสามารถทำให้เขายอมรับเราได้
“พอคิดอย่างนั้น เรื่องตรงนั้นมันก็ส่งผลต่อเรื่องอื่นๆ ด้วย เรื่องเรียนก็ทำให้พอจะดีขึ้นบ้าง แต่ไม่ถึงกับเก่ง ก็พยายามเกาะติดกับเพื่อน กลุ่มที่เขาเรียนเก่งๆ ให้ตัวเองได้อยู่รอด แล้วค่อยจดจำเอาทักษะในตัวเขามาสอนตัวเรา ทีนี้พอเข้ามหาวิทยาลัย เราก็ตั้งปณิธานกับตัวเองว่า ไหนๆ เราก็ชอบในศาสตร์งานพัฒนาแล้ว เราจะต้องสู้กับมัน เราต้องทำให้ตัวเองมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเรื่องด้านนี้ให้ได้ เพราะมีประสบการณ์ความรู้ในห้องเรียนอย่างเดียว มันก็ได้แค่ทฤษฎีเท่านั้น ภาคปฏิบัติเราไม่ได้ เราก็เลยพยายามเกาะติดกับอาจารย์ เวลาอาจารย์ไปทำวิจัย จัดเวทีชาวบ้าน ก็ขออาจารย์ไปด้วย เพราะนั่นคือเวทีที่เราจะได้ประสบการณ์จริง ก็ทำให้เราพัฒนาตัวเองมากขึ้น และจากปี 1-4 มันทำให้เราเกรดเฉลี่ยที่เคยต่ำ สูงขึ้นถึงเกรดหลัก 3 เรียนจบได้ 3.64
“ไม่รู้สึกว่าการตัดสินใจในวันนั้นเราผิดพลาด เราเข้ามาเรารู้สึกว่าเราชอบ รู้สึกว่าการที่เราได้เข้ามาช่วยเหลือคนในชุมชนเล็กๆ ให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พึ่งพาตัวเองได้ จัดการตัวเองได้ เรารู้สึกว่าในวันนั้น ถึงแม้เราจะเป็นจุดเล็กๆ ที่ช่วยเขา แต่สำหรับเรามันมีคุณค่ามาก”
มากจนลืมเรื่องราวความแตกต่างระหว่างทัศนคติชีวิต หมายมุ่งสร้างคุณค่า แต่ทว่าโลกนอกรั้วมหาวิทยาลัย ก็ยังพบเห็นความคิดเชิงลบต่อเรื่องเพศให้เห็นอยู่

“ไล่สมัครหางานอยู่ 7 เดือนกว่าจะได้”
นักพัฒนาชุมชนคนดังเปิดเผยทั้งๆ ที่มีการตระเตรียมความพร้อมเริ่มทำประวัติส่วนตัวตั้งแต่ปี 2 และเสาะแสวงหาหน่วยงานองค์กรที่เกี่ยวข้อง แต่ด้วยเพศสภาพที่แตกต่างทำให้โดนตอกกลับ ปฏิเสธยื่นข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธได้ในการยอมรับอย่างไร้เยื่อใย บางคนเขาก็ปฏิเสธดี แต่ส่วนมากจะปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี พูดลักษณะดูถูก บอกว่าเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ เป็นอะไร จะทำตำแหน่งนี้ จะเข้ากับเขาได้เหรอ แล้วก็ตัดสายหรือไม่ก็จบสรุปสัมภาษณ์
“อันนี้เราต้องเข้าใจ เราก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา เราเข้าใจ เราเคารพในสิทธิความคิดของเขา บางทีเรายังไม่ชอบในสิ่งที่บางคนเป็น เขาก็มีสิทธิที่จะไม่ชอบเราเหมือนกัน เราเจออย่างนี้เราก็ระบายกับเพื่อนสาว เพื่อนเพศเดียวกัน เราโดนล้อ เขาก็จะบอกว่าเราอย่าไปคิดอะไรมากมาย เขาด่าเราว่าเราก็ว่าไป เราไม่ได้เป็นแบบที่เขาว่า เขาจะว่าเราไม่ดีในสังคม แต่เราไม่ได้เป็นสักหน่อย เราเป็นแบบนี้ เราก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับใคร ก็หาย ก็ทำให้ไม่คิด
“คือแม้ว่าอาจจะหลงเหลือเป็นปมในใจบ้างก็จริง แต่เราไม่ได้คิดมาเก็บกดตัวเองว่ามันจะเป็นปัญหาชีวิตเรา เราไม่คิดอย่างนั้น เราพยายามที่จะสลายด้วยการคุยกับเพื่อน เพื่อนก็ให้กำลังใจ ไม่ได้เก็บมาเป็นปมแค้นอะไรอย่างนี้ ไม่ได้เก็บไว้ให้ตัวเองแค้น หรือเป็นปัญหาในชีวิตตัวเอง มันคือสิ่งหนึ่งที่กระทบเรามาเท่านั้นเอง เราไม่ได้รับ ก็ดำเนินชีวิตปกติของเรา เราก็โดนตั้งแต่เด็กแล้วก็อาจจะเป็นการชินชา การที่เราแก้ไขปัญหา เขาพูดมันก็ความคิดของเขา สิ่งที่เขาพูดแล้วคิดออกมาเท่านั้นเอง แต่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
เป็นระยะเวลากว่า 7 เดือนที่วันคืนล่วงเลยให้คิดอย่างนั้นเรื่อยมาโดยที่ไม่ล่วงรู้เลยว่าหนทางข้างหน้า สิ่งที่ตั้งมั่นไว้จะเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด กระทั่งประตูโอกาสแห่งบริษัทมิตรผล เปิดกว้างอ้าแขนรับ ชีวิตของเขียวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“คือเขาก็ถามเรื่องเนื้องานต่างๆ และความเป็นตัวตนของเรา ผอ.ในวันนั้นก็เปิดโอกาสให้เรา เขาไม่ได้มองเรื่องเพศของเรา ซึ่งตัวเรามีปมอยู่แล้ว เราจะไปเข้ากับคนได้หรือเปล่า เพราะเราถูกล้อมาตั้งแต่เด็ก เราก็มีปมว่าถ้าราเป็นอย่างนี้ติดต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ข้าราชการตลอดเวลา เขาจะยอมรับเราในจุดนี้หรือไม่ เราก็มีปม ระแวง เพราะที่นี่เป็นถึงบริษัทเอกชน เขาก็มีตัวเลือกเยอะ ถ้าเป็นผู้หญิง สวยๆ จะเวิร์กกว่า แต่วันนั้นสิ่งเหล่านั้นมันก็ถูกลบล้างด้วยการให้โอกาสของท่าน ผอ.
“ถามว่าในยุคนี้ยังมีอยู่ไหม มันมีคนที่ให้โอกาสเยอะ แต่ต้องยอมรับว่าในสังคมไทยก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ยอมรับในจุดนี้ มันมีหลายคนหลายความคิดมุมมอง แต่ชั่วโมงนั้น เราอาจจะไปโดนในกลุ่มที่ไม่ยอมรับในตัวเรา แต่บางคนอาจถูกเปิดกว้างไปแล้ว เรามาแจ็กพอตเจอตรงนี้พอดี แต่ละคนก็อาจจะโดนมาไม่เหมือนกัน
“การที่เราได้รับโอกาสตรงนั้น มันลบล้างในปมของเราว่าสิ่งที่เราคิดมาตลอดว่าในช่วงชีวิตหนึ่งเราคงไม่ได้โอกาส แต่ทุกสิ่งอย่างมันลบล้างด้วยการให้โอกาสของท่าน ทำให้รู้สึกว่าเราศรัทธาในการให้โอกาสตรงนี้มาก และทำให้เรารู้ว่าคนเราถ้ามีโอกาสที่จะทำ เราก็ทำได้ไม่ต่างกัน”
“สาคร พูลโพนงาม” หรือ “อ้ายสาคร” จึงกลายเป็นที่รู้จัก เป็นที่ยอมรับ เป็นหนึ่งในนักพัฒนาสังคมชุมชนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทยในขณะนี้ ที่ช่วยเหลือให้ชุมชนตำบลสมสะอาด อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ กลายเป็นชุมชนหนึ่งที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยความสุขที่แท้จริงอย่างยั่งยืน

ค่าของคนอยู่ที่คุณความดี
• หลังจากชนะตัวตนความคิดและได้รับโอกาสให้พิสูจน์เราเริ่มต้นงานตรงนี้อย่างไรบ้าง
เริ่มต้นทำงานกับชาวบ้าน โดยวิธีการทำงานกับชาวบ้านแต่ละชุมชนบริบทค่อนข้างแตกต่างกัน คนในชุมชนมีหลายแง่มุมคิด มีหลายการกระทำ คือการทำงานกับชาวบ้านใจเราต้องนิ่ง ใจเราต้องทุ่มเท เราเป็นแบบนี้จะสามารถเป็นผู้นำคนได้ไง และเขาก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน ภูมิลำเนาของเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น เขาก็ไม่ได้ยอมรับในตัวเราเลยทันทีทันใด เราก็เก็บตรงนั้นว่าเป็นแง่คิด เราไม่สามารถที่จะไปว่าเขาได้ เราก็เก็บตรงนั้นมาพัฒนาตัวเองว่าจะปรับจะเพิ่มในจุดไหนของตัวเรา
• แล้วเราเปิดประตูด่านแรกให้เขาเชื่อมั่นยอมรับได้อย่างไร
ก็ไปชี้แจงว่าเราจะทำอะไรร่วมกับชาวบ้าน ก็ไปศึกษาบริบทชุมชนก่อน สมมติว่าพื้นที่นี้มีครอบครัวที่เป็นหนี้หลายครัวเรือน เขาเป็นหนี้เท่าไหร่ ต่อมาคือปัญหาที่เกิดขึ้นที่ทำให้เกิดหนี้ขึ้นเพราะอะไร เราก็ใช้ฐานข้อมูลอันนี้ไปพัฒนาเขาให้ครอบครัวเขามีการอยู่การกิน จากที่ซื้อทุกอย่าง เราก็นำในเรื่องทฤษฎีเกษตรผสมผสานไปให้เขา คือสิ่งไหนที่ชาวบ้านไม่รู้ เราก็พยายามที่จะมาเติมเต็มให้เขา เอาผู้เชี่ยวชาญมาให้เขา เหมือนเป็นนักประสานงาน ดำเนินการเปลี่ยนความคิดให้เขา
ที่สำคัญคือเปิดใจ เราต้องใช้ใจ เราก็ไปหาเขาทุกวัน ไปทำกิจกรรมกับเขา กินข้าวร่วมกับเขา จนเรากลายเป็นส่วนหนึ่งกับเขา เป็นคนหนึ่งจริงๆ ในชุมชน ก่อนค่อยๆ บอกว่าถ้ารับสิ่งใหม่ๆ มาเพื่อมันจะดีขึ้น ไม่ย่ำอยู่กับที่
• ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในการปรับเปลี่ยนความเคยชิน
แรกๆ ไม่เชื่อ เพราะว่าเขาไม่เห็น ยังไม่เห็น เพราะความสำเร็จมันเห็นยากในงานพัฒนา แล้วพวกเกษตรพวกนี้มันก็ต้องรอเวลาออกดอกออกผล ในวิถีของชาวบ้านอาจจะต้องการเดี๋ยวนี้เลย แต่ว่าเรื่องพวกนี้ อย่างเลี้ยงปลาก็ใช้ระยะเวลาหลายเดือนกว่าจะได้เงิน เลี้ยงกบก็หลายเดือน ไก่ก็หลายเดือน ก็ต้องอาศัยคนที่เห็นด้วยกับเราเป็นสะพานตัวอย่าง และบวกกับด้วยเวลาที่เราทุ่มเท่กับเขาทุกวันก็ทำให้เขาเริ่มที่จะเปิดใจมากขึ้น
พอเกิดความสำเร็จแม้จะเพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้น เขาเริ่มที่จะเปลี่ยนมาเชื่อใจเรา คนที่เชื่อก็เป็นต้นแบบให้เห็น คนที่ทำร่วมกับเราประสบความสำเร็จ คนที่พยายามอยู่ ยังไม่ทำ ก็เริ่มที่จะมองว่าสิ่งที่เราพาทำมันสำเร็จนะ เขาก็เชื่อในตัวเรามากขึ้นแล้วก็พากันมา ซึ่งหลังจากที่เขามองว่าเรื่องเพศของเราเป็นแบบนี้ ตอนนี้เขาก็ไม่มองอย่างนั้นแล้ว มองข้ามไปแล้ว มองเรื่องคุณค่าของตัวเรามากกว่า

• มีท้อมีเหนื่อยบ้างหรือไม่ เพราะใช้ระยะเวลานานกว่าจะทำสำเร็จ
เราต้องมีใจศรัทธา อันดับแรกศรัทธาในตัวองค์กรก่อน เพราะเขาได้นำหลักปรัชญาในหลวงเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ อย่างโครงการฝ่ายพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนอันนี้ สนับสนุนให้พี่น้องชาวไร้อ้อยทำเกษตรผสมผสานควบคู่กับการปลูกอ้อย ซึ่งเป็นโครงการที่ดีที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่อย่างยั่งยืน และอย่างที่สอง เราศรัทธาในการให้โอกาส เนื่องจากวันนั้นบริษัทให้โอกาสเรา วันนั้นเรามีโอกาสเข้าไปพัฒนาชุมชน เรามองว่ามันเป็นการสร้างโอกาสให้คนหนึ่งคน แล้วคนหนึ่งคนสร้างโอกาสให้คนหลายๆ คน เราไปสร้างโอกาสต่อให้ชาวบ้าน จัดการ พึ่งพาตัวเองได้ และชุมชนอยู่ได้อย่างมีความสุข
อันสุดท้าย ศรัทธาในคุณค่างานพัฒนาชุมชนที่เข้าไปพัฒนาชุมชน สังคม ประเทศชาติ ให้มีความเจริญก้าวหน้าตามวิถีงานพัฒนาด้วยจิตสาธารณะ เราศรัทธา 3 อย่างนี้ ทำให้ทุกวันนี้ถึงแม้งานไหนจะหนักก็แล้วแต่ เรามองว่ามันมีคุณค่าทุกอย่างของความสำเร็จของชุมชน ทำให้จิตใจเรามีความสุข ทำให้ไม่เหมือนทำงาน เพราะทำแล้วมีแต่ความสุข ซึ่งตอนนี้ก็มีพ่อแม่พี่น้องที่เข้าร่วม 50 หลังคาเรือนในตอนแรกๆ ก็มาถึง 100 หลังคาเรือน จากทั้งหมด 150 ครอบครัว ก็ดีใจ เรามองว่ามันเป็นงานร่วมกับคน มันค่อนข้างที่จะหนัก แต่ด้วยใจที่เราศรัทธาในเนื้องาน งานอะไรก็แล้วแต่ ถ้าทำด้วยใจศรัทธามันก็สามารถประสบความสำเร็จได้ เพราะว่าถ้าเราไม่มีใจเลย ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ แต่วันนี้เราใจศรัทธา แม้จะทำได้เพียงแค่ 1 ปีกับอีก 7 เดือน ณ ตอนนี้ แต่โครงการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเราทำมา 5 ปีแล้ว โดยก่อนหน้านั้นมันถูกเรียกว่าโครงการเพิ่มผลผลิตก่อน
คือเป็นโครงการที่เราทำกับชาวไร่ของมิตรผล ในการที่เราไปทำ ให้ความรู้ว่าเขาจะปลูกอ้อยอย่างไรให้ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตให้ได้เยอะที่สุด ทีนี้พอเราทำไปแล้ว เราไปเจอปัญหาว่าสิ่งที่ทำให้ชาวไร้อ้อยอยู่ไม่ได้ คืออ้อยทำ 1 ปี ได้เงิน 1 ครั้ง แต่ในระหว่างนั้น เขาไม่มีรายได้ ก็เลยทำให้จากเดิมที่เป็นโครงการเพิ่มผลผลิต เราก็เลยไปดูว่าเราจะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเขาได้อย่างไร มันก็เลยกลายเป็น งานพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งเป้าหมายของเราเรามุ่งพัฒนาชีวิตเขา 5 ด้าน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สุขภาวะ จิตใจศีลธรรม จึงทำงานโดยไม่เอาเงินนำหน้า เขามีปัญหาอะไร เราจะศึกษาปัญหานั้นก่อนว่าต้นเหตุ ปลายสาเหตุปัญหานั้นก่อน เราจะสร้างความมีส่วนร่วมทุกอย่างเหมือนทำงานบูรณการร่วมกัน เพื่อความยั่งยืน
• ความสำเร็จของเราคาดหวังไว้ที่ระดับไหนบ้างหรือไม่
ความสำเร็จหรือการที่จะให้ชาวบ้านเชื่อความสำเร็จของเราไม่ได้มองว่า 10 คือ ความสำเร็จ แต่เรามองว่าการที่ชาวบ้านเริ่มนับจาก 0 เป็น 1-2-3 มันคือความสำเร็จของเขา เรามองตรงนั้นมากกว่าที่จะมองว่าไต่ถึง 10 คือความสำเร็จ เราไม่ได้มองในจุดนั้น คือแค่เขาเริ่ม เท่ากับสำเร็จแล้ว
เพราะว่าความสำเร็จของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ละคนมีความคิดที่ช้า-เร็ว และมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเขา อย่างเขามีพื้นที่ 1 ไร่ เขาทิ้งเป็นพื้นที่ว่างเปล่า เราก็พาเขาไปเรียนรู้ พาคนที่มีความรู้มาหาเขา เขาเริ่มที่จะคิดว่าพื้นที่ของเขาที่ว่างเปล่า มันควรจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่านี้ ก็แบ่งพื้นที่ของเขาตามที่ได้เรียนมา มีอาหาร มีพื้นที่อยู่อาศัย ทุกวันนี้ลดค่าใช้จ่ายและอาหารมากขึ้น ก็มีหมู ไก่ กล้วย ปลา ผัก สิ่งที่เขาอยากจะกิน ผลไม้ พื้นที่ของเขาก็จะจัดตามรูปแบบที่ไปดูงานมาแล้วจินตนาการว่าอยากได้รูปแบบไหน ตามปากเขา ใจที่อยากกินอะไร

เราก็เต็มใจอยู่แล้วจะพัฒนาเขา เราเข้าใจว่าความคิดของคนมันไม่สามารถเปลี่ยนได้ในวันสองวัน บางครั้งมันใช้เวลานาน เขามาเข้าช้าก็ไม่ผิด เพราะเขามีความคิดที่จะเปลี่ยนตัวเองแล้ว เรื่องนี้ใช้ได้กับทุกสิ่งอย่าง ดังนั้นก็ต้องเห็นคุณค่าในความคิดของเขาว่าเขาต้องการจะเปลี่ยนตัวเองให้ดียิ่งขึ้น เขามาพร้อมที่จะเรียนรู้แล้วก็เปิดโอกาสให้เรียนรู้ อะไรที่เขาไม่รู้ ก็พาเขาไปเรียนรู้ เข้าร่วมกับเพื่อนได้อย่างกลมกลืน
• ทำไมต้องช่วยคนอื่น ทั้งๆ ที่ตอนแรกถูกละเลยมองข้ามไม่ใส่ใจ
คือพอเราทำแล้วเรามีความสุข มันเป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจเรา เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำที่เราทุ่มเท มันไม่ได้เสียเปล่า มันยังมีคนที่เห็นคุณค่า เป็นความสุขทางใจ ด้วยใจที่เราชอบ เรารักในสายงานสายอาชีพนี้แล้ว เหมือนกับว่าได้เห็นคนหนึ่งคนที่เปลี่ยน เริ่มจากสิ่งที่เขาไม่มีเลย แล้วเขาเริ่มขึ้นมาเรื่อยๆ นั่นคือสิ่งที่ใจเราให้กับเขา แล้วภูมิใจมาก ถึงแม้จะเหนื่อย แต่มันก็สามารถที่จะหักล้างในใจเราได้ ถ้าใจเราชื่น ถึงมันจะเหนื่อยแค่ไหนก็มีความสุขอยู่ดี
ความสุขที่ใจ ใจมันไม่สามารถบอกได้ว่ามันขนาดไหน แต่สิ่งที่มันเหนื่อยมา เราเห็นสิ่งที่ชาวบ้านเปลี่ยนแปลง ใจเราเองชื่นใจไปด้วย นั่นคือสิ่งที่เราได้รับ นอกเหนือมันเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราทุ่มเททำให้เขามองข้ามในเรื่องเพศของเรา แล้วมาโฟกัสในเรื่องงานของเรา สิ่งที่เราทุ่มเท เพื่อให้เขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เขามองจุดนี้มากกว่า เรื่องเพศเขามองเป็นศูนย์ มองเราเป็นเจ้าหน้าที่มิตรผลคนหนึ่งที่เข้าไป จริงใจกับเขา สนับสนุนให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากที่เขาไม่มีอะไรเลยแล้วกลับมาพึ่งพาตัวเองได้ ยืนได้ มันเป็นการให้ใจกับใจที่สุขด้วยกันกับชุมชน คือเหตุผลทั้งหมดของเรา

จงเชื่อมั่นและตระหนักในคุณค่า
เราจะพลิกโชคชะตากำหนดชีวิตตัวเอง
“เรามองว่าให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็แล้วแต่ เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อในคุณค่าในตัวเอง สิ่งที่เราทำมันมีคุณค่าเพียงพอในสังคม เราไม่ได้เป็นปัญหาสังคม เราสร้างคุณค่ามากกว่า ให้มอง ให้มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าที่จะมองในจุดที่มันร้าย
“อย่าไปคิดท้อแท้”
นักพัฒนาคนหนุ่มรุ่นใหม่กล่าวย้ำ หลังจากลัดเลาะเส้นทางชีวิตทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานอย่างหมดเปลือก
“คือเรามองว่าเราก็มีคุณค่าที่จะอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างมีความสุขและดี เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย เราต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน นั่นคือปัจจัยเบื้องต้นเลยที่เราต้องมีในทุกคน ตัวเราเองพิจารณาตัวเราเองก่อน ถ้าจะเป็นแบบนี้หรือเพศไหนก็ตาม เราต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทำตัวให้เราดีก่อน แล้วค่อยพัฒนาต่อไป”
แม้ว่าจะก้าวผ่านไปไม่ได้ง่ายๆ แต่กระนั้นให้เชื่อใจตัวเองไว้ อย่าได้วอกแวกกับสิ่งรอบข้างที่มันกระทบต่อเรา ให้มองในคุณดีคุณงามมากกว่า กับสิ่งที่มันไม่ดี
“วิธีการมองของคนว่าจะก้าวข้ามผ่านตรงนี้ไปได้อย่างไร เราไม่สามารถจะบอกได้ว่าทำสเต็ปแบบนี้แล้วจะสามารถก้าวข้ามไปได้ แต่มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบว่าเขาจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไร

“มันผ่านกันยากเรื่องอคติของคน จิตของคนถ้ามันอคติแล้วมันแก้ยาก แต่เราต้องใช้เวลาพิสูจน์ ถ้าเขาอคติต่อเรา ใจเราต้องนิ่งด้วย เพื่อพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเขาอคติกับเรา เราไม่ได้เป็นแบบนั้น ใจเราคือต้องนิ่ง ถ้าใจเราเป๋ สิ่งที่เขาคิดก็อาจจะเป็นจริง เราอาจจะทำสิ่งที่เขาคิดก็ได้
“อันดับแรกเลยคือต้องมีความคิด ใจของเราต้องมาก่อน จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว เราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราทำดี เราไม่ได้ทำในลักษณะที่เขาพูด เราก็จะมีชีวิตที่สำเร็จได้ดั่งฝัน
“ทุกวันนี้ก็ภูมิใจ แต่คือไม่ได้คิดว่าเราเป็นคนดีขนาดนั้น การที่เราทำตรงนี้ อย่างนี้เรื่อยๆ มันจะค่อยๆ ซึมซับกลายเป็นแบบนี้ในที่สุด แล้วเราจะไม่ได้มองแค่เปลือกภายนอกรูปนั้น เราจะมองคุณค่ามากกว่า ก็ดีใจ ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ ให้โอกาส เราได้ทำในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ เราก็ดีใจ ก็อยากให้ทุกคนคิดสิ่งใดสมความปรารถนาในสิ่งที่หวัง”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
“สาคร มูลโพนงาม” หนุ่มพนักงานบริษัทมิตรผล ตำแหน่งพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน วัย 25 ปี ที่ฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นทีละขั้นทีละตอนจนประสบความสำเร็จ กลายเป็นหนังสั้นที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกๆ คนที่ได้รับชม
นอกเหนือจากประโยชน์อันเกิดขึ้นหลังนาทีสุดท้ายของภาพยนตร์จบลง มุมมองความคิด ทัศนคติ และการรับมือกับปัญหา ยังคงเป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้และศึกษาต่อยอดนำมาปรับใช้ เพราะฉะนั้น Manager online จึงไม่ละเลยที่จะอาสาเข้าไปล้วงลึกอดีตเด็กที่ใครๆ ต่างดูถูกดูแคลน อดีตเด็กบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่ง ที่กล้าลุกขึ้นมาสู้ยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเป็น พร้อมๆ กับทำเพื่อผู้อื่น
แค่เพียงเปิด...ใจ
เราก็ไม่ต่างกัน
“ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ออกตุ้งติ้ง มาตั้งแต่วัยเด็ก อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ท่านก็รับรู้ว่าเราไม่ใช่ผู้ชายเต็มร้อย แต่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เราก็เลยไม่รู้สึกว่ามีผลกระทบ ชีวิตในช่วงนั้นก็เป็นเหมือนเด็กทั่วไปปกติ ก็มีความฝันว่าอยากรับใช้ชุมชน เพราะเรามองว่าตั้งแต่สมัยเด็กๆ อยู่ชั้นมัธยม เราอยู่กับวิถีชีวิตชุมชนที่เรียบง่าย วัฒนธรรมที่ดีงาม สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มันเริ่มที่จะหายไป เช่น ประเพณีบุญพระเวส (เทศมหาชาติเวสสันดรชาดก) เป็นวัฒนธรรมหนึ่งที่ชุมชนคนอีสานจะพากันแห่ดอกไม้รอบหมู่บ้าน แล้วก็มีการทำบุญ เป็นกุศโลบายพิธีในการหลอมรวมจิตใจคน สิ่งนี้กำลังค่อยเลือนหายไป
“เราก็เลยคิดว่าวันหนึ่ง ถ้าเราไปเรียนในสายอาชีพที่มันจะได้กลับมาพัฒนาท้องถิ่นมันจะเป็นสายไหนได้บ้าง ก็ศึกษามุ่งมั่นมาทางสายพัฒนาชุมชน ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สาขาวิชาการพัฒนาสังคม ควบคู่กับการช่วยเหลือกิจกรรมในหมู่บ้านทุกงาน”
“หัวหน้าเขียว” ที่คนในชุมชนต่างเรียกขาน พนักงานจากจังหวัดร้อยเอ็ดฝ่ายตำแหน่งพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนของบริษัทมิตรผล เล่าจุดเริ่มต้นของเส้นทางนักพัฒนา
“จริงๆ แต่ก่อนมีความฝันอีกอย่างหนึ่งคือการอยากเป็นเชฟทำอาหาร เพราะชอบทำอาหาร แล้วเวลาที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทาน ท่านก็จะชมว่าอร่อย เราก็เลยอยากทำอาหาร แต่ด้วยความที่เรารักชอบในการทำกิจกรรมกับชุมชน พอทำเรื่อยๆ มันก็ซึมซับ อยากจะทำตรงนี้มากกว่า เพราะพี่ป้าน้าอาในชุมชนไม่ได้มองว่าเราแปลกแยก เขาเห็นเราตั้งแต่เด็กๆ แต่สังคมชุมชนอื่นๆ อาจจะมองเราอีกแบบเพราะไม่เคยเห็นเรา เราก็จะถูกล้อ ถูกเรียกบ้างว่า ไอ้ตุ๊ด
“คือเขาไม่ได้ยอมรับในตัวเรา เพราะเราก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ เรายังไม่ได้ทำงาน เขาก็คงคิดว่าเราจะสามารถทำงานได้หรือเปล่า เป็นคนที่ดีในสังคมได้หรือเปล่า เขาก็ยังไม่รู้ นั่นคือช่วงระหว่างทาง ก็โดนมาเยอะ”
ด้วยความหวังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาช่วยเหลือและได้รับการยอมรับเพิ่มเติมนอกเหนือจากพ่อแม่ พี่น้องครอบครัวเครือญาติและเพื่อนสมาชิกเพศเดียวกันที่มีเพียง 4 คน ในหมู่บ้าน ให้เกิดการยอมรับ
“แรกๆ ในช่วงอายุแค่นั้นเราก็ไม่ได้มองอะไรไกลขนาดนี้ แต่ด้วยนิสัยเป็นคนง่ายๆ ในบางเรื่อง แต่ก็จริงจังในบ้างเรื่อง เช่น เรื่องการทำงาน ซึ่งต่อให้ช่วงที่เรียนจะเรียนไม่เก่ง แต่สิ่งที่ทำให้ตระหนักและขวนขวายให้เรามากยิ่งขึ้นก็คือ ตอนนั้นที่เรียนประถม มี 17 คน เราสอบได้ที่ 16 กับอันดับที่ 17 ครองแชมป์ตำแหน่งนั้นตลอด จน ม.1 ก็อยู่ห้องท้ายๆ ตลอด แล้วก็มีคนมาพูดกับเราว่ามันโง่บ้าง เรียกเต็มๆ ว่า ไอ้ตุ๊ดนี่มันโง่ มันไม่ฉลาด โน่นนี่นั่น ดูถูกเรา แต่เราก็ไม่ได้ไปโกรธเขานะ มันคือสิทธิในการคิดของเขา เราก็เลยเก็บแรงผลักดันตรงนั้น พยายามที่จะตั้งใจเรียน คือเราห้ามความคิดเขาไม่ได้ แต่เราสามารถทำให้เขายอมรับเราได้
“พอคิดอย่างนั้น เรื่องตรงนั้นมันก็ส่งผลต่อเรื่องอื่นๆ ด้วย เรื่องเรียนก็ทำให้พอจะดีขึ้นบ้าง แต่ไม่ถึงกับเก่ง ก็พยายามเกาะติดกับเพื่อน กลุ่มที่เขาเรียนเก่งๆ ให้ตัวเองได้อยู่รอด แล้วค่อยจดจำเอาทักษะในตัวเขามาสอนตัวเรา ทีนี้พอเข้ามหาวิทยาลัย เราก็ตั้งปณิธานกับตัวเองว่า ไหนๆ เราก็ชอบในศาสตร์งานพัฒนาแล้ว เราจะต้องสู้กับมัน เราต้องทำให้ตัวเองมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเรื่องด้านนี้ให้ได้ เพราะมีประสบการณ์ความรู้ในห้องเรียนอย่างเดียว มันก็ได้แค่ทฤษฎีเท่านั้น ภาคปฏิบัติเราไม่ได้ เราก็เลยพยายามเกาะติดกับอาจารย์ เวลาอาจารย์ไปทำวิจัย จัดเวทีชาวบ้าน ก็ขออาจารย์ไปด้วย เพราะนั่นคือเวทีที่เราจะได้ประสบการณ์จริง ก็ทำให้เราพัฒนาตัวเองมากขึ้น และจากปี 1-4 มันทำให้เราเกรดเฉลี่ยที่เคยต่ำ สูงขึ้นถึงเกรดหลัก 3 เรียนจบได้ 3.64
“ไม่รู้สึกว่าการตัดสินใจในวันนั้นเราผิดพลาด เราเข้ามาเรารู้สึกว่าเราชอบ รู้สึกว่าการที่เราได้เข้ามาช่วยเหลือคนในชุมชนเล็กๆ ให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พึ่งพาตัวเองได้ จัดการตัวเองได้ เรารู้สึกว่าในวันนั้น ถึงแม้เราจะเป็นจุดเล็กๆ ที่ช่วยเขา แต่สำหรับเรามันมีคุณค่ามาก”
มากจนลืมเรื่องราวความแตกต่างระหว่างทัศนคติชีวิต หมายมุ่งสร้างคุณค่า แต่ทว่าโลกนอกรั้วมหาวิทยาลัย ก็ยังพบเห็นความคิดเชิงลบต่อเรื่องเพศให้เห็นอยู่
“ไล่สมัครหางานอยู่ 7 เดือนกว่าจะได้”
นักพัฒนาชุมชนคนดังเปิดเผยทั้งๆ ที่มีการตระเตรียมความพร้อมเริ่มทำประวัติส่วนตัวตั้งแต่ปี 2 และเสาะแสวงหาหน่วยงานองค์กรที่เกี่ยวข้อง แต่ด้วยเพศสภาพที่แตกต่างทำให้โดนตอกกลับ ปฏิเสธยื่นข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธได้ในการยอมรับอย่างไร้เยื่อใย บางคนเขาก็ปฏิเสธดี แต่ส่วนมากจะปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี พูดลักษณะดูถูก บอกว่าเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ เป็นอะไร จะทำตำแหน่งนี้ จะเข้ากับเขาได้เหรอ แล้วก็ตัดสายหรือไม่ก็จบสรุปสัมภาษณ์
“อันนี้เราต้องเข้าใจ เราก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา เราเข้าใจ เราเคารพในสิทธิความคิดของเขา บางทีเรายังไม่ชอบในสิ่งที่บางคนเป็น เขาก็มีสิทธิที่จะไม่ชอบเราเหมือนกัน เราเจออย่างนี้เราก็ระบายกับเพื่อนสาว เพื่อนเพศเดียวกัน เราโดนล้อ เขาก็จะบอกว่าเราอย่าไปคิดอะไรมากมาย เขาด่าเราว่าเราก็ว่าไป เราไม่ได้เป็นแบบที่เขาว่า เขาจะว่าเราไม่ดีในสังคม แต่เราไม่ได้เป็นสักหน่อย เราเป็นแบบนี้ เราก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับใคร ก็หาย ก็ทำให้ไม่คิด
“คือแม้ว่าอาจจะหลงเหลือเป็นปมในใจบ้างก็จริง แต่เราไม่ได้คิดมาเก็บกดตัวเองว่ามันจะเป็นปัญหาชีวิตเรา เราไม่คิดอย่างนั้น เราพยายามที่จะสลายด้วยการคุยกับเพื่อน เพื่อนก็ให้กำลังใจ ไม่ได้เก็บมาเป็นปมแค้นอะไรอย่างนี้ ไม่ได้เก็บไว้ให้ตัวเองแค้น หรือเป็นปัญหาในชีวิตตัวเอง มันคือสิ่งหนึ่งที่กระทบเรามาเท่านั้นเอง เราไม่ได้รับ ก็ดำเนินชีวิตปกติของเรา เราก็โดนตั้งแต่เด็กแล้วก็อาจจะเป็นการชินชา การที่เราแก้ไขปัญหา เขาพูดมันก็ความคิดของเขา สิ่งที่เขาพูดแล้วคิดออกมาเท่านั้นเอง แต่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
เป็นระยะเวลากว่า 7 เดือนที่วันคืนล่วงเลยให้คิดอย่างนั้นเรื่อยมาโดยที่ไม่ล่วงรู้เลยว่าหนทางข้างหน้า สิ่งที่ตั้งมั่นไว้จะเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด กระทั่งประตูโอกาสแห่งบริษัทมิตรผล เปิดกว้างอ้าแขนรับ ชีวิตของเขียวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“คือเขาก็ถามเรื่องเนื้องานต่างๆ และความเป็นตัวตนของเรา ผอ.ในวันนั้นก็เปิดโอกาสให้เรา เขาไม่ได้มองเรื่องเพศของเรา ซึ่งตัวเรามีปมอยู่แล้ว เราจะไปเข้ากับคนได้หรือเปล่า เพราะเราถูกล้อมาตั้งแต่เด็ก เราก็มีปมว่าถ้าราเป็นอย่างนี้ติดต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ข้าราชการตลอดเวลา เขาจะยอมรับเราในจุดนี้หรือไม่ เราก็มีปม ระแวง เพราะที่นี่เป็นถึงบริษัทเอกชน เขาก็มีตัวเลือกเยอะ ถ้าเป็นผู้หญิง สวยๆ จะเวิร์กกว่า แต่วันนั้นสิ่งเหล่านั้นมันก็ถูกลบล้างด้วยการให้โอกาสของท่าน ผอ.
“ถามว่าในยุคนี้ยังมีอยู่ไหม มันมีคนที่ให้โอกาสเยอะ แต่ต้องยอมรับว่าในสังคมไทยก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ยอมรับในจุดนี้ มันมีหลายคนหลายความคิดมุมมอง แต่ชั่วโมงนั้น เราอาจจะไปโดนในกลุ่มที่ไม่ยอมรับในตัวเรา แต่บางคนอาจถูกเปิดกว้างไปแล้ว เรามาแจ็กพอตเจอตรงนี้พอดี แต่ละคนก็อาจจะโดนมาไม่เหมือนกัน
“การที่เราได้รับโอกาสตรงนั้น มันลบล้างในปมของเราว่าสิ่งที่เราคิดมาตลอดว่าในช่วงชีวิตหนึ่งเราคงไม่ได้โอกาส แต่ทุกสิ่งอย่างมันลบล้างด้วยการให้โอกาสของท่าน ทำให้รู้สึกว่าเราศรัทธาในการให้โอกาสตรงนี้มาก และทำให้เรารู้ว่าคนเราถ้ามีโอกาสที่จะทำ เราก็ทำได้ไม่ต่างกัน”
“สาคร พูลโพนงาม” หรือ “อ้ายสาคร” จึงกลายเป็นที่รู้จัก เป็นที่ยอมรับ เป็นหนึ่งในนักพัฒนาสังคมชุมชนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทยในขณะนี้ ที่ช่วยเหลือให้ชุมชนตำบลสมสะอาด อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ กลายเป็นชุมชนหนึ่งที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยความสุขที่แท้จริงอย่างยั่งยืน
ค่าของคนอยู่ที่คุณความดี
• หลังจากชนะตัวตนความคิดและได้รับโอกาสให้พิสูจน์เราเริ่มต้นงานตรงนี้อย่างไรบ้าง
เริ่มต้นทำงานกับชาวบ้าน โดยวิธีการทำงานกับชาวบ้านแต่ละชุมชนบริบทค่อนข้างแตกต่างกัน คนในชุมชนมีหลายแง่มุมคิด มีหลายการกระทำ คือการทำงานกับชาวบ้านใจเราต้องนิ่ง ใจเราต้องทุ่มเท เราเป็นแบบนี้จะสามารถเป็นผู้นำคนได้ไง และเขาก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน ภูมิลำเนาของเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น เขาก็ไม่ได้ยอมรับในตัวเราเลยทันทีทันใด เราก็เก็บตรงนั้นว่าเป็นแง่คิด เราไม่สามารถที่จะไปว่าเขาได้ เราก็เก็บตรงนั้นมาพัฒนาตัวเองว่าจะปรับจะเพิ่มในจุดไหนของตัวเรา
• แล้วเราเปิดประตูด่านแรกให้เขาเชื่อมั่นยอมรับได้อย่างไร
ก็ไปชี้แจงว่าเราจะทำอะไรร่วมกับชาวบ้าน ก็ไปศึกษาบริบทชุมชนก่อน สมมติว่าพื้นที่นี้มีครอบครัวที่เป็นหนี้หลายครัวเรือน เขาเป็นหนี้เท่าไหร่ ต่อมาคือปัญหาที่เกิดขึ้นที่ทำให้เกิดหนี้ขึ้นเพราะอะไร เราก็ใช้ฐานข้อมูลอันนี้ไปพัฒนาเขาให้ครอบครัวเขามีการอยู่การกิน จากที่ซื้อทุกอย่าง เราก็นำในเรื่องทฤษฎีเกษตรผสมผสานไปให้เขา คือสิ่งไหนที่ชาวบ้านไม่รู้ เราก็พยายามที่จะมาเติมเต็มให้เขา เอาผู้เชี่ยวชาญมาให้เขา เหมือนเป็นนักประสานงาน ดำเนินการเปลี่ยนความคิดให้เขา
ที่สำคัญคือเปิดใจ เราต้องใช้ใจ เราก็ไปหาเขาทุกวัน ไปทำกิจกรรมกับเขา กินข้าวร่วมกับเขา จนเรากลายเป็นส่วนหนึ่งกับเขา เป็นคนหนึ่งจริงๆ ในชุมชน ก่อนค่อยๆ บอกว่าถ้ารับสิ่งใหม่ๆ มาเพื่อมันจะดีขึ้น ไม่ย่ำอยู่กับที่
• ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในการปรับเปลี่ยนความเคยชิน
แรกๆ ไม่เชื่อ เพราะว่าเขาไม่เห็น ยังไม่เห็น เพราะความสำเร็จมันเห็นยากในงานพัฒนา แล้วพวกเกษตรพวกนี้มันก็ต้องรอเวลาออกดอกออกผล ในวิถีของชาวบ้านอาจจะต้องการเดี๋ยวนี้เลย แต่ว่าเรื่องพวกนี้ อย่างเลี้ยงปลาก็ใช้ระยะเวลาหลายเดือนกว่าจะได้เงิน เลี้ยงกบก็หลายเดือน ไก่ก็หลายเดือน ก็ต้องอาศัยคนที่เห็นด้วยกับเราเป็นสะพานตัวอย่าง และบวกกับด้วยเวลาที่เราทุ่มเท่กับเขาทุกวันก็ทำให้เขาเริ่มที่จะเปิดใจมากขึ้น
พอเกิดความสำเร็จแม้จะเพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้น เขาเริ่มที่จะเปลี่ยนมาเชื่อใจเรา คนที่เชื่อก็เป็นต้นแบบให้เห็น คนที่ทำร่วมกับเราประสบความสำเร็จ คนที่พยายามอยู่ ยังไม่ทำ ก็เริ่มที่จะมองว่าสิ่งที่เราพาทำมันสำเร็จนะ เขาก็เชื่อในตัวเรามากขึ้นแล้วก็พากันมา ซึ่งหลังจากที่เขามองว่าเรื่องเพศของเราเป็นแบบนี้ ตอนนี้เขาก็ไม่มองอย่างนั้นแล้ว มองข้ามไปแล้ว มองเรื่องคุณค่าของตัวเรามากกว่า
• มีท้อมีเหนื่อยบ้างหรือไม่ เพราะใช้ระยะเวลานานกว่าจะทำสำเร็จ
เราต้องมีใจศรัทธา อันดับแรกศรัทธาในตัวองค์กรก่อน เพราะเขาได้นำหลักปรัชญาในหลวงเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ อย่างโครงการฝ่ายพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนอันนี้ สนับสนุนให้พี่น้องชาวไร้อ้อยทำเกษตรผสมผสานควบคู่กับการปลูกอ้อย ซึ่งเป็นโครงการที่ดีที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่อย่างยั่งยืน และอย่างที่สอง เราศรัทธาในการให้โอกาส เนื่องจากวันนั้นบริษัทให้โอกาสเรา วันนั้นเรามีโอกาสเข้าไปพัฒนาชุมชน เรามองว่ามันเป็นการสร้างโอกาสให้คนหนึ่งคน แล้วคนหนึ่งคนสร้างโอกาสให้คนหลายๆ คน เราไปสร้างโอกาสต่อให้ชาวบ้าน จัดการ พึ่งพาตัวเองได้ และชุมชนอยู่ได้อย่างมีความสุข
อันสุดท้าย ศรัทธาในคุณค่างานพัฒนาชุมชนที่เข้าไปพัฒนาชุมชน สังคม ประเทศชาติ ให้มีความเจริญก้าวหน้าตามวิถีงานพัฒนาด้วยจิตสาธารณะ เราศรัทธา 3 อย่างนี้ ทำให้ทุกวันนี้ถึงแม้งานไหนจะหนักก็แล้วแต่ เรามองว่ามันมีคุณค่าทุกอย่างของความสำเร็จของชุมชน ทำให้จิตใจเรามีความสุข ทำให้ไม่เหมือนทำงาน เพราะทำแล้วมีแต่ความสุข ซึ่งตอนนี้ก็มีพ่อแม่พี่น้องที่เข้าร่วม 50 หลังคาเรือนในตอนแรกๆ ก็มาถึง 100 หลังคาเรือน จากทั้งหมด 150 ครอบครัว ก็ดีใจ เรามองว่ามันเป็นงานร่วมกับคน มันค่อนข้างที่จะหนัก แต่ด้วยใจที่เราศรัทธาในเนื้องาน งานอะไรก็แล้วแต่ ถ้าทำด้วยใจศรัทธามันก็สามารถประสบความสำเร็จได้ เพราะว่าถ้าเราไม่มีใจเลย ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ แต่วันนี้เราใจศรัทธา แม้จะทำได้เพียงแค่ 1 ปีกับอีก 7 เดือน ณ ตอนนี้ แต่โครงการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเราทำมา 5 ปีแล้ว โดยก่อนหน้านั้นมันถูกเรียกว่าโครงการเพิ่มผลผลิตก่อน
คือเป็นโครงการที่เราทำกับชาวไร่ของมิตรผล ในการที่เราไปทำ ให้ความรู้ว่าเขาจะปลูกอ้อยอย่างไรให้ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตให้ได้เยอะที่สุด ทีนี้พอเราทำไปแล้ว เราไปเจอปัญหาว่าสิ่งที่ทำให้ชาวไร้อ้อยอยู่ไม่ได้ คืออ้อยทำ 1 ปี ได้เงิน 1 ครั้ง แต่ในระหว่างนั้น เขาไม่มีรายได้ ก็เลยทำให้จากเดิมที่เป็นโครงการเพิ่มผลผลิต เราก็เลยไปดูว่าเราจะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเขาได้อย่างไร มันก็เลยกลายเป็น งานพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งเป้าหมายของเราเรามุ่งพัฒนาชีวิตเขา 5 ด้าน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สุขภาวะ จิตใจศีลธรรม จึงทำงานโดยไม่เอาเงินนำหน้า เขามีปัญหาอะไร เราจะศึกษาปัญหานั้นก่อนว่าต้นเหตุ ปลายสาเหตุปัญหานั้นก่อน เราจะสร้างความมีส่วนร่วมทุกอย่างเหมือนทำงานบูรณการร่วมกัน เพื่อความยั่งยืน
• ความสำเร็จของเราคาดหวังไว้ที่ระดับไหนบ้างหรือไม่
ความสำเร็จหรือการที่จะให้ชาวบ้านเชื่อความสำเร็จของเราไม่ได้มองว่า 10 คือ ความสำเร็จ แต่เรามองว่าการที่ชาวบ้านเริ่มนับจาก 0 เป็น 1-2-3 มันคือความสำเร็จของเขา เรามองตรงนั้นมากกว่าที่จะมองว่าไต่ถึง 10 คือความสำเร็จ เราไม่ได้มองในจุดนั้น คือแค่เขาเริ่ม เท่ากับสำเร็จแล้ว
เพราะว่าความสำเร็จของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ละคนมีความคิดที่ช้า-เร็ว และมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเขา อย่างเขามีพื้นที่ 1 ไร่ เขาทิ้งเป็นพื้นที่ว่างเปล่า เราก็พาเขาไปเรียนรู้ พาคนที่มีความรู้มาหาเขา เขาเริ่มที่จะคิดว่าพื้นที่ของเขาที่ว่างเปล่า มันควรจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่านี้ ก็แบ่งพื้นที่ของเขาตามที่ได้เรียนมา มีอาหาร มีพื้นที่อยู่อาศัย ทุกวันนี้ลดค่าใช้จ่ายและอาหารมากขึ้น ก็มีหมู ไก่ กล้วย ปลา ผัก สิ่งที่เขาอยากจะกิน ผลไม้ พื้นที่ของเขาก็จะจัดตามรูปแบบที่ไปดูงานมาแล้วจินตนาการว่าอยากได้รูปแบบไหน ตามปากเขา ใจที่อยากกินอะไร
เราก็เต็มใจอยู่แล้วจะพัฒนาเขา เราเข้าใจว่าความคิดของคนมันไม่สามารถเปลี่ยนได้ในวันสองวัน บางครั้งมันใช้เวลานาน เขามาเข้าช้าก็ไม่ผิด เพราะเขามีความคิดที่จะเปลี่ยนตัวเองแล้ว เรื่องนี้ใช้ได้กับทุกสิ่งอย่าง ดังนั้นก็ต้องเห็นคุณค่าในความคิดของเขาว่าเขาต้องการจะเปลี่ยนตัวเองให้ดียิ่งขึ้น เขามาพร้อมที่จะเรียนรู้แล้วก็เปิดโอกาสให้เรียนรู้ อะไรที่เขาไม่รู้ ก็พาเขาไปเรียนรู้ เข้าร่วมกับเพื่อนได้อย่างกลมกลืน
• ทำไมต้องช่วยคนอื่น ทั้งๆ ที่ตอนแรกถูกละเลยมองข้ามไม่ใส่ใจ
คือพอเราทำแล้วเรามีความสุข มันเป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจเรา เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำที่เราทุ่มเท มันไม่ได้เสียเปล่า มันยังมีคนที่เห็นคุณค่า เป็นความสุขทางใจ ด้วยใจที่เราชอบ เรารักในสายงานสายอาชีพนี้แล้ว เหมือนกับว่าได้เห็นคนหนึ่งคนที่เปลี่ยน เริ่มจากสิ่งที่เขาไม่มีเลย แล้วเขาเริ่มขึ้นมาเรื่อยๆ นั่นคือสิ่งที่ใจเราให้กับเขา แล้วภูมิใจมาก ถึงแม้จะเหนื่อย แต่มันก็สามารถที่จะหักล้างในใจเราได้ ถ้าใจเราชื่น ถึงมันจะเหนื่อยแค่ไหนก็มีความสุขอยู่ดี
ความสุขที่ใจ ใจมันไม่สามารถบอกได้ว่ามันขนาดไหน แต่สิ่งที่มันเหนื่อยมา เราเห็นสิ่งที่ชาวบ้านเปลี่ยนแปลง ใจเราเองชื่นใจไปด้วย นั่นคือสิ่งที่เราได้รับ นอกเหนือมันเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราทุ่มเททำให้เขามองข้ามในเรื่องเพศของเรา แล้วมาโฟกัสในเรื่องงานของเรา สิ่งที่เราทุ่มเท เพื่อให้เขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เขามองจุดนี้มากกว่า เรื่องเพศเขามองเป็นศูนย์ มองเราเป็นเจ้าหน้าที่มิตรผลคนหนึ่งที่เข้าไป จริงใจกับเขา สนับสนุนให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากที่เขาไม่มีอะไรเลยแล้วกลับมาพึ่งพาตัวเองได้ ยืนได้ มันเป็นการให้ใจกับใจที่สุขด้วยกันกับชุมชน คือเหตุผลทั้งหมดของเรา
จงเชื่อมั่นและตระหนักในคุณค่า
เราจะพลิกโชคชะตากำหนดชีวิตตัวเอง
“เรามองว่าให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็แล้วแต่ เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อในคุณค่าในตัวเอง สิ่งที่เราทำมันมีคุณค่าเพียงพอในสังคม เราไม่ได้เป็นปัญหาสังคม เราสร้างคุณค่ามากกว่า ให้มอง ให้มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าที่จะมองในจุดที่มันร้าย
“อย่าไปคิดท้อแท้”
นักพัฒนาคนหนุ่มรุ่นใหม่กล่าวย้ำ หลังจากลัดเลาะเส้นทางชีวิตทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานอย่างหมดเปลือก
“คือเรามองว่าเราก็มีคุณค่าที่จะอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างมีความสุขและดี เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย เราต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน นั่นคือปัจจัยเบื้องต้นเลยที่เราต้องมีในทุกคน ตัวเราเองพิจารณาตัวเราเองก่อน ถ้าจะเป็นแบบนี้หรือเพศไหนก็ตาม เราต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทำตัวให้เราดีก่อน แล้วค่อยพัฒนาต่อไป”
แม้ว่าจะก้าวผ่านไปไม่ได้ง่ายๆ แต่กระนั้นให้เชื่อใจตัวเองไว้ อย่าได้วอกแวกกับสิ่งรอบข้างที่มันกระทบต่อเรา ให้มองในคุณดีคุณงามมากกว่า กับสิ่งที่มันไม่ดี
“วิธีการมองของคนว่าจะก้าวข้ามผ่านตรงนี้ไปได้อย่างไร เราไม่สามารถจะบอกได้ว่าทำสเต็ปแบบนี้แล้วจะสามารถก้าวข้ามไปได้ แต่มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบว่าเขาจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไร
“มันผ่านกันยากเรื่องอคติของคน จิตของคนถ้ามันอคติแล้วมันแก้ยาก แต่เราต้องใช้เวลาพิสูจน์ ถ้าเขาอคติต่อเรา ใจเราต้องนิ่งด้วย เพื่อพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเขาอคติกับเรา เราไม่ได้เป็นแบบนั้น ใจเราคือต้องนิ่ง ถ้าใจเราเป๋ สิ่งที่เขาคิดก็อาจจะเป็นจริง เราอาจจะทำสิ่งที่เขาคิดก็ได้
“อันดับแรกเลยคือต้องมีความคิด ใจของเราต้องมาก่อน จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว เราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราทำดี เราไม่ได้ทำในลักษณะที่เขาพูด เราก็จะมีชีวิตที่สำเร็จได้ดั่งฝัน
“ทุกวันนี้ก็ภูมิใจ แต่คือไม่ได้คิดว่าเราเป็นคนดีขนาดนั้น การที่เราทำตรงนี้ อย่างนี้เรื่อยๆ มันจะค่อยๆ ซึมซับกลายเป็นแบบนี้ในที่สุด แล้วเราจะไม่ได้มองแค่เปลือกภายนอกรูปนั้น เราจะมองคุณค่ามากกว่า ก็ดีใจ ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ ให้โอกาส เราได้ทำในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ เราก็ดีใจ ก็อยากให้ทุกคนคิดสิ่งใดสมความปรารถนาในสิ่งที่หวัง”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร