พสกนิกรชาวไทยจากทั่วทุกสารทิศ ยังคงเดินทางมาเข้าถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างต่อเนื่อง เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
วันนี้ (4 เม.ย.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 153 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง
ด้าน นางสมหทัย ตรองจิตต์ อายุ 50 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนเกษตรอีสานสามัคคี อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ได้ใช้เวลาช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน เดินทางมาเยี่ยมเยือนน้องสาวที่พักอยู่ย่านรังสิต จังหวัดปทุมธานี แล้วจึงถือโอกาสชักชวนน้องสาวมาสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยเดินทางมาถึงท้องสนามหลวงเมื่อเวลา 09.00 น. และได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพตอน 10.30 น.
โดย นางสมฤทัย กล่าวว่า เพิ่งมาเป็นครั้งแรก รู้สึกปลาบปลื้มใจ ตื้นตันใจมากที่ครั้งหนึ่งในชีวิตมีโอกาสได้มาสักการะพระบรมศพ พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ที่ผ่านมาพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่พสกนิกรชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ ดังที่เห็นได้จากโครงการในพระราชดำริกว่า 2,000 โครงการ โดยเฉพาะหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นแบบอย่างและแนวทางในการดำเนินชีวิตให้คนไทยได้เป็นอย่างดี และตนในฐานะที่เป็นครู ก็ได้นำหลักปรัชญานี้มายึดถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติงาน คือ ต้องใช้งบประมาณที่โรงเรียนได้รับให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อเด็กนักเรียน และประเทศชาติ
“เราเป็นครูไม่ได้เพียงนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ ๙ มาใช้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เราต้องปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คนในชุมชนด้วย ในช่วงที่เกิดเหตการณ์การชุมนุมทางการเมือง ประเทศไทยเกิดความแตกต่างทางความคิดอย่างรุนแรง และพื้นที่ในสังกัดของโรงเรียน เป็นพื้นที่ชายแดน ผู้คนได้รับข่าวสารน้อยทำให้เกิดความแตกแยกทางความคิดค่อนข้างรุนแรง ดังนั้น เราในฐานะที่เป็นครูเป็นแบบอย่างของคนในชุมชน จึงมีหน้าที่ทำความเข้าใจ และอธิบายสิ่งที่ถูกต้องให้คนในชุมชนเข้าใจ เราจึงพยายามปลูกฝังทุกคนเสมอว่าในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงพระมหากรุณาธิคุณกับประเทศไทยอย่างไรบ้าง พระองค์ทรงนำพาประเทศไทยผ่านพ้นจากวิกฤติอันตรายมาหลายต่อหลายครั้ง เราต้องดำรงทั้ง 3 สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้คงอยู่คู่ประเทศไทย ตราบนานเท่านาน”
ด้าน นางบุบผา เหลือสนุก อายุ 47 ปี ชาวตำบลสูงเนิน อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า วันนี้ลูกๆ และหลานๆ โรงเรียนปิดเทอม จึงได้พากันมากราบในหลวง รัชกาลที่ ๙ โดยตนและลูกสาวเดินทางมากราบเป็นครั้งที่ 2 และขอให้มีโอกาสได้มีกราบอีกและจะพาสามีมาด้วย แต่ตอนนี้ต้องอยู่บ้านดูแลไก่ที่เลี้ยงไว้ ส่วนลูกชายและหลานชายเพิ่งจะเดินทางมาเป็นครั้งแรกทุกคนดีใจมาก เพราะที่ผ่านมาเห็นในหลวง รัชกาลที่ ๙ เสด็จฯไปเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ลำบากๆ ท่านก็ทรงพระดำเนินเข้าไปช่วยเหลือราษฎร เห็นแล้วรู้สึกซาบซึ้ง พระองค์จะอยู่ในดวงใจของพวกเราตลอดไปไม่มีวันลืม มีลูกมีหลานก็จะสอนให้พวกเขาได้รับรู้ว่าในหลวง รัชกาลที่ ๙ ท่านทรงสั่งสอนไว้อย่างไร โดยส่วนตัวก็จะขอเป็นคนดีของประเทศชาติ และสอนลูกหลานให้เป็นคนดีของสังคม ให้รู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดินและขยันหมั่นเพียร
ด้าน นางสาววาสนา เหลือสนุก นักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีศรีวัฒนาบริหารธุรกิจ กทม. กล่าวเพิ่มเติมว่า เวลาท้อ ไม่อยากเรียนหนังสือ หรือทำข้อสอบไม่ได้ แต่พอคิดถึงภาพในหลวง รัชกาลที่ ๙ ที่พระองค์ท่านทรงงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนไทย มาเป็นแรงบันดาลใจให้เราสู้ต่อไป และแม่ก็สอนให้รู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
“รู้สึกประทับใจโครงการในพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ ๙ หลายโครงการที่ท่านทำเพื่อคนไทยทั้งประเทศ และที่หนูนำมาใช้อยู่ก็คือหลักเศรษฐกิจพอเพียง เช่น การออม เวลาแม่ให้เงินไปเรียนส่วนหนึ่งก็ใช้ อีกส่วนหนึ่งก็เก็บออมไว้ และเรื่องการแบ่งปัน ความเสียสละ และแม่ก็สอนให้หนูทำความดีเพื่อสังคมและรู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน” น.ส.วาสนา กล่าว
ด้าน นางอัมพร ธรรมดา อายุ 56 ปี อาชีพแม่บ้าน เดินทางมาจากบ้านโนนเมือง อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น เพื่อตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลวชิระ แล้วถือโอกาสเข้ามาสักการะพระบรมศพสักครั้งในชีวิต เมื่อได้เข้าไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท รู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาไหล แม้จะไม่เคยได้เฝ้าฯ รับเสด็จฯสักครั้ง แต่ก็ติดตามการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ผ่านข่าวทางโทรทัศน์ทุกๆ วัน ทำให้ได้รู้ว่า พระองค์ท่านทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อประชาชนคนไทยมากเหลือเกิน และตรงนี้เองที่ทำให้รักพระองค์มาก รักในทุกๆ สิ่งที่เป็นในหลวง รัชกาลที่ ๙
“พี่ชายและหลานชายเป็นทหาร มีโอกาสได้ถวายงานพระบรมวงศานุวงศ์ ตัวเองเคยอาศัยอยู่กับพี่ชายก็พลอยได้ซาบซึ้งผ่านการทำงานของคนในครอบครัว กระทั่งพี่ชายเกษียณอายุราชการเมื่อหลายปีก่อน จึงพากันกลับไปอาศัยที่บ้านเกิด ทำนาเสร็จก็ปลูกผักเก็บไว้กินเองบ้างเหลือส่งขายที่ตลาดบ้าง ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงสอนเอาไว้ โดยเฉพาะเรื่องการนำเอาปุ๋ยอินทรีย์มาใช้แทนปุ๋ยเคมี ทำให้สุขภาพพลานามัยของคนในครอบครัวแข็งแรงไม่มีใครเจ็บป่วยเลย แม้เป็นข้อปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ส่งผลดีอย่างที่พระองค์ท่านทรงสอนจริงๆ” นางอัมพร กล่าวด้วยความปลื้มปีติ
ด้าน นายวุฒิชัย หวังอ้อมกลาง อายุ 57 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนพิมายวิทยา จังหวัดนครราชสีมา กล่าวภายหลังร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลถวายพระบรมศพว่า ตนตั้งใจไว้ตั้งนานแล้วว่าชีวิตนี้ต้องมากราบสักการะพระบรมศพให้ได้ เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายในฐานะคนไทยที่ต้องแสดงออกถึงความจงรักภักดี เมื่อทราบว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชานุญาติให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมเป็นเจ้าภาพ ตนก็รีบจองคิวมาทันที รู้สึกตื้นตันใจมากที่ได้มา ซึ่งในวันนี้ก็มีบุคลากรระดับหัวหน้างาน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนร่วมเดินทางมาด้วย ทุกคนก็รู้สึกภาคภูมิใจมาก
นายวุฒิชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของโรงเรียนพิมายวิทยา เราตั้งใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อถวายความจงรักภักดีแด่พระองค์ โดยก่อนหน้านี้ ก็มีการนำบุคลากรของโรงเรียนและตัวแทนสภานักเรียนประมาณ 200 กว่าคน เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ เพราะพวกเรามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะบารมีของในหลวงรัชกาลที่ ๙ และพระบรมวงศานุวงศ์ในราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ ซึ่งตนก็ตั้งปณิธานว่าจะให้ลูกหลานและบุคลากรสืบสานพระราชปณิธานด้วยการน้อมนำพระราชดำริต่างๆ มาใช้ในการทำงานและการดำเนินชีวิต