พระอัจฉริยะของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น เป็นที่ยอมรับกันว่า พระองค์ทรงพระปรีชาทั้งด้านการทหาร ภาษา ทั้งยังมีญาณวิเศษ
ทรงได้เลื่อนพระอิสริยยศเป็นเจ้าเมืองตากด้วยพระชนม์เพียง ๓๐ พรรษาเท่านั้น และเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกในปี ๒๓๑๐ พระองค์ได้นำไพร่พลประมาณ ๕๐๐ กว่าคนตีฝ่าวงล้อมข้าศึกไปตั้งหลักที่จันทบุรี เมื่อรวบรวมไพร่พลได้แล้ว ก็นำทัพเรือมาถึงปากน้ำในเวลากลางดึก รุ่งเช้าก็เข้าตีกรุงธนบุรีได้ จากนั้นก็ยกพลต่อไปในกลางคืน เช้าก็เข้าตีค่ายโพธิ์สามต้น กอบกู้กรุงศรีอยุธยาคืนได้โดยใช้เวลาเพียง ๒ วัน ๒ คืนเท่านั้น
พระอัจฉริยะทางด้านภาษานั้นยิ่งเป็นที่น่าแปลกใจ ในระหว่างที่ถวายตัวเป็นมหาดเล็กใน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ได้ทรงศึกษาภาษาต่างประเทศหลายภาษา จนสามารถพูดได้ทั้งจีน ญวน แขก
ในพงศาวดารบันทึกไว้ว่า ตอนนำทัพไปตีเมืองพุทไธมาศในปี ๒๓๑๔ มีหนังสือบอกข่าวมาว่าพม่าจะยกทัพจากเมืองเมาะตะมะมาตี แต่พระองค์ไม่ได้ทรงเชื่อตามหนังสือนั้น
จดหมายเหตุการทัพบันทึกไว้ว่า
“ครั้นทรงอ่านสัมฤทธิ์แล้ว จึงทรงจับยามและอนุมานด้วยญาณตามกระแสเนื้อความนั้น จึงตรัสแก่บริษัททั้งปวงว่า พม่าจะยกมานั้นหามิได้ ในทันใดจึงทรงซักไซ้ไต่ถามลาวมีชื่อด้วยภาษาลาว ก็แจ้งตระหนักในพระญาณเป็นแน่แท้ว่า พม่าจะยกมานั้นหามิได้”
ทรงเชื่อในญาณ มากกว่าหนังสือบอกข่าวทัพ
วันต่อมาเสด็จไปบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดญวน ให้สังฆการีธรรมการนิมนต์พระสงฆ์ทั้ง ไทย จีน ญวน เป็นอันมากมาพร้อมกัน แล้วสวดพระพุทธมนต์ตามภาษาของตน ครั้นจบถวายไทยทานแล้ว พระองค์ก็ตรัสประภาษให้โอวาทพระสงฆ์ญวนโดยภาษาญวน พระสงฆ์จีนโดยภาษาจีน ในพระราชอธิบายว่า ให้ตั้งอยู่ในพระวินัยสังวรศีล อย่าให้เสพเมถุนต่อสีกา สามเณร คฤหัสน์ ถ้ามิได้ตั้งอยู่ในวินัยบัญญัติฉะนี้ จะให้ตัดศีรษะเสีย
ถ้าศีลขาดยังต่อได้ แต่ถ้าขาดพระวินัยข้อนี้ต่อไม่ติดแน่