พสกนิกรทุกหมู่เหล่าจากทั่วประเทศ เดินทางมาร่วมถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
วันนี้ (21 มี.ค.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 137 ตลอดทั้งวัน ยังมีพสกนิกรทุกหมู่เหล่าจากทั่วสารทิศของประเทศไทย เดินทางมารอต่อแถวเข้าถวายสักการะพระบรมศพ อย่างต่อเนื่อง ตลอดทั้งวันตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้
นายอำพร กัณหาบุตร ผู้บกพร่องทางสายตา นายกสมาคมคนพิการ จ.ศรีสะเกษ กล่าวภายหลังเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ว่า วันนี้เดินทางมาพร้อมกับผู้พิการ ใน จ.ศรีสะเกษ กว่า 100 คน รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีพระเมตตาทรงคอยดูแลช่วยเหลือคนพิการเป็นอย่างดีตลอดมา ทั้งเรื่องความเป็นอยู่เรื่องค่าใช้จ่ายในครอบครัว การรักษาพยาบาล และให้คนพิการได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น รวมถึงเรื่องการประกอบอาชีพ ทั้งนี้ เพื่อให้คนพิการสามารถช่วยเหลือตนเองได้ ซึ่งพวกเรารู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ โดยผู้พิการก็อยากจะขอตอบแทนด้วยการเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท สมกับที่พระองค์ทรงอุทิศพระวรกาย และทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าให้อยู่ดีมีสุขขึ้น ที่สำคัญ จะน้อมนำหลักคำสอนในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์มาใช้
ขณะที่ นางสมนึก ทัศสาลี อายุ 64 ปี อาชีพค้าขายและเกษตรกร ชาว ต.บ้านป่า อ.แก่งคอย จ.สระบุรี กล่าวว่า เพิ่งจะมีโอกาสเดินทางมาเป็นครั้งแรก โดยในวันนี้เช่าเหมารถตู้โดยสารเดินทางมาพร้อมกับลูกชาย หลานๆ และญาติ รวม 10 คน โดยออกเดินทางจากบ้านมาตั้งแต่ตี 3 ซึ่งตนอยากเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพนานแล้ว และช่วงแรกๆ ก็เกรงว่าคนจะเยอะ จึงรอโอกาสและรอให้หลานปิดเทอมด้วย เพราะอยากพาหลานมาร่วมซึมซับบรรยากาศและร่วมถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย
“ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ท่านดีกับประชาชนในทุกๆ อย่าง ท่านทรงเป็นผู้นำที่ดีและทรงเป็นแบบอย่างของประชาชนทุกคน พระองค์ท่านทรงห่วงใยช่วยเหลือราษฎรที่ลำบาก ภาพที่เห็นทำให้รู้สึกประทับใจมาก รวมถึงคำสอนของพระองค์ที่น้อมนำมาปฏิบัติก็ทำให้เราคิดดีทำดีมีความซื่อสัตย์ นอกจากนี้ ก็ยังเป็นสมาชิกกลุ่มสตรีแม่บ้าน อสม.ก็ได้มีโอกาสทำความดีช่วยเหลือสังคม” นางสมนึก กล่าว
นางเทวี เกริฤทธิ์วณิช อายุ 65 ปี เดินทางมาจากบ้านพักย่านถนนศรีนครินทร์ พร้อมด้วยเพื่อนรุ่นน้องอีก 2 คน คือ นางสาวทิพชา วงศ์สกุลพัทธ์ อายุ 64 ปี และนางสาวพูนศรี หลวงวิชัย อายุ 50 ปี กล่าวว่า เพิ่งเดินทางมาเป็นครั้งแรกโดยนัดแนะกับเพื่อนเดินทางมาตั้งแต่เวลาประมาณ 06.30 น. ใช้เวลาเข้าแถวเพียงไม่นานก็ได้ขึ้นไปกราบพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ประทับใจพระองค์มากในทุกๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องน้ำท่วมที่พระองค์ทรงช่วยแก้ไขทุกครั้ง ตลอดจนแก้ปัญหาน้ำกินน้ำใช้ของชาวนาชาวไร่ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยส่วนตัวยังได้น้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านมาปรับใช้กับตัวเองด้วย ที่เห็นชัดเจนคือเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นไม่ฟุ่มเฟือย” แม่บ้านวัย 65 กล่าว
นางสาวพรวน เที่ยงรอด สาวใหญ่วัย 61 ปี อาชีพตัดเย็บเสื้อผ้า เดินทางมาจากบ้านพักใน อ.เมือง จ.นครปฐม โดยสวมใส่ชุดผ้าไหมที่ตั้งใจตัดเย็บเพื่อสวมใส่มาในโอกาสนี้โดยเฉพาะ เผยว่า เดินทางมาเป็นครั้งที่ 3 แล้วความรู้สึกครั้งนี้ดีขึ้นกว่าครั้งแรกที่มาเพราะตอนนั้นยังเสียใจมากแต่ครั้งนี้ ทำใจได้มากขึ้น และเชื่อว่า คนไทยส่วนใหญ่ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
“ตอนที่ขึ้นไปกราบพระองค์ท่านได้อธิษฐานบอกให้พระองค์ท่านเสด็จสู่สวรรคาลัยไม่ต้องเป็นห่วงประชาชน พระองค์ทรงเหนื่อยมามาก ทรงทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้ ซึ่งตอนนี้ตัวเองก็ปฏิบัติธรรมตามรอยพระองค์ท่าน พร้อมน้อมนำคำสอนของพระองค์มาปรับใช้กับตัวเองหลายอย่าง เช่นการอยู่อย่างพอเพียง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อนบ้าน และเมตตาต่อผู้ยากไร้” นางสาวพรวน กล่าว
ขณะที่ครอบครัว “เปลี่ยนแปลก” ถือโอกาสช่วงปิดเทอมมากันพร้อมหน้าครอบครัว นำโดยหัวหน้าครอบครัวนายอิทธิพล นางสายชล ด.ช.ไอระวีณ และ ด.ญ.อินทุภา โดยนายอิทธิพล และนางสายชล ร่วมกันเล่าว่า เดินทางมาเป็นครั้งแรกจากบ้านใน จ.นครปฐม ที่จริงอยากมานานแล้วแต่รอให้ลูกๆ ปิดเทอมจะได้มากันพร้อมหน้าครอบครัว เพราะที่ผ่านมา ก็สอนให้ลูกๆ รู้จักพระองค์ท่าน และสอนให้ลูกๆ ดำเนินรอยตามพระองค์ท่านด้วยการทำความดี นำคำสอนของพระองค์ท่านมาปรับใช้กับชีวิต และที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องความประหยัด เพราะเด็กๆ เขายังไม่รู้ว่าสำคัญอย่างไร เขายังไม่รู้ค่าของเงิน เราในฐานะพ่อแม่จึงต้องพยายามสอนเขาให้ซึมซับไปเรื่อยๆ