ปฎิเสธไม่ได้ว่า ถ้าให้พูดถึง “ศรราม เทพพิทักษ์” เขาคนนี้เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ถือได้ว่า เป็นดาวค้างฟ้าอีกดวงหนึ่งในวงการบันเทิงไทยก็คงไม่ผิดนัก เพราะตลอดช่วงเวลากว่า 27 ปี ที่เขายืนอยู่นั้น การันตีด้วยคุณภาพของผลงาน อีกทั้งยังเป็นที่ยอมรับในเรื่องฝีมือทางการแสดง จนอาจจะเรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งขวัญใจมหาชนของแฟนๆ ที่ติดตามผลงาน ก็คงไม่ผิดนัก

อีกด้านหนึ่งด้วยการเป็นบุตรชายของ “ชุมพร เทพพิทักษ์” ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักแสดงและผู้เป็นบิดาที่คอยอบรมสั่งสอนเขาในเรื่องต่างๆ จนทำให้ศรรามกลายเป็นที่รักของใครหลายคน ขณะเดียวกัน ด้วยความที่ต้องคลุกคลีและรับรู้ถึงการทำงานของวงการมาตั้งแต่เด็ก ก็ได้ฉุกคิดในช่วงเวลานั้นว่าจะไม่เข้ามาทำงานลักษณะนี้เด็ดขาด แต่ในที่สุดก็มีจุดเปลี่ยนมาถึงตัวเขา ทำให้ศรรามต้องเข้ามาทำงานในวงการในที่สุด นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ด้วยภาพลักษณ์ที่ดีทั้งภายนอกและภายใน บวกด้วยการประพฤติตนที่เป็นแบบอย่างให้กับบุคคลทั่วไป ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ศรรามจึงกลายเป็นที่รักของใครหลายคนที่ได้รู้จักเขาคนนี้มาอย่างต่อเนื่อง และได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้

ป๋าเปรียบเสมือน “เพื่อน”
ที่สอนและเข้าใจทุกเรื่อง
อย่างที่หลายๆ คนทราบกันดีว่า ความผูกพันระหว่าง “หนุ่ม” หรือ “ไอ้หมา” ของป๋าเดียร์ ชุมพร เทพพิทักษ์ นั้น เรียกได้ว่าสนิทกันจนแทบจะไม่ห่างจากกันเลย เพราะการทำหน้าที่พ่อของชุมพรนั้น อาจจะเรียกได้ว่ามีความเป็นเพื่อนเข้ามาผสมในการเลี้ยงดูเขา จนทำให้สามารถที่จะปรึกษาเรื่องต่างๆ กับบิดาได้แทบทุกเรื่อง
“ระหว่างผมกับป๋าก็ถือได้ว่ามีความสนิทสนมมากนะครับ เพราะว่าป๋าก็เลี้ยงผมเหมือนเพื่อน ทำแบบนี้ตั้งแต่เด็ก คือมีกิจกรรมทำด้วยกัน เวลาที่เขามีถ่ายหนัง เขาก็เอาเราไปกองถ่ายด้วย เอาเราไปวิ่งเล่น อะไรอย่างงี้ครับ เราอยากได้อะไร ป๋าก็จะรู้ว่า อายุเราเท่าไหน เราต้องทำอะไรบ้าง สมมติว่า เวลาเขาไปถ่ายหนังที่น้ำตกที่เล่นน้ำได้ ผมชอบเล่นน้ำผมก็ไป พอโตขึ้นมาอีกสักระดับนึง ก็จะเป็นในเรื่องของการเริ่มโต เริ่มมีเพื่อน พอเริ่มมีเพื่อน ก็จะเริ่มมีปัญหา อาจจะติดเพื่อน หรือมีเพื่อนๆ เตะบงเตะบอลอย่างงี้บ้าง หรือโดดเรียนบ้าง แล้วสิ่งที่คุณพ่อสอนเราจะเป็นในลักษณะที่ว่าจะอธิบายโดยใช้การกระทำ เป็นกิจวัตรประจำวันไปเรื่อยๆ เช่น เช้าๆ ตื่นมา ป๋ารู้ว่าผมเล่นฟุตบอล เขาก็จะพาผมไปซื้อเนื้อ แล้วก็เอามาทุบ และเขาก็จะพูดไปด้วยว่า เนื้อวัวที่จะซื้อนั้นเป็นยังไง มันถึงจะนุ่ม จำไว้นะไอ้หมา มันเป็นแบบนี้ๆ แล้วพอเอามาปุ๊บ มันต้องหมักก่อนนะ ไม่งั้นเนื้อมันจะเหนียว แล้วเขาก็จะทุบเนื้อ เพื่อที่จะทำสเต๊กให้เรากิน เพราะว่าเราเล่นกีฬา มื้อเช้าจะได้กินไข่ดาว กินเนื้อ และที่สำคัญก็จะได้กินถั่วลันเตา เขาก็จะทำให้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เขาก็จะทำให้เราเห็นด้วยว่า เราจะสามารถหาอะไรในคุณสมบัติของเราไปเรื่อยๆ มันจะเป็นการเรียนรู้

“หรืออย่างบางทีเราก็นั่งรถไปด้วยกัน ผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ก็ต้องข้ามสะพานสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พอข้ามไป ป๋าก็จะมีเรื่องเล่าว่า ดูสิ ทำไมเขาถึงได้เรียกว่าสะพานซังฮี้ ความจริงเขาชื่อว่าสะพานสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีพอเล่าตรงนี้เสร็จ ก็ไปเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่อว่า อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน คนก็ไปเรียกวงเวียนใหญ่ สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คนก็เรียกสะพานสาทร ก็จะเป็นเรื่องเล่าในลักษณะนี้ เพื่อที่จะเป็นประสบการณ์ หรืออย่างบางครั้งเวลานั่งในรถ เขาก็จะสอนให้เราหัดจับมืออย่างงี้ (ทำท่าประกอบ) เพื่อให้รู้ว่าจระเข้มันกัดไม่ได้ ปากจระเข้มันต้องตะแคงกัด เพราะฟันหน้าของจระเข้ สัตว์ทุกตัวมันเป็นอย่างงี้หมด ท่านก็สอนอย่างที่ผมบอกว่า มีปัญหาอะไร เราก็ไม่ได้กลัวที่จะไม่บอกป๋า เพราะว่าเรารู้สึกว่าป๋าเหมือนเพื่อนเรา แล้วเราก็ไม่ปิด หรือเวลาที่เราทำผิดในเรื่องต่างๆ ป๋าก็ไม่เคยตี จนทุกวันนี้อายุ 43 ก็ยังไม่เคยโดนตี ทั้งๆ ที่เราก็มีทำเรื่องเอาไว้เยอะแยะมากมาย สารพัดสาระเพ แต่ก็ไม่โดนว่า

“ผมคิดว่าพ่อผมเขามีความรู้รอบตัวสูงมาก จากในประสบการณ์ชีวิตของเขานะ ส่วนตัวผมก็ไม่ได้วัดจากเกณฑ์ในเรื่องการศึกษาอย่างเดียว แต่ผมว่าชีวิตเขาคงผ่านอะไรมาเยอะ แล้วเวลาที่มาถ่ายทอดสู่ผมเนี่ย เขาก็ต้องจำชีวิตของเขาได้ว่า ช่วงชีวิตของเขามันอันตรายเยอะเลย เพราะสมัยที่เขาเป็นวัยรุ่นมันรุนแรงมาก เรียนอยู่อุเทนถวาย รุ่น 2 แล้วเขาก็โตมาพร้อมกับรุ่นของ อาชาญ มีศรี อาแคล้ว ธนิกุล แล้วเคยทำผิดพลาด จนทำให้เขาต้องถูกลงโทษ ซึ่งก็ประมาณว่า การใช้ชีวิตในช่วงอายุ 18 ระหว่างเขากับเรามันแตกต่างกัน ของเรานี่คือหาโรงเรียนให้ตั้งแต่ ป.1 ส่วนของป๋าเนี่ย ปู่จะไม่อยู่แล้วคุณย่าจะเลี้ยงคนเดียว ในขณะเดียวกัน ปู่ของผมชื่อ จรวย เทพพิทักษ์ ซึ่งเป็นพี่น้องกับ เอื้อน เทพพิทักษ์ จรวยมีชุมพร ส่วนเอื้อนไปแต่งงาน เลยเปลี่ยนนามสกุลเป็นคชรักษ์ เพราะฉะนั้น พอปู่หายไป ป๋าเลยเป็นคนเดียวที่ทุกคนต้องตามใจหมด เขาก็เลยโตขึ้นมาในแบบตามใจเขา แล้วลูกคนโตของย่าเอื้อน ก็คือพลตำรวจโทวรรณรัตน์ คชรักษ์ (อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล) ซึ่งเป็นลุงของผม มันก็เป็นเส้นทางที่อายุเท่านี้ เขาเป็นแบบนี้ แล้วเราอายุเท่าเขาในแต่ละช่วง เราควรจะเป็นแบบไหน ซึ่งตอนที่เขาอายุ 12-13 เขาก็ต้องเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว คนเดียวด้วย เข้ามาแล้วก็ต้องบู๊ ซึ่งอาจจะมีอุปสรรคหลายๆ อย่าง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเกราะให้กับตัวเองประมาณนั้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้และซึมซับมา แล้วเขามาปฏิบัติต่อเรา

และจากการใช้ชีวิตที่โลดโผนมาตั้งแต่วัยรุ่นของชุมพร จนทำให้เขาถูกลงโทษ และเมื่อได้รับอิสรภาพกลับคืนมา จนกระทั่งมีครอบครัว ชุมพรจึงเลือกที่จะนำบทเรียนดังกล่าวนี้ มาสอนให้ “หนุ่ม” หรือ “ไอ้หมา” ของเขา เพื่อไม่ให้บุตรชายของเขานั้นต้องมีพฤติกรรมเช่นเขา
“ผมว่ามันเป็นภาพสะท้อนนะ สมมติว่าผมไปเกเรอะไรมาอย่างงี้ ภาพมันก็จะสะท้อนไปถึงเขา ว่าตอนนั้นเขาอาจจะทำเหมือนผม อาจจะโดดเรียนเหมือนผม แล้วมันเป็นผลยังไง เพราะฉะนั้น พอกลับมาถึงบ้าน คิดว่าก็ต้องโวยวายคืนนั้นเลย แต่พอตื่นเช้ามา ให้อารมณ์เดือดมันเจือจางลง และพูดจากันดีๆ แล้วเขาคอยสั่งสอนเราว่าอย่าทำอย่างงี้ ซึ่งมันดีกว่าโมโหแล้วอารมณ์รุนแรงกัน มาชนกัน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดี
“ต้องถามว่า ครูคนแรกของเราก็คือพ่อแม่ใช่มั้ย มันก็ควรจะสั่งสอนอยู่แล้ว แล้วสิ่งที่สำคัญคือ เราก็ต้องฟังคำสอนของพ่อแม่หรือเปล่า โดยวัฒนธรรมในการเลี้ยงดู เกิดมาก็อยู่ในครอบครัว มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว มันไม่ใช่ว่าปล่อยให้ใช้ชีวิตคนเดียว อยากทำอะไรก็ทำไป พ่อแม่ไม่ยุ่ง อันนี้คือตัดหางปล่อยวัด ซึ่งมันไม่ได้ เขาเห็นเราเป็นลูกเสมอ ป๋าจะพูดเสมอว่า ลูกเราไม่ใช่วัวไม่ใช่ควาย จะตีมันทำไมล่ะ หม่าม้า ตีแล้วลูกจะฟังหรือเปล่า บอกเขาดีกว่า คุยกับเขาดีๆ มันจะได้ไม่ทำ

กำเนิด “ชุมพร เทพพิทักษ์”
ให้ประจักษ์ถึงการทำงาน
จากการเริ่มทำงานหลังได้รับอิสรภาพ และไปเข้าตาแก่บุคคลในวงการบันเทิงในเวลานั้น จึงทำให้แวดวงมายา ได้มีโอกาสต้อนรับ ‘ชุมพร เทพพิทักษ์’ มาเป็นดาวอีกหนึ่งดวงในแสงสีแห่งนี้ ซึ่งนั่นได้ทำให้ศรรามได้เริ่มเข้าใจถึงวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็ก
“คุณพ่อของผมเริ่มทำงานตอนอายุ 25 คือเริ่มทำหลังจากพ้นผิด ก็ไปเดินส่งฟิล์มที่หลังโรงหนังเฉลิมกรุง นั่นคือจุดเริ่มต้นในการเข้าวงการ เขาก็เริ่มไปส่งฟิล์ม เดินผ่านใครเจอคนรู้จักมักคุ้นกัน เจออาเกชา เปลี่ยนวิถี และได้เจออะไรต่างๆ นั่นก็เลยทำให้ได้เข้ามาสู่วงการมายา เข้ามาสู่สังคมบันเทิง ซึ่งถามว่าอยู่ได้มั้ย ก็อยู่ได้ แต่สำหรับตัวผม พอผมเติบโตขึ้นมา ป๋าก็เป็นผู้กำกับการแสดงแล้ว เขาไต่ระดับไปแล้ว ในช่วงที่ผมยังไม่เกิด เขาก็เป็นพระเอกละครที่ช่อง 4 บางขุนพรหม ละครวิทยุ ละครสด แต่พอมาเป็นภาพยนตร์ เขาก็จะเป็นดาวร้ายผู้น่ารัก เพราะว่าเขาต้องบู๊กับลุงเชษฐ์ (มิตร ชัยบัญชา) แล้วพอมีประจวบ ฤกษ์ยามดี ก็มี ชุมพร เทพพิทักษ์ แล้วประจวบกับชุมพรก็อยู่ใกล้กัน หน้าคล้ายกันด้วย แล้วทางที่เล่นก็แตกต่างกัน อาประจวบจะเล่นแบบเข้มๆ คนปักษ์ใต้ แต่ป๋าก็จะติดแนวทะเล้น แล้วเขาก็จะเข้ามาสู่ตรงนี้ แล้วในเรื่องการทำงานของเขา ก็ถือว่าสุดเหมือนกัน เพราะว่าเขาก็ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง ผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม จากหนังเรื่อง แหกค่ายนรกเดียนเบียนฟู ซึ่งคุณสมบัติ เมทะนี เป็นพระเอก แล้วป๋าเป็นผู้กำกับ แล้วรับพระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์ของในหลวง รัชกาลที่ 9 แล้วอาพูนสวัสดิ์ ธีมากร ก็ได้กำกับภาพยอดเยี่ยม เพราะว่าถ่ายหนังเรื่องนั้นให้ป๋า ซึ่งผมจะโตมาในช่วงนี้แล้ว

“ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรารู้สึกเซ็งมาก เพราะเรารู้สึกว่าอาชีพนี้มันทำให้เราไม่ได้เจอพ่อ คือเราเจอแต่แม่ เจอแต่แม่บ่อยๆ พอเลิกเรียนแม่ก็ไปรับไปส่ง เมื่อไหร่ที่ป๋าจะมาสักที ป๋าจะได้พาไปเที่ยว มันจะเป็นอารมณ์อย่างงั้น แล้วเราก็คิดและรู้สึกแบบเด็กว่า อาชีพนี้ยังไงเราก็ไม่อยากเป็น เราดูป๋าถ่ายหนัง เราก็เหนื่อย ตากแดด ไปดูดาราถ่ายหนัง ตากแดด เอาไฟรีเฟล็กอย่างงี้ส่องหน้า ร้อน เราไปวิ่งเล่นแป๊บเดียว แล้วไปนอนใต้ต้นไม้รอเขา เราก็คิดว่าอาชีพนี้เราไม่ชอบว่ะ เราไม่อยากเป็น ไม่อยากทำ นั่นคือช่วงที่ผมโตมาแล้ว ป๋าทำงานในระดับนี้แล้ว
“ในช่วงเวลานั้นเราก็พอเข้าใจได้ว่าป๋าเราทำงาน แต่ก็เข้าใจน้อย เพราะว่าเราก็ยังเป็นเด็กอยู่ ซึ่งวัยเด็กแน่นอนว่าก็ยังไม่ค่อยมีเหตุผลเยอะหรอก จะเป็นอารมณ์แบบว่า ทำไมไม่เจอหน้าพ่อเลยวะ แล้วเจอป๋าแต่ละครั้ง เปิดประตูมา ป๋าให้เงิน 500 อย่างเงี้ย แล้วอยากเที่ยวที่ไหน ป๋าตามใจหมด จะไปเขาดิน ป๋าก็พาไป หรือ อยากได้กลองชุด ป๋าก็ซื้อให้ ตามใจหมดทุกอย่าง แต่เรามองถึงเรื่องของเวลามากกว่า แล้ววิธีการของการแก้ปัญหาก็คือ เราต้องไปกองถ่ายเขา ซึ่งมันต้องตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น ป๋าถึงจะพาไปกองถ่าย แล้วสมัยก่อนมันจะเป็นลักษณะว่า ผมซ้อมฟุตบอลแล้วเลิกตอนเย็นมาก บางทีถ้าป๋าไม่มีเวลา เช่นว่าถ่ายหนังอยู่แถวสระบุรี หรือแถวเมืองกาญจน์ เขาก็จะนัดผมว่า วันนี้เขาจะมารับผม เราก็จะนัดกันว่า นัดกันที่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนนะ ข้ามสะพานลอยมาฝั่งนี้ เพราะรถมันมาทางเดียว คือโรงเรียนเลิกบ่ายสามโมงครึ่ง แต่ป๋าถ่ายหนังเสร็จช้า มารับเราตอนสองทุ่ม ผมยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวถึง 2 ทุ่ม ลองนึกสภาพในตอนนั้นนะ รถขายอาหารที่หน้าโรงเรียน มันหมดตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง แล้ว มันเหลือเราคนเดียวที่ยืนอย่างมั่นคง เพราะว่า เดี๋ยวพ่อก็มา แล้วป๋าก็มา ซึ่งพอมาถึงวันนี้ เชื่อมั้ยว่า เหตุการณ์ในวันนั้น สามารถที่จะสอนเราในวันนี้ได้ว่า เมื่อเราทำงานในวงการบันเทิง หรือ งานแสดงแบบนี้ อย่านัดใครต่อ (เน้นเสียง) เพราะว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่นว่า เดี๋ยวถ้าเกิดไฟเสีย กล้องเสีย รถไฟมันขาด ต้องเอารัถคันใหม่มา โอบีดับ มันเกิดเหตุการณ์ได้หมดทุกอย่างเลย เพราะฉะนั้นไม่ควรนัดใครในวันที่เราทำงาน”

เพราะเราเข้าใจ
เพราะเราเชื่อใจ
ตามประสาของครอบครัวทุกบ้าน ที่แน่นอนว่าจะต้องมีเรื่องราวที่ต้องขัดแย้งกันบ้าง ระหว่างพ่อกับลูกที่อาจจะมีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่เมื่อทุกอย่างคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี ป๋าเดียร์ของศรราม และไอ้หมาของชุมพร ก็ปรับความเข้าใจให้เข้าถึงความรู้สึกซึ่งกันและกันได้ทุกครั้งไป รวมถึงได้ให้แง่คิดเกี่ยวกับการทำงานมาสู่ศรรามอีกด้วย
“ระหว่างผมกับป๋า ก็มีขัดแย้งกันบ้าง แต่จะเป็นในลักษณะว่า นั่งกินเหล้าคุยกันเลย เรามีปัญหาเราก็ถาม ในขณะเดียวกัน ถ้าเขามีปัญหา เขาก็ถามเราเช่นกันว่า เราโอเคมั้ย เขาเป็นคนที่พาเราไปกินเหล้าด้วยซ้ำ เขาเป็นคนที่พาผมเข้าคาเฟ่ เข้าไปดูตลกในหลายๆ คณะ ทำให้เราได้รู้จักโลกกว้างมากขึ้น แล้วสิ่งเหล่านั้น มันทำให้เราเป็น ทำให้เรารู้ เพื่อที่เราจะไปดำรงชีวิตได้ ทำงานได้ คือไม่ใช่ให้คนอื่นเขาหลอก หรือทำอะไรไม่เป็น นั่นคือสิ่งที่เขาสั่งสอน หรือบางทีเราอาจจะไม่เข้าใจในบางเรื่อง เราจะคุยกันด้วยเหตุผล อย่างเวลาที่เราสงสัยในบางเรื่องซึ่งปัญหาที่เราเจอมา เราอาจจะถามแม่ไม่ได้ คือต้องรอพ่อกลับมา เพราะเมื่อก่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือนะ ต้องรอให้เขาถ่ายหนังเสร็จ แล้วก็มาคุยกันว่าเป็นอะไรยังไง

“ตอนที่เริ่มแสดงละคร แสดงหนัง ป๋าก็พูดคำหนึ่งที่เอามาจากลุงเชษฐ์-มิตร ชัยบัญชา เขาก็เอาประโยคที่ว่า ยังมีเวลาที่จะนอนอีกมากในหลุมฝังศพ และก็ไม่มีไก่ย่างในสนามรบหรอก ซึ่งความหมายของเขาก็คือว่า คนเราก็ต้องขยันหมั่นเพียรไม่ใช่เอาแต่นอน อย่างเวลาหาอะไรกิน มันไม่มีอะไรที่เลิศหรูหรอก มันไม่มีไก่ย่างมาทั้งตัวให้หรอก คนเรามันต้องพบกับความลำบากก่อน แล้วเขาก็สอนเราด้วยว่า ให้มีเพื่อนสนิท 3 คน ต้องคบไว้ คนแรกชื่อ เหนื่อย สองชื่อหิว สามชื่อผิดหวัง คบ 3 คนนี้ ให้ 3 คนนี้เป็นเพื่อนสนิทเรา แล้วเราก็มีเพื่อนซี้ 3 คนนี้ในชีวิตเราจนทุกวันนี้ ซึ่งเวลาที่เกิดอะไรขึ้นกับเรา เราก็จะเข้าใจ แล้วบางทีเวลาเราเข้าวงการผ่านไปสักพักนึง เขาก็จะพูดแบบว่า ไอ้หมาอยากเป็นพระเอกยอดนิยมมั้ย แบบลุงเชษฐ์ หรืออยากจะเป็นพระเอกที่มีคนรักเหมือนลุงเชษฐ์ มันเป็นคำถามที่ถามเรา เราตอบไปว่า เราอยากเป็นพระเอกที่มีคนรัก ป๋าก็บอกว่า มันก็ถูกนะ เพราะความนิยมในวันหนึ่งมันจะหมดหายไป แต่ถ้าเกิดเป็นพระเอกแล้วมีคนรักอย่างลุงเชษฐ์ ทุกคนก็ยังรักเขาอยู่ ฉะนั้น ถ้าอยากจะเป็นพระเอกที่มีคนรัก เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติตัวให้มันน่ารัก ไม่ใช่น่าถีบ
“สำหรับคำสอนของป๋านั้น ผมว่ามันเป็นตรรกะนะ เพราะป๋าก็ชอบสอนแบบนั้นแหละ สอนให้เราคิด และกลั่นกรองมันออกมา และทำความเข้าใจเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาจูงจมูกว่าต้องให้ทำอย่างงี้ ว่าเอ็งต้องกินข้าวนะไอ้หมา มันไม่ใช่ คือสิ่งที่ให้เราประมวลผล และพอกลั่นกรองมาตกผลึก เราจะเข้าใจเองเลย เพราะร่างกาย สมอง ประมวลผลได้ ก็จบ ไม่มีอะไร ผมก็รู้สึกว่าบางทีมันก็มีภาคขยายให้นะ อย่างช่วงที่เราซ้อมบอล บางทีเขาก็บอกว่า อย่างป๋าถ่ายหนัง 2-3 โมง ยังไม่ได้เบรกเลย ก็ต้องคว้ากล้วยน้ำว้ามากินสักลูกนึงแล้ว ประทังก่อน หรือ ถ้าเรารู้ตัวเองครั่นเนื้อครั่นตัวที่จะไม่สบายนะ กินน้ำไปขวดนึงก่อน อะไรอย่างงี้ มันก็จะมีภาคแยกย่อยไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่มันจะเป็นประโยคที่ทำให้เราคิด ทำให้เราตรึกตรองเอง

ป๋าคือฮีโร่
ของทุกการกระทำ
และด้วยคำสอนทั้งด้านคำพูด และการกระทำ ที่ส่งผลให้กับทุกด้าน โดยเฉพาะความคิดและจิตวิญญาณของผู้เป็นบิดา จึงทำให้ พ่อชุมพร กลายเป็นบุคคลต้นแบบ หรือ ฮีโร่ในทุกด้าน ให้กับศรรามได้อย่างเต็มภาคภูมิ และสนิทใจ
“คุณพ่อคือฮีโร่ของเราเสมอ ใช้ความคำพูดแบบนี้ได้เลย เพราะเรามองว่า เราคิดแบบนั้นอยู่แล้ว ในความที่เป็นฮีโร่ของเราก็คือ เราเห็นท่านทำงาน เหนื่อย ตากแดด ตากลม ฝนตก แข็งแรง แต่เวลากลับบ้านที ก็แบกข้าวสารกลับมากระสอบนึง คนทั้งบ้านก็ได้กินหมด มันก็เป็นสิ่งที่เป็นภาพจดจำว่า สิ่งดีๆ ที่มันเกิดขึ้น ความสามารถที่เขามี เราเองก็ทึ่ง และเราคิดว่าเขาเป็นคนเก่ง และความประทับใจในหลายๆ อย่างมันอาจจะมาด้วยจากความรู้สึกของป๋า หรืออย่างสิ่งที่ป๋าให้เราทำอะไรแปลกๆ เช่น บางทีเขาก็เปิดน้ำทิ้งเอาไว้ อาจจะเปิดในช่วงที่เขาล้างรถอยู่ และก็ขับรถออกไป ซึ่งเขาก็อยากดูว่าเราล็อกบ้านได้มั้ย สามารถที่จะปิดวาล์วน้ำได้มั้ย หรือ เราจะมีการบอกยังไง อะไรต่างๆ แบบนี้ หรืออย่างเวลาที่ไปทำบุญไหว้พระด้วยกันอย่างงี้ เขาให้เราถวายของพระ กราบเป็นมั้ย สวดเป็นมั้ย อย่างงี้ครับ เขาก็จะคอยบอกกับเราในเรื่องแบบนี้
“เขาพาเปิดโลกทุกอย่าง ผมอยากเปิดโลกอะไร หรือไม่ต้องบอก เขาก็พาผมไป เช่นอย่างที่บอก เราก็เข้าไปเที่ยวคาเฟ่ได้ ให้รู้ว่าต่อไปก็ไม่ต้องหนี ซึ่งถ้าไม่พามา วันหนึ่งอาจจะหนีไปเที่ยวเองก็ได้ เขาสอนให้เรากินเหล้ากับพ่อ ผสมอย่างงี้นะ ถ้ามากไปก็ปวดหัวนะ เพื่อที่ในวันหนึ่ง คุณอยู่ในสังคมหรือไปในงานปาร์ตี้ ไปกินเหล้าแล้วอ้วกออกมาอย่างงี้ ในสังคมมันดีมั้ย ซึ่งถ้าวันหนึ่งเขาจับได้ว่าเราไม่ไปเรียนหนังสือ แต่แอบไปเที่ยวคาเฟ่ กับการที่เรารู้ว่า วันนี้วันศุกร์ เราขอพ่อไปเที่ยว มันแตกต่างกันนะ ซึ่งอย่างแรก คุณหนีเข้าไปเอง แถมบัตรประชาชนก็ไม่มี เข้าไปต้องใช้เงินเท่าไหร่ ซึ่งถ้าไปชอบนักร้องแล้วไปมีเรื่องกับเสี่ยบางคน ก็มีการต่อยกันอีก มันไปกันใหญ่เลยนะ

“ส่วนข้อคิดของป๋าที่ส่งมาถึงผมต่อการทำงาน มี 2 ข้อสั้นๆ คือ ไปให้มันตรงต่อเวลา อันนี้คือข้อเบสิกเลย ซึ่งก็ครอบคลุมทุกอาชีพว่าไปให้มันตรงต่อเวลา สอง เห็นใครที่เขาอายุมากกว่าก็สวัสดี มีสัมมาคารวะ และเพิ่มอีกข้อละกัน ข้อ 3 เวลาที่ใครทำอะไร เราก็ทำตามเขา หมายความว่า ถ้าเราเห็นเขาต่อแถวกินข้าว เราก็ไปต่อแถว ไม่ใช่ว่าเดินไปตักเองเลย คนอื่นเขาทำกันยังไง เราก็ต้องทำกันอย่างงั้น คือมันเป็นคำสอนที่เราไปใช้ในอาชีพสาขาอื่นก็ได้ ซึ่งการตรงต่อเวลาก็ต้องใช้นะ ถูกมั้ย การมีสัมมาคารวะ เวลาไปทำงานอื่น เราก็ต้องใช้ โดยที่ไม่ต้องเป็นนักแสดง ถูกมั้ย คนอื่นเขาทำยังไง ก็เช่น คนอื่นเขากินข้าวที่โรงอาหาร คุณก็ไปกินข้าวที่โรงอาหาร ถ้าคุณไปกินข้าวที่ห้องทำงาน คุณก็โดนด่าสิ มันเป็นอะไรที่สามารถใช้ได้ทุกๆ อาชีพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ป๋าจะบอกกับเราเสมอ คือเขาไม่สนใจหรอกว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร แต่เขาสนใจว่าอยากจะให้ลูกเขาเป็นคนดี มันก็ทำให้เรายึดคำสอนนี้แล้วมาประยุกต์ใช้กับทุกอย่าง
“แต่สิ่งที่เราพูดมาทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าบ้านผมดีกว่าบ้านคนอื่นนะ ผมเชื่อว่าทุกๆ บ้านก็ต้องมีต้นแบบ คือพ่อและแม่ แต่ที่เราพูดคือครอบครัวผม และผมก็รู้สึกว่าครอบครัวผมโชคดีที่มีป๋า ผมถูกสอนแบบนี้ สอนแบบลูกผู้ชายซึ่งกันและกัน ได้รับความรู้สึกที่ป๋ามอบให้เรา ป๋ารักเรา ป๋าเอ็นดูเรา ป๋าถนอมเรา ป๋าเมตตาเรา ป๋าทำให้เราอยู่ในสังคมได้ ป๋าสอนในสิ่งที่ควรสอน พอถึงเวลาป๋าก็คือฮีโร่ในใจเรา แล้วพอเรามามองกลับกันปุ๊บ วันนี้สิ่งที่ป๋าทำดี เช่น บางทีไม่มีความจำเป็นอะไร ป๋าก็เรียกเด็กขายพวงมาลัยมาเหมาตะกร้าแล้วเอามาไหว้พระที่บ้าน หรือ บางครั้งป๋าก็กินข้าวกองถ่ายที่ไม่มีใครกิน หรือ เหลือ ป๋าเอากลับมาฝากให้พี่ยามบ้าง ผมก็ทำตาม ทุกวันนี้ผมก็ทำตาม เวลาไปกองถ่าย ก็ซื้อขนมไปฝาก บางวันเจอคนพิการที่มาขายลูกอม เราก็เหมาเขา ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้อมลูกอมลูกเดียวนะ ก็เอาไปแจกจ่ายคนอื่นเขาบ้าง ก็เป็นสิ่งที่ซึมซับมาจากป๋า ผมว่ามันคือวิถีชีวิตแยกย่อยที่บ้านเราเป็น นี่มันคือความผูกพันระหว่างพ่อลูกที่ติดตัวเรามา แล้วมันเหมือนกัน ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกดีด้วย สุขใจสบายใจ เราอิ่มใจ เขาอิ่มท้อง (ยิ้ม)”

จากดาวรุ่ง
สู่ดาวค้างฟ้า
และเมื่อชีวิตพลิกผันด้วยจุดเปลี่ยนจากคนในครอบครัวไม่สบาย นั่นจึงทำให้ศรรามต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะแบ่งเบาภาระให้กับที่บ้าน ซึ่งการทำงานวงการบันเทิง คือผลลัพธ์และคำตอบนั้น นั่นจึงทำให้เขาเริ่มถูกจับตามอง มีชื่อเสียง มาตั้งแต่นั้น
“ผมเริ่มต้นทำงานในวงการประมาณปี 2534-2535 ซึ่งช่วงนั้นป๋าก็เป็นนักแสดงอาวุโสที่ยังไม่มีงาน แล้วผมก็เริ่มเล่นละครเรื่องอรุณสวัสดิ์ กับ ละครเรื่องสี่แยกนี้อายุน้อย เพราะว่าคุณแดง-สุรางค์ เปรมปรีดิ์ เขาโทร.มา ให้ผมไปพบในวันพรุ่งนี้ ส่วนช่อง 3 อาจิ๋ม-มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช กับ อาโย-ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ก็ให้ไปพบในวันเดียวกัน สรุปไปพบในตอนเช้าและตอนบ่าย ก็สรุปว่าได้เล่นละครทั้งสองเรื่อง ในช่วงปิดเทอม ม.6 ซึ่งก็ทำให้ป๋าได้กลับมาเล่นละครอีกครั้งนึง หลังจากที่หายไปนาน เล่นเรื่องผู้หญิงนอกทำเนียบ กับพี่ตั้ว-ศรัณยู วงษ์กระจ่าง และพี่นุช-นุสบา วาณิชยางกูร เขาก็เลยมีชื่อเสียงอีกครั้งนึง ก็มาดังคู่อีกครั้ง ส่วนช่วงหลังที่ว่าคือเป็นนักแสดงที่ไม่มีใครเรียกทำงาน แต่เรากลับมาพร้อมกัน ผมเริ่มมา ส่วนป๋ากลับมาใหม่
“เราเข้าใจเพราะว่าเราตัดสินใจเอง เพราะว่า ตอนที่เราอยู่ ม.ต้น มันจะเป็นช่วงที่เพื่อนป๋าทั้งหลาย อย่าง อาพรพจน์ กนิษฐเสน หรือ อาหง่าว-ยุทธนา มุกดาสนิท โทร.หาป๋าเพื่อจะอยากเอาเราไปเล่นละคร เพราะจะเป็นแบบพี่พีท ทองเจือ ซึ่งก็เป็นรุ่นพี่ที่เซนต์คาเบรียลเหมือนกัน อยากให้เราอยู่ในวงการบันเทิง แต่เราในตอนนั้นก็ไม่อยากอยู่เพราะตามที่บอก เราอยากเตะบอล และมันทำงานหนัก เราจะไปทำทำไม จนมาวันหนึ่ง แม่ไม่สบาย แม่เป็นโรคหัวใจ ซึ่งเราก็คิดว่าเราอยากที่จะทำอะไรเพื่อจ่ายค่าเทอมเอง เราก็โทร.ไปหาพี่ที่เขาอยู่โมเดลลิ่ง ที่เขาเคยให้เบอร์ไว้ เพราะว่า ตอน ม.ต้น เราจะไปแข่งฟุตบอลที่สนามศุภชลาศัย แต่พอเราไปก่อน เราก็ไปสิงแถวย่านสยามเซ็นเตอร์ แล้วก็เจอพวกโมเดลลิ่งต่างๆ ในแถวนั้น แล้วก็มีพี่ๆ มาติดต่อ คือขนาดเพื่อนพ่อกับพ่อ เรายังไม่ชอบเลย แล้วนี่พี่ๆ มาชวนผมไป อย่าหวังว่าเราจะไปเลย แต่พอถึงวันที่แม่ไม่สบาย มันเป็นวันที่พลิกความคิดเลยว่า เราคงต้องทำอะไรซักอย่างแล้วล่ะ ก็เลยไปถ่ายโฆษณาตัวแรก คือแบรนด์โรลออน ก็ดังเลย ดังทุกคนด้วย โฆษณาชุดนั้น เท่าที่จำได้มีพี่อ๋อง-กษาปณ์ จำปาดิบ และก็มีใครหลายๆ คนที่อยู่ในรุ่นนั้นก็มีชื่อเสียงหมด จากความคิดที่ว่าอยากจะหาเงินมาจ่ายค่าเทอมเอง ก็กลายเป็นว่าทำให้เรากลายเป็นคนมีชื่อเสียง คือต้องเรียกว่าจังหวะมันฟลุกมากกว่า

“คือแปลกมากเลยนะ คนเขาชอบพูดกันว่า เข้าวงการมา 27 ปี แต่ทำไมไม่พูดว่าทำงานมา 27 ปี มันเหมือนกับผมเป็นนักมวย (หัวเราะเบาๆ) แล้วเราก็ได้ทำมาครบแล้ว ซึ่งมันมีสิ่งหนึ่งที่จะบอกได้ ว่ามันได้เปรียบคนอื่น คือ หนึ่ง คนเป็นพระเอก ทำได้ทุกอย่าง คนเป็นพระเอก ไปเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาก็ได้ ไปร้องเพลงก็ได้ ไปเดินแบบก็ได้ ไปเป็นพิธีกรก็ได้ หรือถ่ายโฆษณาก็ได้ พอเรามองกลับกัน คนที่เป็นนักร้องแล้วมาเป็นพระเอก ยากนะ นายแบบมาเป็นพระเอกก็ยากนะ หรือพิธีกรบางคนมาเป็นพระเอกได้มั้ยก็ยาก เป็นพระเอกมันดีกว่าคนอื่น มันมีภาษีดีกว่าคนอื่น เรียกว่าได้ทำงานอย่างอื่นครบถ้วนเลย
“แต่ในบทบาทที่เราได้รับในแต่ละครั้งนั้น มันก็มีช่วงเวลาที่ค่อนข้างปรับตัวในวันแรกๆ มันไม่ใช่ยากตรงอาชีพนะ แค่ละครเรื่องใหม่ที่เข้ามา ก็ยากแล้ว อย่าง 2-3 อาทิตย์แรก เราอาจจะยังไม่เข้าใจในตัวละครหรือตัวแสดงด้วยซ้ำไป ว่า ไอ้นี่มันต้องเล่นประมาณไหน คาแรกเตอร์มันควรจะเป็นยังไง แต่ถ้าเราไปทำงานเป็นพิธีกร เวลาแสดงหนัง ห้ามมองกล้อง แต่เป็นพิธีกรต้องมองกล้องตลอด คือมันสับขาหลอกมั่วหมด หรืออย่างเดินแบบ มันต้องเดินให้เท่ตลอด อะไรอย่างงี้ แต่ผมจะไม่ค่อยรับเรื่องเดินแบบหรอก แต่เรื่องคอนเสิร์ตเราจะชอบมากกว่า อย่างเรื่องร้องเพลงก็ต่องซ้อม จะไปร้องมั่วซั่วได้ยังไง เพราะว่า เพื่อนที่ชื่อว่าเหนื่อยเป็นเพื่อนเราไปแล้ว ซึ่งมันไม่มีอะไรที่มาง่ายๆ หรอกในโลกนี้ มันต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อ ความพยายามและความเพียร หลายสิ่งหลายอย่าง

ด้วยการทำงานอย่างตั้งใจ เข้าใจในบทบาทอย่างถ่องแท้ และความเป็นตัวตนในตัวเองของ “ศรราม เทพพิทักษ์” นั่นเอง จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมเขาถึงเป็นที่ยอมรับในวงการบันเทิงมาอย่างยาวนาน เป็นที่รักแก่ทุกคน รวมถึงผลงานของเขายังคงเป็นที่จดจำให้กับใครหลายคน จนอาจจะเรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าจดจำและเป็นแบบอย่าง
“แต่มองในมุมหนึ่ง เรามองว่าเป็นงาน แต่ว่าเป็นคนสนุกกับงาน แต่ไม่ใช่ว่าตัวไปหาความสุข ทำงานอย่างงี้ไม่ได้ แต่ไปตรงไหนก็สนุก เพราะเป็นคนสนุก แต่ทุกชิ้นงานก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งสำหรับเรา คนชมอาจจะมีมากกว่าคนติ แค่นั้นเอง ส่วนผลตอบรับ เราก็มองว่า คนถ้าเขาชอบเรา เวลาเราจะทำอะไร เขาก็ชอบเรา ถ้าเราไว้ผมทรงไหน เขาก็ชอบเรา ส่วนคนที่ไม่ชอบเรา ก็จะไม่ชอบเรา ต่อให้เราทำดีหรือไปกราบตีนเขาก็ไม่ชอบอยู่ดี เผลอๆ เขาเอาเท้าเหยียบหัวเราด้วยซ้ำ แต่ถามว่า ถ้าติเพื่อก่อ หมายถึงว่า เป็นข้อที่เราควรทบทวนตัวเองเพื่อที่จะเปลี่ยน อันนี้ก็ต้องขอบคุณ เพราะว่ามันเป็นคำติ ก็ไม่เป็นไร คือผมทำงานเต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์ นั่นคือความคิดแรก แต่พอเราทำงานบ่อยๆ ผมรู้สึกว่า ถ้าหากเราทำงานได้ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม เราจะทำงานให้ 120 เปอร์เซ็นต์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์ คือความบกพร่องที่มันจะเสียไป ผมพูดเปรียบตัวเองว่าเป็นน้ำขวด ถ้าเราเอาน้ำขวดมาขาย 100 ขวด เกิดมันมีชำรุด หรือมีตำหนิซัก 20 มันก็จะ 80 เพราะฉะนั้น มันจะต้องทำเพิ่ม ตั้งไว่ก่อน เพราะเผื่อนั่นนี่ ก็ยังเหลือ 100 นึงอยู่ ผลลัพธ์ยังไงไม่หวัง

“ส่วนผลตอบรับสำหรับผลงานในแต่ละชิ้นนั้น ถ้าเขาเขียนชมก็ขอบคุณ เขียนติก็ขอบคุณมากขึ้น แค่นี้เอง ไม่ยาก (ยิ้ม) เพราะว่าเรารู้วิธีไง รู้วิธีที่จะจัดการตัวเรากับปัญหา เราไม่สามารถที่จะไปแก้ปัญหาได้ ถ้าปัญหามันเกิดจากคนอื่น แต่ถ้าปัญหามันมาหาเรา เรามีวิธีการที่เราจะจัดการตัวเองได้ ที่ไม่ต้องไปสนใจมัน ผมว่าถ้าเราเจอปัญหาแล้วตกใจกลัว ผมว่าไม่น่าเวิร์ก หมายความว่าเราเจอปัญหาอะไรแล้วไม่สามารถจัดการได้ เช่นว่า เขาว่าเราอีกแล้ว ละครเรตติ้งไม่ดี ทำไงอ่ะ มันจะกลายเป็นว่า นอยด์ กังวล จากดีกลายเป็นร้าย เราเลยเปลี่ยนว่า จงเข้าใจมันซะ ในแต่ละเรื่องที่ทำมัน แก้ปัญหาไป ไม่เห็นจะมีอะไรเลย แต่ถ้าหากมีแรงโน้มถ่วงได้มาก ซึ่งเกิดจากความเคยชิน เราจะทำได้ เราสามารถดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามาตัวเรา อย่างที่บอกว่าแต่ละอาชีพเราไปดูถูกเขาไม่ได้หรอก มันต้องมีความเพียรพยายามอยากรู้ หรืออยากทำอะไรได้หลายๆ อย่าง คือเราก็ทำเต็มที่ในส่วนของเราแหละ แล้วก็จริงๆ ก็ไม่อยากจะบอกว่าผลลัพธ์อย่าไปหวัง คืออย่าใช้คำว่าหวัง แต่เรามั่นใจว่ามันต้องได้เท่านี้ ผมเปรียบข้อนี้เหมือนเราเป็นนักมวย ผมฝึกซ้อมอย่างดีเลย แต่ถ้าถูกถามว่า โอลิมปิกครั้งนี้มีความหวังว่ายังไง ผมตอบว่า จะพยายามเต็มที่นะ แต่ไม่รู้ว่าจะได้เหรียญอะไร กับตอบอีกแบบว่า ผมตั้งใจว่าจะเอาซักเหรียญกลับมา มันแตกต่างกันนะ แต่คำตอบหลังมันจะทำให้เราเกิดความฮึกเหิมว่าจะต้องทำให้ได้ แต่ถ้าเกิดตอบแบบแรกไป มันจะทำให้ความมั่นใจดูน้อยลง
“คือเราโตมาแบบนี้ จะมาเปลี่ยนเราก็คงไม่ได้ มันก็เปลี่ยนลำบาก ผมว่าการเป็นคนรวยลำบากนะ ผมคิดว่าการเป็นคนจนหรือพอกินพอใช้เนี่ย อันนี้ดีนะ เพราะว่า ถ้าเรารวยเราจะไม่ตกใจ เพราะว่าเราก็ยังใช้ชีวิตธรรมดา แต่ถ้าวันหนึ่งเราเป็นคนรวยแล้วธุรกิจล้มแล้วกลายเป็นคนจน เราแย่ในการใช้ชีวิตนะ เราอาจจะไปเรียกตุ๊กตุ๊กหรือเรียกมอเตอร์ไซค์เราอาจจะไม่กล้าทำก็ได้ มันเป็นอย่างงั้น แต่สิ่งที่เราทำ ก็เหมือนกับการสื่อสารนะ เราพยายามจะตอบโจทย์ทุกคนให้ได้ว่า ดารามันแปลว่าดาวที่อยู่บนฟ้า แต่เราพูดเสมอว่า อาชีพของเราคือนักแสดง คือมันก็คนเหมือนกัน แล้ววิถีชีวิตของเราที่เราทำมันก็เป็นคนธรรมดาคนนึง เพียงแต่เป็นอาชีพนักแสดงแค่นั้นเอง มันไม่ใช่ดาว มันไม่ใช่เรื่องโอเวอร์เกินความจำเป็นไง เป็นแค่คนทั่วไปปกติ เพียงแต่ว่ามาทำอาชีพนี้”
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร และ Instagram : @sornram_theappitak
อีกด้านหนึ่งด้วยการเป็นบุตรชายของ “ชุมพร เทพพิทักษ์” ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักแสดงและผู้เป็นบิดาที่คอยอบรมสั่งสอนเขาในเรื่องต่างๆ จนทำให้ศรรามกลายเป็นที่รักของใครหลายคน ขณะเดียวกัน ด้วยความที่ต้องคลุกคลีและรับรู้ถึงการทำงานของวงการมาตั้งแต่เด็ก ก็ได้ฉุกคิดในช่วงเวลานั้นว่าจะไม่เข้ามาทำงานลักษณะนี้เด็ดขาด แต่ในที่สุดก็มีจุดเปลี่ยนมาถึงตัวเขา ทำให้ศรรามต้องเข้ามาทำงานในวงการในที่สุด นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ด้วยภาพลักษณ์ที่ดีทั้งภายนอกและภายใน บวกด้วยการประพฤติตนที่เป็นแบบอย่างให้กับบุคคลทั่วไป ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ศรรามจึงกลายเป็นที่รักของใครหลายคนที่ได้รู้จักเขาคนนี้มาอย่างต่อเนื่อง และได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้
ป๋าเปรียบเสมือน “เพื่อน”
ที่สอนและเข้าใจทุกเรื่อง
อย่างที่หลายๆ คนทราบกันดีว่า ความผูกพันระหว่าง “หนุ่ม” หรือ “ไอ้หมา” ของป๋าเดียร์ ชุมพร เทพพิทักษ์ นั้น เรียกได้ว่าสนิทกันจนแทบจะไม่ห่างจากกันเลย เพราะการทำหน้าที่พ่อของชุมพรนั้น อาจจะเรียกได้ว่ามีความเป็นเพื่อนเข้ามาผสมในการเลี้ยงดูเขา จนทำให้สามารถที่จะปรึกษาเรื่องต่างๆ กับบิดาได้แทบทุกเรื่อง
“ระหว่างผมกับป๋าก็ถือได้ว่ามีความสนิทสนมมากนะครับ เพราะว่าป๋าก็เลี้ยงผมเหมือนเพื่อน ทำแบบนี้ตั้งแต่เด็ก คือมีกิจกรรมทำด้วยกัน เวลาที่เขามีถ่ายหนัง เขาก็เอาเราไปกองถ่ายด้วย เอาเราไปวิ่งเล่น อะไรอย่างงี้ครับ เราอยากได้อะไร ป๋าก็จะรู้ว่า อายุเราเท่าไหน เราต้องทำอะไรบ้าง สมมติว่า เวลาเขาไปถ่ายหนังที่น้ำตกที่เล่นน้ำได้ ผมชอบเล่นน้ำผมก็ไป พอโตขึ้นมาอีกสักระดับนึง ก็จะเป็นในเรื่องของการเริ่มโต เริ่มมีเพื่อน พอเริ่มมีเพื่อน ก็จะเริ่มมีปัญหา อาจจะติดเพื่อน หรือมีเพื่อนๆ เตะบงเตะบอลอย่างงี้บ้าง หรือโดดเรียนบ้าง แล้วสิ่งที่คุณพ่อสอนเราจะเป็นในลักษณะที่ว่าจะอธิบายโดยใช้การกระทำ เป็นกิจวัตรประจำวันไปเรื่อยๆ เช่น เช้าๆ ตื่นมา ป๋ารู้ว่าผมเล่นฟุตบอล เขาก็จะพาผมไปซื้อเนื้อ แล้วก็เอามาทุบ และเขาก็จะพูดไปด้วยว่า เนื้อวัวที่จะซื้อนั้นเป็นยังไง มันถึงจะนุ่ม จำไว้นะไอ้หมา มันเป็นแบบนี้ๆ แล้วพอเอามาปุ๊บ มันต้องหมักก่อนนะ ไม่งั้นเนื้อมันจะเหนียว แล้วเขาก็จะทุบเนื้อ เพื่อที่จะทำสเต๊กให้เรากิน เพราะว่าเราเล่นกีฬา มื้อเช้าจะได้กินไข่ดาว กินเนื้อ และที่สำคัญก็จะได้กินถั่วลันเตา เขาก็จะทำให้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เขาก็จะทำให้เราเห็นด้วยว่า เราจะสามารถหาอะไรในคุณสมบัติของเราไปเรื่อยๆ มันจะเป็นการเรียนรู้
“หรืออย่างบางทีเราก็นั่งรถไปด้วยกัน ผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ก็ต้องข้ามสะพานสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พอข้ามไป ป๋าก็จะมีเรื่องเล่าว่า ดูสิ ทำไมเขาถึงได้เรียกว่าสะพานซังฮี้ ความจริงเขาชื่อว่าสะพานสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีพอเล่าตรงนี้เสร็จ ก็ไปเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่อว่า อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน คนก็ไปเรียกวงเวียนใหญ่ สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คนก็เรียกสะพานสาทร ก็จะเป็นเรื่องเล่าในลักษณะนี้ เพื่อที่จะเป็นประสบการณ์ หรืออย่างบางครั้งเวลานั่งในรถ เขาก็จะสอนให้เราหัดจับมืออย่างงี้ (ทำท่าประกอบ) เพื่อให้รู้ว่าจระเข้มันกัดไม่ได้ ปากจระเข้มันต้องตะแคงกัด เพราะฟันหน้าของจระเข้ สัตว์ทุกตัวมันเป็นอย่างงี้หมด ท่านก็สอนอย่างที่ผมบอกว่า มีปัญหาอะไร เราก็ไม่ได้กลัวที่จะไม่บอกป๋า เพราะว่าเรารู้สึกว่าป๋าเหมือนเพื่อนเรา แล้วเราก็ไม่ปิด หรือเวลาที่เราทำผิดในเรื่องต่างๆ ป๋าก็ไม่เคยตี จนทุกวันนี้อายุ 43 ก็ยังไม่เคยโดนตี ทั้งๆ ที่เราก็มีทำเรื่องเอาไว้เยอะแยะมากมาย สารพัดสาระเพ แต่ก็ไม่โดนว่า
“ผมคิดว่าพ่อผมเขามีความรู้รอบตัวสูงมาก จากในประสบการณ์ชีวิตของเขานะ ส่วนตัวผมก็ไม่ได้วัดจากเกณฑ์ในเรื่องการศึกษาอย่างเดียว แต่ผมว่าชีวิตเขาคงผ่านอะไรมาเยอะ แล้วเวลาที่มาถ่ายทอดสู่ผมเนี่ย เขาก็ต้องจำชีวิตของเขาได้ว่า ช่วงชีวิตของเขามันอันตรายเยอะเลย เพราะสมัยที่เขาเป็นวัยรุ่นมันรุนแรงมาก เรียนอยู่อุเทนถวาย รุ่น 2 แล้วเขาก็โตมาพร้อมกับรุ่นของ อาชาญ มีศรี อาแคล้ว ธนิกุล แล้วเคยทำผิดพลาด จนทำให้เขาต้องถูกลงโทษ ซึ่งก็ประมาณว่า การใช้ชีวิตในช่วงอายุ 18 ระหว่างเขากับเรามันแตกต่างกัน ของเรานี่คือหาโรงเรียนให้ตั้งแต่ ป.1 ส่วนของป๋าเนี่ย ปู่จะไม่อยู่แล้วคุณย่าจะเลี้ยงคนเดียว ในขณะเดียวกัน ปู่ของผมชื่อ จรวย เทพพิทักษ์ ซึ่งเป็นพี่น้องกับ เอื้อน เทพพิทักษ์ จรวยมีชุมพร ส่วนเอื้อนไปแต่งงาน เลยเปลี่ยนนามสกุลเป็นคชรักษ์ เพราะฉะนั้น พอปู่หายไป ป๋าเลยเป็นคนเดียวที่ทุกคนต้องตามใจหมด เขาก็เลยโตขึ้นมาในแบบตามใจเขา แล้วลูกคนโตของย่าเอื้อน ก็คือพลตำรวจโทวรรณรัตน์ คชรักษ์ (อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล) ซึ่งเป็นลุงของผม มันก็เป็นเส้นทางที่อายุเท่านี้ เขาเป็นแบบนี้ แล้วเราอายุเท่าเขาในแต่ละช่วง เราควรจะเป็นแบบไหน ซึ่งตอนที่เขาอายุ 12-13 เขาก็ต้องเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว คนเดียวด้วย เข้ามาแล้วก็ต้องบู๊ ซึ่งอาจจะมีอุปสรรคหลายๆ อย่าง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเกราะให้กับตัวเองประมาณนั้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้และซึมซับมา แล้วเขามาปฏิบัติต่อเรา
และจากการใช้ชีวิตที่โลดโผนมาตั้งแต่วัยรุ่นของชุมพร จนทำให้เขาถูกลงโทษ และเมื่อได้รับอิสรภาพกลับคืนมา จนกระทั่งมีครอบครัว ชุมพรจึงเลือกที่จะนำบทเรียนดังกล่าวนี้ มาสอนให้ “หนุ่ม” หรือ “ไอ้หมา” ของเขา เพื่อไม่ให้บุตรชายของเขานั้นต้องมีพฤติกรรมเช่นเขา
“ผมว่ามันเป็นภาพสะท้อนนะ สมมติว่าผมไปเกเรอะไรมาอย่างงี้ ภาพมันก็จะสะท้อนไปถึงเขา ว่าตอนนั้นเขาอาจจะทำเหมือนผม อาจจะโดดเรียนเหมือนผม แล้วมันเป็นผลยังไง เพราะฉะนั้น พอกลับมาถึงบ้าน คิดว่าก็ต้องโวยวายคืนนั้นเลย แต่พอตื่นเช้ามา ให้อารมณ์เดือดมันเจือจางลง และพูดจากันดีๆ แล้วเขาคอยสั่งสอนเราว่าอย่าทำอย่างงี้ ซึ่งมันดีกว่าโมโหแล้วอารมณ์รุนแรงกัน มาชนกัน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดี
“ต้องถามว่า ครูคนแรกของเราก็คือพ่อแม่ใช่มั้ย มันก็ควรจะสั่งสอนอยู่แล้ว แล้วสิ่งที่สำคัญคือ เราก็ต้องฟังคำสอนของพ่อแม่หรือเปล่า โดยวัฒนธรรมในการเลี้ยงดู เกิดมาก็อยู่ในครอบครัว มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว มันไม่ใช่ว่าปล่อยให้ใช้ชีวิตคนเดียว อยากทำอะไรก็ทำไป พ่อแม่ไม่ยุ่ง อันนี้คือตัดหางปล่อยวัด ซึ่งมันไม่ได้ เขาเห็นเราเป็นลูกเสมอ ป๋าจะพูดเสมอว่า ลูกเราไม่ใช่วัวไม่ใช่ควาย จะตีมันทำไมล่ะ หม่าม้า ตีแล้วลูกจะฟังหรือเปล่า บอกเขาดีกว่า คุยกับเขาดีๆ มันจะได้ไม่ทำ
กำเนิด “ชุมพร เทพพิทักษ์”
ให้ประจักษ์ถึงการทำงาน
จากการเริ่มทำงานหลังได้รับอิสรภาพ และไปเข้าตาแก่บุคคลในวงการบันเทิงในเวลานั้น จึงทำให้แวดวงมายา ได้มีโอกาสต้อนรับ ‘ชุมพร เทพพิทักษ์’ มาเป็นดาวอีกหนึ่งดวงในแสงสีแห่งนี้ ซึ่งนั่นได้ทำให้ศรรามได้เริ่มเข้าใจถึงวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็ก
“คุณพ่อของผมเริ่มทำงานตอนอายุ 25 คือเริ่มทำหลังจากพ้นผิด ก็ไปเดินส่งฟิล์มที่หลังโรงหนังเฉลิมกรุง นั่นคือจุดเริ่มต้นในการเข้าวงการ เขาก็เริ่มไปส่งฟิล์ม เดินผ่านใครเจอคนรู้จักมักคุ้นกัน เจออาเกชา เปลี่ยนวิถี และได้เจออะไรต่างๆ นั่นก็เลยทำให้ได้เข้ามาสู่วงการมายา เข้ามาสู่สังคมบันเทิง ซึ่งถามว่าอยู่ได้มั้ย ก็อยู่ได้ แต่สำหรับตัวผม พอผมเติบโตขึ้นมา ป๋าก็เป็นผู้กำกับการแสดงแล้ว เขาไต่ระดับไปแล้ว ในช่วงที่ผมยังไม่เกิด เขาก็เป็นพระเอกละครที่ช่อง 4 บางขุนพรหม ละครวิทยุ ละครสด แต่พอมาเป็นภาพยนตร์ เขาก็จะเป็นดาวร้ายผู้น่ารัก เพราะว่าเขาต้องบู๊กับลุงเชษฐ์ (มิตร ชัยบัญชา) แล้วพอมีประจวบ ฤกษ์ยามดี ก็มี ชุมพร เทพพิทักษ์ แล้วประจวบกับชุมพรก็อยู่ใกล้กัน หน้าคล้ายกันด้วย แล้วทางที่เล่นก็แตกต่างกัน อาประจวบจะเล่นแบบเข้มๆ คนปักษ์ใต้ แต่ป๋าก็จะติดแนวทะเล้น แล้วเขาก็จะเข้ามาสู่ตรงนี้ แล้วในเรื่องการทำงานของเขา ก็ถือว่าสุดเหมือนกัน เพราะว่าเขาก็ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง ผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม จากหนังเรื่อง แหกค่ายนรกเดียนเบียนฟู ซึ่งคุณสมบัติ เมทะนี เป็นพระเอก แล้วป๋าเป็นผู้กำกับ แล้วรับพระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์ของในหลวง รัชกาลที่ 9 แล้วอาพูนสวัสดิ์ ธีมากร ก็ได้กำกับภาพยอดเยี่ยม เพราะว่าถ่ายหนังเรื่องนั้นให้ป๋า ซึ่งผมจะโตมาในช่วงนี้แล้ว
“ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรารู้สึกเซ็งมาก เพราะเรารู้สึกว่าอาชีพนี้มันทำให้เราไม่ได้เจอพ่อ คือเราเจอแต่แม่ เจอแต่แม่บ่อยๆ พอเลิกเรียนแม่ก็ไปรับไปส่ง เมื่อไหร่ที่ป๋าจะมาสักที ป๋าจะได้พาไปเที่ยว มันจะเป็นอารมณ์อย่างงั้น แล้วเราก็คิดและรู้สึกแบบเด็กว่า อาชีพนี้ยังไงเราก็ไม่อยากเป็น เราดูป๋าถ่ายหนัง เราก็เหนื่อย ตากแดด ไปดูดาราถ่ายหนัง ตากแดด เอาไฟรีเฟล็กอย่างงี้ส่องหน้า ร้อน เราไปวิ่งเล่นแป๊บเดียว แล้วไปนอนใต้ต้นไม้รอเขา เราก็คิดว่าอาชีพนี้เราไม่ชอบว่ะ เราไม่อยากเป็น ไม่อยากทำ นั่นคือช่วงที่ผมโตมาแล้ว ป๋าทำงานในระดับนี้แล้ว
“ในช่วงเวลานั้นเราก็พอเข้าใจได้ว่าป๋าเราทำงาน แต่ก็เข้าใจน้อย เพราะว่าเราก็ยังเป็นเด็กอยู่ ซึ่งวัยเด็กแน่นอนว่าก็ยังไม่ค่อยมีเหตุผลเยอะหรอก จะเป็นอารมณ์แบบว่า ทำไมไม่เจอหน้าพ่อเลยวะ แล้วเจอป๋าแต่ละครั้ง เปิดประตูมา ป๋าให้เงิน 500 อย่างเงี้ย แล้วอยากเที่ยวที่ไหน ป๋าตามใจหมด จะไปเขาดิน ป๋าก็พาไป หรือ อยากได้กลองชุด ป๋าก็ซื้อให้ ตามใจหมดทุกอย่าง แต่เรามองถึงเรื่องของเวลามากกว่า แล้ววิธีการของการแก้ปัญหาก็คือ เราต้องไปกองถ่ายเขา ซึ่งมันต้องตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น ป๋าถึงจะพาไปกองถ่าย แล้วสมัยก่อนมันจะเป็นลักษณะว่า ผมซ้อมฟุตบอลแล้วเลิกตอนเย็นมาก บางทีถ้าป๋าไม่มีเวลา เช่นว่าถ่ายหนังอยู่แถวสระบุรี หรือแถวเมืองกาญจน์ เขาก็จะนัดผมว่า วันนี้เขาจะมารับผม เราก็จะนัดกันว่า นัดกันที่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนนะ ข้ามสะพานลอยมาฝั่งนี้ เพราะรถมันมาทางเดียว คือโรงเรียนเลิกบ่ายสามโมงครึ่ง แต่ป๋าถ่ายหนังเสร็จช้า มารับเราตอนสองทุ่ม ผมยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวถึง 2 ทุ่ม ลองนึกสภาพในตอนนั้นนะ รถขายอาหารที่หน้าโรงเรียน มันหมดตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง แล้ว มันเหลือเราคนเดียวที่ยืนอย่างมั่นคง เพราะว่า เดี๋ยวพ่อก็มา แล้วป๋าก็มา ซึ่งพอมาถึงวันนี้ เชื่อมั้ยว่า เหตุการณ์ในวันนั้น สามารถที่จะสอนเราในวันนี้ได้ว่า เมื่อเราทำงานในวงการบันเทิง หรือ งานแสดงแบบนี้ อย่านัดใครต่อ (เน้นเสียง) เพราะว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่นว่า เดี๋ยวถ้าเกิดไฟเสีย กล้องเสีย รถไฟมันขาด ต้องเอารัถคันใหม่มา โอบีดับ มันเกิดเหตุการณ์ได้หมดทุกอย่างเลย เพราะฉะนั้นไม่ควรนัดใครในวันที่เราทำงาน”
เพราะเราเข้าใจ
เพราะเราเชื่อใจ
ตามประสาของครอบครัวทุกบ้าน ที่แน่นอนว่าจะต้องมีเรื่องราวที่ต้องขัดแย้งกันบ้าง ระหว่างพ่อกับลูกที่อาจจะมีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่เมื่อทุกอย่างคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี ป๋าเดียร์ของศรราม และไอ้หมาของชุมพร ก็ปรับความเข้าใจให้เข้าถึงความรู้สึกซึ่งกันและกันได้ทุกครั้งไป รวมถึงได้ให้แง่คิดเกี่ยวกับการทำงานมาสู่ศรรามอีกด้วย
“ระหว่างผมกับป๋า ก็มีขัดแย้งกันบ้าง แต่จะเป็นในลักษณะว่า นั่งกินเหล้าคุยกันเลย เรามีปัญหาเราก็ถาม ในขณะเดียวกัน ถ้าเขามีปัญหา เขาก็ถามเราเช่นกันว่า เราโอเคมั้ย เขาเป็นคนที่พาเราไปกินเหล้าด้วยซ้ำ เขาเป็นคนที่พาผมเข้าคาเฟ่ เข้าไปดูตลกในหลายๆ คณะ ทำให้เราได้รู้จักโลกกว้างมากขึ้น แล้วสิ่งเหล่านั้น มันทำให้เราเป็น ทำให้เรารู้ เพื่อที่เราจะไปดำรงชีวิตได้ ทำงานได้ คือไม่ใช่ให้คนอื่นเขาหลอก หรือทำอะไรไม่เป็น นั่นคือสิ่งที่เขาสั่งสอน หรือบางทีเราอาจจะไม่เข้าใจในบางเรื่อง เราจะคุยกันด้วยเหตุผล อย่างเวลาที่เราสงสัยในบางเรื่องซึ่งปัญหาที่เราเจอมา เราอาจจะถามแม่ไม่ได้ คือต้องรอพ่อกลับมา เพราะเมื่อก่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือนะ ต้องรอให้เขาถ่ายหนังเสร็จ แล้วก็มาคุยกันว่าเป็นอะไรยังไง
“ตอนที่เริ่มแสดงละคร แสดงหนัง ป๋าก็พูดคำหนึ่งที่เอามาจากลุงเชษฐ์-มิตร ชัยบัญชา เขาก็เอาประโยคที่ว่า ยังมีเวลาที่จะนอนอีกมากในหลุมฝังศพ และก็ไม่มีไก่ย่างในสนามรบหรอก ซึ่งความหมายของเขาก็คือว่า คนเราก็ต้องขยันหมั่นเพียรไม่ใช่เอาแต่นอน อย่างเวลาหาอะไรกิน มันไม่มีอะไรที่เลิศหรูหรอก มันไม่มีไก่ย่างมาทั้งตัวให้หรอก คนเรามันต้องพบกับความลำบากก่อน แล้วเขาก็สอนเราด้วยว่า ให้มีเพื่อนสนิท 3 คน ต้องคบไว้ คนแรกชื่อ เหนื่อย สองชื่อหิว สามชื่อผิดหวัง คบ 3 คนนี้ ให้ 3 คนนี้เป็นเพื่อนสนิทเรา แล้วเราก็มีเพื่อนซี้ 3 คนนี้ในชีวิตเราจนทุกวันนี้ ซึ่งเวลาที่เกิดอะไรขึ้นกับเรา เราก็จะเข้าใจ แล้วบางทีเวลาเราเข้าวงการผ่านไปสักพักนึง เขาก็จะพูดแบบว่า ไอ้หมาอยากเป็นพระเอกยอดนิยมมั้ย แบบลุงเชษฐ์ หรืออยากจะเป็นพระเอกที่มีคนรักเหมือนลุงเชษฐ์ มันเป็นคำถามที่ถามเรา เราตอบไปว่า เราอยากเป็นพระเอกที่มีคนรัก ป๋าก็บอกว่า มันก็ถูกนะ เพราะความนิยมในวันหนึ่งมันจะหมดหายไป แต่ถ้าเกิดเป็นพระเอกแล้วมีคนรักอย่างลุงเชษฐ์ ทุกคนก็ยังรักเขาอยู่ ฉะนั้น ถ้าอยากจะเป็นพระเอกที่มีคนรัก เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติตัวให้มันน่ารัก ไม่ใช่น่าถีบ
“สำหรับคำสอนของป๋านั้น ผมว่ามันเป็นตรรกะนะ เพราะป๋าก็ชอบสอนแบบนั้นแหละ สอนให้เราคิด และกลั่นกรองมันออกมา และทำความเข้าใจเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาจูงจมูกว่าต้องให้ทำอย่างงี้ ว่าเอ็งต้องกินข้าวนะไอ้หมา มันไม่ใช่ คือสิ่งที่ให้เราประมวลผล และพอกลั่นกรองมาตกผลึก เราจะเข้าใจเองเลย เพราะร่างกาย สมอง ประมวลผลได้ ก็จบ ไม่มีอะไร ผมก็รู้สึกว่าบางทีมันก็มีภาคขยายให้นะ อย่างช่วงที่เราซ้อมบอล บางทีเขาก็บอกว่า อย่างป๋าถ่ายหนัง 2-3 โมง ยังไม่ได้เบรกเลย ก็ต้องคว้ากล้วยน้ำว้ามากินสักลูกนึงแล้ว ประทังก่อน หรือ ถ้าเรารู้ตัวเองครั่นเนื้อครั่นตัวที่จะไม่สบายนะ กินน้ำไปขวดนึงก่อน อะไรอย่างงี้ มันก็จะมีภาคแยกย่อยไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่มันจะเป็นประโยคที่ทำให้เราคิด ทำให้เราตรึกตรองเอง
ป๋าคือฮีโร่
ของทุกการกระทำ
และด้วยคำสอนทั้งด้านคำพูด และการกระทำ ที่ส่งผลให้กับทุกด้าน โดยเฉพาะความคิดและจิตวิญญาณของผู้เป็นบิดา จึงทำให้ พ่อชุมพร กลายเป็นบุคคลต้นแบบ หรือ ฮีโร่ในทุกด้าน ให้กับศรรามได้อย่างเต็มภาคภูมิ และสนิทใจ
“คุณพ่อคือฮีโร่ของเราเสมอ ใช้ความคำพูดแบบนี้ได้เลย เพราะเรามองว่า เราคิดแบบนั้นอยู่แล้ว ในความที่เป็นฮีโร่ของเราก็คือ เราเห็นท่านทำงาน เหนื่อย ตากแดด ตากลม ฝนตก แข็งแรง แต่เวลากลับบ้านที ก็แบกข้าวสารกลับมากระสอบนึง คนทั้งบ้านก็ได้กินหมด มันก็เป็นสิ่งที่เป็นภาพจดจำว่า สิ่งดีๆ ที่มันเกิดขึ้น ความสามารถที่เขามี เราเองก็ทึ่ง และเราคิดว่าเขาเป็นคนเก่ง และความประทับใจในหลายๆ อย่างมันอาจจะมาด้วยจากความรู้สึกของป๋า หรืออย่างสิ่งที่ป๋าให้เราทำอะไรแปลกๆ เช่น บางทีเขาก็เปิดน้ำทิ้งเอาไว้ อาจจะเปิดในช่วงที่เขาล้างรถอยู่ และก็ขับรถออกไป ซึ่งเขาก็อยากดูว่าเราล็อกบ้านได้มั้ย สามารถที่จะปิดวาล์วน้ำได้มั้ย หรือ เราจะมีการบอกยังไง อะไรต่างๆ แบบนี้ หรืออย่างเวลาที่ไปทำบุญไหว้พระด้วยกันอย่างงี้ เขาให้เราถวายของพระ กราบเป็นมั้ย สวดเป็นมั้ย อย่างงี้ครับ เขาก็จะคอยบอกกับเราในเรื่องแบบนี้
“เขาพาเปิดโลกทุกอย่าง ผมอยากเปิดโลกอะไร หรือไม่ต้องบอก เขาก็พาผมไป เช่นอย่างที่บอก เราก็เข้าไปเที่ยวคาเฟ่ได้ ให้รู้ว่าต่อไปก็ไม่ต้องหนี ซึ่งถ้าไม่พามา วันหนึ่งอาจจะหนีไปเที่ยวเองก็ได้ เขาสอนให้เรากินเหล้ากับพ่อ ผสมอย่างงี้นะ ถ้ามากไปก็ปวดหัวนะ เพื่อที่ในวันหนึ่ง คุณอยู่ในสังคมหรือไปในงานปาร์ตี้ ไปกินเหล้าแล้วอ้วกออกมาอย่างงี้ ในสังคมมันดีมั้ย ซึ่งถ้าวันหนึ่งเขาจับได้ว่าเราไม่ไปเรียนหนังสือ แต่แอบไปเที่ยวคาเฟ่ กับการที่เรารู้ว่า วันนี้วันศุกร์ เราขอพ่อไปเที่ยว มันแตกต่างกันนะ ซึ่งอย่างแรก คุณหนีเข้าไปเอง แถมบัตรประชาชนก็ไม่มี เข้าไปต้องใช้เงินเท่าไหร่ ซึ่งถ้าไปชอบนักร้องแล้วไปมีเรื่องกับเสี่ยบางคน ก็มีการต่อยกันอีก มันไปกันใหญ่เลยนะ
“ส่วนข้อคิดของป๋าที่ส่งมาถึงผมต่อการทำงาน มี 2 ข้อสั้นๆ คือ ไปให้มันตรงต่อเวลา อันนี้คือข้อเบสิกเลย ซึ่งก็ครอบคลุมทุกอาชีพว่าไปให้มันตรงต่อเวลา สอง เห็นใครที่เขาอายุมากกว่าก็สวัสดี มีสัมมาคารวะ และเพิ่มอีกข้อละกัน ข้อ 3 เวลาที่ใครทำอะไร เราก็ทำตามเขา หมายความว่า ถ้าเราเห็นเขาต่อแถวกินข้าว เราก็ไปต่อแถว ไม่ใช่ว่าเดินไปตักเองเลย คนอื่นเขาทำกันยังไง เราก็ต้องทำกันอย่างงั้น คือมันเป็นคำสอนที่เราไปใช้ในอาชีพสาขาอื่นก็ได้ ซึ่งการตรงต่อเวลาก็ต้องใช้นะ ถูกมั้ย การมีสัมมาคารวะ เวลาไปทำงานอื่น เราก็ต้องใช้ โดยที่ไม่ต้องเป็นนักแสดง ถูกมั้ย คนอื่นเขาทำยังไง ก็เช่น คนอื่นเขากินข้าวที่โรงอาหาร คุณก็ไปกินข้าวที่โรงอาหาร ถ้าคุณไปกินข้าวที่ห้องทำงาน คุณก็โดนด่าสิ มันเป็นอะไรที่สามารถใช้ได้ทุกๆ อาชีพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ป๋าจะบอกกับเราเสมอ คือเขาไม่สนใจหรอกว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร แต่เขาสนใจว่าอยากจะให้ลูกเขาเป็นคนดี มันก็ทำให้เรายึดคำสอนนี้แล้วมาประยุกต์ใช้กับทุกอย่าง
“แต่สิ่งที่เราพูดมาทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าบ้านผมดีกว่าบ้านคนอื่นนะ ผมเชื่อว่าทุกๆ บ้านก็ต้องมีต้นแบบ คือพ่อและแม่ แต่ที่เราพูดคือครอบครัวผม และผมก็รู้สึกว่าครอบครัวผมโชคดีที่มีป๋า ผมถูกสอนแบบนี้ สอนแบบลูกผู้ชายซึ่งกันและกัน ได้รับความรู้สึกที่ป๋ามอบให้เรา ป๋ารักเรา ป๋าเอ็นดูเรา ป๋าถนอมเรา ป๋าเมตตาเรา ป๋าทำให้เราอยู่ในสังคมได้ ป๋าสอนในสิ่งที่ควรสอน พอถึงเวลาป๋าก็คือฮีโร่ในใจเรา แล้วพอเรามามองกลับกันปุ๊บ วันนี้สิ่งที่ป๋าทำดี เช่น บางทีไม่มีความจำเป็นอะไร ป๋าก็เรียกเด็กขายพวงมาลัยมาเหมาตะกร้าแล้วเอามาไหว้พระที่บ้าน หรือ บางครั้งป๋าก็กินข้าวกองถ่ายที่ไม่มีใครกิน หรือ เหลือ ป๋าเอากลับมาฝากให้พี่ยามบ้าง ผมก็ทำตาม ทุกวันนี้ผมก็ทำตาม เวลาไปกองถ่าย ก็ซื้อขนมไปฝาก บางวันเจอคนพิการที่มาขายลูกอม เราก็เหมาเขา ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้อมลูกอมลูกเดียวนะ ก็เอาไปแจกจ่ายคนอื่นเขาบ้าง ก็เป็นสิ่งที่ซึมซับมาจากป๋า ผมว่ามันคือวิถีชีวิตแยกย่อยที่บ้านเราเป็น นี่มันคือความผูกพันระหว่างพ่อลูกที่ติดตัวเรามา แล้วมันเหมือนกัน ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกดีด้วย สุขใจสบายใจ เราอิ่มใจ เขาอิ่มท้อง (ยิ้ม)”
จากดาวรุ่ง
สู่ดาวค้างฟ้า
และเมื่อชีวิตพลิกผันด้วยจุดเปลี่ยนจากคนในครอบครัวไม่สบาย นั่นจึงทำให้ศรรามต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะแบ่งเบาภาระให้กับที่บ้าน ซึ่งการทำงานวงการบันเทิง คือผลลัพธ์และคำตอบนั้น นั่นจึงทำให้เขาเริ่มถูกจับตามอง มีชื่อเสียง มาตั้งแต่นั้น
“ผมเริ่มต้นทำงานในวงการประมาณปี 2534-2535 ซึ่งช่วงนั้นป๋าก็เป็นนักแสดงอาวุโสที่ยังไม่มีงาน แล้วผมก็เริ่มเล่นละครเรื่องอรุณสวัสดิ์ กับ ละครเรื่องสี่แยกนี้อายุน้อย เพราะว่าคุณแดง-สุรางค์ เปรมปรีดิ์ เขาโทร.มา ให้ผมไปพบในวันพรุ่งนี้ ส่วนช่อง 3 อาจิ๋ม-มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช กับ อาโย-ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ก็ให้ไปพบในวันเดียวกัน สรุปไปพบในตอนเช้าและตอนบ่าย ก็สรุปว่าได้เล่นละครทั้งสองเรื่อง ในช่วงปิดเทอม ม.6 ซึ่งก็ทำให้ป๋าได้กลับมาเล่นละครอีกครั้งนึง หลังจากที่หายไปนาน เล่นเรื่องผู้หญิงนอกทำเนียบ กับพี่ตั้ว-ศรัณยู วงษ์กระจ่าง และพี่นุช-นุสบา วาณิชยางกูร เขาก็เลยมีชื่อเสียงอีกครั้งนึง ก็มาดังคู่อีกครั้ง ส่วนช่วงหลังที่ว่าคือเป็นนักแสดงที่ไม่มีใครเรียกทำงาน แต่เรากลับมาพร้อมกัน ผมเริ่มมา ส่วนป๋ากลับมาใหม่
“เราเข้าใจเพราะว่าเราตัดสินใจเอง เพราะว่า ตอนที่เราอยู่ ม.ต้น มันจะเป็นช่วงที่เพื่อนป๋าทั้งหลาย อย่าง อาพรพจน์ กนิษฐเสน หรือ อาหง่าว-ยุทธนา มุกดาสนิท โทร.หาป๋าเพื่อจะอยากเอาเราไปเล่นละคร เพราะจะเป็นแบบพี่พีท ทองเจือ ซึ่งก็เป็นรุ่นพี่ที่เซนต์คาเบรียลเหมือนกัน อยากให้เราอยู่ในวงการบันเทิง แต่เราในตอนนั้นก็ไม่อยากอยู่เพราะตามที่บอก เราอยากเตะบอล และมันทำงานหนัก เราจะไปทำทำไม จนมาวันหนึ่ง แม่ไม่สบาย แม่เป็นโรคหัวใจ ซึ่งเราก็คิดว่าเราอยากที่จะทำอะไรเพื่อจ่ายค่าเทอมเอง เราก็โทร.ไปหาพี่ที่เขาอยู่โมเดลลิ่ง ที่เขาเคยให้เบอร์ไว้ เพราะว่า ตอน ม.ต้น เราจะไปแข่งฟุตบอลที่สนามศุภชลาศัย แต่พอเราไปก่อน เราก็ไปสิงแถวย่านสยามเซ็นเตอร์ แล้วก็เจอพวกโมเดลลิ่งต่างๆ ในแถวนั้น แล้วก็มีพี่ๆ มาติดต่อ คือขนาดเพื่อนพ่อกับพ่อ เรายังไม่ชอบเลย แล้วนี่พี่ๆ มาชวนผมไป อย่าหวังว่าเราจะไปเลย แต่พอถึงวันที่แม่ไม่สบาย มันเป็นวันที่พลิกความคิดเลยว่า เราคงต้องทำอะไรซักอย่างแล้วล่ะ ก็เลยไปถ่ายโฆษณาตัวแรก คือแบรนด์โรลออน ก็ดังเลย ดังทุกคนด้วย โฆษณาชุดนั้น เท่าที่จำได้มีพี่อ๋อง-กษาปณ์ จำปาดิบ และก็มีใครหลายๆ คนที่อยู่ในรุ่นนั้นก็มีชื่อเสียงหมด จากความคิดที่ว่าอยากจะหาเงินมาจ่ายค่าเทอมเอง ก็กลายเป็นว่าทำให้เรากลายเป็นคนมีชื่อเสียง คือต้องเรียกว่าจังหวะมันฟลุกมากกว่า
“คือแปลกมากเลยนะ คนเขาชอบพูดกันว่า เข้าวงการมา 27 ปี แต่ทำไมไม่พูดว่าทำงานมา 27 ปี มันเหมือนกับผมเป็นนักมวย (หัวเราะเบาๆ) แล้วเราก็ได้ทำมาครบแล้ว ซึ่งมันมีสิ่งหนึ่งที่จะบอกได้ ว่ามันได้เปรียบคนอื่น คือ หนึ่ง คนเป็นพระเอก ทำได้ทุกอย่าง คนเป็นพระเอก ไปเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาก็ได้ ไปร้องเพลงก็ได้ ไปเดินแบบก็ได้ ไปเป็นพิธีกรก็ได้ หรือถ่ายโฆษณาก็ได้ พอเรามองกลับกัน คนที่เป็นนักร้องแล้วมาเป็นพระเอก ยากนะ นายแบบมาเป็นพระเอกก็ยากนะ หรือพิธีกรบางคนมาเป็นพระเอกได้มั้ยก็ยาก เป็นพระเอกมันดีกว่าคนอื่น มันมีภาษีดีกว่าคนอื่น เรียกว่าได้ทำงานอย่างอื่นครบถ้วนเลย
“แต่ในบทบาทที่เราได้รับในแต่ละครั้งนั้น มันก็มีช่วงเวลาที่ค่อนข้างปรับตัวในวันแรกๆ มันไม่ใช่ยากตรงอาชีพนะ แค่ละครเรื่องใหม่ที่เข้ามา ก็ยากแล้ว อย่าง 2-3 อาทิตย์แรก เราอาจจะยังไม่เข้าใจในตัวละครหรือตัวแสดงด้วยซ้ำไป ว่า ไอ้นี่มันต้องเล่นประมาณไหน คาแรกเตอร์มันควรจะเป็นยังไง แต่ถ้าเราไปทำงานเป็นพิธีกร เวลาแสดงหนัง ห้ามมองกล้อง แต่เป็นพิธีกรต้องมองกล้องตลอด คือมันสับขาหลอกมั่วหมด หรืออย่างเดินแบบ มันต้องเดินให้เท่ตลอด อะไรอย่างงี้ แต่ผมจะไม่ค่อยรับเรื่องเดินแบบหรอก แต่เรื่องคอนเสิร์ตเราจะชอบมากกว่า อย่างเรื่องร้องเพลงก็ต่องซ้อม จะไปร้องมั่วซั่วได้ยังไง เพราะว่า เพื่อนที่ชื่อว่าเหนื่อยเป็นเพื่อนเราไปแล้ว ซึ่งมันไม่มีอะไรที่มาง่ายๆ หรอกในโลกนี้ มันต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อ ความพยายามและความเพียร หลายสิ่งหลายอย่าง
ด้วยการทำงานอย่างตั้งใจ เข้าใจในบทบาทอย่างถ่องแท้ และความเป็นตัวตนในตัวเองของ “ศรราม เทพพิทักษ์” นั่นเอง จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมเขาถึงเป็นที่ยอมรับในวงการบันเทิงมาอย่างยาวนาน เป็นที่รักแก่ทุกคน รวมถึงผลงานของเขายังคงเป็นที่จดจำให้กับใครหลายคน จนอาจจะเรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าจดจำและเป็นแบบอย่าง
“แต่มองในมุมหนึ่ง เรามองว่าเป็นงาน แต่ว่าเป็นคนสนุกกับงาน แต่ไม่ใช่ว่าตัวไปหาความสุข ทำงานอย่างงี้ไม่ได้ แต่ไปตรงไหนก็สนุก เพราะเป็นคนสนุก แต่ทุกชิ้นงานก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งสำหรับเรา คนชมอาจจะมีมากกว่าคนติ แค่นั้นเอง ส่วนผลตอบรับ เราก็มองว่า คนถ้าเขาชอบเรา เวลาเราจะทำอะไร เขาก็ชอบเรา ถ้าเราไว้ผมทรงไหน เขาก็ชอบเรา ส่วนคนที่ไม่ชอบเรา ก็จะไม่ชอบเรา ต่อให้เราทำดีหรือไปกราบตีนเขาก็ไม่ชอบอยู่ดี เผลอๆ เขาเอาเท้าเหยียบหัวเราด้วยซ้ำ แต่ถามว่า ถ้าติเพื่อก่อ หมายถึงว่า เป็นข้อที่เราควรทบทวนตัวเองเพื่อที่จะเปลี่ยน อันนี้ก็ต้องขอบคุณ เพราะว่ามันเป็นคำติ ก็ไม่เป็นไร คือผมทำงานเต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์ นั่นคือความคิดแรก แต่พอเราทำงานบ่อยๆ ผมรู้สึกว่า ถ้าหากเราทำงานได้ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม เราจะทำงานให้ 120 เปอร์เซ็นต์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์ คือความบกพร่องที่มันจะเสียไป ผมพูดเปรียบตัวเองว่าเป็นน้ำขวด ถ้าเราเอาน้ำขวดมาขาย 100 ขวด เกิดมันมีชำรุด หรือมีตำหนิซัก 20 มันก็จะ 80 เพราะฉะนั้น มันจะต้องทำเพิ่ม ตั้งไว่ก่อน เพราะเผื่อนั่นนี่ ก็ยังเหลือ 100 นึงอยู่ ผลลัพธ์ยังไงไม่หวัง
“ส่วนผลตอบรับสำหรับผลงานในแต่ละชิ้นนั้น ถ้าเขาเขียนชมก็ขอบคุณ เขียนติก็ขอบคุณมากขึ้น แค่นี้เอง ไม่ยาก (ยิ้ม) เพราะว่าเรารู้วิธีไง รู้วิธีที่จะจัดการตัวเรากับปัญหา เราไม่สามารถที่จะไปแก้ปัญหาได้ ถ้าปัญหามันเกิดจากคนอื่น แต่ถ้าปัญหามันมาหาเรา เรามีวิธีการที่เราจะจัดการตัวเองได้ ที่ไม่ต้องไปสนใจมัน ผมว่าถ้าเราเจอปัญหาแล้วตกใจกลัว ผมว่าไม่น่าเวิร์ก หมายความว่าเราเจอปัญหาอะไรแล้วไม่สามารถจัดการได้ เช่นว่า เขาว่าเราอีกแล้ว ละครเรตติ้งไม่ดี ทำไงอ่ะ มันจะกลายเป็นว่า นอยด์ กังวล จากดีกลายเป็นร้าย เราเลยเปลี่ยนว่า จงเข้าใจมันซะ ในแต่ละเรื่องที่ทำมัน แก้ปัญหาไป ไม่เห็นจะมีอะไรเลย แต่ถ้าหากมีแรงโน้มถ่วงได้มาก ซึ่งเกิดจากความเคยชิน เราจะทำได้ เราสามารถดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามาตัวเรา อย่างที่บอกว่าแต่ละอาชีพเราไปดูถูกเขาไม่ได้หรอก มันต้องมีความเพียรพยายามอยากรู้ หรืออยากทำอะไรได้หลายๆ อย่าง คือเราก็ทำเต็มที่ในส่วนของเราแหละ แล้วก็จริงๆ ก็ไม่อยากจะบอกว่าผลลัพธ์อย่าไปหวัง คืออย่าใช้คำว่าหวัง แต่เรามั่นใจว่ามันต้องได้เท่านี้ ผมเปรียบข้อนี้เหมือนเราเป็นนักมวย ผมฝึกซ้อมอย่างดีเลย แต่ถ้าถูกถามว่า โอลิมปิกครั้งนี้มีความหวังว่ายังไง ผมตอบว่า จะพยายามเต็มที่นะ แต่ไม่รู้ว่าจะได้เหรียญอะไร กับตอบอีกแบบว่า ผมตั้งใจว่าจะเอาซักเหรียญกลับมา มันแตกต่างกันนะ แต่คำตอบหลังมันจะทำให้เราเกิดความฮึกเหิมว่าจะต้องทำให้ได้ แต่ถ้าเกิดตอบแบบแรกไป มันจะทำให้ความมั่นใจดูน้อยลง
“คือเราโตมาแบบนี้ จะมาเปลี่ยนเราก็คงไม่ได้ มันก็เปลี่ยนลำบาก ผมว่าการเป็นคนรวยลำบากนะ ผมคิดว่าการเป็นคนจนหรือพอกินพอใช้เนี่ย อันนี้ดีนะ เพราะว่า ถ้าเรารวยเราจะไม่ตกใจ เพราะว่าเราก็ยังใช้ชีวิตธรรมดา แต่ถ้าวันหนึ่งเราเป็นคนรวยแล้วธุรกิจล้มแล้วกลายเป็นคนจน เราแย่ในการใช้ชีวิตนะ เราอาจจะไปเรียกตุ๊กตุ๊กหรือเรียกมอเตอร์ไซค์เราอาจจะไม่กล้าทำก็ได้ มันเป็นอย่างงั้น แต่สิ่งที่เราทำ ก็เหมือนกับการสื่อสารนะ เราพยายามจะตอบโจทย์ทุกคนให้ได้ว่า ดารามันแปลว่าดาวที่อยู่บนฟ้า แต่เราพูดเสมอว่า อาชีพของเราคือนักแสดง คือมันก็คนเหมือนกัน แล้ววิถีชีวิตของเราที่เราทำมันก็เป็นคนธรรมดาคนนึง เพียงแต่เป็นอาชีพนักแสดงแค่นั้นเอง มันไม่ใช่ดาว มันไม่ใช่เรื่องโอเวอร์เกินความจำเป็นไง เป็นแค่คนทั่วไปปกติ เพียงแต่ว่ามาทำอาชีพนี้”
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร และ Instagram : @sornram_theappitak