พสกนิกรทั่วสารทิศเดินทางมาร่วมถวายสักการะพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ ๙ อย่างต่อเนื่อง ตลอดทั้งวันตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้
วันนี้ (15 มี.ค.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 133 ตลอดทั้งวันยังมีพสกนิกรทุกหมู่เหล่าจากทั่วสารทิศของประเทศไทย เดินทางมารอต่อแถวเข้าถวายสักการะพระบรมศพ อย่างต่อเนื่อง ตลอดทั้งวันตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้
นางสุดชาฎา ศรประสิททธิ์ อายุ 54 ปี ชาวจังหวัดสงขลา อาชีพรับราชการ กล่าวภายหลังสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ว่า เดินทางจากจังหวัดสงขลา โดยสายการบินเที่ยวแรกของวันนี้ และมาถึงสนามหลวงตอน 9 โมงเช้า นับเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ได้มาสักการะพระบรมศพ หากแต่ความรู้สึกก็ไม่ต่างจากครั้งแรก คือ เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มใจภูมิใจ และได้อธิษฐานเบื้องหน้าพระบรมโกศ ว่า ขอให้ได้เกิดมาเป็นข้ารองพระบาทของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทุกชาติไป และตนในฐานะที่เป็นข้าราชการ ซึ่งเป็นข้าของพระราชามีหน้าที่รับใช้ถวายงานดูแลทุกข์สุขแทนพระราชา ดังนั้น การยึดหลักทำงานเพื่อความสุขของประชาชนเป็นหลัก โดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวมเป็นที่ตั้ง และในฐานะที่เป็นข้าราชการต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลักไม่ทุจริตคอร์รัปชัน และจากนี้ไปถึงแม้จะไม่มีในหลวง รัชกาลที่ ๙ อีกต่อไปแล้ว แต่ก็จะยึดคำสอนเรื่องความพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต ต้องใช้ชีวิตอย่างพอมีพอกิน ใช้ชีวิตให้มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองมี
น.ส.ศิราณี ศรีสมพร อายุ 30 ปี ชาว ต.ในเมือง อ.เมือง จ.หนองคาย กล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้า ว่า ตนเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ได้ 4 ปีแล้ว พอทราบข่าวว่าในหลวง รัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต พวกเราที่ไปเรียนอยู่ที่นั่นและคนไทยที่ไปทำงานอยู่ที่ออสเตรเลีย รู้สึกเสียใจร้องไห้หนักมาก ทุกคนแทบไม่เชื่อว่าพระองค์ท่านจะเสด็จสวรรคตเร็ว คนไทยที่นั้นได้ไปรวมตัวกันที่สวนสาธารณะในเมืองซิดนีย์เยอะมาก เพื่อจุดเทียนถวายอาลัย และไปร่วมทำบุญตักบาตรมีพระสงฆ์มาสวด ล่าสุด ครบ 100 วัน ก็ได้ร่วมกันทำบุญอุทิศกุศลถวาย มีการทำริบบิ้นดำแจกกัน ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาก็ไม่มีงานเลี้ยงสังสรรค์ เพราะทุกคนรู้สึกเศร้าอยู่ ทุกวันนี้คนไทยที่ออสเตรเลียก็ยังใส่ชุดไว้ทุกข์ด้วย
น.ส.ศิราณี กล่าวต่อว่า ตั้งใจอยากจะกลับมากราบตั้งแต่พระองค์ท่านเสด็จสวรรคตใหม่ๆ แล้วแต่ติดเรียน วันนี้พอลงเครื่องที่สุวรรณภูมิตอนตี 3 ก็เดินทางมาบ้านญาติในกรุงเทพฯ แล้วชวนกันมาเข้าคิวที่สนามหลวงเลย ได้เข้ากราบประมาณ 7 โมงเช้า รู้สึกดีใจมากที่ได้เดินทางมากราบพระองค์ท่านแล้ว วันนี้ก็ส่งภาพบรรยากาศไปให้เพื่อนๆ ที่ออสเตรเลียดู ซึ่งพวกเขาก็อยากมาด้วยมากแต่ติดคอร์สเรียน จึงไม่สามารถเดินทางกลับมาพร้อมกันได้ ขณะเข้ากราบก็อธิษฐานให้พระองค์เสด็จสู่สรวงสวรรค์
“ช่วงที่หนูอยู่บ้าน จ.หนองคาย พ่อกับแม่มีอาชีพเลี้ยงไก่ไข่ และเลี้ยงปลาขาย ขณะที่หนูเรียนมหาวิทยาลัยในไทยก็ช่วยพ่อแม่เลี้ยงด้วย โดยยึดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ ทุกวันนี้พ่อกับแม่ก็ยังเลี้ยงไก่ไข่และปลาขายอยู่ พอหนูเรียนจบได้ระยะหนึ่งจึงเดินทางไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย แต่ก็ยังคงนำคำสอนของพระองค์ไปใช้ โดยเฉพาะเรื่องความเพียรและความขยันอดทน เพราะคนเราถ้าไม่มีความเพียร ไม่ขยัน ก็ไม่มีกิน หลังเลิกเรียนบ่าย 3 หนูจึงไปทำงานที่ร้านอาหารถึง 4 ทุ่ม เพื่อนำเงินมาเป็นค่าที่พัก” น.ส.ศิราณี กล่าว
ขณะที่ นายสวรรค์ คล่องแคล้ว อายุ 54 ปี อาชีพช่างตัดผม ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาพร้อมกับภรรยา ลูกสาวและหลานสาว โดยเช่าแท็กซี่มาจากชลบุรี เพราะกลัวว่าขับรถมาแล้วไม่มีที่จอด โดยเดินทางมาตั้งแต่ตี 3 กว่า และมาถึงท้องสนามหลวงตี 4 กว่า ได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพเสร็จประมาณ 7 โมงเช้า ประทับใจเจ้าหน้าที่ที่จัดระบบและให้บริการได้ดีมาก ขณะขึ้นไปกราบก็รู้สึกตื้นตันอธิษฐานขอให้พระองค์ท่านเสด็จสู่สวรรค์ชั้นสูงสุด ไม่ต้องห่วงพสกนิกร
“ผมยึดถือในคำสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์มาใช้ตั้งแต่ยังไม่มีครอบครัว จนกระทั้งมีครอบครัวแล้วก็ยังใช้อยู่ เช่น การใช้จ่ายอย่างประหยัด และการทำบัญชีครัวเรือน เพื่อจะได้รู้ว่าเราใช้จ่ายอะไรบ้าง จากที่ผมไม่มีอะไรเลยวันนี้ผมมีบ้าน มีรถ มีเงินล้าน เพราะยึดคำสอนของพระองค์มาเป็นแบบอย่าง และสอนลูกให้ใช้จ่ายประหยัดจะได้มีชีวิตที่ดีในวันหน้า ถึงแม้พระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว ผมในฐานะคนไทยก็รู้สึกเสียใจ เสียดาย แต่ก็ต้องตัดใจ โดยการทำความดีตอบแทนพระองค์ท่าน อย่างน้อยก็ทำดีต่อครอบครัวและพ่อแม่ และความดีนี้จะส่งต่อไปสู่สังคมโดยรวม” นายสวรรค์ กล่าว