xs
xsm
sm
md
lg

เฉือนติ่งธรรมกาย! คุยกับ “อ้อม อินคา” เจ้าของวาทะ “ตอแหลทั้งวัด”!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

เกรี้ยวกราดแต่มีเหตุผล อารมณ์มาเต็มแต่เป็นสิ่งสะท้อน หรือ อาจจะหยาบคายบ้างแต่มันเกิดขึ้นจริง สำหรับข้อความสเตตัสผ่านหน้าเฟซบุ๊กของอ้อม อินคา หรือ จารุวัฒน์ วิเศษสมบัติ สมาชิกวงดนตรีคันทรีร็อกนามอินคา ที่ได้วิพากษ์วิจารณ์ต่อกรณีธรรมกายได้อย่างยียวนและเจ็บแสบ หรือบางทีอาจจะไม่เหมาะสมกับผู้ศรัทธาที่หากเผลอไปได้อ่านข้อความดังกล่าวนี้ ก็คงจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวและสะดุ้งโหยงได้ในคราวเดียวกันได้

และเมื่อมาสนทนากับเขาในกรณีดังกล่าวแล้ว เขาได้ให้ทรรศนะต่างๆ เกี่ยวกับกรณีธรรมกายกับผลกระทบต่อสังคมไทยให้เราเข้าใจได้ จนเราต้องกลับไปขบคิดอีกครั้งด้วยว่า เพราะอะไร กรณีธรรมกายจึงเป็นปัญหาให้กับสังคมไทยในปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า

จากกรณีที่คุณได้โพสต์สเตตัสผ่านข้อความเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวเกือบทุกวัน ทำไมถึงเป็นแบบนั้นครับ

ผมต้องออกตัวก่อนว่า ไม่ได้เป็นศัตรูอะไรกับเขา เพียงแต่ที่ผมออกมาพูด ผมพูดในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทย เราเสียผลประโยชน์ จากทั้งดีเอสไอหรือนู่นนี่นั่น ต้องไปล้อมจับต่างๆ แต่ประเด็นมันอยู่ที่คนที่เป็นต้นเรื่อง มันควรจะรับผิดชอบ คือผมไม่อยากเรียกว่าพระด้วยซ้ำ แล้วในส่วนของความศรัทธาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่มันเป็นหน้าที่ของพลเมืองนะ พระก็คือพลเมือง คุณมีความผิดหรือถูกยังไง คุณก็ออกมาสิ ไม่ใช่แบบว่า ไปที่นั่นที่นี่ได้ ไปทุกโลกได้ แล้วทำไมคุณถึงออกมาไม่ได้ ผมฝากไปถึงพวกศิษยานุศิษย์ว่า คุณต้องแยกให้ออก โอเค คุณศรัทธา ใช่ แต่ผมไม่ได้ไปก้าวล่วงตรงนั้น แต่นี่มันคือเรื่องของกฎหมาย มันผิดกฎหมาย ถ้าไม่ผิดคุณก็ออกมาสู้สิ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมออกมาทำ ผมว่ามันเป็นหน้าที่พลเมืองนะ คนเราทุกคนจะต้องออกมารับผิดชอบ ไม่งั้นพวกลักเล็กขโมยน้อย พวกทำร้ายร่างกาย หรือพวกทำผิดกฎหมาย มันก็อยู่ได้หมด ถูกมั้ย ไปปล้นทองเขา 5 บาท มันน้อยกว่าคดีนี้ตั้งเยอะ หรือคุณไปปล้นธนาคาร ปล้นเซเว่น คุณก็ผิดเหมือนกัน ผมว่ามีกระแสมวลชนที่ออกมาต่อต้าน แล้วคนที่ออกมามันก็คือม็อบ

ผมถามอีกข้อหนึ่งว่า พระควรจะทำอะไรหรือ กิจของสงฆ์หรือเปล่า จริงๆ แล้ว กิจของสงฆ์คือการเผยแผ่คำสอนของศาสนา ผมไม่เคยเห็นพระไปสอนหนังสือตามเขาตามดอย ซึ่งอาจจะมีก็ได้ แต่ถามว่าทำไมไม่ทำแบบนั้นล่ะ คุณมาทำอะไรแบบนี้ มันไร้สาระมาก แล้วที่เราออกมาตรงนี้ แล้วในเฟซบุ๊กเรา ก็มีแต่เพื่อนเท่านั้นที่เห็น ผมว่าอย่างน้อยคนที่มาแอดผมเป็นเพื่อน น่าจะมีอุดมการณ์เดียวกัน แต่การที่มีโพสต์เรื่องอื่นๆ ไป ก็มีด่ากลับมานะ ถ้าเถียงด้วยเหตุผลไม่ได้ ก็ช่วยไม่ได้ แต่มันก็มีคนมาสนับสนุนเราว่า เรื่องนี้เป็นอย่างงี้ คือเราไม่ต้องเถียงกลับหรอก เพราะส่วนใหญ่ก็จะอธิบายกลับ เพราะว่านี่มันเป็นหน้าเฟซบุ๊กผม คุณเข้ามา แล้วคุณมาคอมเมนต์มา เราก็สวนกลับไป แค่นั้นเอง แต่ไม่โกรธ

คนเรามันต่างมุมมอง ไม่เป็นไร แต่ผมมีคนที่มาตอบแทนผมเยอะแยะ คุณก็ไปเถียงเขาด้วยสิ คนนั้นก็เท่ากับสนับสนุนผม แล้วคุณเถียงเขาไม่ได้ สุดท้าย ด่าเสร็จปิดหนี ซึ่งมันก็ไม่ใช่ไง อย่างที่บอกว่า ทำไมออกมา ผมเป็นคนไทย นี่มันเป็นผลกระทบโดยรวม เหมือนกับที่นายกฯ ออกมาพูดว่า เขาต้องดูแลเจ้าหน้าที่ที่มาทำงานตรงนี้ แต่เบี้ยเลี้ยงตรงนี้มันมาจากภาษีของประชากร ซึ่งไปทำงานมา 20 วัน หมดไป 20 ล้าน นี่คือเอาไปทำอะไรได้ตั้งเยอะ สร้างถนนเข้าหมู่บ้านที่ต่างๆ เหลือเฟือ ดีกว่าเอามาทำอะไรก็ไม่รู้ ทำไมตัวต้นเหตุ จะต้องทำให้เป็นอย่างนี้

มองในมุมหนึ่ง คิดว่าทั้งสองฝ่ายต่างยื้อกันไปยื้อกันมาด้วยมั้ย

ผมว่าทางวัดดึงอยู่แล้ว แต่ทางดีเอสไอ ผมไม่รู้ว่าดึงหรือไม่ดึง แต่หนึ่งอย่างที่ผมรู้ที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น ก็คือความรุนแรง ไม่อยากให้เกิด เหมือนกับที่ผมโพสต์นี่แหละ คือ ถ้าผมมีอำนาจ ผมทำไปแล้ว ประกาศไปเลย 3 วัน 7 วัน คุณต้องออกจากพื้นที่นี้ ซึ่งถ้าไม่ออก ถือว่าคุณรับรู้แล้ว ประกาศได้เลย เราสามารถโปรยใบปลิว พูดผ่านโทรโข่งได้หมด คุณจะมาบอกว่าคุณไม่รับรู้ไม่ได้ อันนี้มันเป็นเรื่องกฎหมายนะ เขาใช้มาตรา 44 ใช้ไปแล้วว่าพื้นที่ตรงนี้มันพื้นที่ห้าม คุณยังทำอยู่เลย

คือถ้าสมมติว่า ดีเอสไอเอาจริง ก็จับได้หมดทุกคน เพราะฝ่าฝืนกฎหมายหมดแล้ว แต่เขาไม่ทำ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ดีเอสไอจะยืดเยื้อไปเพื่ออะไร แต่เราเข้าใจว่าในนั้นมีพระ มีคนแก่ เณร หรือบุคคลอื่นๆ ผมนั่งดูข่าวรองอธิบดีดีเอสไอให้สัมภาษณ์ เขาบอกว่า จะให้ไปทุบพระเหรอ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ไง พอเป็นอย่างงั้น ผมเข้าใจว่า น่าจะเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งของทางวัด เพื่อต้องการให้เจ้าหน้าที่ทำร้าย เพื่อจะนำรูปนั้นออกสู่สายตาชาวโลก คือทางดีเอสไอก็อ่านตรงนี้ว่า ไม่อยากให้เกิดตรงนี้ขึ้น เพราะว่าภาพลักษณ์ออกไป ประเทศชาติก็ไม่ดี เพราะเป็นเมืองพุทธ แต่ถามกลับไปว่า นี่เหรอกิจของสงฆ์ในเมืองพุทธ ไม่ใช่ บอกว่าความตายอย่างเดียวที่จะมาพรากไปได้ อย่างงี้คุณไปอยู่ 3 จังหวัดดีกว่า ใส่ชุดทหารไปช่วยประชาชนดีกว่า ถ้าเอาแบบแรงๆ ถามว่า พระทำอะไร งานไม่ทำ แล้วคุณมาสร้างภาระให้กับประเทศชาติอย่างงี้เหรอ

คุณเคยมีประสบการณ์กับทางธรรมกายอย่างไรบ้างครับ

ผมเคยมีประสบการณ์ตอนที่เขามาเดินธุดงค์กลางเมือง ตอนนั้นเดินผ่านเส้นแจ้งวัฒนะเลย คือด้วยนิสัยผมก็เป็นคนกวนตีนด้วยแหละ ก็เดินไปถามว่า คนไทยหรือเปล่า ฝ่ายที่ถูกถาม ไม่หันมาตอบ จังหวะนั้นทำให้เรารู้สึกว่า เขาไม่เข้าใจภาษาหรือเปล่าวะ ถ้าเราละเอียดอ่อนกับเรื่องลักษณะโครงสร้างหน่อย เราจะสามารถแยกออกได้ว่าคนพื้นที่ไหน เดินยังไง คือเราเป็นคนที่ค่อนข้างสังเกตคน ว่าบางทีเวลาที่คนไทยเดินก็จะเป็นลักษณะนึง แต่พระที่ผมเห็นนี่คือ ไม่เหมือนที่คนไทยเดินเลย การย่างก้าวมันจะเป็นในอีกลักษณะนึงเลย แล้วเวลาที่พูดสนทนา เขาจะไม่หันมามองอะไรเลย

ผมเห็นแล้วก็ตะโกนถามอย่างที่บอก เพื่อนผมที่ไปด้วยก็แหย่เหมือนกัน เพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ ซึ่งตามปกติทั่วไป ถ้าเขาเคร่งแล้วโดนสะกิดมา อย่างน้อยก็ต้องมีการวอกแวกบ้าง เว้นเพียงว่า โดนบังคับว่า ไม่มีการสนใจว่าไม่ให้คุยเลย นู่นนี่นั่น เอาง่ายๆ ในการมาเดินอย่างงี้ สิ่งแรกที่เรากระทบคือ การจราจรที่รถติดแล้ว จะเดินข้ามถนนที ขบวนมาเป็นพัน ผมถามหน่อยว่า คุณจะแสดงอิทธิฤทธิ์อะไรเหรอ ก็มีแค่คนมานั่งรอ แล้วมีแผนกแจกดาวเรือง คือเดินหน้าอย่างเดียว ไม่สนใจเลย ซึ่งผมมองว่าอะไรก็ไม่รู้ และไม่ไช่วิถีของศาสนา คุณออกมาอย่างงี้เพื่ออะไร คุณไปเกณฑ์พวกนี้ไปล้างท่อเหมือนนักโทษที่ออกจากคุกดีกว่า ยังได้ประโยชน์กับสังคมมากกว่า

จากการยกตัวอย่างของคุณที่ว่ามา มันก็เหมือนกับผิดหลักศาสนาด้วยมั้ย

คือเราไม่รู้หรอก เขาก็จะอ้างว่า ผู้มีจิตศรัทธามาทำ เขาไม่ได้อยากจะไปอย่างงั้น ผมถามนิดนึงว่า คุณห้ามไม่ได้เหรอ ก่อนจะธุดงค์ คุณก็สามารถบอกได้ว่า ก่อนจะธุดงค์ ไม่ต้องเอาดอกไม้มาโรยบนถนนอย่างงี้ คุณห้ามไม่ได้เหรอ ถ้าห้ามไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าศรัทธากันยังไง มันไม่ใช่ ซึ่งถ้าปฏิบัติธรรมจริงๆ คือไปในป่า ไม่ใช่อะไรอย่างงี้ ไปนั่งทำจิตสงบอะไรในป่า แต่นี่คือมาเดินในเมือง เดินทำไม เดินให้รถติด เดินให้ชาวบ้านด่า เขาไม่ได้เรียกว่าพระนะ เขาเรียกว่าพวกแม่ง อย่างที่บอกว่ามีแต่เสียกับเสียไง ใครจะมาเห็นดีเห็นงามกับคุณล่ะ มันไม่ใช่

ถ้าวัดคุณดีจริงนะ คุณก็ส่งไปสอนหนังสือตามที่ต่างๆ เด็กจะได้มีความรู้ หรือพระอย่างน้อยก็อ่านออกเขียนได้ ครูในประเทศไทยไม่ได้มีเยอะนะ คุณลองไปสิ ไปตามที่ต่างๆ ผมว่าโรงเรียนยินดีนะ ไม่ต้องสอนอะไร สอนวิชาพระพุทธศาสนาก็ได้ ขอไปเลย อาทิตย์ละวันก็ได้ ในระหว่างธุดงค์ ก็ทำไป มีมั้ย แทบไม่ค่อยมีเลย คุณไม่จำเป็นจะต้องเป็นวัดสังกัดอะไรก็ได้ แค่เดินเข้าไปหาถึงที่ ผมว่าเขายินดีนะ เป็นการฝึกไปในตัว แล้วผมว่าโรงเรียนจะยินดีอย่างยิ่ง ดีไม่ดี เหมาทั้งโรงเรียน แล้วให้พระมาสอน เพื่อให้มารวมกัน ดีจะตาย

ในความเห็นของคุณ คิดว่าหลักการธรรมกายมันต่างจากพระพุทธศาสนายังไง

คือผมก็ไม่ได้ลงลึกในเรื่องหลักการของเขา อย่างวิธีการนำเสนอ ผมก็ดูจากช่องที่มีเหล่าสาวกมานั่งดีเบต คือแถอะไรไปก็ไม่รู้ มาบอกว่า การที่มีหญิงสาวมาแต่งตัวเหมือนคลีโอพัตรานู่นนี่นั่น คนนอกไม่รู้หรอก เขาเปรียบว่า เหมือนผู้หญิงผู้ชายที่วิ่งแก้ผ้าออกมา คนจะต้องคิดว่า 2 คนนี้อยู่ในบ้านแล้วมีอะไรกัน เขามาเปรียบว่า คุณไม่รู้หรอก ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในบ้าน เขาอาจจะโดนเอาปืนจี้หัว ผมก็สงสัยว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพระที่โดนปืนจี้หัว คือทำไปอย่างงั้นเพื่อจะได้มีความศรัทธาเชื่อมั่น ผมก็สงสัยว่า นี่มันหลักการอะไรวะเนี่ย ผมว่ามันไม่มีในหลักศาสนาพุทธหรอก โดยปกติทั่วไป เขาก็มีแบบสมถะ เครื่องแต่งกายก็ให้รบกวนที่น้อยชิ้นที่สุด ทุกอย่างให้เป็นเหมือนธรรมชาติ จีวรบางผืนก็เอามาจากผ้าบังสุกุลแล้วไปย้อมจากเปลือกไม้ให้เป็นสี ก็แค่นั้นเอง เขาไม่ได้มาเบียดบังอะไรเลย ออกบิณฑบาต หรือสมัยก่อนก็ออกไปเก็บนั่นนี่ ไม่ใช่ให้ชาวบ้านเดือดร้อน เขาต้องมาช่วยเหลือชาวบ้าน

ผมว่าหลักพระพุทธศาสนาในเมืองไทยตอนนี้มันเพี้ยนไปหมด ทำไมวัดต้องมีโบสถ์สวยงาม ทำไมไม่เอาไปสร้างสาธารณะอื่นๆ อย่างไปตามต่างจังหวัด ยังเป็นสาธารณสุขอยู่เลย ผมเคยประสบอุบัติเหตุที่เกาะสมุยเมื่อนานมาแล้ว โรงพยาบาลมีแค่ยาล้างแผล ซึ่งถ้าเป็นอะไรหนักๆ จะทำยังไง เอาเงินที่ไปสร้างวัดใหญ่โต มาสร้างโรงเรียนให้ดีขึ้นดีกว่ามั้ย อันนี้เสริมสร้างศักยภาพทางสังคมให้กับประเทศเราได้มากกว่าการไปสร้างวัดอีก โอเค การไปทำบุญเพื่อนิพพาน แต่ถามหน่อยว่า ชาติต่อไปคุณจะได้เกิดเหรอ แล้วคุณจะได้ดีเหรอ

ถ้าคุณทำบุญกับคนที่อยากจะไปโรงพยาบาลเนี่ย คุณไม่อยากให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยเครื่องมือแพทย์ที่ดีเหรอ หรือ คุณมีเงินเยอะไปหาเลี้ยงเด็กกำพร้า แล้วเป็นพ่อแม่บุญธรรมของเขา ให้เขาเจริญเติบโตที่ดี เพื่อให้เขาได้สัมผัสมากกว่า ซึ่งอันนี้มันเป็นมุมมองผมนะว่า ถ้าทำคุณเห็นเลย ว่า 20 ปี ที่คุณเลี้ยงเขามา คุณไม่ภูมิใจกว่าเหรอ เมื่อเปรียบกับไปถวายล้านนึง แล้วจะต้องต่อยอดไป 10 ล้าน คือต้องไปกู้มาแล้วบริจาคมันใช่เหรอ ในแวดวงรอบตัวผม ประมาณ 3-4 คน ที่ทะเลาะกัน เพราะเรื่องนี้ เงินก็ไม่มี เอาบ้านไปจำนอง เอาเงินไปบริจาค นี่คือหลักการไหน ซึ่งถ้าคุณมี 1,000 ล้าน แล้ว บริจาค 100 ล้าน โอเค ไม่เดือดร้อน แต่นี่คือไม่มี เอาทุกอย่างเพื่อไปเข้าวัด เพื่อเอาเงินมาซื้ออนาคตที่ไม่รู้ว่ามีหรือยัง ยังไม่เห็นเลย มันคืออะไร ผมว่ามันงมงายนะ

มันสะท้อนด้วยมั้ยว่า การทำบุญแบบนี้ ค่อนข้างตอบโจทย์ให้กับคนในยุคปัจจุบัน

ถามกลับว่า ความรู้สึกของคุณจากอะไร เป็นการมโนเอาเองหรือเปล่า สมมุฃติว่า เราไปทำบุญ จิตใจบริสุทธิ์ว่าได้ไปใส่บาตร เอาเงินใส่ซองให้พระ หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมก็ไม่เคยคิดว่า ปีหน้าจะได้ดีจากการทำบุญวันนี้ ผมก็ไม่เคยคิด แค่รู้สึกว่า ได้เอาข้าวหรืออะไรก็แล้วแต่ไปถวายพระ เป็นสิ่งที่ศาสนิกชนควรจะทำบ้าง เพราะเราไม่ได้บ้าคลั่ง ว่าต้องอย่างงั้นอย่างงี้ อะไรที่ทำได้แล้วไม่เดือดร้อน ผมก็ทำ คือผมจะเป็นลักษณะว่าทำบุญกับคนมากกว่า อย่างเช่นว่า เราก็ดูว่า คนนี้น่าสงสารมากเลย บางอย่าง เราก็เป็นลักษณะที่ว่า ขี้สงสาร สมมติว่าเรานั่งกินข้าวอยู่อย่างนี้ บางทีเราก็เห็นว่า มีพนักงานกวาดทำความสะอาด เราเห็นสายตาเขาแล้วรู้สึกว่า เขาอยากจะมากินในร้านนี้บ้าง หรืออะไรก็แล้วแต่เราอาจจะไม่รู้ แต่สายตาเรา เรารู้สึกว่าเป็นการสื่อสารได้ ผมก็เดินเอาเงินไปให้เขา เขาก็งงๆ แต่เราบอกว่า ให้ลูกไปซื้ออะไรกิน ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นการดูถูก แต่เรารู้สึกว่า เรามี เราให้ได้ เราไม่เดือดร้อน เราซื้อแววตาคู่นั้นของเขา ไม่ได้คาดหวังว่าเงิน 100 บาทนั้นจะทำให้ผมดีขึ้น

เราเอาแค่ความสบายใจของเรา แค่นี้เอง หรืออย่างเวลาบางครั้ง เราไปกินข้าวที่ไหนก็แล้วแต่ เราก็ซื้อข้าวไปให้พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ไหนก็ไม่รู้ เราก็เตรียมไว้ แบบเจอตรงไหนก็ให้ หรืออย่างช่วงขายของตาม 4 แยก ผมก็ถามว่ากินข้าวรึยัง แล้วก็ให้ข้าวเขาไป คือเขาไม่รู้ แต่ก็อยู่ได้ ก็สบายใจ คุณอาจจะเอาไปทิ้งก็ได้ แต่เราให้แล้ว ไม่ได้คิดอะไร

แต่การกระจายตัวของธรรมกาย มันก็ดึงให้คนได้สนใจหลักพุทธตามที่เขาเชื่อ ประมาณหนึ่งนะครับ

จิตอ่อนหรือเปล่า คุณเอาหลักอะไรล่ะ ที่อยากทำตรงนี้ อยากเห็นชาติหน้าที่ไม่รู้ว่าเป็นยังไง แต่เชื่อไปก่อน เพราะคนที่มาชักจูงว่าเห็นแล้วนะ เหมือนที่ว่าไปเพ่งดวงอาทิตย์เนี่ย ผมก็มีคนออกมาบอกแล้วนะว่าเพ่งเหมือนกันแต่ไม่เห็นอะไรเลย แต่รู้สึกว่าอาย เลยไม่ไปอีกแล้ว มันก็มีมุมนี้ เขาก็บอกว่า ทำไมคนอื่นเห็นแต่เราไม่เห็น สุดท้ายบางคนก็ต้องบอกว่าเห็นแล้วไม่ไปอีกแล้ว ผมว่าผมก็เป็นคนธรรมดานะ แต่ก็มีการแยกแยะออกนะว่าอันนี้ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ

อย่างเวลาที่เราไปทำบุญตามวัดต่างๆ เราก็จะเลือกไปวัดที่ไม่มีอะไร คือเราไม่รู้หรอกว่ามีหรือไม่มี แต่รู้สึกว่า เขาลำบากกว่าวัดที่เจริญ คือวันนี้ของแห้งเยอะกว่าซูเปอร์มาร์เกตอีก เพราะว่าคนทำบุญ เอาไปใส่บาตร คือบางทีจะโทษพระอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่เราไม่ได้คิดหรอกว่า ทำบุญวัดนี้ ของเต็มวัด คือความสมดุลมันไม่เท่ากัน โอเค ของแห้งก็มีการคิดแล้วว่าเก็บได้ 100 คน ของแห้ง มันก็ 90 แล้ว แล้วจะเอาไปทำอะไร ทีนี้ก็เริ่มมีกิจกรรมว่า เอาไปขายแล้ว ถ้าบางวัดเอาไปบริจาคก็โอเค เอาไปบริจาคให้คนยากจนก็ว่าไป ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าวิธีปฎิบัติเขาเป็นยังไง ผมว่าระบบการจัดการต้องมาจากคนให้ก่อน คุณควรจะคิดก่อน แค่นี้เอาเงินไปให้ดีกว่า ยังไงก็ทำบุญกับพระแล้ว พระจะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่บูด ไม่เน่าไม่เสีย ง่ายกว่า แต่นี่ของแห้ง ปลากระป๋อง มาม่า ลำบากพระให้ขนกลับวัดอีก

ในมุมมองของคุณเอง หลักธรรมกายส่งผลยังไงต่อพระพุทธศาสนาประเทศไทย

(นิ่งคิด) ในเรื่องความเชื่อความศรัทธาห้ามกันไม่ได้ แต่การส่งผลนั้น ผมว่ามันควรจะแตกแขนงออกไป มันไม่ใช่หลักพระพุทธศาสนา ที่ทุกอย่างจะต้องเรียบง่าย คืออะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้สังคม พระในสมัยก่อนเขามาช่วยประชาชน ไม่ใช่ว่าให้ไปทำให้เขา ก็ไม่ใช่ หลักของเขามันปรับไปหมด แล้วไม่ใช่ปรับแบบว่าโอเวอร์อ่ะ ผมถึงถามว่า มาธุดงค์ตรงนี้ แล้วยังไงเหรอ เพื่ออะไร โอเค คุณมีลูกศิษย์อยู่ล้านคน ในกรุงเทพฯ มี 6-7 ล้าน แล้วคนที่เหลือเขาคิดยังไงกับคุณ มันไม่ใช่ ทำไมคุณไม่ไปทำในที่ของเรา เราจะทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องมาแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ใครรู้ คุณตั้งศาสนาใหม่ไปเลย ไม่มีใครว่า ซึ่งผมว่าคนน่าจะยินดีนะ ก็จะได้รู้ไปเลย เป็นเรื่องของเขาไปเลย อย่าให้คนอื่นเขาเดือดร้อนในสิ่งที่เขาไม่เห็นด้วย พอมาเป็นอย่างงี้ สมมติว่าเขาไปตั้งศาสนาของเขาเอง เรื่องเงินที่เขาไปเอามา ก็แยกจากกัน เพราะพวกนี้ก็อาจจะไม่เชื่อแล้ว เพราะว่าเป็นพุทธอ่ะ ไม่เกี่ยวกับศาสนาอะไรไม่รู้ แล้วความเชื่อมโยงก็ตัดขาดไปเลย คุณเป็นอันนั้นก็เป็นไป คุณไม่เกี่ยวแล้ว ผมศรัทธาตัวคุณก็จริง แต่ผมนับถือศาสนาพุทธ จบ ง่าย แต่ทุกวันนี้ มันเป็นอย่างงี้ เพราะว่ามันเป็นความผิดของบ้านเมือง มันก็เข้ามาแล้ว

ขณะเดียวกัน เขาก็มองว่าเขาถูกเสมอ โดยที่ไม่สนใจอะไรเลย ในมุมนี้คุณคิดว่ายังไง

ถูกเสมอในเรื่องอะไร แล้วทำไมตอนที่คุณมีคดีต่างๆ คุณไปฟ้องศาล คุณไปฟ้องว่าแต่ละคนหมิ่นประมาท คุณไปฟ้องได้ แต่พอมาตอนนี้คุณโดนฟ้อง แล้วคุณคิดว่าคุณถูก คุณก็ออกมาต่อสู้สิ ตามกระบวนการ คือมันห้ามไม่ได้หรอกว่า ใครก็ตามที่โดนกลั่นแกล้ง แต่นี่มันเป็นหลักฐานทางสังคมที่เป็นกระบวนการแล้ว ไม่ได้มาชี้โต้งๆ ว่าผิดนะ มันก็ดำเนินการมา เรื่องที่นี่ ที่นั่น เท่ากับว่า ตอนนี้ประเทศกลั่นแกล้งคุณสิ เพราะว่าคุณไม่ยอมรับ มันไม่ใช่แค่คดีเดียว ที่มีแค่เรื่องนี้ แต่มันมีหลายที่ นี่มันเป็นประเทศแล้วนะ ประเทศเป็นโจทย์กับคุณแล้วนะ แล้วคุณไม่ออกมาแก้เหรอ ถ้าเป็นคนๆ เดียว แล้วบอกว่าคุณผิด คุณบอกว่าไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ เพราะผมเป็นบุคคล แต่นี่เป็นประเทศว่าคุณผิด แต่คุณไม่ออกมา แต่กลับไปบอกว่า ประเทศแกล้งคุณ สุดยอดตรรกะมากเลย อย่างที่บอกเราไม่ได้ว่าพวกลูกศิษย์ที่ศรัทธาเลย ที่เชื่อว่าเป็นคนดี และไม่ทำผิด แต่มันจะมีอะไรที่คุณจะตรวจสอบว่าผิดหรือไม่ผิดล่ะ ก็สังคมให้คุณออกมาพิสูจน์ แต่คุณไม่พิสูจน์ แล้วไง ก็ไม่จบ ไม่มีวันจบ ซึ่งถ้าเป็นกฎหมายแรงๆ ผมว่ามีสนุกอ่ะ คือไม่รู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่เข้าใจอะไรเลย

ถ้าหากเปรียบธรรมกายให้เป็นไปตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาแล้ว คุณคิดว่าตรงกับข้อใด

ผมว่าไม่น่าจะใช้คำว่าหลงทางนะ เพราะว่ามันเป็นการตั้งใจที่จะทำ ซึ่งหากเป็นคำว่าหลงก็คือความไม่แน่ใจ ถึงจะเรียกว่าหลงได้ เป็นแบบว่า ใช่หรือเปล่าวะ ลองดูก่อน แต่เขาคือตั้งใจ พุ่งประเด็นไปเลย ใช้คำว่ามั่นใจเกินไปดีกว่า มั่นใจว่ามันต้องเป็นอย่างงี้ มันต้องไปในทางนี้ ซึ่งตามหลักศาสนาที่แท้จริง คือ พอดีๆ มันต้องเดินสายกลางสิ ลองอยู่แต่ละที่ซิว่ามันยังไง ไม่ใช่ว่าทุกคนมีความมั่นใจหมดเลย คุณเอาเงินมา 100 ล้านสิ เดี๋ยวคุณจะได้ 1000 ล้านกลับไป คุณมั่นใจ คุณก็ให้ 100 ล้านไง แต่ถ้าใช้คำว่าหลง อันนั้นคือโดนหลอก แต่ถ้าเป็นคำว่าหลง ก็คือประเภทที่ว่า โดนเอาบ้านไปจำนองแล้วเอาเงินมาให้นี่คือหลง ผมว่าที่ของเขาที่ทำคือความมั่นใจ มั่นใจว่าทำแบบนี้ แล้วเกิดเรื่องอย่างงี้ เหมือนนักบอลที่คิดว่าตัวเองเก่งและมั่นใจ ทั้งๆ ที่ เพื่อนร่วมทีมก็มีส่วนด้วยเช่นกัน อันนี้มั่นใจเกินไป โดยที่ไม่สนอะไรเลย ซึ่งถ้าเขาสน เขาสนตั้งแต่ตอนมีปัญหาแล้ว ไม่ใช่ว่าอย่างงี้ ปล่อยให้เป็นอย่างงี้

ผมเลยใช้คำว่าตอแหลไง แต่ละคนที่ออกมาพูดว่า ไม่เคยเจอ ซึ่งถามกลับว่า ถ้าไม่ได้เจอแล้วออกมาพูดได้ยังไง คุณบอกว่าไม่เจอกัน แล้วยังไงกันแน่ แม้กระทั่งหลังสุด พระฝ่ายสื่อสารของเขาเอง ตอนแรกบอกเจอ แต่พอตำรวจเรียกบอกไม่เจอ คือมุสา ตอนนี้คือคุณอยู่ในสถานที่ที่ทำผิดกฎหมายแล้ว เขาสามารถจับได้เลยว่าผิดมาตรา 44 แล้ว ทุกคนที่อยู่ในวัด คือดีเอสไอประนีประนอม แต่ถ้ารุนแรงเข้าไป ไม่ต้องส่งข้าวส่งน้ำไป เดี๋ยวมันก็หมดแล้ว ใครจะออก ออกมา ออกมาเลย คนเข้าก็ต้องมี แต่ถ้าไม่ให้เข้า มันก็ต้องทำให้แข็งแรง ไม่ใช่แบบทุบกำแพง เลอะเทอะไปหมด ผมว่าสังคมเบื่อข่าวนี้แล้วนะ คือไม่จบไม่สิ้นซักที

ล่าสุดทางดีเอสไอก็ได้ประกาศยกเลิกแผนการค้นหาแล้ว คุณมองในมุมนี้ยังไงบ้างครับ

ผมก็ไม่รู้นะว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงยกเลิก แต่มันอาจจะเป็นเพราะว่า เสียเวลา หรือเสียงบประมาณเปล่าหรือเปล่า เพราะว่าทำไปแล้วไม่มีอะไรที่ดีขึ้นมาเลย แล้วในระบบดีเอสไอที่เขาทำอยู่ มันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย เพราะว่าออกมาพูดในแต่ละวัน ก็เหมือนเดิม คือเขาอาจจะคิดว่า ทำไปแล้วเปล่าประโยชน์หรือเปล่า หรือมีแผนอื่น ซึ่งเราก็ไม่รู้ แต่ว่ามาถึงขั้นนั้นแล้วนะ หรือโดนแรงเสียดทานจากสังคมไม่ไหว เลยถอยก่อน เพราะมันมีค่าใช้จ่ายทุกวัน ซึ่งสุดท้ายเขาก็มีหมายจับออกมาว่า เจอที่ไหนก็จับได้ คือจริงๆ ก็มีมาตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าอย่างงั้นจะไปล้อมทำไม หรือบางกระแสกลบข่าวอื่นที่ดังกว่า ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้ก็อยู่ในกระแสสังคมพอๆ กันนะ เพียงแต่วิธีการปฎิบัติ มันไม่เหมือนกัน

อย่างเรื่องโรลส์รอยซ์เขาก็ตามจากเมืองนอก แล้วในเมืองไทยเขาก็ตามเรื่องอยู่ มันก็คนละเคส ซึ่งถ้าจะไปจับผู้ร้าย มันก็ต้องทำให้ได้ อำนาจก็มี กฎหมายก็มี แต่วิธีปฏิบัติคุณไม่ทำเอง แล้วอยู่ดีๆ ก็เลิก คุณก็ไม่ตั้งโจทย์เองว่าเป้าหมายแต่แรกคืออะไร คือถ้าง่ายๆ 7 วันก็จบแล้ว ไม่ต้องยืดเยื้อมา 20 กว่าวัน มันก็ไม่ใช่เรื่อง สุดท้ายก็ถอยจบเลย ซึ่งบางคนอาจจะคิดได้ว่า มวยล้มต้มคนดูหรือเปล่า มันก็อาจจะทำให้คนคิดได้ ผมได้คุยกับรุ่นน้องที่เป็นตำรวจที่เขาดูแลคนพวกนี้ เขาก็บอกว่า ไม่เห็นยากเลย ลงไปตรวจทุกตารางเมตร และตารางนิ้วของพื้นที่แล้วก็จบ หรือใครขวางก็จับ ก็จับเลยจับให้หมด ทำไมไม่ทำ แต่เขาเป็นตำรวจพื้นที่ไง คือเรื่องนี้ดีเอสไอเป็นคนดูแล แล้วความเห็นนี้ประชาชนเขาคุยกัน ซึ่งถึงแม้ว่าเขาเป็นตำรวจ แต่เขาก็คิดว่าทำไมไม่ทำอย่างงี้ แล้วอยู่ดีๆ เลิกเลย งง ทุกคนก็งง มันก็มองได้มุม ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยังไง เพราะว่าเราก็ยังไม่เห็นความรุนแรงอะไร เห็นเพียงว่า ทำไปทุกวัน แล้วเปลืองงบประมาณแผ่นดิน ทางนู้นก็นี่นั่นว่ากันไป ก็ต้องดูต่อไปว่าจะยังไงต่อ

ถ้าจะให้ตัวคุณสรุปในกรณีธรรมกาย คิดว่า ทิศทางต่อไปในอนาคตข้างหน้า แบ่งได้ไปสองทาง คือ ยังมีอยู่ และ ถูกกำจัดไป ผลลัพธ์ของทั้ง 2 ทางนี้ คิดว่าจะเป็นยังไงครับ

ในเรื่องกำจัดไป ผมว่าไม่มีทาง ยาก เพราะว่ายังมีสาวกนู่นนี่นั่นอยู่ แต่ความเลื่อมใสอาจจะน้อยลงไป เพราะว่าในตัวของธัมมชโย ผมว่าเป็นคนที่ทำให้คนคลั่งไคล้เยอะ เชื่อนู่นนี่นั่น ศรัทธาในตัวบุคคลเยอะ ไม่น่าจะมีเบอร์ 2 ขึ้นมา แต่ว่าถ้าจะให้สลายไป คงลำบาก เพราะว่าคนพวกนี้ยังมีการฝังหัวอยู่ แล้วระบบการจัดการในประเทศเราก็คงไม่ขนาดนั้น ไม่รุนแรง ซึ่งถ้าจะไปถึงขั้นที่กำจัดเลย ก็คงเป็นเรื่องที่ศาสนา ฝ่ายสงฆ์ที่จะต้องจัดการ ซึ่งเราก็อย่าไปคาดหวังมากนัก ซึ่งถ้าจะให้หมดไปจริง ก็ต้องเป็นกฎหมายบ้านเมือง ว่าทำผิดในเรื่องของสงฆ์ ส่วนทางสังคมก็ต้องชี้ไปทางสงฆ์ แต่เราก็ไม่รู้ว่าทางสงฆ์เขามีอำนาจในการห้ามเลยมั้ย แต่จริงๆ แล้ว กฎหมายบ้านเมืองก็ห้ามได้ ก็ตัดตอนเลย แต่ว่ายากแล้ว

ส่วนในตัวบุคคลที่ว่ามา อาจจะทำให้คนศรัทธาน้อยลง เพราะว่าส่วนใหญ่เขาก็ศรัทธาธัมมชโยอยู่แล้ว มาเรื่อยๆ ที่ละขั้นๆ คนส่วนใหญ่ก็จะศรัทธาในตัวบุคคลมากกว่า แล้วบุคคลนั้นก็ไปสร้างอาณาจักรเขาขึ้นมา ซึ่งสมมติว่าสิ้นธัมมชโยไป ก็อาจจะน้อยลง แต่ไม่หมดหรอก เพราะว่าขนาดเรายังไม่ได้เป็นสาวกเรายังรู้เลยว่านี่คือเบอร์ 1 เปิดทีวีผ่านก็ยังเจอ ซึ่งหากเป็นต่างประเทศนี่คือ ไปตั้งแต่อาทิตย์แรกแล้ว (หัวเราะ) แล้วสุดท้ายก็ให้ลืมเรื่องที่ผ่านมาไป มันไม่ใช่ไง มันเป็นเรื่องที่คุณทำผิด ซึ่งของเราจะเป็นประเภทที่ว่าตีเหล็กตอนร้อน แต่พอเหล็กเย็นก็เลิก เกือบทุกคดี พอคนเบื่อเดี๋ยวก็เลิกเป็นข่าวพาดหัวแล้ว แต่คือเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่มีคนหลายคนได้รับผลกระทบจากการที่โดนโกงเงินมา สมมติว่าถ้าเป็นเงินของพ่อแม่เราล่ะ ตอบมาสิ ไม่ใช่มานั่งสวดมนต์
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี

กำลังโหลดความคิดเห็น