พสกนิกรทุกหมู่เหล่าจากทั่วสารทิศเดินทางมาต่อคิวรอเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างไม่ขาดสาย ทุกคนต่างน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ น้อมนำหลักคำสอนมาปรับใช้ในชีวิต
วันนี้ (14 มี.ค.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 132 ตลอดทั้งวันมีพสกนิกรทุกหมู่เหล่าจากทั่วสารทิศของประเทศไทย เดินทางมารอต่อแถวเข้าถวายสักการะพระบรมศพ อย่างไม่ขาดสาย ตลอดทั้งวันตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้
เพราะช่วงปิดภาคเรียนจึงทำให้แม่พิมพ์ของชาติทั้ง 3 คน อย่าง นางบุญช่วย เทพสงเคราะห์ อายุ 59 ปี นางสาวกนกลักษณ์ อรรคมุต อายุ 34 ปี และ Miss May Hazel ครูแลกเปลี่ยนชาวฟิลิปปินส์ มีโอกาสได้มาสักการะพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท โดย นางสาวกนก อรรคมุตลักษณ์ คุณครูสอนวิชาสังคมศึกษา โรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย กล่าวว่า มาสักการะพระบรมศพ เป็นครั้งที่ 3 แล้ว และทุกครั้งที่ได้สักการะพระบรมศพนั้นความรู้สึกไม่ได้ต่างกันเลย คือ เต็มไปด้วยความภูมิใจปลาบปลื้มใจ และได้อธิษฐานขอให้พระองค์เสด็จฯ ไปสู่สวรรคาลัย รักในหลวง รัชกาลที่ ๙ มาก 2,000 กว่าโครงการในพระราชดำริฯ นั้นทรงทำเพื่อพสกนิกรของพระองค์ทั้งสิ้น และในฐานะที่เป็นครูสอนวิชาสังคมศึกษา ก็ได้ นำโครงการพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ ๙ และน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาสอนเด็กนักเรียน เพื่อปลูกฝังให้เด็กนักเรียนมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนั้นไม่ใช่แค่การปลูกผักไร่นาสวนผสมเท่านั้น แต่มันหมายถึงการใช้จ่ายอย่างพอเพียง เด็กๆจะได้มีความรู้เรื่องการทำบัญชีใช้จ่ายค่าขนมอีกด้วย อีกทั้งในส่วนตัวก็ได้นำหลักคำสอนของในหลวง รัชกาลที่ ๙ เรื่องความอดมาสอนเด็กนักเรียน หลายครั้งที่สอนนักเรียนแล้วเกิดความรู้สึกท้อถอย แต่พอได้นึกถึงการทรงงานของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ที่พระองค์ทรงงานหนักมาตลอดระยะ 70 ปีแห่งการครองราชย์ ท่านเสด็จฯ ไปทุกถิ่นอย่างมิทรงเคยหวั่นเกรงภัยอันตราย ดังนั้นเมื่อเราคิดถึงพระองค์ท่านก็ทำให้มีแรงบันดาลใจและเกิดความมุมานะที่จะประกอบอาชีพเป็นแม่พิมพ์ของชาติ ให้ความรู้กับเด็กๆ เพื่อให้เขาเป็นคนดีของชาติต่อไป
ส่วน Miss May ครูชาวฟิลิปปินส์ ที่มาอยู่เมืองไทยได้ 3 ปีแล้ว กล่าวว่ารู้จักในหลวง รัชกาลที่ 9 ผ่านทางสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์ พระองค์ทรงเป็นพระราชาที่คนไทยทั้งประเทศรักและเทิดทูนเหนือสิ่งใด ตนในฐานะที่เป็นชาวต่างชาติรู้สึกอิจฉาคนไทยมากที่มีพระราชาผู้ทรงธรรม ทรงทำทุกอย่างเพื่อความอยู่ดีกินดีของปวงชนชาวไทย
นางปุณณัฐฐา หล่อปุรทรัพย์ อายุ 54 ปี อาชีพแม่บ้าน และ นางฉัตร์ชลี สุขมา อายุ 55 ปี พนักงานโรงงานเย็นผ้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรก กล่าวร่วมกันว่า เดินทางมาด้วยกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า ตั้งใจจะมาหลายครั้งแล้วแต่คิดว่าคนเยอะ จึงเพิ่งได้เข้ามาครั้งแรก เมื่อขึ้นไปแล้วก็รู้สึกขนลุก ปลื้มปีติ อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ตลอดชีวิตประทับใจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในทุกๆ ด้าน อยู่ในดวงใจของพวกเราคนไทยตลอดไป ทั้งความอดทน อดกลั้น ความดีและความพยายามของพระองค์ เช่น ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงอดทนอดกลั้นกับการทำงาน และคนไม่ดี พระองค์ทรงเป็นต้นแบบของการปิดทองหลังพระที่แท้จริง ทำดีอย่างไม่หวังผลตอบแทนแม้ว่าจะไม่มีใครรู้ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติในชีวิตจริงได้อย่างดี
นางฉัตร์ชลี เผยอีกว่า อย่างเรื่องความรักให้กับคนในครอบครัวของพระองค์นั้น เป็นเรื่องสำคัญ ก่อนหน้านี้ในครอบครัวไม่กล้าจะกอดจะหอมกัน แต่ภาพที่ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงกอด สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กลายเป็นภาพตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าขนาดพระเจ้าแผ่นดินท่านยังทรงปฏิบัติกับพระราชมารดาโดยไม่เขินอาย รวมไปถึงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ได้ปฏิบัติยึดใช้มาตลอด
นางสาววิลาวรรณ บุตรนามดี อายุ 30 ปี ชาว ต.ปลวกแดง อ.ปลวกแดง จ.ระยอง กล่าวว่า เดินทางมาพร้อมสามี ลูกสาว และแม่ และเพิ่งจะเดินทางมาเป็นครั้งแรก ซึ่งตั้งใจจะมาช่วงแรกๆ คนเยอะ วันนี้สามีหยุดงานจึงได้ขับรถพาครอบครัวมากันเอง และเดินทางมาถึงสนามหลวงประมาณตี 4 และเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพเสร็จประมาณ 7 โมงเช้า ดีใจที่ได้มีโอกาสเดินทางมากราบในหลวง รัชกาลที่ 9 ในวันนี้ พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนชาวไทยอย่างมากทรงมีโครงการในพระราชดำริต่าง ๆ มากมาย ซึ่งที่ ต.แม่น้ำคู้ อ.ปลวกแดง ก็มีอ่างเก็บน้ำดอกกราย ซึ่งแม่เล่าให้ฟังว่าเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้วในหลวง รัชกาลที่ 9 เคยเสด็จฯ ไปเปิดอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ด้วย นอกจากนี้ ใน อ.ปลวกแดง ยังมีอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลอีก ซึ่งอ่างเก็บน้ำเหล่านี้นอกจากใช้กักเก็บน้ำไว้ใช้ช่วงหน้าแล้งและยังมีคลองระบายน้ำ ไปให้ชาวบ้านได้ใช้ทางการเกษตรอีกด้วย และยังมีการส่งเสริมพัฒนาอาชีพการเกษตรให้กับชาวบ้านให้มีอาชีพ
“ที่บ้านก็ทำไร่สับปะรด ปลูกพืชผักและเลี้ยงปลา โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และก็ได้ใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำของพระองค์ จึงรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้” น.ส.วิลาวรรณ กล่าว
น.ส.เกวลิน ล้วนดี อายุ 33 ปี และ น.ส.นิภา ใต่ไม้งาม อายุ 43 ปี ชาวจังหวัดอุดรธานี ที่หอบหิ้วกระเป๋าสัมภาระพะรุงพะรัง ร่วมกันเล่าความรู้สึกหลังจากได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพ ว่า เป็นครั้งแรกที่ได้มาประทับใจมาก พากันเดินทางโดยรถประจำทางจากบ้านเกิดตั้งแต่ 6 โมงเย็นวานนี้ มาถึงสนามหลวงแล้วเข้าคิวรอเมื่อเวลาตี 5 ครึ่ง และได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพเวลา 7 โมงครึ่ง ใช้เวลารอ 2 ชั่วโมงถือว่าเร็วกว่าที่คิดไว้มาก นอกจากจะภูมิใจที่ได้มากราบในหลวง รัชกาลที่ ๙ แล้วยังประทับใจที่เห็นผู้คนมากันมากมาย ถ้ามีโอกาสก็อยากจะมาอีกเรื่อยๆ
“เราอยู่อุดรฯ ไกลจากกรุงเทพฯ พอสมควร ไม่เคยรับเสด็จฯในหลวง รัชกาลที่ ๙ สักครั้งในชีวิต ทำให้ต้องมากราบท่านให้ได้เป็นครั้งสุดท้าย เห็นท่านทำงานลำบากเพื่อประชาชนมาตลอด รู้สึกรักท่านมาก ไม่คิดว่าท่านจะจากไปเร็วขนาดนี้ ไม่ว่าจะเดินทางลำบากแค่ไหนบอกกับตัวเองและเพื่อนที่มาด้วยกันว่าต้องมาให้ได้ พอได้มาก็ตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ตัวเองทำนา พอหน้าแล้งก็ปลูกอ้อย ก็ได้ประโยชน์จากโครงการเกี่ยวกับน้ำของในหลวง อย่างเขื่อนอุบลรัตน์ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งอยู่ในอุดรฯ แต่ก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อย เพราะมีคลองส่งน้ำมาถึง ทำให้มีน้ำท่าปลูกอ้อยยามหน้าแล้ง ทุกวันนี้ยังใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการพึ่งตัวเอง ปลูกข้าว ปลูกผักไว้กินเอง เพื่อนบ้านก็ทำเหมือนกัน แล้วเอามาแบ่งกันกิน อยู่ได้สบายๆ โดยไม่ต้องใช้เงินซื้อหาอะไรมากมาย คิดว่าจะใช้ชีวิตแบบนี้แหละ มีความสุขดี” น.ส.เกวลิน กล่าว