พสกนิกรจากทั่วสารทิศทยอยเดินทางมาร่วมกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างต่อเนื่อง ตลอดทั้งวันตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
วันนี้ (12 มี.ค.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 130 ตลอดทั้งวัน ยังมีพสกนิกรทุกหมู่เหล่าจากทั่วสารทิศของประเทศไทย ทยอยเดินทางมารอต่อแถวเข้าถวายสักการะพระบรมศพ อย่างต่อเนื่อง ตลอดทั้งวันตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้
นายสงกรานต์ ทรัพย์สิน อายุ 48 ปี นายก อบต.ดอนกระเบื้อง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี กล่าวภายหลังร่วมเป็นเจ้าภาพถวายพระบรมศพว่า นับเป็นความปลาบปลื้มของพสกนิกรชาว ต.ดอนกระเบื้อง ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ร่วมเป็นเจ้าภาพถวายเป็นพระราชกุศล ซึ่งชาว ต.ดอนกระเบื้อง ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงให้ความช่วยเหลือเกษตรกรเลี้ยงโคนมที่ประสบปัญหาเรื่องสถานที่ในการจำหน่ายน้ำนมดิบ พระองค์ทรงมีรับสั่งให้สร้างโรงงานผลิตนมผงขึ้นและต่อมาได้มีการรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์ ทำให้ชุมชนมีรายได้ที่มั่นคงและอยู่ดีมีสุขจนถึงทุกวันนี้
นายสงกรานต์ กล่าวต่อว่า ตอนอายุประมาณ 3 ขวบ ตนเคยมีโอกาสได้เฝ้าฯ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดสหกรณ์โคนม หนองโพ ราชบุรี ที่ ต.หนองโพ ผมยังเด็กมากจึงจำความไม่ค่อยได้ คุณแม่กับคุณยายเล่าให้ฟังว่า พระองค์ตรัสถามว่าเด็กคนนี้อายุเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่คุณแม่กับคุณยายตื่นเต้นมากก็ไม่ได้ตอบอะไรไป เวลานึกถึงช่วงเวลานั้นก็รู้สึกตื้นตันทุกครั้ง
“ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นพระองค์ทรงงานหนักมาตลอด พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปช่วยเหลือประชาชนทั่วทุกถิ่นของประเทศไทย ผมได้อธิษฐานขอให้ในอนาคตคนไทยกลับมารักและสามัคคีกันดังเช่นพระบรมราโชวาทที่พระองค์พระราชทานไว้ แม้ตอนนี้พระองค์จะไม่อยู่แล้ว แต่พวกเราทุกคนจะเคารพและเทิดทูนพระองค์อยู่ในหัวใจตลอดไป ส่วนตัวจะน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต และน้อมนำหลักการทรงงานมาใช้ในการพัฒนาตำบลให้เจริญก้าวหน้า” นายก อบต.ดอนกระเบื้องกล่าว
เนื่องด้วยเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ จึงทำให้ 3 พ่อแม่ลูกครอบครัวพ่อพิมพ์ แม่พิมพ์ของชาติ ซึ่ง นำโดยหัวหน้าครอบครัว นายสุรัตน์ คุณครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งแถวจังหวัดฉะเชิงเทรา นางโสภา คุณครูโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเดียวกัน และ เด็กชายคณิตกรณ์ บุตรชาย มีเวลาพากันเดินทางออกจากบ้านพักที่จังหวัดฉะเชิงเทราตั้งแต่เช้าตรู่ และมาถึงที่สนามหลวงตอน 08.30 น. และได้กราบสักการะพระบรมศพ เมื่อเวลา 11.00 น. โดย นางโสภา กล่าวภายหลังว่า มาสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรก เนื่องด้วยติดภาระกิจสอนหนังสือเด็กๆ วันนี้เป็นวันหยุดจึงชวนสามีและลูกชายมาด้วย วินาทีที่ได้กราบสักการะพระบรมศพนั้นมีความตื้นตันใจมากที่สุด และตนในฐานะที่เป็นแม่พิมพ์ของชาติ นอกจากจะนำคำสอนของในหลวง รัชกาลที่ ๙ มาสอนนักเรียนให้รู้จักการใช้ชีวิตอย่างมั่นคงและปลอดภัยแล้ว ก็ยังได้ถ่ายทอดพระราชกรณียกิจของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ให้บุตรชายฟังเป็นประจำ เพื่อให้ลูกเกิดความรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
“ในการทำหน้าที่เป็นครูนั้นไม่ได้สิ้นสุดอยู่ที่การสอนให้เด็กนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาบูรณาการใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อให้เด็กใช้ชีวิตไม่ประมาท ตั้งตนอยู่ในความพอเพียงแล้วเท่านั้น แต่ยังได้นำหลักการทรงานของในหลวง รัฃกาลที่ ๙ ที่พระองค์ทรงงานหนักทุกอย่างนั้นมิได้ทำเพื่อพระองค์เอง แต่ทรงทำเพื่อประชาชนของพระองค์ให้อยู่ดีกินดี มาเป็นแบบอย่างในการสอนเด็กนักเรียน เพราะครูที่ดีนั้นไม่ใช่เพียงแค่การสอนหนังสือตามหน้าที่ไปวันๆ หนึ่ง แต่ต้องสอนให้เด็กรู้จักการใช้ชีวิตให้อยู่รอดในสังคม ไม่ประมาทกับการใช้ชีวิต ต้องตัดสินใจทุกเรื่องด้วยเหตุผล เพราะทุกวันนี้เด็กจะมีความใกล้ชิดกับโรงเรียนและครูมากกว่า ผู้ปกครอง เนื่องด้วยพ่อแม่ยุคนี้ต้องทำงานนอกบ้าน อาจไม่มีเวลาในการดูแลลูกเท่าที่ควร ดังนั้น ครูคือคนที่อยู่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด และเราต้องทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด เพราะเด็กในวันนี้ก็คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า ถ้าเราสอนให้เขาเป็นคนดี คนเก่งได้ ในอนาคตประเทศไทยก็จะมีบุคคลากรที่ดีมาช่วยกันพัฒนาประเทศต่อไป”
ด้าน เด็กชาย คณิตกรณ์ บุตรชาย กล่าวเสริมว่า ตั้งแต่จำความได้พ่อกับแม่ จะเปิดทีวีให้ดูพระราชกรณียกิจของในหลวง รัชกาลที่ 9 แล้วก็อธิบายให้ฟังว่าพระองค์ท่านทรงงานหนักเพียงใด เพื่อให้ประชาชนของพระองค์มีความสุข ดังนั้น แม่ก็จะสอนให้ผมทำอะไรก็ต้องนึกถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง อย่าทำอะไรตามอำเภอใจ โดยยึดถือในหลวง รัชกาลที่ ๙ เป็นแบบอย่างเพราะพระองค์ไม่เคยทำอะไรเพื่อพระองค์เองเลย
ส่วน น.ส.กัญญณัฐ แก้วกิติ อายุ 20 ปี นักศึกษาปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ สาขากายอุปกรณ์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ชักชวนน้องสาวหลังจากปิดเทอมการศึกษา น.ส.กุลปริยา แก้วกิติ อายุ 18 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง มาถวายสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรก ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ โดยพี่สาวคนโตกล่าวด้วยความปลื้มปีติว่า วันนี้นับเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยพามารดามาครั้งแรก อาศัยว่าช่วงนี้น้องปิดเทอมจึงอยากพาน้องมาบ้าง ตลอดการครองราชย์ 70 ปี ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อสังคมโดยรวม ในฐานะที่ตัวเองจะเป็นแพทย์ในอนาคต จะยึดมั่นตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ทำงานเพื่อคนไข้อย่างเต็มความสามารถ ไม่รักษาแต่เพียงกายแต่ต้องดูแลในเรื่องของจิตใจด้วย
ขณะที่ น.ส.กุลปริยา เผยความรู้สึกว่า ตัวเองเพิ่งสอบติดพยาบาลที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีความตั้งใจจะน้อมนำคำสอนด้านความพอเพียงและการเสียสละตนเพื่อสังคม มาปฏิบัติหน้าที่ต่อไปในอนาคต สำหรับโครงการพระราชดำริของพระองค์ที่ประทับใจคือ โครงการกังหันน้ำชัยพัฒนา พระองค์ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่น่าทึ่ง สามารถคิดค้นวิธีการบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการเรียบง่ายได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในพระอัจฉริยภาพเท่านั้น