xs
xsm
sm
md
lg

จบยาก “พระนพดล สิริวํโส” ฉะ “อุ๋ย บุดด้าเบลส” ย้ำชี้ทางสว่าง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เฟซบุ๊กเพจ พระนพดล สิริวํโส ได้โพสต์ข้อความที่ระบุถึงนักร้อง อุ๋ย บุดด้าเบลส พร้อมชี้แจงประเด็นต่างๆ ออกมาเป็นหัวข้อ พร้อมนำมาแสดงให้ผู้คนได้ทราบอีกด้วย

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม มีการพบเฟซบุ๊กเพจ พระนพดล สิริวํโส โพสต์ข้อความ ที่ระบุถึง นักร้อง อุ๋ย บุดด้าเบลส โดยมีข้อความว่า ชี้ทางสว่างให้ “อุ๋ย” โดยเนื้อหาในโพสต์ระบุว่า ได้มีการเข้าไปโพสต์ ให้การชี้แจงกับนักร้องที่มีความเข้าใจในหลักของธรรมกายคลาดเคลื่อน และได้นำข้อความดังกล่าวมาโพสต์ให้ผู้อื่นอีกด้วยพร้อมแบ่งเป็นหลายๆ ด้าน ดังข้อความต่อไปนี้

1. ประเด็นเรื่องคำสอน หลายคนเข้าใจว่า หลวงพ่อสอนแต่ให้รวยๆๆๆ และยึดติดรึเปล่า ขอเรียนว่า..หัวใจคำสอนหลวงพ่อวัดพระธรรมกาย คือ เรื่องการปฏิบัติสมาธิตามแนววิชชาธรรมกายของหลวงปู่สด และกฎแห่งกรรมค่ะ ถ้าได้ฟังธรรมจากท่านโดยตลอด ไม่ใช่แค่บางช่วงบางตอน จะเห็นว่าคำสอนหลวงพ่อมีทุกระดับตั้งแต่ ผู้ครองเรือนไปจนถึงนักบวชปฏิบัติมุ่งหมดกิเลสถ้าแต่งงานครองเรือนอยู่ ท่านก็ยกอานิสงส์ของทาน/ศีล/ภาวนา/ ละอบายมุข และหลักธรรมการครองเรือนอื่นๆ แต่ถ้าเป็นพระหรือนักบวช ท่านเน้นเรื่อง รักษาศีล/สมาธิ/การบวชประพฤติพรหมจรรย์ ชี้ให้เห็นโทษของการมีคู่ครอง จนข้าพเจ้าและเพื่อนอีกหลายคน ไม่อยากแต่งงาน ขอถือศีล 8 กันเลยทีเดียว
และที่ชอบมากคือ ท่านจะสอนลุ่มลึกไปตามลำดับตามหลักธรรมที่เรียกว่า อนุปุพพิกถา 5 (ลองหาอ่านความหมายดูนะคะ) มี 1 ทาน 2 ศีล 3 สวรรค์ 4โทษของกาม/และ 5 อานิสงส์การออกจากกามมุ่งทำพระนิพพานให้แจ้ง หรือเชียร์ให้บวชนั่นเอง ถึงได้มีหนุ่มๆ มาบวชตลอดชีวิตที่วัดเยอะหลายพันรูปไงคะ
2. แต่ทำไม เปิด DMC ทีไร ก็มักเห็นแต่ วัดชวนทำบุญๆ อธิบายว่า..ก็เพราะวัดอยู่ในช่วงของการก่อสร้างศาสนสถานต่างๆ มากมาย เพราะคนมาวัดเป็นแสนเป็นล้านไงคะ แล้วทำไมต้องสร้างใหญ่ๆล่ะ ก็ลองมาร่วมงานบุญในวันมาฆะ หรือทอดกฐินที่วัดสักครั้ง ก็จะรู้ค่ะ เพราะคนมาเป็นแสน ศาลากว้างๆ แต่ที่นั่งแทบไม่มี แล้วเงินบริจากเยอะๆ เอาไปทำอะไรล่ะ ก็กลายมาเป็นศาสนสถานให้ชาวพุทธได้ใช้ (คงเห็นจากข่าวแล้วว่าวัดที่เราภาคภูมิใจสร้างมาด้วยเงินของเรานั้นเป็นอย่างไร) ..กลายมาเป็นค่าอาหารที่วัดเลี้ยงคนเป็นแสนในแต่ละงานบุญ..กลายเป็นค่ารถทัวร์รถตู้หลายพันคันให้ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของประเทศเดินทางมาวัดอย่างสะดวกและฟรี ..กลายเป็นต้นบุญให้ชายแมนๆ ทั้งเด็กวัยรุ่นผู้ใหญ่หลายหมื่นได้มาบวชฟรี กลายเป็นภัตตาหารไทยธรรมที่ส่งไปช่วยวัดภาคใต้ หรือคนที่ถูกอุทกภัย ฯลฯ ซึ่งทุกครั้งที่หลวงพ่อชวนทำบุญทำทาน ท่านก็จะสอนตามอย่างพระพุทธองค์ คือ นำเอาอานิสงส์มาบอกกล่าว ว่าถวายภัตตาหาร จะได้รับอานิสงส์ 5 อย่าง คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ เป็นต้น หรือนำเอาประวัตินักสร้างบารมีในยุคพุทธกาลมาเล่า ซึ่งในพระไตรปิฎกมีมากมาย ลองไปอ่านดูนะคะ ฉบับมหามกุฏ (ง่ายดีเพราะมีอรรถกถา) เล่ม 48, 71-72 ขยายความอย่างแจ่มแจ้ง ว่าทำบุญอย่างนี้ได้ไปจาตุม/ดาวดึงส์/และ ฯลฯ
3. ประเด็นที่หลวงพ่อสอนว่า “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ขอยืนยันว่า ประโยคนี้ไม่เคยออกจากปากหลวงพ่อเลย มีแต่ท่านสอนให้ยึดหลัก การทำทานที่ครบองค์ 3 อย่าง คือ 1. วัตถุทานต้องบริสุทธิ์. คือเงินที่เอามาทำไม่ใช่ไปขโมย คดโกงเขามา 2. เจตนา ต้องบริสุทธิ์ คือ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ใช่ทำเอาหน้าตาชื่อเสียง ทำแล้วต้องปลื้มทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ เพราะมีอานิสงส์ในทุกขั้นตอน 3. บุคคลบริสุทธิ์ คือ ทั้งผู้รับและผู้ให้ต้องมีกาย วาจา ใจ ที่บริสุทธิ์ คือ ทั้งพระและโยมต้องมีศีลบริสุทธิ์นั่นเอง หลวงพ่อถึงนำนั่งสมาธิและอาราธนาศีลทุกครั้งก่อนทำบุญไงคะ ถ้าใครทำครบองค์ 3 อย่างนี้แล้ว แม้ทำน้อยแค่บาทเดียว อานิสงส์ก็มากมาย และยิ่งทำมาก อานิสงส์ก็จะทับทวีขึ้นไปตามกำลังค่ะ
4. ประเด็นวัดขายบุญ ค้อนราคาเป็นแสน ความจริงแล้ว ทางวัดไม่ได้จำกัดจำนวนเงินในการทำบุญค่ะ. ใครมีกำลังศรัทธาเท่าไหร่ก็ตามสะดวกข้าพเจ้าเองก็ยังทำทีละ 20 บาทเลย แต่ที่มีการกำหนดเช่นทำ 1 พัน/1หมื่น หรือ 1 แสน นั้นก็เพื่อแจ้งให้ทุกคนรู้ค่าการก่อสร้างเช่น ราคาเสาเข็ม ต้นละ 1 แสน หรือ พื้นที่ตารางเมตรละ 1 หมื่น ซึ่งก็รวมค่าอิฐ หิน ทราย ฯลฯ เมื่อชัดเจนแบบนี้แล้ว คนวัดเขาก็จะเลือกทำบุญตามกำลังทรัพย์ของแต่ละคน ซึ่งถ้าใครร่วมบุญได้ตามกำหนด ทางวัดก็จะมีองค์พระมอบเป็นของขวัญตอบแทนให้ระลึกนึกถึงบุญ เช่น “ค้อน” ก็เป็นเครื่องให้นึกถึงบุญเช่นกัน เพราะในวันตอกเสาสร้างศาสนสถานนั้นๆ ก็จะเชิญเจ้าภาพมาร่วมพิธีตอกเสาเข็ม โดยมีค้อนและเสาจำลองให้ทุกคนได้ตอกและนำกลับไปเป็นที่ระลึก และที่มีชิตัง เม โป้ง รวย! ก็เป็นเพียง สโลแกน บอกจังหวะในการตอกเสาพร้อมๆกันเพื่อบันทึกภาพเท่านั้นเอง
ชิตัง เม เป็นภาษาบาลีนำมาจากพระไตรปิฎก คำว่า ชิตัง หมายถึง ชนะแล้ว คำว่า เม หมายถึง เราทั้งหลาย แปลว่า เราทั้งหลายชนะซึ่งความตระหนี่ในใจเราแล้ว แต่ในส่วนข้าพเจ้านั้นอย่างที่บอก ตามกำลังทรัพย์ค่ะ ช่วงหลังมีทรัพย์เยอะขึ้นก็ทำได้มากหน่อยค่ะ
5. แล้วที่หลวงพ่อให้พรว่า “จงรวย” ล่ะ คือ การสอนให้โลภและยึดติดใช่ไหม ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า รวยในที่นี้ คือ รวยบุญรวยบารมี รวยเป็นเศรษฐีผู้ใจบุญค้ำจุนพระพุทธศาสนาค่ะ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังตรัสสอนเรื่องรวยไว้เลยว่าทำทาน จะมีอานิสงส์ ส่งให้ชีวิตไม่ลำบากยากจน อิ่ม ไม่อด หรือรวยทรัพย์นั่นเอง ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ผลักสมบัติ ทำให้เราตกต่ำยากจน คือ ความตระหนี่ถี่เหนียว ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้ทำทานบ่อยๆ เพราะเป็นการสร้างเสบียงให้ตัวเองเดินทางไกลในสังสารวัฏ ถ้าเราไม่แน่ใจว่าจะหมดกิเลสในชาตินี้ก็ต้องสร้างเสบียง คือ ทำทานไว้ เพื่อตัวเราเองค่ะ ซึ่งทานเป็นเบื้องต้นที่ทำให้การสร้างความดีอย่างอื่นทำได้สะดวก เพราะเมื่อรวยแล้ว จะให้ทานแก่เพื่อนมนุษย์ก็ง่าย จะรักษาศีลก็ง่าย หรือจะนั่งสมาธิก็ง่ายไม่ต้องกังวลว่ามื้อนี้จะอดมั๊ย ฯลฯ และเมื่อรวยแล้วก็จะได้นำทรัพย์นั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ตนและผู้อื่น. และค้ำจุนพระพุทธศาสนา ให้ยืนยาวชั่วลูกชั่วหลาน เป็นการเพิ่มพูนบุญในตัวมากขึ้น.หลวงพ่อสอนให้รวยแบบนี้ไม่ใช่รวยแล้วยิ่งหวงแหน รวยแบบนั้นไม่เกิดประโยชน์ยิ่งเพิ่มกิเลสในตน. ดังนั้นหลวงพ่อจึงมักให้พรลูกศิษย์ที่ยังครองเรือนอยู่ หวังความเจริญทางโลกอยู่ว่า “จงรวย” ไงคะ ถ้าอยากรู้ว่ารวยดีอย่างไร? คงต้องลองจนดู. แล้วจะรู้ซึ้งค่ะ ข้าพเจ้าซาบซึ้งดี
6. ประเด็น “Case study ไปนรก-สวรรค์” หลวงพ่อท่านไม่เคยพูดว่าตัวท่านไปนรก-สวรรค์ แต่ใช้คำว่า. “พระธรรมกายท่านไป....” และทุกครั้งที่เล่า Case study (ไปหาฟังกันนะคะว่า Case study คืออะไร) ท่านจะพูดกำกับทุกครั้งว่า. “หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาวหนึ่งที แล้วนำมาเล่าให้ฟัง เป็นนิยายปรัมปรา ให้พอเป็นความรู้ติดขาติดแข้ง” จะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้
แต่น่าแปลกที่เจ้าของเคสเหล่านั้นต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลวงพ่อรู้ได้อย่างไร เพราะบางเรื่องเป็นความลับในครอบครัว ที่ไม่เคยบอกใครเลย ซึ่งในมุมมองของข้าพเจ้ากลับเห็นว่า หลวงพ่อท่านเอาเรื่องชีวิตหลังความตายมาตีแผ่ ให้ทุกคนตระหนักว่า มันคือเรื่องใกล้ตัวเรา ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ให้เราอย่าประมาทในชีวิต เพราะอายุน้อยก็ตายได้ เพราะความตายนั้นอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น และชีวิตหลังความตายมันยาวนาน ไปทุคติภพที่เป็นอบายภูมิ 4 ก็ทุกข์นาน ไปสุคติภพโลก-สวรรค์ ก็เสวยผลแห่งบุญนาน ให้เรามองไกล ไปถึงภพเบื้องหน้า อย่ามองสั้นๆแค่ชาตินี้ เราจะได้ออกแบบชีวิตได้ถูก ด้วยการหมั่นสั่งสมแต่บุญสร้างความดีให้มากๆ ความชั่วแม้เล็กน้อยจงอย่าทำ เพราะมันมีผลย้อนคืนสู่ตัวเราทั้งสิ้น ซึ่งท่านทั้งหลายจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่จะขอแนะสักนิดว่า อย่าพึ่งด่วนตัดสินหลวงพ่อเลย เพราะ “ถ้าหลวงพ่อท่านมีรู้มีญาณจริงๆ ล่ะ” สิ่งที่เราเคยดูหมิ่น ล่วงเกินท่านไว้ จะสนองคืนขนาดไหน เราจะรับผลนั้นไหวไหม เพราะ Case study มีออกมาเป็นพันๆ เคสแล้ว

และเท่าที่ฟังเจ้าของเคส ส่วนใหญ่เขาเชื่อมั่นและศรัทธาหลวงพ่อมากขึ้นด้วยซ้ำ และน่าทึ่งที่หลวงพ่อ สามารถใช้คำง่ายๆ เทศน์สอนลูกศิษย์ทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งผู้เฒ่าให้เข้าใจในธรรมะได้ในเวลาเดียวกัน ท่านจึงมีทั้งเพลงธรรมะ สื่อให้เด็กเข้าใจ ทั้งภาพให้เห็นชัดเจน และก็พูดอธิบายให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นในช่วงที่ท่านเทศน์ค่ะ แต่ลูกศิษย์ท่านก็มีมากมายหลากหลาย ทั้งพุทธจริต ศรัทธาจริต ราคะจริต โมหะจริต โทสะจริต วิตกจริต ซึ่งแต่ละคนก็มีวิจารณญาณ ในการรับคำสอนและสื่อสารต่อที่แตกต่างกันตามสติปัญญาและจริตอัธยาศัย จึงกลายเป็นปัญหา ที่ย้อนคืนเป็นผลเสียต่อหลวงพ่อดังเช่นทุกวันนี้ แต่ไม่ว่าจริตไหน ศิษย์ทุกคนก็ยังเชื่อมั่นศรัทธาหลวงพ่อเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือความเห็นส่วนตัว จากการลงมือพิสูจน์ด้วยตนเอง มิได้ฟังเขาเล่ามา
กราบอนุโมทนาบุญนะคะ สุปานันท์ ปิ่นสูรย์”
กำลังโหลดความคิดเห็น