ประชาชนเดินทางเข้ากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เช้ามืด จากทั่วทุกสารทิศต่างพร้อมใจเดินทางมารอเข้าแถวอย่างต่อเนื่อง ด้วยความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ด้านสำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 25 ก.พ. มีจำนวนทั้งสิ้น 32,716 คน รวม 115 วัน มี 4,763,827 คน
วันนี้ (26 ก.พ.) บรรยากาศการเข้ากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เบื้องหน้าพระบรมโกศ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ซึ่งในวันนี้ดำเนินมาเป็นวันที่ 116 ตลอดทั้งวัน ยังมีพสกนิกรทุกหมู่เหล่าจากทั่วสารทิศของประเทศไทย เดินทางมารอต่อแถวเข้าถวายกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ อย่างไม่ขาดสาย ตลอดทั้งวันตั้งแต่ช่วงเช้ามืด โดยเจ้าหน้าที่ได้เปิดประตูให้ประชาชนเดินแถวเข้าตั้งแต่เวลา 04.50 น. ก่อนเปลี่ยนเข้าทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน เวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทางประตูวิเศษไชยศรี
ด้าน นางสาวจินดารัตน์ บุญเวช นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ ประทับในในหลวง รัชกาลที่ ๙ ในทุกด้าน ทรงมีประปรีชาสามารถทุกอย่าง และทรงรักประชาชนทุกคน ในฐานะที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งชื่อ “ราชภัฏ” เป็นนามพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานนามให้เป็นชื่อประจำสถาบัน พร้อมทั้งพระราชทาน พระราชลัญจกรเป็นตราประจำมหาวิทยาลัย โดยในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยราชภัฏ มีอยู่ทั้งสิ้น 38 แห่ง ทั่วประเทศ ตนรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจอย่างยิ่ง ซึ่งมหาวิทยาลัยปลูกฝังนักศึกษาทุกคน โดยให้นักศึกษาปฏิญาณตนเมื่อเข้ารับการศึกษาในปีแรกว่า เป็นคนของพระราชา เป็นข้าของแผ่นดิน
“นับจากนี้ จะเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในเรื่องการทำงานที่ทุ่มเทและเสียสละ ซึ่งหลังจากจบการศึกษา ตั้งใจจะเป็นครู ก็จะตั้งใจเป็นครูที่ทุ่มเทในการทำงานและเสียสละเพื่อเด็กๆ และส่วนรวม” นางสาวจินดารัตน์ กล่าว
ด้าน นางโสภา มีทรัพย์ปรุง อาชีพค้าขาย ชาวจังหวัดระยอง เดินทางด้วยรถตู้มากับครอบครัวและญาติพี่น้อง 10 กว่าคน ตั้งแต่เวลา 03.00 น. และมาเข้าแถวตั้งแต่เวลา 07.00 น. กล่าวด้วยใบหน้าตื้นตันใจที่ได้กราบสักการะว่า ตั้งใจพาลูกๆ และครอบครัวมาสักการะพระบรมศพด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวง รัชกาลที่ ๙ อย่างหาที่สุดมิได้ รวมถึงอยากปลูกฝังเด็กๆ ให้รักแผ่นดิน รักสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้รู้จักสนองพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประเทศไทย
“ดิฉันจะสอนลูกเสมอว่า ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงทำทุกอย่างเพื่อประชาชน ทรงไม่เคยหยุดทรงงาน อยากให้ลูกเดินตามรอยพระยุคลบาทในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ใช้จ่ายอย่างประหยัด” นางโสภา กล่าว
ขณะที่ เด็กชาย ธนภัทร มีทรัพย์ปรุง ลูกชายวัย 10 ขวบ ที่เดินทางมาด้วย กล่าวว่า ตั้งใจมากราบสักการะพระบรมศพ โดยมากับครอบครัวครั้งแรก แม้จะต้องออกมาตั้งแต่เช้ามือแต่ก็ไม่เหนื่อยอะไร และรู้สึกปลาบปลื้มที่ได้กราบสักการะ
ด้าน นายมงคลชัย ภูคงคา เดินทางมาจากจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมด้วย ภรรยา นางพิมพ์ใจ และลูกสาวอีก 2 คน กล่าวว่า ออกเดินทางมาจากบ้านพักตั้งแต่ 03.00 น. มาถึงสนามหลวงเพื่อเข้าแถวรอกราบสักการะพระบรมศพประมาณ 06.00 น. ใช้เวลาราว 3 ชั่วโมงครึ่งจึงได้เข้าไปกราบพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ
“วันนี้ตั้งใจพาครอบครัวมากราบพระองค์ท่าน เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่รู้สึกตื้นตันใจมาก ตอนที่อยู่เบื้องหน้าพระบรมโกศได้ตั้งจิตบอกพระองค์ท่านว่าจะขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป และจะนำคำสอนของพระองค์ไปใช้พร้อมสอนลูกๆ ต่อไป อย่างตอนนี้ผมเป็นวิศวกรโดยมีพระองค์ท่านเป็นต้นแบบ พระองค์เป็นช่างที่เก่งมากคนหนึ่งทรงประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ มากมาย อาทิ การสร้างเขื่อน การประดิษฐ์กังหันชัยพัฒนา ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในอาชีพของผม ส่วนการใช้ชีวิตประจำวันของผมก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายตามอย่างพระองค์เช่นกัน ทั้งยังสอนลูกๆ ให้รู้จักพระองค์ท่านด้วย อย่างที่ปราจีนฯ มีโครงการพระราชดำริเขาหินซ้อนผมก็จะพาลูกๆ ไปดูและสอนให้รู้จักกับสิ่งที่พระองค์ทำเพื่อประชาชนคนไทย” หัวหน้าครอบครัวภูคงคาเผย
ด้าน สองสาวจากโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ จังหวัดอยุธยา นางสาวภิญญดา พรมโกฎิ และ นางสาวรามศิริ ชามาตย์ เล่าว่า ออกเดินทางจากบ้านพักตั้งแต่ 05.00 น. มาใช้บริการรถชัตเติลบัสจากฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต มาสนามหลวง เพื่อต่อคิวเข้าสักการะพระบรมศพ โดยใช้เวลาเพียงไม่นานก็ได้ขึ้นไปกราบพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตามที่ตั้งใจไว้
“ประทับใจพระองค์ท่านที่ทรงงานเพื่อพวกเรามาตลอด อย่างที่บ้านเกิด จ.อุดรธานี คนในหมู่บ้านก็จะทำนา ในผืนนาก็เลี้ยงปลา ปลูกผักไปด้วยเป็นการทำการเกษตรแบบไร่นาสวนผสมตามแนวพระราชดำริของพระองค์ท่าน และโดยส่วนตัวยังได้น้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ทั้งเรื่องความประหยัด ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และหากมีเหลือต้องเก็บออมไว้ใช้ยามจำเป็น” สองสาวจากกรุงเก่าเผย
ขณะที่ 3 นักศึกษาสาวชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา นางสาวปภาวรินทร์ วิโนทัย นางสาวโยษิตา พลวัฒน์ และ นางสาวจันทกานติ์ ทองกระจ่าง เดินทางมาพร้อมกับ นางประภาศิริ สมมาตร อายุ 42 ปี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เคยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่วันนี้พาแม่ซึ่งเดินทางมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช มากราบสักการะพระบรมศพ
“ตั้งแต่เกิดมาพ่อแม่ก็สอนให้รู้จักพระองค์ท่านมันเหมือนเป็นจิตสำนึก พอโตขึ้นมาก็ได้เห็นพระองค์ทรงงานเพื่อประชาชน พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่เสียสละมาก วันนี้ดีใจมากที่ได้มากราบพระองค์ท่านและพาแม่มากราบด้วย แม้ตอนนี้พระองค์จะไม่อยู่แล้วแต่พระองค์จะอยู่ในใจพวกเราเสมอ และจากนี้ไปจะนำคำสอนของพระองค์ท่านมาใช้อย่างในเรื่องการไหว้ เพื่อดำรงรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดีงาม หรือในเรื่องของความพอเพียงทั้งการใช้จ่ายเงินต้องไม่ฟุ่มเฟือย พยายามเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่จำเป็น” นักศึกษาสาวกล่าว
ก่อนหน้านี้ สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 25 ก.พ. หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 21.15 น. ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 32,716 คน รวม 115 วัน มี 4,763,827 คน และประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 2,501,107.50 บาท รวม 115 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 401,664,946.34 บาท