จากเด็กหนุ่มที่รักในเสียงดนตรี ผ่านการฝึกฝนในการจับเครื่องดนตรีมาตั้งแต่เยาว์วัย จนต่อยอดไปสู่การเริ่มทำผลงานเพลงกับกลุ่มเพื่อน และในปัจจุบันของ “เฟนท์-ประภาพ ตันเจริญ” หรือ “เฟนท์ วงพอส” ที่พ่วงด้วยตำแหน่งนักร้องนำของวงดนตรีเจ้าของบทเพลงชื่อดัง อย่าง ‘ที่ว่าง’, ‘รักเธอทั้งหมดของหัวใจ’, ‘ข้อความ’, ‘ความลับ’ และล่าสุดกับซิงเกิล ‘แค่ได้เป็นคนสุดท้ายที่เธอคิดถึง’ ที่พร้อมจะให้บทเพลงแห่งวันวานและเสียงดนตรีของปัจจุบันของวงดนตรีที่หยุดชั่วขณะได้กลับมาและกดปุ่มเล่นเพื่อเดินหน้าในจังหวะของเสียงเพลงต่อไปอีกครั้ง...
• ความรู้สึกแรกสุดในการอยากเป็นนักร้อง มันเริ่มมาจากอะไร
คือผมเป็นคนคริสต์ ก็ร้องเพลงในโบสถ์ตั้งแต่เด็กแล้ว ก็เลยมีความผูกพันมาตั้งแต่เด็กๆ ก็น่าจะเป็นช่วงสมัยประถม บวกกับดนตรีเราก็ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ อาจจะเป็นด้วยว่า เราต้องร้องเพลงสวดมนต์ในโบสถ์ด้วยส่วนหนึ่ง แต่เราก็ชอบฟังเพลง เราก็เลยอยากร้องตั้งแต่นั้น ซึ่งความรู้สึกมันก็ต่างกัน เพลงในโบสถ์ก็จะเป็นเนื้อหาที่ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไร ก็ร้องตามพ่อแม่ไป แต่เวลาเป็นเพลงทั่วไปมันก็เป็นอีกรสชาติหนึ่ง ก็เป็นเพลงที่เกี่ยวกับความรักแบบหนุ่มสาว ตามสมัยทั่วไป
• ทีนี้พอคุณสนใจในเรื่องดนตรีแล้ว คุณทำยังไงกับมัน
ด้วยความที่ญาติๆ ผม เช่นคุณอา หรือคนอื่นๆ เขาก็เล่นดนตรีอยู่แล้ว แล้วเราก็เริ่มกีตาร์ตั้งแต่ ป.5 จนพอขึ้นมัธยมก็เปลี่ยนเป็นคีย์บอร์ด คือจะเล่นไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงมหาวิทยาลัย ผมเลยเลือกเรียนด้านเปียโนแจ๊ส (วิทยาลัยการดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา) ซึ่งเอาจริงๆ ในตอนแรกสุด ผมอยากเรียนเอกขับร้อง แต่พี่ผมเขาอยากให้เรียนเอกเปียโน เพราะว่าตอนนั้น เราก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เป็นนักร้องหรือเปล่า แล้วในการเรียนเปียโนมันก็ง่ายตรงที่ว่า สมมติเราเปิดโรงเรียนสอน ซึ่งก็มีน้องๆ ที่สนใจเรียนเยอะกว่าการร้องอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่า ตอนนั้นลองเรียนด้านเปียโนมั้ย เพราะถ้าจบมาก็สามารถเปิดโรงเรียนสอนเองได้ แล้วคนจะเรียนเยอะกว่าร้อง เพราะด้านขับร้อง คนก็ไม่ค่อยร้องเยอะเท่าไหร่ ตอนท้ายสุดก็ไปเรียนเปียโนแล้ววิชานี้ก็ทำให้จบมา ซึ่งอาจจะเป็นเพราะสายเลือดก็ได้ครับ ที่ทำให้เราชอบดนตรี ส่วนที่บ้านเขาก็สนับสนุนมาตลอด โดยเฉพาะพ่อนี่คือสนับสนุนเลย เขาไม่เคยว่าอย่าเรียนเลย พ่อนี่คือแล้วแต่เลย ก็สนับสนุนตลอด ส่วนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมเราดีหรือเปล่า เราก็ไม่แน่ใจนะ (หัวเราะ) พอเขาไม่ว่าอะไร เราก็ลุยเลย ชอบอะไรก็ให้ตลอด
• แสดงว่าในช่วงที่เติบโตมา คุณก็เล่นดนตรีอย่างจริงจังมาโดยตลอด
ถ้าเป็นช่วงมัธยม ความรู้สึกในตอนนั้นคือ มันเท่ดี เราเล่นกีตาร์ได้ สาวๆ กรี๊ด คือเล่นให้สาวๆ ดู แล้วพอเวลาที่เราขึ้นไปเล่นบนเวที เราจะหล่อมาก ก็เป็นทางนั้นไป แต่เราก็อยากเล่นอยู่แล้ว เรารักในเสียงเพลงด้วย ผมก็เลยเล่นตามปกติ ก็มีไปห้องซ้อมปกติ อาทิตย์ละครั้ง 2 ครั้ง ซ้อมตลอด แต่เราก็ไม่ได้ไปสมัครในเวทีต่างๆ นะ เราแค่เล่นและร้องในโรงเรียนแค่นั้นเอง เราก็ไม่ได้ร้องแบบเอาจริงเอาจังอะไรมากมาย เราลงประกวดเพราะอยากได้ตังค์เพื่อไปกินกับเพื่อนแค่นั้นเอง (หัวเราะเบาๆ) คือก็แสดงให้เห็นว่าเราก็ทำได้แค่นั้น
• แล้วคุณเริ่มเข้าสู่อาชีพในการร้องเพลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่
น่าจะเป็นช่วงมหาวิทยาลัยตอนปลายปี 1 ขึ้นปี 2 ก็ได้ไปร้องเพลงกลางคืนไปร้องตามร้านต่างๆ ก็ไม่ได้เล่นเปียโนแล้ว เพราะชอบร้องมากกว่า อย่างที่บอกว่าเราเรียนเพื่อให้มีวิชาติดตัวและที่ต้องเดินต่อไป ส่วนที่ไปร้องเพลงกลางคืน คือ เราอยากหาประสบการณ์ด้วยแล้วก็มีรายได้ ซึ่งทำให้เราไม่ต้องไปขอที่บ้าน และได้ลองประสบการณ์ใหม่ๆ
แต่เราก็ไม่ได้ร้องตามกระแสนะผมก็ร้องในแนวเพลงค่ายเบเกอรี่มากกว่า เราจะไม่ตามกระแสเลย เพราะว่าผมเล่นกับพี่คนหนึ่ง ที่เขาชอบแนวเพลงแบบนี้เหมือนกัน เพลงเบาๆ และเพลงเก่าๆ ผมไม่ค่อยชอบเพลงที่เป็นกระแส สมมติว่ามีวงหนึ่งกำลังดัง แต่เราก็จะยังเล่นแบบนี้มากกว่า เพราะเพลงเขาเพราะ แล้วเราไม่ได้เล่นตามผับ ก็เล่นตามร้านอาหาร ผมก็ชอบเพลงแบบเรื่อยๆ สบายๆ คือเหมือนกับเราหาตัวเองเจอด้วย แล้วเราก็จะร้องแบบนี้มาตลอดเลย ซึ่งเจ้าของร้านก็มีมาบอกว่าเล่นเพลงอื่นหน่อย เราก็จะบอกว่า ผมไม่เล่นครับ (หัวเราะ) ลูกค้าขอเนี่ย ผมไม่เล่นครับ ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเราชอบแบบนี้ เราอยากนำเสนอแบบนี้ แล้วเราร้องแบบนี้แล้วอินกว่า ดีกว่าไปร้องเพลงตลาดแล้วไม่ตั้งใจเล่น เพื่อให้คนอื่นฟัง ผมก็เลยชอบเพลงแนวนี้
• ทีนี้พอเรียนจบ คุณก็เริ่มทำงานโปรเจกต์ดนตรีของตัวเองเลย
ผมก็ทำเพลงทำค่ายกับเพื่อนช่วงหนึ่ง ก็มีเพลงเป็นของตัวเอง เพราะว่าชอบ ตอนนั้นก็มีเพื่อนๆ มาช่วยๆ กัน ทำเป็นค่ายก่อน แล้วเอาแต่ละคนทำเป็นซิงเกิลไล่ๆ กันไป ตอนแรกคิดว่าถ้ามันโอเค เราลองเอาคนอื่นมาดู ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าด้วยความเป็นเพื่อนกันด้วย แล้วมันมีปัญหานิดนึง ทุนก็ไม่มี ก็ช่วยๆ กันเอง แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดว่าเริ่มรู้ถึงวงการเพลงนะ เพราะว่าเราเริ่มจะรวมตัวกันแป๊บเดียวเอง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานครับ ออกประมาณ 3-4 ซิงเกิล คือทำมาตั้งแต่ช่วงประมาณ ปี 3 ปี 4 และช่วงนั้นคือ ด้วยความที่เราไม่เคยทำเลย ก็ถือว่าดีนะ ถ้าเช็กจากยอดวิวในยูทูป ก็ประมาณ 30,000 วิวได้ เพราะว่าไม่มีเงินไปโปรโมต แต่ก็ถือว่าโอเค ส่วนคอมเมนต์เขาชอบครับ ว่าดนตรีเพราะดี แต่ก็มีบอกว่า เหมือนพี่โจ้ (อัมรินทร์ เหลืองบริบูรณ์ : นักร้องนำวงพอสคนแรก) คือเราก็ทำปกติของเรา เราก็ทำกับเพื่อนๆ เพราะว่าชอบนั่นแหละ
• ทีนี้มาถึงตอนที่มาเป็นนักร้องนำวงพอส อยากให้ช่วยเล่าในช่วงนี้หน่อยว่าเป็นยังไงครับ
เริ่มที่พี่เอ (พลกฤษณ์ วิริยานุภาพ : มือกีตาร์วงพอส) ได้มาเห็นเพลงที่ผมทำกับเพื่อนๆ แล้วก็มีน้องคนหนึ่งมาบอกผมว่า พี่ไม่ลองหน่อยเหรอ วงพอสประกาศหานักร้องใหม่ เราก็คิดว่า เออๆ น่าสนใจ ได้ไม่ได้ก็ลองดูก่อน จากนั้นผมก็แอดเฟซบุ๊กพี่ๆ ทั้งสามคนเลย แต่เขาก็ยังไม่ได้รับอะไร จนพี่เอก็มาทักในอินบ็อกซ์ แล้วบอกว่าชอบเพลงที่ผมทำนะ แล้วเขาก็ส่งงานมาให้ แล้วบอกว่า ลองมาร้องกับเรามั้ย ผมก็ตอบตกลงไป ยินดีเลย ผมก็ซ้อมเพลงที่พี่เอส่งมา จนต่อมาก็เป็นงาน PAUSE PLAY AGAIN เป็นงานที่จัดให้วงพบกับแฟนคลับ คือเรามีความดีใจตั้งแต่ซ้อมแล้ว แค่เราได้ไปร้องเพลงกับพี่ๆ เขา เราก็ดีใจมากแล้ว แล้วตอนที่เราไปห้องซ้อมเขา เราก็ตื่นเต้น แล้วพอเราได้ไปร้องก็มีความตื่นเต้น คือ ณ ตอนนั้น มันมีความภูมิใจที่ได้มาร้องกับพี่ๆ เขา แบบเป็นเกียรติประวัติตัวเอง ไม่ได้คิดว่าได้หรือไม่ได้เลย เราแค่หวังว่าจะทำให้มันดีที่สุด เพราะว่า เราก็ไม่รู้จะมีโอกาสได้ร้องกับพี่ๆ อีกหรือเปล่า สักครั้งในชีวิต เราก็เลยคิดว่าทำให้เต็มที่ มันก็มีตื่นเต้น แต่ลองดูวะ ประมาณนั้น พอถึงตอนขึ้นไปร้องเพลง เราก็หลับตาปี๋เลย (หัวเราะ) ตั้งใจร้องให้ที่สุดของเราแล้วล่ะ เพราะว่าเราได้ร้องกับเจ้าของเพลง เราก็ร้องเลย แต่วันนั้นร้องผิดท่อนด้วย แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ แล้วพี่ๆ ทั้งสามก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ
• แล้วพอปรากฏว่า คุณได้รับเลือกให้เป็นนักร้อง ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไร
ช็อก เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมไปเล่นร่วมกับพี่ๆ ที่ร้านหนึ่ง แล้วเหลือแค่ผมคนเดียว เพราะพี่ๆ อีก 2 คน เขาไม่ว่าง อาจเป็นเพราะดวงหรือพระเจ้านำพาก็ไม่รู้ (หัวเราะเบาๆ) ก็เหลือแค่ผมคนเดียว ซึ่งพี่บอส ก็ถามผมว่าไหวหรือเปล่า ผมก็บอกว่าไหวครับพี่ ผมก็เลยขึ้นไปร้องคนเดียวทั้งโชว์ แล้วเขาก็ประกาศตรงนั้นเลย พอได้ยินคำประกาศ เราก็ช็อกไปแป๊บนึง เพราะว่ามันเหลือ 2 เพลงสุดท้าย เขาก็ประกาศตรงนั้นเลย เราก็ดีใจ ซึ่งด้วยความที่อะไรมันพาไปนี่แหละครับ เพราะว่างานนั้น เขาจะเอา 3 คน คือคนละ 4 เพลง ขึ้นสลับกันแต่อย่างที่บอก แล้วภาพที่คนไปดู หรือภาพวงอะไรหลายๆ อย่างที่เห็นแบบนั้น
• พอถูกรับเลือกอย่างเป็นทางการแล้ว สิ่งแรกสุดที่คุณทำคืออะไรครับ
ณ ตอนนั้นก็คิดอยู่ว่าทำยังไงให้มันดีขึ้นกว่าเดิม เราก็ไปซ้อม ไปพัฒนา และไปเรียนเพิ่ม พี่เอก็ส่งไปเรียนร้องเพลงเพิ่มให้มันพัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละครั้งที่ร้อง ส่วนการเรียนเพิ่ม เพราะว่าตอนที่เรามาก็งูๆ ปลาๆ ตามสภาพมา แล้วเรียนแบบครูพักลักจำมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วพอได้ไปเรียน ก็มีอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ อย่างเทคนิคการร้อง หรือว่าการใช้รูปแบบต่างๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งสามารถช่วยเราร้องได้ดีขึ้น พอเราได้ไปเรียนผลลัพธ์นี่คือดีครับ อย่างแฟนคลับวงเขาก็จะบอกว่าเราร้องดีขึ้น หรือบอกว่า ดีกว่าวันแรกเยอะเลย เราก็ดูจากตรงนั้นด้วย หรือพี่ๆ เขาก็สอนเราตลอด
ขณะเดียวกัน ในส่วนของผมเองก็มีการพัฒนาขึ้นเยอะ ทำให้ได้เรียนรู้ถึงการมีช่องเสียงที่ควรใช้มากขึ้น จากที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เขาจะบอกเรา ซึ่งไปเรียนอาทิตย์ละ 2 ชั่วโมง แล้วเราก็ออกกำลังกายมากขึ้น ซึ่งทำให้เรากลายเป็นคนออกกำลังไปเลย วันไหนไม่ได้ออกนี่คือรู้สึกได้อย่างชัดเจน (หัวเราะ) เพราะเราก็รู้สึกว่า แม้แต่โชว์เดียว คนดูจะเอะใจว่าทำไมร้องแบบนี้ ผมไม่อยากเห็นแม้แต่โชว์เดียวที่จะมีแบบนั้น ผมเลยต้องพยายามทำตัวเองดีในทุกๆ ครั้ง เราจะได้ไม่ต้องโทษตัวเองว่าทำไมไม่ทำให้มันดี เราก็ต้องทำตัวเองให้ดีที่สุด ในมุมนึงก็ถือว่าเปลี่ยนแปลงตัวเองเยอะด้วย จากก่อนหน้านี้ที่ร้องแล้วไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่ เราร้องเพลงไปแบบเดิมๆ ที่ร้องให้ผ่านๆ ไป เพราะว่าเราร้องให้คนมากินข้าวฟัง แต่ ณ ตอนนี้ เราร้องให้คนที่มาดูเรา ทัศนคติเราก็เปลี่ยนไปด้วย มันก็ทำให้รู้สึกว่า อย่าทำให้คนดูเสียใจ เราก็ทำให้เต็มที่ตั้งแต่ก่อนขึ้นร้องเลย
• ในส่วนเพลงของวง คุณมารู้จักเพลงของวงจริงๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่
น่าจะเป็นช่วงมัธยมต้นครับ เพราะชุดแรก ผมเพิ่ง 4 ขวบเอง เพราะว่าช่วงมัธยมต้น ด้วยความที่เราเป็นเด็กหอ รุ่นพี่ก็จะมีการเปิดเพลงให้เราฟัง ก็เลยรู้จัก ก็เริ่มรู้จักเพลงข้อความ ก็ฟังมาเพราะพี่ๆ เขาเปิดให้ฟัง แล้วในตู้คาราโอเกะตามห้างมันก็มีเพลงของพวกพี่ๆ ผมเลิกเรียนก็ไปร้องคาราโอเกะกัน เราก็เลยได้ร้องมา ช่วงมัธยมผมก็ฟังแค่ชุด MILD ซะเยอะ แล้วก็เป็นเพลง COVER ที่พี่โจ้เขาร้อง แล้วพอมาถึงช่วงมหา'ลัย เราก็เริ่มค้นเพลงที่ลึกขึ้น ไล่ฟังตั้งแต่ชุดแรก กับชุดสอง ซึ่งพอผมได้ฟังงานเดิมที่พี่ๆ ทางวงได้ทำไว้ ผมเห็นถึงความสามารถของพี่ๆ เพราะว่าเป็น 3 ชุด 3 แบบเลย ได้ทุกแบบ เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ที่พี่ๆ แต่งในแต่ละเพลงออกมา เพราะส่วนมากก็จะเป็นพี่ๆ ทั้งสามคน เป็นคนแต่งเพลงของวงเกือบทั้งหมด ก็จะมีบางเพลงที่แต่งโดยคนอื่น นิดๆ หน่อยๆ ความคิดความอ่านพยายามศึกษาจากพี่ๆ เขา
• พอเราได้เข้ามาเป็นสมาชิกแล้ว เราได้รับคำแนะนำจากพี่ๆ ยังไงบ้างครับ
ทุกเรื่องเลยครับ ทั้งการใช้ชีวิต หรือว่าการร้อง การเอนเตอร์เทนบนเวที พี่ๆ บอกเราตลอดทุกอย่าง เช่นว่า เอ็งลองเดินไปในมุมนั้นสิ มุมนี้สิ ใช้เวทีให้ครบ เพราะว่าเราก็ยังไม่เคยเดินไปในเวทีใหญ่ๆ เลย เช่นว่า เอ็งลองเดินไปมุมนั้นซิ ว่ามอนิเตอร์มันหายมั้ย เขาก็จะสอนเราตลอด แล้วพอเราลงเวทีมา ในเรื่องการใช้ชีวิตเขาก็สอน ว่าลองเรียนรู้ อย่างเรื่องการวางตัว เช่นว่า เรื่องชีวิตส่วนตัว เขาก็จะบอกเรา แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นในเรื่องของการทำงานในสตูดิโอ หรือ การแสดงสดเขาก็จะบอกทุกครั้ง แนะนำทุกครั้ง เพราะว่าเราก็ไม่เคยทำมาก่อน อย่างเวลาผมมาสัมภาษณ์คนเดียวเนี่ย นี่คือครั้งแรกเลย (หัวเราะ) ก็พยายามเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกดีมากครับ พี่ๆ ทั้ง 3 ไม่เคยดุเลย
• ขณะเดียวกัน พอคุณได้มาทำอย่างมืออาชีพจริงๆ มันแตกต่างจากการทำ SIDE PROJECT อย่างไรบ้างครับ
แตกต่างเยอะครับ อย่างแรกเลย ได้ทำงานกับคนที่มีประสบการณ์เยอะกว่า ได้ความรู้เพิ่มขึ้นซึ่งต่างจากที่เราทำงานเล็กๆ เช่นว่า ไมค์ที่เราอัดตอนนั้น ก็บันทึกจากในหอ มีตัวเดียว แล้วในการอัดก็ต้องเป๊ะหน่อย เราก็ไม่รู้ถึงความละเอียดขนาดไหน ส่วนการทำงานในห้องสตูดิโอ ก็อย่างที่บอกครับพี่ๆ เขามืออาชีพมาก ก็จะอัดกันเร็วมาก ซึ่งซิงเกิลที่ทำกับเพื่อนนี่คือใช้เวลา 6 เดือน เพราะว่าเราไม่มีประสบการณ์เลย แบบว่าไมค์จับยังไง ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษามาบ้างก็ตาม จับแบบนี้ถึงจะได้แบบไหน ส่วนการอัดกับพี่ๆ นั้น ก็มีความรู้สึกเกร็งบ้าง แต่พี่ๆ เขาจะไม่กดดันเราเลย เขาจะปล่อยให้เราเป็นตัวเรา มันก็ทำให้เราทำงานง่ายกว่าเดิม ซึ่งต่างจากที่เราคิดตอนแรกว่า จะเทกเดียวหรือเปล่านะ (หัวเราะเบาๆ) แต่ก็ไม่นานมาก เพราะพี่ๆ เขาช่วยดู คือช่วยกันครับ คือพี่ๆ ไม่ทำให้เราเกร็ง ก็ช่วยได้เยอะแล้วครับ เขาก็จะบอกประมาณว่า คำนี้ไม่ชัด ร้องใหม่ซิ ส่วนเรื่องอารมณ์เขาก็จะปล่อยเรา ให้เขาเป็นคนตัดสินใจ
• พอซิงเกิล “แค่ได้เป็นคนสุดท้ายที่เธอคิดถึง” ถูกปล่อยออกไป แล้วพอเราได้ยินเสียงเรา ความรู้สึกในตอนนั้นเป็นยังไง
ดีใจครับ คือเราดีใจตั้งแต่ตอนที่อัดกับพี่ๆ เขาแล้ว เพราะว่าเป็นเพลงแรกด้วย คือก็มีเพลงแรกที่อัดเสร็จแล้ว แต่เพลงนี้เหมาะสมกว่า เพราะพี่ฟองเบียร์ (ปฎิเวธ อุทัยเฉลิม : นักแต่งเพลง) แต่งให้ผมด้วยแล้วแต่งด้วยความระลึกถึงพี่โจ้ด้วย เพลงนี้เลยเหมาะที่จะเป็นเพลงแรก เราก็ดีใจตั้งแต่ตอนอัดที่ได้อัดกับวงพอส แล้วเป็นเสียงเรา ผมก็ฟินเลยครับ (ยิ้ม) แล้วตอนนี้มาฟังทางวิทยุที่เป็นเสียงเรา ดีใจมาก ส่วนความนิยมก็เกินคาดครับ เพราะว่าเพลงมาปล่อยในช่วงนั้นด้วย ซึ่งเราก็กลัวเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีการแชร์นะ แต่เราก็เห็นหน้าเฟซของแต่ละคนได้ทำการแชร์เพลงของเราอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งถือว่าโอเค แล้วมีโปรโมตเพิ่มนิดหน่อย ก็ดีใจครับ เพราะเราก็นึกไม่ถึงว่าจะเยอะถึงขนาดนี้ เพราะด้วยช่วงเหตุการณ์ด้วย ส่วนการที่มีคนมาคัฟเวอร์เพลง ด้วยความที่เราเป็นครั้งแรกด้วย ก็ประสบความสำเร็จแล้ว ส่วนตัวผมก็ถือว่าเกินคาด ล่าสุดที่เปิดเจอก็มีคนมาคัฟเวอร์เพลงเรา เราก็ฟัง ก็เพราะเหมือนกันนี่หว่า เขาร้องเพราะกว่าเราอีก (หัวเราะเบาๆ) ก็ดีใจครับที่คัฟเวอร์เพลง (ยิ้ม)
• ในแง่ของผู้ฟังทั้งแฟนเพลงรุ่นดั้งเดิมและรุ่นปัจจุบัน เขาว่าอย่างไรบ้างครับ
โดยส่วนใหญ่ก็ชอบกันมากครับ เพราะหลังจากที่ได้ไปทัวร์ต่างจังหวัดกันเยอะๆ เราก็แอบหวั่นๆ เหมือนกันว่า คงไม่มีใครได้ยินหรอกมั้ง แต่พอเราไปทุกครั้ง ทุกที่ที่เราไป เขาร้องเพลงเราได้ แสดงว่าก็ทั่วถึงแล้ว แล้วยิ่งช่วงหลังนี่คือ คนร้องตามเยอะเลย ส่วนช่วงที่เขาร้องตามเราก็มีรู้สึกว่า เขาก็ร้องตามได้นี่หว่า ไม่ใช่แค่คน 2 คน แต่ร้องกันทั้งร้านเลย ในขณะเดียวกัน พี่ๆ เขาบอกว่า ผมทำให้แฟนเพลงรุ่นเก่า ยังรู้สึกถึงความเพราะอยู่ และก็ทำให้แฟนเพลงรุ่นใหม่เริ่มรู้จักเพลงของพอสด้วย มันก็เหมือนแฟนเพลงทั้ง 2 รุ่น ทำให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้จักทางวงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่พี่นอ (นรเทพ มาแสง : มือเบสและหัวหน้าวง) เคยพูดไว้
ตอนนี้ก็มีคนที่รู้จักพอสในตอนที่ผมร้องเยอะมากขึ้น ด้วยวัยและอายุด้วย ผมก็ขอบคุณที่ติดตาม รวมถึงตอบรับเพลงใหม่ที่ปล่อยไป ซึ่งทำให้คนรุ่นผมและแฟนเพลงรุ่นใหม่ๆ ได้รู้จักกับตัววง เขาก็จะหาผลงานเก่าๆ ด้วยแล้วก็คาดหวังว่าให้ทุกคนได้รู้จักมากยิ่งขึ้น แล้วเราก็จะผลิตผลงานเพลงดีๆ ออกมาให้ทุกคนได้ฟัง ก็อยากจะให้ทุกคนได้ติดตามเราเพิ่มมากขึ้น ประมาณนี้ครับ (ยิ้ม)
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
• ความรู้สึกแรกสุดในการอยากเป็นนักร้อง มันเริ่มมาจากอะไร
คือผมเป็นคนคริสต์ ก็ร้องเพลงในโบสถ์ตั้งแต่เด็กแล้ว ก็เลยมีความผูกพันมาตั้งแต่เด็กๆ ก็น่าจะเป็นช่วงสมัยประถม บวกกับดนตรีเราก็ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ อาจจะเป็นด้วยว่า เราต้องร้องเพลงสวดมนต์ในโบสถ์ด้วยส่วนหนึ่ง แต่เราก็ชอบฟังเพลง เราก็เลยอยากร้องตั้งแต่นั้น ซึ่งความรู้สึกมันก็ต่างกัน เพลงในโบสถ์ก็จะเป็นเนื้อหาที่ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไร ก็ร้องตามพ่อแม่ไป แต่เวลาเป็นเพลงทั่วไปมันก็เป็นอีกรสชาติหนึ่ง ก็เป็นเพลงที่เกี่ยวกับความรักแบบหนุ่มสาว ตามสมัยทั่วไป
• ทีนี้พอคุณสนใจในเรื่องดนตรีแล้ว คุณทำยังไงกับมัน
ด้วยความที่ญาติๆ ผม เช่นคุณอา หรือคนอื่นๆ เขาก็เล่นดนตรีอยู่แล้ว แล้วเราก็เริ่มกีตาร์ตั้งแต่ ป.5 จนพอขึ้นมัธยมก็เปลี่ยนเป็นคีย์บอร์ด คือจะเล่นไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงมหาวิทยาลัย ผมเลยเลือกเรียนด้านเปียโนแจ๊ส (วิทยาลัยการดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา) ซึ่งเอาจริงๆ ในตอนแรกสุด ผมอยากเรียนเอกขับร้อง แต่พี่ผมเขาอยากให้เรียนเอกเปียโน เพราะว่าตอนนั้น เราก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เป็นนักร้องหรือเปล่า แล้วในการเรียนเปียโนมันก็ง่ายตรงที่ว่า สมมติเราเปิดโรงเรียนสอน ซึ่งก็มีน้องๆ ที่สนใจเรียนเยอะกว่าการร้องอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่า ตอนนั้นลองเรียนด้านเปียโนมั้ย เพราะถ้าจบมาก็สามารถเปิดโรงเรียนสอนเองได้ แล้วคนจะเรียนเยอะกว่าร้อง เพราะด้านขับร้อง คนก็ไม่ค่อยร้องเยอะเท่าไหร่ ตอนท้ายสุดก็ไปเรียนเปียโนแล้ววิชานี้ก็ทำให้จบมา ซึ่งอาจจะเป็นเพราะสายเลือดก็ได้ครับ ที่ทำให้เราชอบดนตรี ส่วนที่บ้านเขาก็สนับสนุนมาตลอด โดยเฉพาะพ่อนี่คือสนับสนุนเลย เขาไม่เคยว่าอย่าเรียนเลย พ่อนี่คือแล้วแต่เลย ก็สนับสนุนตลอด ส่วนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมเราดีหรือเปล่า เราก็ไม่แน่ใจนะ (หัวเราะ) พอเขาไม่ว่าอะไร เราก็ลุยเลย ชอบอะไรก็ให้ตลอด
• แสดงว่าในช่วงที่เติบโตมา คุณก็เล่นดนตรีอย่างจริงจังมาโดยตลอด
ถ้าเป็นช่วงมัธยม ความรู้สึกในตอนนั้นคือ มันเท่ดี เราเล่นกีตาร์ได้ สาวๆ กรี๊ด คือเล่นให้สาวๆ ดู แล้วพอเวลาที่เราขึ้นไปเล่นบนเวที เราจะหล่อมาก ก็เป็นทางนั้นไป แต่เราก็อยากเล่นอยู่แล้ว เรารักในเสียงเพลงด้วย ผมก็เลยเล่นตามปกติ ก็มีไปห้องซ้อมปกติ อาทิตย์ละครั้ง 2 ครั้ง ซ้อมตลอด แต่เราก็ไม่ได้ไปสมัครในเวทีต่างๆ นะ เราแค่เล่นและร้องในโรงเรียนแค่นั้นเอง เราก็ไม่ได้ร้องแบบเอาจริงเอาจังอะไรมากมาย เราลงประกวดเพราะอยากได้ตังค์เพื่อไปกินกับเพื่อนแค่นั้นเอง (หัวเราะเบาๆ) คือก็แสดงให้เห็นว่าเราก็ทำได้แค่นั้น
• แล้วคุณเริ่มเข้าสู่อาชีพในการร้องเพลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่
น่าจะเป็นช่วงมหาวิทยาลัยตอนปลายปี 1 ขึ้นปี 2 ก็ได้ไปร้องเพลงกลางคืนไปร้องตามร้านต่างๆ ก็ไม่ได้เล่นเปียโนแล้ว เพราะชอบร้องมากกว่า อย่างที่บอกว่าเราเรียนเพื่อให้มีวิชาติดตัวและที่ต้องเดินต่อไป ส่วนที่ไปร้องเพลงกลางคืน คือ เราอยากหาประสบการณ์ด้วยแล้วก็มีรายได้ ซึ่งทำให้เราไม่ต้องไปขอที่บ้าน และได้ลองประสบการณ์ใหม่ๆ
แต่เราก็ไม่ได้ร้องตามกระแสนะผมก็ร้องในแนวเพลงค่ายเบเกอรี่มากกว่า เราจะไม่ตามกระแสเลย เพราะว่าผมเล่นกับพี่คนหนึ่ง ที่เขาชอบแนวเพลงแบบนี้เหมือนกัน เพลงเบาๆ และเพลงเก่าๆ ผมไม่ค่อยชอบเพลงที่เป็นกระแส สมมติว่ามีวงหนึ่งกำลังดัง แต่เราก็จะยังเล่นแบบนี้มากกว่า เพราะเพลงเขาเพราะ แล้วเราไม่ได้เล่นตามผับ ก็เล่นตามร้านอาหาร ผมก็ชอบเพลงแบบเรื่อยๆ สบายๆ คือเหมือนกับเราหาตัวเองเจอด้วย แล้วเราก็จะร้องแบบนี้มาตลอดเลย ซึ่งเจ้าของร้านก็มีมาบอกว่าเล่นเพลงอื่นหน่อย เราก็จะบอกว่า ผมไม่เล่นครับ (หัวเราะ) ลูกค้าขอเนี่ย ผมไม่เล่นครับ ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเราชอบแบบนี้ เราอยากนำเสนอแบบนี้ แล้วเราร้องแบบนี้แล้วอินกว่า ดีกว่าไปร้องเพลงตลาดแล้วไม่ตั้งใจเล่น เพื่อให้คนอื่นฟัง ผมก็เลยชอบเพลงแนวนี้
• ทีนี้พอเรียนจบ คุณก็เริ่มทำงานโปรเจกต์ดนตรีของตัวเองเลย
ผมก็ทำเพลงทำค่ายกับเพื่อนช่วงหนึ่ง ก็มีเพลงเป็นของตัวเอง เพราะว่าชอบ ตอนนั้นก็มีเพื่อนๆ มาช่วยๆ กัน ทำเป็นค่ายก่อน แล้วเอาแต่ละคนทำเป็นซิงเกิลไล่ๆ กันไป ตอนแรกคิดว่าถ้ามันโอเค เราลองเอาคนอื่นมาดู ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าด้วยความเป็นเพื่อนกันด้วย แล้วมันมีปัญหานิดนึง ทุนก็ไม่มี ก็ช่วยๆ กันเอง แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดว่าเริ่มรู้ถึงวงการเพลงนะ เพราะว่าเราเริ่มจะรวมตัวกันแป๊บเดียวเอง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานครับ ออกประมาณ 3-4 ซิงเกิล คือทำมาตั้งแต่ช่วงประมาณ ปี 3 ปี 4 และช่วงนั้นคือ ด้วยความที่เราไม่เคยทำเลย ก็ถือว่าดีนะ ถ้าเช็กจากยอดวิวในยูทูป ก็ประมาณ 30,000 วิวได้ เพราะว่าไม่มีเงินไปโปรโมต แต่ก็ถือว่าโอเค ส่วนคอมเมนต์เขาชอบครับ ว่าดนตรีเพราะดี แต่ก็มีบอกว่า เหมือนพี่โจ้ (อัมรินทร์ เหลืองบริบูรณ์ : นักร้องนำวงพอสคนแรก) คือเราก็ทำปกติของเรา เราก็ทำกับเพื่อนๆ เพราะว่าชอบนั่นแหละ
• ทีนี้มาถึงตอนที่มาเป็นนักร้องนำวงพอส อยากให้ช่วยเล่าในช่วงนี้หน่อยว่าเป็นยังไงครับ
เริ่มที่พี่เอ (พลกฤษณ์ วิริยานุภาพ : มือกีตาร์วงพอส) ได้มาเห็นเพลงที่ผมทำกับเพื่อนๆ แล้วก็มีน้องคนหนึ่งมาบอกผมว่า พี่ไม่ลองหน่อยเหรอ วงพอสประกาศหานักร้องใหม่ เราก็คิดว่า เออๆ น่าสนใจ ได้ไม่ได้ก็ลองดูก่อน จากนั้นผมก็แอดเฟซบุ๊กพี่ๆ ทั้งสามคนเลย แต่เขาก็ยังไม่ได้รับอะไร จนพี่เอก็มาทักในอินบ็อกซ์ แล้วบอกว่าชอบเพลงที่ผมทำนะ แล้วเขาก็ส่งงานมาให้ แล้วบอกว่า ลองมาร้องกับเรามั้ย ผมก็ตอบตกลงไป ยินดีเลย ผมก็ซ้อมเพลงที่พี่เอส่งมา จนต่อมาก็เป็นงาน PAUSE PLAY AGAIN เป็นงานที่จัดให้วงพบกับแฟนคลับ คือเรามีความดีใจตั้งแต่ซ้อมแล้ว แค่เราได้ไปร้องเพลงกับพี่ๆ เขา เราก็ดีใจมากแล้ว แล้วตอนที่เราไปห้องซ้อมเขา เราก็ตื่นเต้น แล้วพอเราได้ไปร้องก็มีความตื่นเต้น คือ ณ ตอนนั้น มันมีความภูมิใจที่ได้มาร้องกับพี่ๆ เขา แบบเป็นเกียรติประวัติตัวเอง ไม่ได้คิดว่าได้หรือไม่ได้เลย เราแค่หวังว่าจะทำให้มันดีที่สุด เพราะว่า เราก็ไม่รู้จะมีโอกาสได้ร้องกับพี่ๆ อีกหรือเปล่า สักครั้งในชีวิต เราก็เลยคิดว่าทำให้เต็มที่ มันก็มีตื่นเต้น แต่ลองดูวะ ประมาณนั้น พอถึงตอนขึ้นไปร้องเพลง เราก็หลับตาปี๋เลย (หัวเราะ) ตั้งใจร้องให้ที่สุดของเราแล้วล่ะ เพราะว่าเราได้ร้องกับเจ้าของเพลง เราก็ร้องเลย แต่วันนั้นร้องผิดท่อนด้วย แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ แล้วพี่ๆ ทั้งสามก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ
• แล้วพอปรากฏว่า คุณได้รับเลือกให้เป็นนักร้อง ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไร
ช็อก เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมไปเล่นร่วมกับพี่ๆ ที่ร้านหนึ่ง แล้วเหลือแค่ผมคนเดียว เพราะพี่ๆ อีก 2 คน เขาไม่ว่าง อาจเป็นเพราะดวงหรือพระเจ้านำพาก็ไม่รู้ (หัวเราะเบาๆ) ก็เหลือแค่ผมคนเดียว ซึ่งพี่บอส ก็ถามผมว่าไหวหรือเปล่า ผมก็บอกว่าไหวครับพี่ ผมก็เลยขึ้นไปร้องคนเดียวทั้งโชว์ แล้วเขาก็ประกาศตรงนั้นเลย พอได้ยินคำประกาศ เราก็ช็อกไปแป๊บนึง เพราะว่ามันเหลือ 2 เพลงสุดท้าย เขาก็ประกาศตรงนั้นเลย เราก็ดีใจ ซึ่งด้วยความที่อะไรมันพาไปนี่แหละครับ เพราะว่างานนั้น เขาจะเอา 3 คน คือคนละ 4 เพลง ขึ้นสลับกันแต่อย่างที่บอก แล้วภาพที่คนไปดู หรือภาพวงอะไรหลายๆ อย่างที่เห็นแบบนั้น
• พอถูกรับเลือกอย่างเป็นทางการแล้ว สิ่งแรกสุดที่คุณทำคืออะไรครับ
ณ ตอนนั้นก็คิดอยู่ว่าทำยังไงให้มันดีขึ้นกว่าเดิม เราก็ไปซ้อม ไปพัฒนา และไปเรียนเพิ่ม พี่เอก็ส่งไปเรียนร้องเพลงเพิ่มให้มันพัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละครั้งที่ร้อง ส่วนการเรียนเพิ่ม เพราะว่าตอนที่เรามาก็งูๆ ปลาๆ ตามสภาพมา แล้วเรียนแบบครูพักลักจำมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วพอได้ไปเรียน ก็มีอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ อย่างเทคนิคการร้อง หรือว่าการใช้รูปแบบต่างๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งสามารถช่วยเราร้องได้ดีขึ้น พอเราได้ไปเรียนผลลัพธ์นี่คือดีครับ อย่างแฟนคลับวงเขาก็จะบอกว่าเราร้องดีขึ้น หรือบอกว่า ดีกว่าวันแรกเยอะเลย เราก็ดูจากตรงนั้นด้วย หรือพี่ๆ เขาก็สอนเราตลอด
ขณะเดียวกัน ในส่วนของผมเองก็มีการพัฒนาขึ้นเยอะ ทำให้ได้เรียนรู้ถึงการมีช่องเสียงที่ควรใช้มากขึ้น จากที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เขาจะบอกเรา ซึ่งไปเรียนอาทิตย์ละ 2 ชั่วโมง แล้วเราก็ออกกำลังกายมากขึ้น ซึ่งทำให้เรากลายเป็นคนออกกำลังไปเลย วันไหนไม่ได้ออกนี่คือรู้สึกได้อย่างชัดเจน (หัวเราะ) เพราะเราก็รู้สึกว่า แม้แต่โชว์เดียว คนดูจะเอะใจว่าทำไมร้องแบบนี้ ผมไม่อยากเห็นแม้แต่โชว์เดียวที่จะมีแบบนั้น ผมเลยต้องพยายามทำตัวเองดีในทุกๆ ครั้ง เราจะได้ไม่ต้องโทษตัวเองว่าทำไมไม่ทำให้มันดี เราก็ต้องทำตัวเองให้ดีที่สุด ในมุมนึงก็ถือว่าเปลี่ยนแปลงตัวเองเยอะด้วย จากก่อนหน้านี้ที่ร้องแล้วไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่ เราร้องเพลงไปแบบเดิมๆ ที่ร้องให้ผ่านๆ ไป เพราะว่าเราร้องให้คนมากินข้าวฟัง แต่ ณ ตอนนี้ เราร้องให้คนที่มาดูเรา ทัศนคติเราก็เปลี่ยนไปด้วย มันก็ทำให้รู้สึกว่า อย่าทำให้คนดูเสียใจ เราก็ทำให้เต็มที่ตั้งแต่ก่อนขึ้นร้องเลย
• ในส่วนเพลงของวง คุณมารู้จักเพลงของวงจริงๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่
น่าจะเป็นช่วงมัธยมต้นครับ เพราะชุดแรก ผมเพิ่ง 4 ขวบเอง เพราะว่าช่วงมัธยมต้น ด้วยความที่เราเป็นเด็กหอ รุ่นพี่ก็จะมีการเปิดเพลงให้เราฟัง ก็เลยรู้จัก ก็เริ่มรู้จักเพลงข้อความ ก็ฟังมาเพราะพี่ๆ เขาเปิดให้ฟัง แล้วในตู้คาราโอเกะตามห้างมันก็มีเพลงของพวกพี่ๆ ผมเลิกเรียนก็ไปร้องคาราโอเกะกัน เราก็เลยได้ร้องมา ช่วงมัธยมผมก็ฟังแค่ชุด MILD ซะเยอะ แล้วก็เป็นเพลง COVER ที่พี่โจ้เขาร้อง แล้วพอมาถึงช่วงมหา'ลัย เราก็เริ่มค้นเพลงที่ลึกขึ้น ไล่ฟังตั้งแต่ชุดแรก กับชุดสอง ซึ่งพอผมได้ฟังงานเดิมที่พี่ๆ ทางวงได้ทำไว้ ผมเห็นถึงความสามารถของพี่ๆ เพราะว่าเป็น 3 ชุด 3 แบบเลย ได้ทุกแบบ เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ที่พี่ๆ แต่งในแต่ละเพลงออกมา เพราะส่วนมากก็จะเป็นพี่ๆ ทั้งสามคน เป็นคนแต่งเพลงของวงเกือบทั้งหมด ก็จะมีบางเพลงที่แต่งโดยคนอื่น นิดๆ หน่อยๆ ความคิดความอ่านพยายามศึกษาจากพี่ๆ เขา
• พอเราได้เข้ามาเป็นสมาชิกแล้ว เราได้รับคำแนะนำจากพี่ๆ ยังไงบ้างครับ
ทุกเรื่องเลยครับ ทั้งการใช้ชีวิต หรือว่าการร้อง การเอนเตอร์เทนบนเวที พี่ๆ บอกเราตลอดทุกอย่าง เช่นว่า เอ็งลองเดินไปในมุมนั้นสิ มุมนี้สิ ใช้เวทีให้ครบ เพราะว่าเราก็ยังไม่เคยเดินไปในเวทีใหญ่ๆ เลย เช่นว่า เอ็งลองเดินไปมุมนั้นซิ ว่ามอนิเตอร์มันหายมั้ย เขาก็จะสอนเราตลอด แล้วพอเราลงเวทีมา ในเรื่องการใช้ชีวิตเขาก็สอน ว่าลองเรียนรู้ อย่างเรื่องการวางตัว เช่นว่า เรื่องชีวิตส่วนตัว เขาก็จะบอกเรา แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นในเรื่องของการทำงานในสตูดิโอ หรือ การแสดงสดเขาก็จะบอกทุกครั้ง แนะนำทุกครั้ง เพราะว่าเราก็ไม่เคยทำมาก่อน อย่างเวลาผมมาสัมภาษณ์คนเดียวเนี่ย นี่คือครั้งแรกเลย (หัวเราะ) ก็พยายามเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกดีมากครับ พี่ๆ ทั้ง 3 ไม่เคยดุเลย
• ขณะเดียวกัน พอคุณได้มาทำอย่างมืออาชีพจริงๆ มันแตกต่างจากการทำ SIDE PROJECT อย่างไรบ้างครับ
แตกต่างเยอะครับ อย่างแรกเลย ได้ทำงานกับคนที่มีประสบการณ์เยอะกว่า ได้ความรู้เพิ่มขึ้นซึ่งต่างจากที่เราทำงานเล็กๆ เช่นว่า ไมค์ที่เราอัดตอนนั้น ก็บันทึกจากในหอ มีตัวเดียว แล้วในการอัดก็ต้องเป๊ะหน่อย เราก็ไม่รู้ถึงความละเอียดขนาดไหน ส่วนการทำงานในห้องสตูดิโอ ก็อย่างที่บอกครับพี่ๆ เขามืออาชีพมาก ก็จะอัดกันเร็วมาก ซึ่งซิงเกิลที่ทำกับเพื่อนนี่คือใช้เวลา 6 เดือน เพราะว่าเราไม่มีประสบการณ์เลย แบบว่าไมค์จับยังไง ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษามาบ้างก็ตาม จับแบบนี้ถึงจะได้แบบไหน ส่วนการอัดกับพี่ๆ นั้น ก็มีความรู้สึกเกร็งบ้าง แต่พี่ๆ เขาจะไม่กดดันเราเลย เขาจะปล่อยให้เราเป็นตัวเรา มันก็ทำให้เราทำงานง่ายกว่าเดิม ซึ่งต่างจากที่เราคิดตอนแรกว่า จะเทกเดียวหรือเปล่านะ (หัวเราะเบาๆ) แต่ก็ไม่นานมาก เพราะพี่ๆ เขาช่วยดู คือช่วยกันครับ คือพี่ๆ ไม่ทำให้เราเกร็ง ก็ช่วยได้เยอะแล้วครับ เขาก็จะบอกประมาณว่า คำนี้ไม่ชัด ร้องใหม่ซิ ส่วนเรื่องอารมณ์เขาก็จะปล่อยเรา ให้เขาเป็นคนตัดสินใจ
• พอซิงเกิล “แค่ได้เป็นคนสุดท้ายที่เธอคิดถึง” ถูกปล่อยออกไป แล้วพอเราได้ยินเสียงเรา ความรู้สึกในตอนนั้นเป็นยังไง
ดีใจครับ คือเราดีใจตั้งแต่ตอนที่อัดกับพี่ๆ เขาแล้ว เพราะว่าเป็นเพลงแรกด้วย คือก็มีเพลงแรกที่อัดเสร็จแล้ว แต่เพลงนี้เหมาะสมกว่า เพราะพี่ฟองเบียร์ (ปฎิเวธ อุทัยเฉลิม : นักแต่งเพลง) แต่งให้ผมด้วยแล้วแต่งด้วยความระลึกถึงพี่โจ้ด้วย เพลงนี้เลยเหมาะที่จะเป็นเพลงแรก เราก็ดีใจตั้งแต่ตอนอัดที่ได้อัดกับวงพอส แล้วเป็นเสียงเรา ผมก็ฟินเลยครับ (ยิ้ม) แล้วตอนนี้มาฟังทางวิทยุที่เป็นเสียงเรา ดีใจมาก ส่วนความนิยมก็เกินคาดครับ เพราะว่าเพลงมาปล่อยในช่วงนั้นด้วย ซึ่งเราก็กลัวเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีการแชร์นะ แต่เราก็เห็นหน้าเฟซของแต่ละคนได้ทำการแชร์เพลงของเราอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งถือว่าโอเค แล้วมีโปรโมตเพิ่มนิดหน่อย ก็ดีใจครับ เพราะเราก็นึกไม่ถึงว่าจะเยอะถึงขนาดนี้ เพราะด้วยช่วงเหตุการณ์ด้วย ส่วนการที่มีคนมาคัฟเวอร์เพลง ด้วยความที่เราเป็นครั้งแรกด้วย ก็ประสบความสำเร็จแล้ว ส่วนตัวผมก็ถือว่าเกินคาด ล่าสุดที่เปิดเจอก็มีคนมาคัฟเวอร์เพลงเรา เราก็ฟัง ก็เพราะเหมือนกันนี่หว่า เขาร้องเพราะกว่าเราอีก (หัวเราะเบาๆ) ก็ดีใจครับที่คัฟเวอร์เพลง (ยิ้ม)
• ในแง่ของผู้ฟังทั้งแฟนเพลงรุ่นดั้งเดิมและรุ่นปัจจุบัน เขาว่าอย่างไรบ้างครับ
โดยส่วนใหญ่ก็ชอบกันมากครับ เพราะหลังจากที่ได้ไปทัวร์ต่างจังหวัดกันเยอะๆ เราก็แอบหวั่นๆ เหมือนกันว่า คงไม่มีใครได้ยินหรอกมั้ง แต่พอเราไปทุกครั้ง ทุกที่ที่เราไป เขาร้องเพลงเราได้ แสดงว่าก็ทั่วถึงแล้ว แล้วยิ่งช่วงหลังนี่คือ คนร้องตามเยอะเลย ส่วนช่วงที่เขาร้องตามเราก็มีรู้สึกว่า เขาก็ร้องตามได้นี่หว่า ไม่ใช่แค่คน 2 คน แต่ร้องกันทั้งร้านเลย ในขณะเดียวกัน พี่ๆ เขาบอกว่า ผมทำให้แฟนเพลงรุ่นเก่า ยังรู้สึกถึงความเพราะอยู่ และก็ทำให้แฟนเพลงรุ่นใหม่เริ่มรู้จักเพลงของพอสด้วย มันก็เหมือนแฟนเพลงทั้ง 2 รุ่น ทำให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้จักทางวงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่พี่นอ (นรเทพ มาแสง : มือเบสและหัวหน้าวง) เคยพูดไว้
ตอนนี้ก็มีคนที่รู้จักพอสในตอนที่ผมร้องเยอะมากขึ้น ด้วยวัยและอายุด้วย ผมก็ขอบคุณที่ติดตาม รวมถึงตอบรับเพลงใหม่ที่ปล่อยไป ซึ่งทำให้คนรุ่นผมและแฟนเพลงรุ่นใหม่ๆ ได้รู้จักกับตัววง เขาก็จะหาผลงานเก่าๆ ด้วยแล้วก็คาดหวังว่าให้ทุกคนได้รู้จักมากยิ่งขึ้น แล้วเราก็จะผลิตผลงานเพลงดีๆ ออกมาให้ทุกคนได้ฟัง ก็อยากจะให้ทุกคนได้ติดตามเราเพิ่มมากขึ้น ประมาณนี้ครับ (ยิ้ม)
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร