xs
xsm
sm
md
lg

งามทั้งกายและใจ “แซมมี่ เคาวเวลล์” นักแสดงสาวยอดกตัญญู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จริงหรือไม่ที่ใครเขาลือว่า เธอขายเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้เพื่อนำเงินไปรักษาพ่อ? จริงหรือเปล่าที่เขาว่าทำงานมานับสิบปี ไม่มีเงินเก็บ? เราไปพบกับ “แซมมี่ เคาวเวลล์” นักแสดงสาวผู้เป็นต้นทางของเรื่องเล่าดังกล่าว...

โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมานานนับสิบปี “แซมมี่ เคาวเวลล์” หรือ “ดลลชา ภูวิจารย์” นางเอกนักแสดงสาวช่อง 7 สีที่ล่าสุดได้รับตำแหน่งผู้หญิงเซ็กซี่แห่งปีจากเวทีนิตยสารถ่ายแบบยอดนิยมทั้งระดับประเทศและระดับโลก อย่าง FHM แห่งปี 2016 ที่ผ่านมา

ในช่วงเวลาฮอตฮิตติดลมบน นอกจากหน้าที่หลักที่เพิ่มเติมทั้งจอแก้วและจอเงิน เธอยังสละเวลาดูแลบุพการีบิดาที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคหัวเข่า อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องสักกระเบียดนิ้ว และแถมในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เธอยังมีแรงและใจเผื่อแผ่มิตรรักแฟนคลับด้วยการบริจาคเสื้อผ้า รวมทั้งนำออกมาจำหน่ายในราคาเหมือนให้เปล่า เพื่อให้สิ่งของเหล่านั้นไม่เสียประโยชน์..

(1)
สำคัญที่ตัวตน

“เพราะความที่จังหวะของการออกมาขายข้าวของเครื่องใช้ มันใกล้เคียงกับช่วงที่คุณพ่อป่วยเข้าโรงพยาบาล ซึ่งตรงนั้นเราเคลียร์ค่าใช้จ่ายหมดแล้ว ทีนี้พอคุณพ่อกลับมาอยู่บ้านได้ เราก็เลยอยากกลับมาใช้ชีวิตอยู่บ้านกับครอบครัว ก็ค่อยๆ ขนของจากคอนโดฯ ก็เลยเอาเสื้อผ้ามาระบายเพราะมันเยอะมาก”

นักแสดงดาราสาวสวย เปิดเผยด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้าถึงกรณีเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อเหตุการณ์ที่ว่าตนต้องไปขายของตลาดนัด เพื่อนำเงินมารักษาคุณพ่อที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง จนกลายเป็นข่าวครึกโครมในโลกออนไลน์

“จริงๆ เราถือโอกาสเคลียร์ไปเลยในตัว เพราะก่อนหน้านี้ก็เอาไปบริจาคบ้างแล้วบางส่วน แต่ด้วยตารางงาน ด้วยเวลา ก็เลยลดจำนวนไปได้ไม่เยอะ แล้วก็ประกอบกับมาคิดๆ ดู เราบริจาคไป เขาจะใช้ได้ไหม ชอบไหม แล้วไหนจะเหมาะกับสถานที่ เหมาะกับสภาพอากาศหรือเปล่า แต่ถ้าเราเอามาตรงนี้ จากที่เห็นข้อความในอินสตาแกรม แฟนๆ ก็จะมักถามว่า กางเกงแบบนี้หาได้ที่ไหนคะ ชุดแบบนี้หาได้ที่ไหนบ้าง ก็จะมีคนที่สไตล์ความชอบคล้ายคลึงแบบเดียวกับเรา เราก็ส่งต่อความชอบที่ใกล้ๆ กัน ส่วนของบริจาคก็คัดแยกไว้เฉพาะ”

สิ่งของที่นำมาจำหน่ายที่ตลาดนัดกลางคืนหัวมุม เกษตร-นวมินทร์ แถวบ้าน นอกจากมีทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ยังรวมไปถึงเครื่องประดับแอกเซสซอรีที่เป็นแบรนด์ และไม่แบรนด์ โดยนักแสดงสาวสวยบอกว่า สนนราคาขายสูงสุดเพียงแค่ชิ้นละ 300 บาท

“ก็กลัวจะขายแพง ก็แบบขาย 80-100-200-300 บาท ไม่เกินนี้ คือด้วยความที่ว่าเราไปขายตลาด แล้วเราก็ไม่ได้ขายเพื่อจะต้องการเงิน เราแค่อยากจะระบายของออก

“50 บาทก็ขาย” ดาราสาวกล่าวย้ำจุดประสงค์หลัก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับในระดับที่ดี แม้ไม่ถึงกับมารุมล้อมต่อคิวซื้อ แต่ตลอด 3-4 ครั้งที่มีเวลาไปเปิดขาย วันหนึ่งๆ ก็แทบไม่เหลือกลับ

“ก็เกือบหมด ตกก็ประมาณพันกว่าบาทต่อครั้งที่ไปขาย แต่เราไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องทำให้ได้ราคาเท่านี้ต่อวัน เราเพียงแค่อยากส่งต่อสิ่งที่เราไม่ได้ใช้แล้วมันเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่น ตอนนี้ก็เหลืออีกแค่ 2-3 ลังค่ะ (ยิ้ม)

“นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่เข้าใจผิด ไม่ใช่ว่าออกมาขายเสื้อผ้าเพื่อเงินหรือเพื่อเป็นแบบอย่างในกรณีที่เราเคยออกมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเรื่องการใช้เงิน จะได้มีเงินเก็บเป็นก้อนใหญ่ๆ ไม่ได้คิดไกลถึงขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นต้นแบบได้ก็ดีใจ เพราะตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้หลังจากปฏิวัติตัวเองไม่ใช่จ่ายโดยไม่จำเป็นเมื่อ 2-3 ปีก่อนหน้านี้”

(2)
มั่นคงที่จิตใจ

“เมื่อ 2-3 ปีก่อน ที่มีข่าวว่าเราไม่มีเงินเก็บเป็นก้อนจริงๆ จังๆ สักที คือจริงๆ แล้วด้วยเราเป็นคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบทั้งหมด ค่าใช้จ่ายในบ้าน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายหลักๆ เมื่อบวกกับตัวเราที่ชอบซื้อของ แต่ว่าไม่ใช่ของที่แพงนะ (ยิ้ม) ของตลาดๆ แต่ซื้อเยอะแล้วพอมันรวมๆ ราคามันก็ได้ของแพงๆ ได้เลย”

ดาราสาวกล่าวเล่าย้อนย้ำแสดงถึงต้นเหตุในการที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันสืบเนื่องต่อกันมา

“คือเราก็แค่มองแล้วรู้สึกว่า อุ๊ย…เราซื้ออันนี้มันก็ไม่เท่าไหร่เอง ไม่กี่ร้อยบาท ก็ซื้อมาเรื่อยๆ บางทีซื้อมาซ้ำๆ คล้ายๆ กัน ชอบสองอันก็เอาสองอันเลย ไม่มีอันไหนชอบที่สุดแล้วเลือกเอาอันเดียวชิ้นเดียว เลือกไม่ได้ (ลากเสียง) ก็เลยไม่มีเงินเก็บที่เป็นก้อนใหญ่ๆ สักที ทีนี้พอคิดได้ก็เลยแบบมานั่งคุยกับครอบครัว ถึงได้เปลี่ยน

“แรกๆ มันก็อาจจะรู้สึกขัดๆ หน่อย แต่พอทำไปเรื่อยๆ มันจะค่อยๆ ชิน ถ้าถามว่า หลังจากคิดได้ เราทำอย่างไร บังคับจิตใจ ห้ามใจ ก็ต้องค่อยๆ ปรับ เรียงลำดับความสำคัญไป อะไรก่อนหลัง 1-2-3 ว่า เราจำเป็นอะไรแค่ไหนก่อนบ้าง อะไรที่ยังไม่จำเป็น มันต้องซื้อไหม หรือเรารอได้ไหม และอะไรที่มันนอกเหนือจากความจำเป็นต้องใช้ แต่เราอยากได้จริงๆ มันก็ต้องแบ่งเงินต่างหากอีกทีหนึ่ง

“ทีนี้ ระบบกระบวนการความคิดมันจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ จนทุกวันนี้จะซื้ออะไรก็จะซื้อแค่ว่าอันนี้ทำงานได้ไหม ใช้งานได้หรือเปล่า คิดเรื่องความคุ้มค่ามากกว่า”

นอกจากนี้ แซมมี่ยังบอกถึงวิธีการหักห้ามใจที่เหนือจากตัวเองจะต้องจัดการวางแผนระบบต่างๆ ของลำดับความสำคัญ วิธีการตัดยอดเงินให้ตัวเองใช้ในจำนวนที่จำกัด ก็สามารถช่วยให้เราควบคุมเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนเกินได้

“นอกจากตัวมี่ ก็มีพี่ผู้จัดการ มีคุณแม่ เป็นคนจัดการให้เงินเดือนแทน (ยิ้ม) บัตรเครดิต ไม่มีติดตัวเลย ทุกๆ เดือนจะโอนเงินเข้า ATM แทน เราก็ใช้จ่ายได้เฉพาะที่มีในบัตรเท่านั้น ซึ่งแรกๆ เริ่มจาก 8,000 บาทก่อน แล้วมาเป็น 6,000 บาท กระทั่งล่าสุด 4,500 บาทต่อเดือน เพราะว่าโดนหัก โดนหัก เพราะเราทำผิด เช่น ไม่ลงรูปในไอจีให้ครบวันละ 3 รูป ก็โดน 500 บาท สอบไม่ผ่านก็โดนอีก 500 บาท”

แซมมี่บอกว่า ในขณะที่คนส่วนใหญ่ภายนอกมองว่าดาราเป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ ตัวเลข 5-6 หลัก แต่ถ้าหากไม่คำนึงถึงความคุ้มค่าคุ้มราคาประโยชน์ในการใช้สอย ก็อาจจะไม่มีเหลือได้

“คืออย่างที่บอก เราเป็นคนเดียวที่รับผิดชอบรายจ่ายทั้งหมดในบ้าน ฉะนั้น รายได้ที่มันเป็นฟิกซ์คอร์สของแต่ละเดือนจะค่อนข้างเยอะ และถึงจะอยู่ในวงการนี้มานานแล้ว เราก็เริ่มจากเด็กๆ ที่ไม่ได้เข้ามาแล้วก็มีรายได้เยอะๆ เลย มันก็ค่อยๆ มี ค่อยๆ เพิ่มทีละนิดๆ พอประกอบกัน เราก็เลยไม่มีเก็บเป็นก้อนใหญ่

“และวิธีที่สามารถทำได้ก็อย่างที่บอก คือเราต้องมองว่าอะไรที่มันจำเป็น เราต้องชั่งน้ำหนักดูว่ามันจำเป็นมากขนาดไหน ถ้าเกิดอะไรที่เรารอได้ มันไม่ได้เร่งรีบอะไรขนาดนั้น เราควรต้องอดทนรอแล้วเราต้องไม่ไปรบกวนเงินในส่วนที่เราจะต้องเก็บหรือในส่วนที่เป็นเงินอนาคต เช่น แบ่งอันนี้ไว้ค่ารถ เราก็ไม่ไปแตะตรงนั้นเลย ถ้าเรารอได้ เราก็แบ่ง ค่อยๆ เก็บน่าจะดีกว่า

“แต่ในโลกปัจจุบันมีการแข่งขัน บางคนซื้อของตามเทรนด์ตามแบรนด์ อันนี้มันขึ้นอยู่กับความชอบแล้ว คือเราโชคดีที่ไม่ได้แบบชอบในแบรนด์เนมหรือต้องมีกระเป๋ารองเท้าแข่งกับใครเท่าไหร่ รู้สึกว่าตัวเองโชคดี เราก็เลยไม่ได้เข้าไปอยู่ในสังคมที่มีความชอบทัศนคติในการแต่งตัวอะไรแบบนั้น แค่นั้นเอง แต่เราว่าถ้าเราสบายใจที่จะแต่งแบบไหนหรือใช้อะไรแล้วเรามีกำลังไหว ส่วนตัวคิดว่ามันก็ไม่ผิดหรอกถ้ามันไม่ได้ทำให้ตัวเราเดือดร้อน

“แต่จะดีกว่าถ้ามีกระบวนการคิดว่า ซื้อด้วยความคุ้มค่า อะแดปต์ได้ในชีวิตประจำวัน และเป็นตัวตนเราสไตล์เรา จะดีกว่า คือถ้าถามว่าของแบรดน์เนมเรามีไหม คือมี แต่ว่าไม่ได้มีเยอะ อย่างกระเป๋า มีอยู่ใบที่เน้นความคลาสสิกแบบใช้ได้ตลอด ถ้าเป็นอย่างนี้จะเวิร์กกว่าในความคิดเรา เราค่อนข้างโอเคแล้วก็ไม่รู้สึกว่าเราด้อยหรือไม่เท่าคนอื่นอย่างไร เป็นตัวเราสไตล์เรา ก็จะลดตรงนี้ได้ แต่สำหรับคนที่ว่า ฉันอยากมี ต้องมี เราก็ต้องกลับมาที่ตัวเรา ถ้าอยากได้ก็ต้องทำงานให้มากขึ้น เก็บเงินให้มากกว่านี้ แล้วเราก็จะมีในสิ่งที่เราอยากได้ค่ะ”

(3)
ตอบแทนผู้มีพระคุณ
“อันนี้มี่คิดว่าได้คุณพ่อมาเต็มๆ”

“เพราะพ่อเป็นคนลุยๆ เวลาทำงาน บางทีเขาก็จะไม่ขับรถ เดินกลับบ้านไกลๆ อะไรอย่างนี้ ท่านจะเป็นคนค่อนข้างแข็งแรง ก็ไม่ค่อยดูแลตัวเองเท่าไหร่”
ดาราสาวกล่าวถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ได้อิทธิพลบางส่วนมาจากพ่อ

“อาจจะซึมซับตรงนี้มา และอีกอย่างก็คือความผูกพัน มี่อยู่กับคุณพ่อมาตลอด อันที่จริง คุณพ่อมีครอบครัวมาก่อนหน้าที่จะมาเจอคุณแม่ของมี่ คุณพ่อก็มีลูกสาว แต่ลูกสาวท่านเสียชีวิตจากอุบัติเหตุช่วงประมาณอายุ 15-16 ปี พอท่านมีหนู ก็เลยเป็นห่วงมาก ในเรื่องของการเดินทาง ความปลอดภัย ฉะนั้นจะไม่ค่อยปล่อยให้คลาดสายตาเท่าไหร่

“เวลาจะไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยให้ไปคนเดียว จะให้ไปกับคุณแม่หรือให้ไปกับท่าน เพราะท่านเกษียณมานานแล้วก็เลยมีเวลาที่จะอยู่กับครอบครัวมาก มันก็เลยอยู่ด้วยกันมาตลอด พอถึงเวลาท่านป่วยเราก็ต้องดูแล แต่จริงๆ แล้วมันเป็นหน้าที่ของลูกทุกคน

“เราต้องรู้หน้าที่ของเราโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว”
ดาราสาวเปิดเผย และไม่ใช่เพียงเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ภายนอก แต่ยังรวมถึงภายในใจความรู้สึกอีกด้วยที่ต้องดูแลกันและกัน

“คือหลังจากที่คุณพ่อเป็นห่วงเรื่องการเก็บเงิน เพราะเราทำงานหนักมาก แล้วเขาก็กลัวว่าในอนาคตเราจะไม่มีเงินเก็บ หรือชีวิตในอนาคตเราจะลำบาก แต่ตอนนี้เราทำได้ พอเราเริ่มมาถูกทาง เราก็บอกให้ท่านสบายใจว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ เรามี เราก็นำสมุดอะไรให้ท่านดูว่าเราก็มีเงินแล้ว ไม่ต้องรบกวนคุณพ่อ

“คือพ่อเวลาจะไปกินข้าวหรืออะไรก็แล้วแต่ ท่านจะไม่ค่อยให้ลูกออก แต่เราก็รู้สึกว่าเราอยากให้ เราอยากดูแลท่าน แรกๆ จะงอนๆ ถ้าเราจ่าย ก็อธิบายว่าสถานการณ์โน่นนี่นั่น มันดีขึ้นแล้ว ไม่ได้แย่ ท่านก็เข้าใจ โอเค สบายใจขึ้น

“คนที่ดูแลบุพการี ไม่ว่าจะลำบากยังไง มันมักจะมีทางออกให้เสมอ
ถึงต่อให้จะตันแล้ว แย่มากๆ แล้ว แต่จะต้องมีทางให้เราไป
มี่ถือคติและเชื่ออย่างนั้น”

และคงจะจริงดังที่เธอว่า เพราะล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้นอกจากจะสามารถตรวจพบโรคร้ายในทรวงอกก่อนที่จะลุกลามเป็นอันตรายต่อร่างกาย ชื่อของแซมมี่ยังคงขจรกระจายก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้หญิงที่เซ็กซี่แห่งปี (2016) จากเวที FHM

“ก็ต้องขอบคุณคณะกรรมการ เราไม่ได้ตั้งใจ คาดหวังหรือคิดเอาไว้ว่าราจะได้ คือถ้าถามว่าคำว่าเซ็กซี่สำหรับเรารู้สึกอย่างไร คิดว่ามันอยู่ที่ความเป็นธรรมชาติของแต่ละคน ซึ่งอันนั้นจะแบบไม่มีทางเหมือนกันแน่นอน มันจะต้องไม่มีความพยายามอยู่ในนั้นในความเซ็กซี่ที่มันมาจากข้างในจริงๆ

“เรื่องการดูแลร่างกายก็เช่นเดียวกัน ต้องให้บาลานซ์ ให้สมดุลทั้งภายนอกภายใน จริงๆ มี่ดูแลร่างกายก่อนที่จะป่วยอีกด้วย เพราะว่ามันมีช่วงที่มี่น้ำหนักขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ แรกๆ ก็คิดว่ามันเป็นจากการที่เรากินแล้วเราก็ไม่ออกกำลัง ก็เลยกลับมาดูแลตัวเองในเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย การนอน ทุกอย่าง แต่ว่าน้ำหนักก็ยังไม่ลง แถมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เลยไปพบคุณหมอ ถึงได้รู้ว่ามันมีความผิดปกติของฮอร์โมนตัวสองตัว พอเจาะเลือดดูก็จริงๆ แต่มันยังไม่ทันได้เป็นโรคอะไร กำลังจะเป็น

“ทีนี้ พอเรารู้ทางรู้จุดที่จะเสริมเติมได้ง่ายและถูกต้อง มี่ก็ดูแลเรื่องอาหาร คือเป็นคนชอบกิน เราก็เลือกเวลากิน กลางคืนดึกๆ ตัดใจไม่กินได้ก็จะดี แล้วก็พวกน้ำตาลหรือเกลือและอะไรที่เป็นโซเดียม ก็เลี่ยงเลย หรือหาตัวที่ให้ความเค็มแทนพวกนี้เป็นพืช เราก็เอามาเป็นส่วนผสมอาหาร แล้วให้แม่ทำให้ทาน เวลาไปกองทำงาน หลักๆ ก็จะดูแลเรื่องตรงนี้ เน้นเป็นส่วนๆ ที่เรารู้ว่าเราต้องแก้ไขตรงไหน ส่วนไหนที่พอปล่อยได้บางก็ปล่อย เพราะอาหารก็เป็นสุขภาพจิตอย่างหนึ่งด้วย อาหารอร่อยเราก็แจ่มใส ร่างกายก็แข็งแรง เพราะถ้าเครียดเคร่งเกินไป ก็ไม่ดี ความเครียดเป็นบ่อเกิดของโรคทั้งหมด เป็นตัวกระตุ้นโรคภัยไข้เจ็บทั้งหมด

“ก็ต้องดูแลทำในระดับที่พอดี ที่เรามีความสุข ร่างกายแข็งแรง”
นางเอกสาวกล่าวสรุป ก่อนจะทิ้งท้ายให้แง่คิด

“ในเรื่องครอบครัว การเก็บเงิน มันคือสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว แต่ช่วงวัยรุ่นก็อาจจะมีออกนอกลู่นอกทางบ้าง เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเกิดเราคิดได้เร็ว เราก็จะมีเวลา มีโอกาสมากกว่าคนอื่นที่จะกลับตัวและตั้งตัวได้ไว

“แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่อยากที่จะไม่ออกไปเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้ด้วยตัวเองมันจะได้อะไรๆ ที่ทำให้เรารู้จักชีวิตตัวเอง อย่างมี่ 10 ปีที่เข้ามาอยู่ในวงการ ก็ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา คือหลายๆ คนบอกว่าเราเล่นเก่งแล้ว ดีแล้ว เล่นดรามาได้ดี แต่เรารู้สึกว่ามันยังมีอะไรอีกเยอะมากที่เรายังไม่รู้ ยังจะต้องเรียนรู้ศึกษา คือต่อให้อยู่ไปอีก 10-20 ปีมันก็ยังมีอะไรหลายๆ อย่างที่บางทีเราไม่เคยเจอ อย่างเราเล่นละครมาตลอดแล้วเพิ่งจะมีโอกาสได้เล่นภาพยนตร์ พอไปเวิร์กชอปก็ค่อนข้างยาก เราก็รู้สึกว่าเราใหม่

“นั่นคือการเปิดโลกออกไปเรียนรู้และทดลอง แต่เราก็ต้องรอบคอบระมัดระวัง ที่สำคัญคือคติเตือนใจ กตัญญูกตเวทิตา อย่างที่บอกไป คนที่ดูแลพ่อแม่หรือปูย่าตายายคนในครอบครัว ไม่ว่าจะยังไง ลำบากแค่ไหน มันมักจะมีทางออกให้เราเสมอ ต่อให้มันจะตันแล้ว แย่มากๆ แล้ว เชื่อว่าเดี๋ยวมันจะต้องมีทางให้เราไป พูดง่ายๆ เราทำดี เป็นคนดีทั้งต่อตัวเองและคนอื่น ก็จะทำให้มั่นคงและถาวรในทุกๆ เรื่องทั้งหมด”







เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ig : sammthita และ Fb : แซมมี่ เคาวเวลล์

กำลังโหลดความคิดเห็น