xs
xsm
sm
md
lg

#MGRTOP7 : สอบเค้น “เบนซ์ เรซซิ่ง” | “น้ำตาล” แพงได้ใจ | “ชาวไทยใหม่” ซาบซึ้งพระบารมี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


MGR Online ขอนำเสนอ “Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน” สรุปข่าวเด่น ประเด็นฮอต ที่พลาดไม่ได้ เป็นประจำทาง www.manager.co.th และเฟซบุ๊ก MGROnline Live แฮชแท็ก #MGROnline #MGRTOP7

(สรุปข่าวประจำวันที่ 28 ม.ค. - 3 ก.พ. 2560)

อันดับ 1 : สอบเค้น “เบนซ์ เรซซิ่ง” ถูกแก๊งค้ายาซัดทอด เจ้าตัวลั่นไม่รู้จัก “ท้าวไซซะนะ”

06.00 น. ของวันที่ 2 ก.พ. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ร่วมกับ ป.ป.ส. และ ปปง. ออกปฏิบัติการ “ชัยยะ สยบไพรี 60/2” จู่โจมตรวจค้น “ร้าน area 51” ตั้งอยู่ในธนดลแมนชั่น ภายในซอยอินทามระ 51 ซึ่งเป็นร้านแต่งรถของ เบนซ์ เรซซิ่ง หรือ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช สามีของนางเองสาว “แพท ณปภา ตันตระกูล” หลังจับกุม นายณัฐพล หรือ บอย นาคคำ และ น.ส.อรันญา สิงห์ผงาด สมาชิกเครือข่ายท้าวไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติดชาวลาว ที่ถูกจับกุม และนายบอยให้การซัดทอดว่า นายเบนซ์ เป็นผู้ดูแลเงิน และทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งไม่พบตัวนายเบนซ์ มีเพียงดาราสาวที่อาศัยอยู่ชั้นบนของแมนชั่น กระทั่งเย็นวันเดียวกัน ตำรวจนำรถรถลัมบอร์กินี ทะเบียน กจ 51 กรุงเทพมหานคร ของเบนซ์ มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท หลังได้รับเบาะแสจากพลเมืองดีว่าพบรถคันดังกล่าว

ต่อมาเวลา 15.35 น. วันที่ 3 ก.พ. นายเบนซ์ พร้อมทนายความ เข้าชี้แจงกับตำรวจที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด โดยใช้เวลาสอบปากคำยาวนานกว่า 6 ชั่วโมง กระทั่ง 22.00 น. คืนวันเดียวกัน นายเบนซ์ ยืนยันว่า ตนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แต่เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการซื้อทรัพย์สินบางอย่าง และได้นำหลักฐานมามอบให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจหมดแล้ว ขณะที่ พล.ต.ต.ชาตรี ไพศาลศิลป์ รอง ผบช.ปส. ระบุว่า จากการสอบปากคำ นายเบนซ์ ยืนยันว่า ไม่รู้จักนายไซซะนะ และให้การถึงที่มาของรถลัมบอร์กินี ว่า ได้ยืมเงินสดจากนายบอย เป็นเงิน 6 ล้านบาท เพื่อนำไปดาวน์รถ ภายหลังได้ใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนไปแล้วบางส่วน ซึ่งความสัมพันธ์ของนายบอย และ เบนซ์ สนิทกัน เพราะว่าชอบเรื่องความเร็ว และการแต่งรถ เบื้องต้นจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำข้อมูลที่ได้มาทำการสรุปสำนวนทั้งหมด ในสัปดาห์หน้า

อันดับ 2 : “น้ำตาล” แพงมาก! พลาดมงลงแต่ได้ใจคนไทย

การประกวดมิสยูนิเวิร์ส ประจำปี 2016 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อเช้าวันที่ 30 ม.ค. แม้ว่าสาวงามที่คว้ามงกุฎจะเป็นของ ไอริส มิตเตแนเร สาวงามจากฝรั่งเศสวัย 24 ปี โดยมีรองอันดับหนึ่ง คือ มิสเฮติ และรองอันดับสองเป็นของมิสโคลอมเบีย แต่สำหรับสาวงามหนึ่งเดียวของไทยอย่าง “น้ำตาล - ชลิตา ส่วนเสน่ห์” แม้จะเข้ารอบ 6 คนสุดท้าย แต่ก็ได้ใจจากคนไทยทั้งประเทศไปเต็มๆ เมื่อกรรมการถามคำถามว่า ยกตัวอย่างผู้นำระดับโลกในอดีตหรือปัจจุบันที่คุณชื่นชอบหรือเคารพ และทำไม น้ำตาล กล่าวทักทายและตอบอย่างมั่นใจว่า “สำหรับคนนั้นก็คือ ในหลวงของดิฉันค่ะ ตั้งแต่ดิฉันเกิดมา ก็เห็นท่านทำงานหนักมาตลอด ไม่เคยบ่นแม้แต่น้อย และท่านก็เปรียบเสมือนพ่อของทุกคนในประเทศไทยค่ะ ขอบคุณค่ะ”

น้ำตาล กล่าวเปิดใจหลังกลับมาถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ว่า ดีใจมากที่ครั้งนี้ได้สวมสะพายไทยแลนด์ ไปทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนของประเทศไทย พร้อมกันนี้ ยังรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาอย่างสูงสุดในชีวิต ที่ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงติดตามการประกวดและให้กำลังใจ รวมทั้งช่วงที่ตอบคำถามบนเวทีในรอบ 6 คนสุดท้าย เมื่อได้ยินคำถาม ในใจนึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทุกกิจกรรมตลอดการประกวด น้ำตาลจะนึกถึงพระองค์เสมอ และไหว้พระองค์ก่อนทุกครั้ง ส่วนอนาคตนับจากนี้ จะขอศึกษาให้จบปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ค้างอยู่ก่อน ส่วนอนาคตการทำงานในวงการบันเทิงนั้น ยังไม่แน่นอน หากมีโอกาสก็ขอทำทุกอย่าง เพราะอยากจะช่วยเหลือครอบครัวไปพร้อมๆ กับการทำงาน

อันดับ 3 : ลาออก! “สุพัฒ” รับฉกภาพญี่ปุ่นอ้างเมา

กรณีที่ตำรวจนครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ได้จับกุม นายสุภัฒ สงวนดีกุล วัย 60 ปี รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ขโมยรูปภาพในโรงแรม ก่อนที่อัยการและตำรวจญี่ปุ่นปล่อยตัวเมื่อวันที่ 27 ม.ค. อย่างไรก็ตาม หลัง นายสุภัฒ กลับถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 ม.ค. นายสุภัฒ ส่งอีเมลถึงสื่อมวลชน ชี้แจงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสังสรรค์กับเพื่อนชาวญี่ปุ่น และดื่มสุรามากเกินไป เป็นเหตุให้เมามายจนขาดสติโดยไม่รู้ตัว และกระทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ พร้อมแสดงความรับผิดชอบขอลาออกจากตำแหน่งราชการ น้อมรับการดำเนินการทางวินัย และยินดีให้ความร่วมมือให้ข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่ รวมทั้งขอโทษต่อข้าราชการและประชาชน

ด้าน น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัย ตามที่เสนอ โดยมีผู้แทนกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกรรมการ ประกอบด้วย ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้แทนกระทรวงพาณิชย์เป็นกรรมการ พร้อมระบุว่า โทษของการผิดวินัยร้ายแรง มีโทษอยู่แค่ 2 โทษ คือ ปลดออก กับ ไล่ออก ซึ่งโทษปลดออกจะยังคงได้บำเหน็จบำนาญ แต่ถ้าเป็นโทษไล่ออกจะไม่ได้อะไรเลย

อันดับ 4 : คัดค้าน พ.ร.บ.สื่อ สปท. เปิดช่องอำนาจรัฐแทรกแซง

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน คัดค้านร่างกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ตามที่คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนประเทศด้านการสื่อสารมวลชนฯ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) นำโดย พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร เป็นผู้เสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ การจัดตั้งสภาสื่อมวลชนแห่งชาติ มีคณะกรรมการ 13 คน ประกอบด้วย ตัวแทนจากองค์กรวิชาชีพสื่อ 5 คน ปลัดกระทรวง 4 กระทรวง และกรรมการอื่นๆ รวมทั้งสามารถสั่งปรับและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนได้ ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อบทบาทของสื่อมวลชนในการตรวจสอบอำนาจรัฐ และเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน

อย่างไรก็ตาม แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะออกมาปฏิเสธว่าออกกฎหมายคุมสื่อ แต่เป็นการตั้งสภาวิชาชีพควบคุมเพื่อให้มีจรรยาบรรณ รวมทั้ง พล.อ.อ.คณิต ระบุว่า สื่อต้องมีใบประกอบวิชาชีพเช่นอาชีพอื่น เหมือนวินมอเตอร์ไซค์ที่ต้องมีใบอนุญาต แต่ก็พบว่ามีความไม่ชอบมาพากลในการผลักดันกฎหมาย กระทั่งตัวแทนสื่อที่เข้าไปร่วมเป็นอนุกรรมาธิการอย่าง นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์, นายจักร์กฤษ เพิ่มพูล, นางสุวรรณา สมบัติรักษาสุข และ น.ส.อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ ลาออกเพราะเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.ที่ออกมา ผิดไปจากสิ่งที่เสนอไป อย่างไรก็ตาม นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ระบุว่า ว่า กฎหมายฉบับดังกล่าวจะต้องผ่านคณะกรรมการป.ย.ป.ก่อน ว่าจะมีการจัดลำดับความสำคัญไว้อย่างไร แต่ขณะนี้ยืนยันว่า ยังไม่เป็นกฎหมาย และยังไม่มีการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม สนช. แต่อย่างใด

อันดับ 5 : พระบารมีที่จับต้องได้ “ชาวไทยใหม่” หาดราไวย์เฮ ศาลยกฟ้องนายทุนไล่ที่

แม้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่พระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรยังคงอยู่ไม่จางหายไปไหน เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ศาลจังหวัดภูเก็ตมีคำพิพากษายกฟ้อง กรณีที่ นางบุญศรี ตันติวัฒนวัลลภ กับพวก เจ้าของที่ดินใน ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต เป็นโจทก์ยื่นฟ้องชาวราไวย์ รวม 4 คดี ประเด็นหนึ่งที่มีการพิจารณา คือ พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙) เสด็จประพาสหาดราไวย์ เมื่อปี พ.ศ. 2502 ซึ่งในภาพมีต้นมะพร้าวขนาดใหญ่อยู่ โดยทางโจทก์แจ้งว่า มีการปลูกมะพร้าวประมาณ 10 ปี แต่จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญ ยืนยันว่า ต้นมะพร้าวดังกล่าวมีอายุมาก 30 ปี จึงเป็นข้อขัดแย้ง และข้อพิรุธ นอกจากนั้น ยังมีข้อพิรุธอีกหลายอย่างที่ศาลนำมาประกอบการพิจารณา ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องคดีดังกล่าว เพราะชาวเลมีการใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวมาก่อน



ต่อมาในโลกโซเชียลได้มีการเผยแพร่ภาพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งทรงเยี่ยมราษฎร ที่หมู่บ้านชาวเล หาดราไวย์ เมื่อปี พ.ศ. 2502 จำนวนมาก และต่างรู้สึกปีติ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อราษฎร โดยเฉพาะการเสด็จพระราชดำเนินไปในถิ่นทุรกันดาร โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซึ่งในสมัยนั้นเกาะภูเก็ตบางพื้นที่ความเจริญยังเข้าไปไม่ถึง และยังไม่มีสะพานสารสินเหมือนในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า เป็นภาพที่บันทึกมาจากภาพยนตร์ส่วนพระองค์ ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จประพาสพื้นที่ภาคใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2502

อันดับ 6 : จุดไฟมะกัน! “ทรัมป์” ยกเลิกวีซ่า 7 ชาติผู้นำมุสลิม

หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหาร งดรับผู้ลี้ภัยเข้าประเทศ และระงับการออกวีซาให้แก่พลเมือง 7 ชาติมุสลิม เป็นเวลา 90 วัน ได้แก่ อิหร่าน อิรัก ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน ซีเรีย และ เยเมน เพื่อคัดกรองและต่อต้านลัทธิก่อการร้าย ทำให้เกิดกระแสประท้วงอย่างรุนแรงทั่วโลก ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลาง 4 คนตัดสินใจพิพากษาให้ที่พักพิงแก่ผู้ที่ถูกกักตัวเพื่อเนรเทศ แม้นายทรัมป์จะชี้แจงว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ได้เป็นการแบนมุสลิม แต่เป็นการต่อต้านการก่อการร้ายเพื่อให้อเมริกาปลอดภัยก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่มีทีท่าว่าจะยุติ นายทรัมป์ออกคำสั่งไล่ออกรัฐมนตรียุติธรรม แซลลี เยตส์ หลังสั่งให้เจ้าหน้าที่ในกระทรวงยุติธรรมขัดขืนคำสั่งกีดกันผู้ลี้ภัยและชาวมุสลิมจาก 7 ประเทศ ระบุเหตุผลว่า ได้ทรยศต่อกระทรวง ด้วยการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทางกฎหมายซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องพลเมืองของสหรัฐอเมริกา รวมทั้ง ออกคำสั่งเปลี่ยนตัวรักษาการผู้อำนวยการคนเข้าเมืองและศุลกากรอเมริกา ICE กะทันหัน ถึงกระนั้นความไม่พอใจต่อคำสั่งดังกล่าวรุนแรงมากขึ้น เกิดเหตุจลาจล ทุบกระจกและจุดไฟเผา ในมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียวิทยาเขตเบิร์กลีย์ ระหว่างการประท้วงต่อต้าน มิโล เยียนโนปูลอส นักพูดและบรรณาธิการของเว็บไซต์ขวาจัด ผู้สนับสนุนนายทรัมป์จนมีอันต้องยกเลิกไปแล้ว

อันดับ 7 : KFC ขายสาขาในไทย ผันตัวเป็นผู้ให้บริการแฟรนไชส์

เกิดความเปลี่ยนแปลงในธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟูดที่มีการแข่งขันอย่างหนัก เมื่อวันที่ 30 ม.ค. มีรายงานว่า เคเอฟซี ประเทศไทย ร้านไก่ทอดสไตล์อเมริกัน ที่มีจำนวนสาขามากถึง 586 แห่ง ประกาศหาผู้ที่สนใจเข้ามาซื้อกิจการสาขาของร้านเคเอฟซีที่ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ลงทุนและบริหารทั้งหมด 244 สาขา คาดว่า จะเสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายนนี้ โดยจะผันตัวเองจากเดิมเป็นผู้บริหารและลงทุนขยายสาขา เป็นผู้ให้บริการแฟรนไชส์ ตามนโยบายบริษัทแม่ ทำหน้าที่ดูแลผลิตภัณฑ์และสาขาให้เป็นไปตามมาตรฐาน รวมทั้งปกป้องชื่อเสียงแบรนด์ โดยเป้าหมายที่วางไว้ คือ ปี 2563 มีร้านเคเอฟซี 800 สาขาในไทยยังคงเดิม

เคเอฟซีเข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2527 โดยมี บริษัท เซ็นทรัล เรสเตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) ในกลุ่มเซ็นทรัล ได้รับสิทธิ์เฟรนไชส์เคเอฟซี เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ต่อมา บริษัท เป๊ปซี่โค สหรัฐอเมริกา เข้ามาลงทุนในไทย ภายใต้ชื่อบริษัท ไทรคอน อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) และได้เปลี่ยนชื่อเป็น ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ตั้งแต่ปี 2545 ปัจจุบันร้านเคเอฟซี มี ยัม เรสเทอรองตส์ เป็นเจ้าของ 244 สาขา นอกนั้นเป็นสาขาแฟรนไชส์ ได้แก่ กลุ่มเซ็นทรัล 219 สาขา และบริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลลอปเม้นต์ ของนายแอนดรูว์ เจมส์ นอร์ตัน อดีตผู้บริหารยัม เรสเทอรองตส์ 130 สาขา
กำลังโหลดความคิดเห็น