xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ประพันธ์คำร้อง 5 บทเพลงพระราชนิพนธ์ “ศ.ประเสริฐ ณ นคร” สะท้อนพระอัจฉริยภาพ ร.9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จากท่วงทำนองในบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระราชทานให้กับแวดวงดนตรีไทยมากถึง 48 บทเพลง และนอกเหนือจากนี้ บทเพลงทั้งหมด ก็กลายเป็นแหล่งรวมผู้ประพันธ์คำร้องบทเพลงเหล่านั้น

“ศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร” อดีตนายกราชบัณฑิตยสถาน และอดีตนายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นบุคคลอีกท่านหนึ่งซึ่งได้รับมอบหมายให้ประพันธ์คำร้องในบทเพลงพระราชนิพนธ์ 5 บทเพลง ได้แก่ ‘ชะตาชีวิต’ , ‘ใกล้รุ่ง’, ‘ในดวงใจนิรันดร์’, ‘แว่ว’ และ ‘เกษตรศาสตร์’ ซึ่งนำความซาบซึ้งและเป็นเกียรติประวัติให้กับ “อาจารย์ประเสริฐ” โดยเสมอมา

ข้าราชการหนุ่ม
ผู้เริ่มถวายงานให้กับสมเด็จพระอนุชา

ย้อนไปใน พ.ศ. 2489 อ.ประเสริฐ ในวัย 27 ปี และดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์โทแผนกวิศวกรรม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ (ยศ ณ ขณะนั้น) ทรงได้เข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ในขณะทรงยศเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช พระอนุชาในรัชกาลที่ 8 เพื่อทรงสนทนาในเรื่องของดนตรี ...

“ตอนนั้นผมเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่ว่าก็ได้ทำการสอนเพิ่มอยู่อีก 5 มหาวิทยาลัย คือที่ จุฬาฯ, ม.เกษตรฯ ม.ธรรมศาสตร์ ม.มหิดล และ ม.ศิลปากร พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ในเวลานั้น เป็นเลขาธิการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วผมเป็นผู้ช่วยของท่าน ทีนี้พอท่านจักรฯ ได้เข้าเฝ้าในหลวง ร.9 ในปี 2489 ซึ่ง ณ ตอนนั้นยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระอนุชาฯ ในในหลวงรัชกาลที่ 8 พระองค์ท่านก็ทรงให้ท่านจักรฯ เข้าเฝ้า แล้วก็มีความสงสัยว่า ทำไมพระองค์ท่านถึงแต่งเพลงสากลได้ 20 กว่าเพลง ทั้งๆ ที่ท่านทรงเครื่องดนตรีแทบจะไม่ได้เลย อ่านโน้ตก็ไม่คล่อง แต่ทำไมถึงแต่งเพลงได้ 20 กว่าเพลง แล้วท่านก็ทรงเล่าถึงว่า เมื่อตอนเล็กๆ ที่อยู่ในวัง ท่านทรงโปรดการตีกลอง หรือตีจังหวะอะไรก็ตาม ให้ตรงกับทำนองดนตรีไทยเดิม

“แล้วในช่วงเวลานี้ ในหลวงรัชกาลที่ 8 พระองค์ท่านก็ทรงสนใจเพลงบลูส์ ซึ่งเป็นเพลงของคนผิวสี เพราะมันมีเครื่องเสียงอะไรต่ออะไรด้วย แต่ก็ยังแต่งไม่ได้ ก็จึงให้สมเด็จพระอนุชาพระราชนิพนธ์เพลงแรก ชื่อว่าเพลงแสงเทียน แล้วท่านจักรฯ ก็ทรงแต่งคำร้องเข้าไป แต่ว่าในหลวง ร.9 ทรงไม่โปรด เพราะมันเศร้าเกินไป ซึ่งต่อมาท่านจักรฯ ก็ทรงบอกว่า เพลงบลูส์ ซึ่งเป็นเพลงของคนผิวสีจะสะท้อนถึงความทุกข์เศร้ากับการถูกจับมาเป็นทาส แล้วก็สืบทอดความเศร้าให้กับลูกหลานต่อไป แล้วมันก็ส่งผลตลอดเวลา แต่ในหลวง ร.9 ทรงบอกว่าทายผิด แล้วพระองค์ท่านก็อธิบายว่า ถึงแม้ว่าท่วงทำนองเหล่านี้จะมีความรำพันยังไงก็ตาม แต่ว่าตอนท้ายก็ยังจะสู้อยู่ต่อไป ไม่ยอมแพ้ แต่คำร้องที่ท่านจักรฯ ทรงพระนิพนธ์จะเป็น “ทนทรมานมามากแล้วทรงกราบลา แสงเทียนบูชาลับดับพลัน” ซึ่งคนกลุ่มนั้นเขาไม่ยอมแพ้ เขาจะต้องสู้ต่อไป ก็ให้ท่านจักรฯ กลับไปแก้เนื้อร้อง แต่ปีต่อมา ท่านจักรฯ ก็ไม่ยอมแก้เนื้อ

เริ่มประพันธ์เพลงแรกสุด
ที่ “ใกล้รุ่ง”

เมื่อในหลวง ร.9 ในขณะทรงพระยศเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช ได้ทรงพระนิพนธ์เพลงไปจนถึงเพลงที่ 4 พระองค์ท่านก็ทรงได้มอบหมายให้ท่านจักรฯ ได้ส่งทำนองของเพลง ‘ใกล้รุ่ง’ และการประพันธ์คำร้องของ อ.ประเสริฐ ก็เริ่มต้นด้วยท่วงทำนองของเพลงนี้

“ตอนนั้นที่รับมา เพลงแรกสุดที่แต่งคือ เพลงใกล้รุ่ง ในหลวง ร.9 ก็มารับสั่ง ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสมเด็จพระอนุชา อยู่ ก็ทรงมาถามว่า ใช้เวลาแต่งเท่าไหร่ ผมก็บอกว่า ชั่วโมงกว่าๆ พระองค์ท่านก็ทรงตอบกลับว่า “เร็วดีนะ” ต่อมาหนที่ 2 คือเพลง ในดวงใจนิรันดร์ ซึ่ง ร.9 พระราชนิพนธ์ทำนองและเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ เพราะว่าท่านศึกษาที่เมืองนอก แล้วทรงพระนิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ แล้วพระองค์ท่านก็มาแปลว่าเป็น STILL ON MY MIND ในดวงใจนิรันดร์ จนเสร็จ แล้วพระองค์ท่านก็มารับสั่งถามว่า คำว่าเนาว์ มันแปลว่าอะไร คือในเพลงนี้บอกว่า รักนั้นจักเนาว์แน่นแฟ้นในดวงใจนิรันดร์ ผมก็ตอบกลับไปว่า คำว่าเนาว์ มันเป็นภาษาเขมร แปลว่าอยู่ แล้วอย่างเพลงไทยโบราณ เขาก็บอกว่า หยาดน้ำค้าง ยังเนาว์คงใบบงกช หมายความว่า น้ำค้างอยู่บนใบบัว จนเวลาผ่านไป 3 ปี ผมถึงคิดได้ว่า ที่พระองค์ท่านมาแนะว่าควรจะเปลี่ยนเนื้อนะ เพราะคำนี้คนไทยไม่รู้ ประชาชนทั่วไปไม่รู้ว่าเนาว์แปลว่าอะไร จนเวลาผ่านไปจึงลืมคิดข้อนี้ไป และผมก็ไม่ได้เปลี่ยนเนื้อร้อง

“ทีนี้เพลงต่อมาก็เป็นเพลงชะตาชีวิต H.M. BLUES ในหลวง ร.9 ก็อยู่ที่โลซานน์ และทรงให้ข้าราชบริพารที่อยู่เล่นดนตรีด้วยนั้น พระองค์ท่านก็มีหนึ่งคำถามให้เหล่าข้าราชบริพารทายกันว่า คำว่า “H.M. BLUES” นั้นคืออะไร ถ้าใครทายถูกก็จะได้รับรางวัลอย่างสูง แต่ในระหว่างการทาย ถ้าใครจะตอบคำถาม จะต้องเสียเงินเป็นจำนวน 3 ฟรังก์สวิส แต่ทุกคนไม่มีใครทายถูกเลย เพราะทุกคนจะตอบเหมือนกันว่า H.M. BLUES มาจากคำว่า HIS MAJESTY BLUES เพลงของในหลวง แต่พระองค์ท่านกลับบอกว่า คนที่มาเต้นรำ ก็มาดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ สังสรรค์สบายเลย มีกับแกล้มกิน แต่นักดนตรีในวงท่านเนี่ยหิวโหย ไม่ได้กินอะไรเลย (หัวเราะ) ก็เลยเป็น HUNGRY MAN BLUES

“เมื่อท่านจักรฯ นำเนื้อเพลงและทำนองมาให้ผม ท่านก็ไม่ได้บอกว่าเป็นชื่อ H.M. BLUES ผมในตอนนั้นก็มีเพื่อนที่ฟิลิปปินส์ส่งจดหมายมาบอกว่า เมื่อถึงช่วงพลบค่ำนั้น เขาจะเกลียดมาก เพราะว่าอีกแป๊บเดียวก็มืดแล้ว แล้วชีวิตเขาก็เหมือนกับตัวละครที่หมดสิ้นหน้าที่ลง แต่ว่ารอม่านที่ปิดลงเท่านั้นเอง ผมก็เลยเอามาใส่ในเพลงว่า ท้องฟ้าสายัณห์ตะวันเลือน แสงวันให้เตือน... เพลงสากลมันมี 7 เสียง โด เร มี ไล่ไป แต่เพลงไทยสมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มันมีแค่ 5 เสียง แค่นั้นเอง จนมาถึงเพลงเขมรไทรโยคนี่มันถึงมี 7 เสียง เพิ่มขึ้นมา แล้วในหลวง ร.9 ก็เพิ่มมาอีก ครึ่งเสียง แล้วมันก็เป็นวิวัฒนาการมาอย่างงี้ครับ พอเพลงนี้เพิ่มมาครึ่งเสียง ผมก็ไม่รู้ว่าจะใส่ยังไง ได้ยินเสียงแว่วดังแผ่วมาแต่ไกลไกล ก็จะขึ้นว่า “มาแต่” แล้วตรงครึ่งเสียงนี้ มันไม่มีในเพลงไทยเลย ในหลวง ร.9 ก็นำเข้ามา แล้วเมื่อถึงช่วงบรรเลง ทางวงสุนทราภรณ์ก็นำมาเล่นเพลงนี้ แล้วก็มีเพลงยามเย็น ที่มีช่วงครึ่งเสียงอย่างงี้ด้วย โดยทาง “เอื้อ” (สุนทรสนาน - หัวหน้าวงดนตรีสุนทราภรณ์) เขาบอกว่า คนไทยจะไม่คุ้นกับลักษณะนี้ เลยขอแก้ช่วงนี้ ในหลวง ร.9 ก็ทรงบอกว่าแก้ก็แก้ไป

“พอ 6 ปีต่อมา ในหลวง ร.9 ทรงมีพระปรารภว่า เวลานี้คนไทยสามารถฟังเพลงที่มีครึ่งเสียงได้แล้ว แล้วที่ในหลวง ร.9 ทรงพระนิพนธ์แต่เดิมนั้นดีกว่า ฉะนั้นจึงขอให้กลับไปใช้ของเดิม ก็เลยมาใช้ของเดิม แต่การมีจังหวะครึ่งเสียง ก็ทำให้ผมมีความลำบากเหมือนกัน ตอนที่แต่งคำร้อง (ยิ้ม) เพราะไม่รู้ว่าจะใส่ยังไง ซึ่งถ้าเราใส่ไม่ตรงเสียงแล้ว ตรงที่มีวรรณยุกต์น่ะครับ มันก็จะทำให้ฟังแล้วประมาณเพลงสรรเสริญพระบารมี ที่เดิมว่า ดุจถวายชัย ฉะนี้ กลายเป็นชะนี้ (หัวเราะเบาๆ) ร.6 ก็เลยทรงแก้เป็น ดุจถวายชัย ชโย แทน คือคนไทยมันมีเสียงวรรณยุกต์ และคนไทยไม่ยอมรับเสียงของเพลงสากล แล้วพอใส่เนื้อเข้าไปมันจะไม่เข้า เช่น หอมกลิ่นมาลากระจายดินแดน จะเป็น หอมกลิ่นม้าลากระจายดินแดน เลยกลายเป็นหอมกลิ่นของม้ากับลาแทน (ยิ้ม) ซึ่งถ้าเป็นแบบเดิมก็รับไม่ได้

“แล้วพอเพลงมันมีครึ่งเสียงมา ตอนแรกสุดนั้น ผมก็เข้าใจว่าใส่วรรณยุกต์เสียงเอก ก็เลยไปเอามาจาก “ ล้วน ควันธรรม” เพลงค่ำแล้วในฤดูหนาว ผมก็เอามาใส่ในเพลงชะตาชีวิต ล้วนก็แต่งเพลงกลับว่า นกน้อยนับร้อยบินมา เพื่อให้รู้ว่า แกมาขโมยฉันไป ฉันรู้นะ (หัวเราะเบาๆ) ก็ตามที่บอกน่ะครับว่าจะใส่เสียงเอก แล้วต่อมาก็เอาคำตายไปใส่เป็น ท้องฟ้าสายันต์ตะวันเลือน แสงลับนับเดือนเปรียบชีวิต (ร้อง) ท่านจักรฯ บอกว่า เพลงไทยถ้าใช้คำตายมันจะไม่เพราะ ท่านก็เลยขอแก้ แต่ว่าสำหรับผมเอง ผมคิดว่าคำตายมันเข้ากว่า แต่สุดท้ายท่านจักรฯ ก็ขอแก้ทุกตอน หมดเลย ก็เลยไม่เป็นคำตาย

พระอัจฉริยภาพทางดนตรี
ที่ทุกคนต่างให้การยอมรับ

อย่างที่ทราบกันดีว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระอัจฉริยภาพในด้านดนตรี นั่นจึงทำให้พระองค์ท่านทรงประพันธ์ท่วงทำนองเพลงมากถึง 48 เพลง และเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศ และในระดับวงกว้าง จนคนทั้งโลกต่างให้การยอมรับถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านในศาสตร์แห่งดนตรีนี้

เพราะท่านมีพื้นฐานดนตรีมาตั้งแต่อยู่ที่ยุโรป ทางนั้นเขาให้เด็กเรียนดนตรีคลาสสิก เพลงแจ๊ส แล้วพระองค์ท่านก็ศึกษาหมด แล้วพอมาอยู่เมืองไทย พระองค์ท่านก็ทรงดนตรีไทย จึงทำให้พระองค์ท่านมีพื้นฐานทั้ง 2 ด้าน พระองค์ท่านจึงพร้อมพระราชนิพนธ์เพลงได้ เพราะมีพื้นฐานอยู่ข้างหลัง อย่างเพลงใกล้รุ่ง ที่ผ่านไป 16 ปี ผมเพิ่งมารู้ว่า เพลงนี้คือเพลงศรีนวล คือพระองค์ท่านมีพื้นฐานดีในเพลงไทยเดิม และเพลงคลาสสิก ส่วนการพระราชนิพนธ์เพลง ก็ตามที่ได้บอกไปเมื่อกี้ว่า ท่านจักรฯ ได้ทูลเชิญ ร.8 และ ร.9 แต่งเพลง แต่ในหลวง ร.8 ไม่ยอม ก็เลยให้ ในหลวง ร.9 นิพนธ์ไป

ถึงแม้ว่าโดยส่วนตัวของ อ.ประเสริฐนั้น จะไม่ได้เข้าเฝ้าฯ หรือถวายงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทโดยตรง แต่ในหลวง ร.9 ก็ทรงมีพระปรารภถึง อ.ประเสริฐ อยู่เสมอ และรับรู้ถึงการทำงานของ อ.ประเสริฐ เสมอมา

“ส่วนตัวผมไม่ได้ถวายงานกับพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิดนะครับ แต่จะเป็นการผ่านพระองค์เจ้าจักรพันธ์ฯ มากกว่า แต่ตอนที่ผมเป็นปลัดทบวงมหาวิทยาลัย พระองค์ท่านก็ทรงมีพระอารมณ์ขันแล้วบอกกับท่านจักรฯ ว่า “อ.ประเสริฐเนี่ย ก็ไปเปิดปลัดทบ-วง แล้วนะ” คือพระองค์ท่านก็มีพระอารมณ์ขันไง แล้วสมเด็จพระเทพฯ ก็ทรงบอกว่า ถ้ามีคนมาสอบสัมภาษณ์เข้า ม.เกษตรฯ เนี่ย ก็จะถามว่า คุณหลวงสุวรรณ หวีผมแสกขวาหรือซ้าย คงจะสอบตกกันเยอะเลย เพราะบางคนจะตอบว่าแสกขวาหรือแสกซ้าย แต่จริงๆ แล้วท่านแสกกลาง ซึ่งนี่ก็เป็นอารมณ์ขันของพระองค์ท่าน

“ผมก็สอนหนังสือมาเรื่อยตั้งแต่ 2482 จนกระทั่งเพิ่งเลิกไปเมื่อ 2 ปีก่อนนี่เอง ก็มีลูกศิษย์ประมาณ 20,000 คน จากทั่วประเทศ คือผมสนใจที่จะสอนหนังสืออย่างเดียว แต่ว่าไม่อยากบริหาร แต่พอทำงานปุ๊บ เขาก็ให้ทำหน้าที่บริหารจนผมเกษียณอายุราชการ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผมก็ไม่อยากรักษาการ เพราะว่าถ้าเราไปรักษาการก็เท่ากับไอ้คนที่เขาควรจะเป็นตัวจริงก็จะยังไม่ได้ขึ้น เพราะเราไปรักษาการอยู่อย่างงี้ จนเสร็จแล้ว ผมก็ต้องไปรักษาการเลขาสภาการศึกษา ไปรักษาการรองสภาวิจัยแห่งชาติ และตำแหน่งอื่นๆ เขาก็ตั้งไปเรื่อย ผมก็ต้องบริหารเรื่อยมา แล้วตอนนั้นก็ไปเป็นปลัดทบวงมหาวิทยาลัย แต่ก็มีความภูมิใจที่ได้แต่งคำร้องทั้ง 5 เพลง แต่ว่าโดยส่วนตัว ก็ไม่ได้ไปเข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านเลย ก็จะเป็นการผ่านท่านจักรฯ แต่พระองค์ท่านก็ทรงรับรู้มาตลอด

“ผมคิดว่าจะหาคนที่เปรียบกับพระองค์ท่านไม่ได้เลยนะครับ เพราะอย่างที่พระราชนิพนธ์เพลงทั้ง 48 เพลง หรือว่าตอนที่พระองค์ท่านทรงแซกโซโฟน หรือ ทำนองอะไรก็ตาม อย่างในระดับโลก พวกนักดนตรีที่มาจากต่างประเทศ ก็ได้มาร่วมเล่นดนตรีกับพระองค์ท่าน นอกจากนั้น สถาบันจากต่างประเทศก็ยกให้พระองค์ท่านเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ ซึ่งในตอนนั้น ทวีปเอเชียมีอยู่คนเดียว คือ พระองค์ท่าน สะท้อนได้ว่าพระองค์ท่านทำอะไรก็ตาม ทรงจริงจังและใส่ใจอยู่เสมอ ผมถือว่าพระองค์ท่านเป็นอัจฉริยะในมุมนี้ ถือได้ว่าสมบูรณ์แบบ

ภูมิใจที่ได้รับใช้
ถึงแม้จะไม่ได้ใกล้ชิดก็ตาม
นอกจากในเรื่องดนตรีที่พระองค์ท่านให้ความสนใจแล้ว ในหลวง รัชกาลที่ 9 ก็ยังทรงให้ความสนใจในภาคการเกษตรมากเป็นพิเศษ และยังทรงให้หลักปรัชญา ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ กับคนไทยทุกหมู่เหล่า ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ ก็เป็นแนวคิดที่ อ.ประเสริฐเห็นด้วยอย่างยิ่งกับวิถีชีวิตของคนไทย

“ในฐานะที่ผมอยู่ใน ม.เกษตรศาสตร์ พระองค์ท่านก็ทรงสนใจในด้านเกษตร ทั้งเรื่องหญ้าแฝก หรือ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แล้วอย่างชาวนาไทยก็ทำนาเป็นอยู่อย่างเดียว พอเสร็จหน้านาก็นอนสบายไป พระองค์ท่านก็อยากที่จะให้มีงานทำตลอดปี หรือสมมติว่าข้าวมันล่มในปีนี้ จะทำไง พระองค์ท่านก็ทรงคิดว่าหากมีการทำพืชชนิดอื่นด้วย ปลูกอะไรอื่นๆ ไป หรือมีการเลี้ยงปลาเลี้ยงไก่ให้มันเป็นการเกษตรที่สมบูรณ์หลายอย่าง พระองค์ท่านก็อยากให้เป็นแบบเศรษฐกิจพอเพียง คือปลูกพืชหลายๆ อย่าง อันที่ล่มไป พืชที่ยังอยู่ก็สามารถมีชีวิตต่อไปได้โดยไม่ลำบาก พระองค์ท่านก็เป็นคนนำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามา แล้วก็มีเรื่องหญ้าแฝกที่ช่วยในการรักษาความสมบูรณ์ของที่ดินไว้ อย่างนี้เป็นต้น สรุปคือ ก็สามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุขได้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นยังไง ก็ยังสามารถมีชีวิตอย่างสบายต่อไป

“อย่างที่แม่โจ้ พระองค์ท่านก็ได้รับสั่งว่า ที่นี่ ได้ช่วยเหลือราษฎรอย่างไรบ้างหรือเปล่า ก็ทำให้ที่แม่โจ้ต้องส่งเสริมอาชีพทางการเกษตร แล้วก็แพร่หลายไปมากมาย เพราะในหลวงมารับสั่งเตือนสติไว้ว่า เรามาตั้งสถานศึกษาไว้ที่นี่ แล้วได้ทำประโยชน์อะไรให้กับท้องที่บ้าง ก็เลยทำให้ทางแม่โจ้ได้เผยแพร่ทางการเกษตรออกไป และช่วยในการบำรุงเกี่ยวกับการเกษตรนี่ครับ แพร่หลายและเป็นที่รู้จักของชาวบ้านครับ

ถึงแม้ว่า ในหลวง รัชกาลที่ 9 จะเสด็จสวรรคต แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ท่านทรงมอบให้ไว้ ก็ยังส่งต่อมาให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้น้อมรับพระราชปณิธานทั้งหลาย ซึ่งก็รวมถึงในตัวของ อ.ประเสริฐ ที่ยังคงสืบทอดเจตนารมณ์ของพระองค์ท่านต่อไป

“สำหรับตัวผมเอง คงไปเปรียบเทียบอะไรไม่ได้หรอกครับ เหมือนกับที่มีคนมาถามผมเหมือนกันว่าทำไมผมถึงอายุยืน ผมก็บอกว่าเราทำใจให้เป็นสุข หรือวันนี้ ปัจจุบันนี้ ก็ต้องทำให้ดีที่สุด แล้วเวลาผ่านไป มันก็ต้องดีที่สุด ทุกช่วงเวลาคือดีที่สุด ซึ่งถ้าเราทำอย่างงี้ได้ แล้วเราทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ มันก็จะไม่มีอะไรที่เป็นทุกข์ร้อน เพราะว่าเราได้ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างเต็มที่

“พระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่างทางการเกษตร ก็เป็นมหาราชย์ที่สนพระทัยในด้านเกษตรมากมาย แล้วทรงวางรากฐานให้คนไทยได้สืบต่อ อย่างเศรษฐกิจพอเพียงเป็นต้น ก็เป็นสิ่งที่ประชาชนมีความเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็เป็นหลักการที่ควรดำเนินต่อไปได้”
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี

กำลังโหลดความคิดเห็น