“การที่ประเทศไทยได้ถูกเอ่ยชื่อซ้ำๆๆ ไทยแลนด์ๆๆ หลายครั้ง การได้เอ่ยถึงพระมหากษัตริย์ การได้เอ่ยถึงชุดประจำชาติไทยของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เราจะต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่ในการที่จะขอเพื่อออกรายการทีวีของเขาเพื่อจะพูดประโยคเหล่านี้ แต่นี่คือเราใช้โอกาสในการประกวดนางงามในการบอกเล่าเรื่องราวของประเทศของเรา นั่นคือการประชาสัมพันธ์ประเทศ นั่นคือการบอกเล่าเรื่องราววัฒนธรรมของประเทศไทย ผ่านการประกวดนางงามจักรวาล”
_____________________________________

เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่น้อยครั้งจะเกิดขึ้น สำหรับการประกวด Miss Universe 2016 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในช่วงสายของวันนี้ หลังจากที่ “น้ำตาล-ชลิตา ส่วนเสน่ห์” ตัวแทนสาวงามจากประเทศไทยผ่านเข้ารอบ 13 คนสุดท้ายด้วยคะแนนโหวตท่วมท้น 100 กว่าล้านโหวต และยังสามารถเข้ารอบลึกขึ้นเรื่อยๆ โดยผ่านด่าน 9 คนสุดท้าย ได้มีโอกาสอวดโฉมในชุดราตรีจากการตัดเย็บของแบรนด์ไทย “ASAVA” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากชุดฉลองพระองค์ของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ใช้เวลาตัดเย็บกว่า 5 เดือน ส่งให้เธอผ่านเข้ารอบ 6 คนสุดท้ายมาได้ด้วยเสียงเชียร์แรงใจกระหึ่มทั่วเมืองไทย
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถผ่านเข้ารอบ 3 คนสุดท้ายชิงมงกุฎนางงามจักรวาลคนที่ 65 ได้ ท่ามกลางความเสียใจของพี่น้องชาวไทย แต่กระนั้น ปรากฏการณ์เหล่านี้ก็มีบทเรียนที่สามารถนำมาปรับใช้กับบ้านเมืองเราขณะนี้…

ยุติธรรม โปร่งใส
นิมิตใหม่วงการมิสยูนิเวิร์ส
“ภาพรวมสำหรับการประกวดมิสยูนิเวิร์สปีนี้ ในยุคใหม่ของ IMG ก็คงจะพยายามหากฎเกณฑ์ใหม่ๆ เพื่อมาให้ผู้ชมมีส่วนร่วมมากขึ้น โดยที่ในปีนี้ใช้สื่อโซเชียลเน็ตเวิร์กเข้ามามีส่วนร่วมมากถึงมากที่สุด จะเห็นได้ว่าในจำนวนผู้เข้ารอบ 12 คน บวกด้วยอีก 1 คน จากเสียงโหวตจากผู้ชมทางบ้าน รวมทั้งสิ้นเป็นผู้เข้ารอบทั้งหมด 13 คน
“และในระหว่างการชมไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็นว่ามีการเปิดให้โหวตไปเรื่อยๆ เป็นโหวตแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะนำคะแนนส่วนหนึ่งไปบวกกับคณะกรรมการเพื่อจะคัดเลือกรอบ 9 คน รอบ 6 คน และรอบ 3 คนสุดท้าย” หนุ่ม - ประเสริฐ เจิมจุติธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกวดสาวงามของประเทศไทย เปิดเผยถึงการประกวดมิสยูนิเวิร์สในปีนี้
“เขาใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเยอะขึ้น เพื่อจะให้คนทางบ้านมีส่วนร่วมมากขึ้นและก็มากขึ้น ซึ่งนอกจากเรียกเรตติ้งของรายการ ก็อาจจะเป็นคล้ายๆ การป้องกันความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นด้วย ซึ่งครั้งนี้เป็นอะไรที่ประทับใจมาก ครั้งนี้มีความบริสุทธิ์โปร่งใส เพราะว่าก่อนการประกวดจะจบสิ้นลง ในระหว่างการประกวด เรามักจะได้ยินข่าวลือเยอะมากในปีนี้ อาทิ ข่าวลือว่าประเทศสหรัฐอเมริกาจะเป็นผู้ครอบครองมงกุฎในปีนี้ หรือว่ามิสโคลัมเบียที่ในปีที่แล้วถูก สตีฟ ฮาร์วีย์ พิธีกรประกาศผลผิด ปีนี้อาจจะเอามงกุฎมาคืนให้โคลัมเบียเพื่อให้สมศักดิ์ศรี หรืออย่างที่ว่ากันว่า ประเทศบางประเทศ มีหุ้นส่วน เป็นรีสอร์ต เป็นเจ้าของเวทีสถานที่จัดงานประกวด น่าจะเข้ารอบลึกๆ แล้วก็รวมทั้งเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ที่บางประเทศที่มีสัมพันธ์ไมตรีอันดีกับประเทศสหรัฐอเมริกาน่าจะเข้ารอบเป็นส่วนใหญ่

“แม้กระทั่งประเทศเม็กซิโกเองที่น่าจะเข้ารอบลึกๆ กว่านี้ เพราะว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งจะประกาศขึ้นภาษีอีก 20 เปอร์เซ็นต์สำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศเม็กซิโกเพื่อจะมาสร้างกำแพงกั้นระหว่างพรมแดน เพื่อเป็นการตอบแทน เราก็จะได้ยินข่าวแบบนี้เยอะมาก จนกระทั่งเราก็กลัวว่าการประกวดในปีนี้จะมีการเมือง มีเรื่องลึกลับซับซ้อนซึ่งประชาชนคนดูอย่างเราเข้าไม่ถึง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผลประกวดออกมาเป็นแบบนี้ เราก็เลยรู้สึกสบายใจว่าการประกวดมิสยูนิเวิร์สในยุคที่บริสุทธิ์โปร่งใสได้กลับมาอีกครั้งแล้ว”
ซึ่งการประกวดนางงามจักรวาล (Miss Universe) เป็นการประกวดความงามประจำปี เริ่มจัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2495 โดยแปซิฟิกมิลส์ (Pacific Mills) บริษัทเสื้อผ้าจากแคลิฟอร์เนีย และหลังจากนั้นได้บริหารงานโดย เคย์เซอร์-รอธ (Kayser-Roth) และตามด้วย กัล์ฟแอนด์เวสเทิร์นอินดัสทรีซ์ (Gulf and Western Industries) จนกระทั่งปี พ.ศ. 2539 โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ซื้อกิจการและบริหารงานโดยองค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization) ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2558 ก่อนที่จะขายกิจการองค์กรนางงามจักรวาลให้ William Morris Endeavor (also known as WME) นับเป็นระยะเวลาเกินครึ่งทศวรรษ
“มันมีข่าวอึมครึมอย่างนี้หลายต่อหลายครั้ง แล้วอีกอย่างหนึ่งที่ประทับใจก็คือว่าประเทศมหาอำนาจทางความงามบางประเทศอย่างประเทศเวเนซุเอลา ประเทศโดมินิกัน ประเทศเปอร์โตริโก แม้กระทั่งประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย หลายครั้งประเทศเหล่านี้ยึดพื้นที่จนกระทั่งประเทศอื่นๆ ที่เป็นประเทศเล็กๆ น้อยๆ ไม่สามารถจะก้าวข้ามมาได้เลย ปีนี้ก็เหมือนเป็นนิมิตหมายใหม่ที่ประเทศเล็กๆ ก็ยังสามารถ ถ้าสวยจริง แน่จริง ก็ก้าวผ่านเข้ามาได้ถึงรอบสุดท้าย
“ในความเห็นของเรา คือมีความเป็นกลางมากขึ้นตรงนี้ด้วย อย่างประเทศเวเนซุเอลา คว้ามงกุฎตั้ง 7 ครั้ง ตำแหน่งอันดับรองนี่นับไม่ถ้วนเลย ประเทศสหรัฐอเมริกาเข้าชิงถึง 22 ครั้งแล้วเข้ารอบ นอกจากได้มงกุฎ 8 ครั้ง รวมเป็น 30 ครั้ง ยังมีที่เข้ารอบไม่ได้รับตำแหน่งอีก 29 ครั้ง ปีนี้ก็เลยเป็นปีที่มีความแตกต่าง

“เพราะนิยามความสวยงามไม่มีแบบแผนตายตัว ส่วนตัวคิดว่าจริงๆ แล้วการประกวดนางงามจักรวาลหรือการประกวดนางงามระดับประเทศของบ้านเราก็ดี คงไม่ได้มองกันถึงความงามอย่างเดียวแล้ว การประกวดนางงามสมัยนี้เป็นเหมือนการสมัครงาน เพราะว่า ทันทีที่ได้เป็นนางงามของเวทีใดเวทีหนึ่ง โดยเฉพาะเวทีระดับโลกหรือระดับประเทศ ก็จะต้องมีการเซ็นสัญญา ดังนั้น พอมีการเซ็นสัญญาปุ๊บ นั่นหมายถึงการจะต้องทำงานร่วมกันอีก 365 วันขึ้นไป หรือมากกว่านั้นในบางเวที
“ทางกองประกวดเอง นอกจากหาคนที่สวยรูปร่างดีแล้ว ยังจะต้องหาคนที่มีทัศนคติต่อองค์กรที่ดี ทัศนคติต่อผู้อื่นที่ดี ทัศนคติในการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นที่ดีด้วย ถึงจะทำงานด้วยกันอย่างราบรื่นตลอดระยะเวลา 1 ปี ซึ่งผลการประกวดในครั้งนี้ก็ครบสมบูรณ์”

เลอค่าทั้งกายใจ
คุณค่านางงามที่แท้จริง
ปัจจุบันการแข่งขันจะคัดเลือกสาวงามจากประเทศที่ส่งเข้าประกวด โดยผ่านรอบ Prelimnary ซึ่งคะแนนจากส่วนนี้จะส่งผลต่อการเข้ารอบในวันประกวดจริง โดยจะแยกเป็นคะแนนที่มาจาก การเดินชุดว่ายน้ำ (Swimming Suit Competition), การเดินชุดราตรี (Evening Gown Competition) และการสัมภาษณ์ต่อหน้าคณะกรรมการ โดยเมื่อจบจากรอบนี้ ในวันประกวดจริงจะมีการประกาศผู้ที่ได้คะแนนสะสมจากรอบ Prelimnary ที่สูงสุด 15 อันดับ เพื่อเข้ารอบ 15 คนสุดท้าย (Semifinalist) จากนั้นผู้เข้าประกวดทั้ง 15 คนจะต้องเดินประกวดในชุดว่ายน้ำ เพื่อคัดเข้ารอบ 10 คนต่อไป
และในรอบ 10 คนสุดท้าย จะใช้การเดินชุดราตรีตัดสินผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้าย และผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้าย จะต้องตอบคำถามจากคณะกรรมการ โดยคำถามที่แตกต่างกัน เพื่อคัดเข้ารอบ 3 คนสุดท้าย โดยรอบ 3 คนสุดท้าย จะต้องตอบคำถามจากกรรมการ โดยเป็นคำถามเดียวกัน โดยคะแนนในรอบต่างๆ ที่ผ่านมา จะถูกลบทิ้งไป และเริ่มต้นใหม่ที่การตอบคำถามจากกรรมการ ก่อนที่กรรมการแต่ละคนจะพิจารณาถึงความเหมาะสมในตำแหน่งต่างๆ อีกครั้งจาก Final Look และเป็นผลการตัดสินออกมาว่าใครจะเป็นผู้ครองมงกุฎนางงามจักรวาล
“นั่นคือส่วนหนึ่งที่เขาให้เราดู ยังมีบางส่วนที่เขายังไม่ให้เห็นอีก อย่างเช่นทำไมการประกวดนางงามระดับโลกก็ดีหรือระดับประเทศบ้านเราก็ดี จะต้องมีการเก็บตัวนางงามเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน นั่นเพราะว่าทางกองประกวดต้องศึกษานิสัยใจคอ ไม่ใช่ให้นางงามเที่ยวเฉยๆ แล้วไปถ่าย Tie-in สินค้า ถ่ายสปอนเซอร์ แค่นั้น แต่ทางกองประกวดมีหน้าที่ดูนางงามในระยะยาวๆ ว่าเขาจะทำงานร่วมกับใครได้ ใครที่มีอุปนิสัยพร้อมที่จะทำงานร่วมกับกองประกวด ใครที่มีนิสัยส่วนตัวเข้ากับคนอื่นได้ เขาจะบวกกับรูปร่างหน้าตาแล้วถึงจะออกมาเป็นคนที่เหมาะสมคนนั้น”
จึงได้เห็นการตั้งคำถามที่นอกจากเข้มข้นกว่าปีใดๆ ที่ผ่านมา แต่ยังลึกขึ้น เพื่อให้บรรดาสาวงามฉาดฉายมุมมองความคิด

“จริงๆ แล้ว คำถามในเวทีอย่างนี้ส่วนมากจะไม่อิงการเมืองและศาสนา เพราะมันเป็นเรื่องที่ตอบยาก ตอบไปมันก็ไม่มีทางถูกใจคนทั้งโลก แต่ว่าแปลกที่พอทาง IMG เข้ามา ถือลิขสิทธิ์ต่อจากปีที่แล้วปีแรก กับปีนี้ปีที่สอง คำถามอิงการเมืองตลอด ส่วนตัวคิดว่าอย่างหนึ่ง คำถามทางการเมือง ตอบยาก อาจจะต้องการให้นางงามวัดความฉลาด วัด EQ IQ NQ ของนางงาม จริงๆ แล้วนางงามที่ตอบคำถามได้ดีมากๆ อย่างเช่นนางงามประเทศฟิลิปปินส์ที่ชนะเลิศในปีที่แล้ว ก็ได้คำถามค่อนข้างเกี่ยวเนื่องกับการเมืองและเป็นการเมืองประเทศของเขา แต่เธอสามารถจะตอบคำถามได้อย่างละมุนละม่อมอย่างนักการทูต ตรงนี้คิดว่าเป็นการวัดได้อย่างหนึ่งเหมือนกันว่ามีทัศนคติที่ดี
“ไม่ได้ถามการเมืองแบบเอาเป็นเอาตาย และไม่ได้ถามเพื่อเอาคำตอบของนางงามไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม เพียงต้องการดูว่านางงามคนนี้มีทัศนคติแบบไหน สามารถจะควบคุมสติตัวเองได้ไหม สามารถจะเรียบเรียงคำตอบออกมาได้แบบนักการทูตแค่ไหน เพราะตรงนี้นางงามก็ต้องทำงานเกี่ยวกับไมตรีด้วย พอเป็นนางงามจักรวาลต้องเดินทางไปทั่วโลก”
“ไฮไลต์การประกวดครั้งนี้จึงอยู่ในช่วงท้าย ช่วงการตอบคำถาม 6 คนสุดท้าย เพื่อคัดให้เหลือ 3 คนสุดท้าย ส่วนตัวมองว่าปีนี้เขาไม่ได้ให้นางงามโชว์เต็มที่อย่างที่ผ่านมา ปีนี้ เวลาเดินออกมาที เดิน 3 คน 8 คน นางงามจะไม่มีโอกาสโชว์เดี่ยวๆ เลย ดังนั้นคิดว่าการให้คะแนนทั้งหลายแหล่ บางส่วนน่าจะเก็บตั้งแต่รอบ Semi-finalist แล้ว รอบนี้ก็เลยเป็นรอบการโชว์อย่างเดียว ไฮไลต์ก็เลยตกมาอยู่ที่คำถามของนางงามทั้ง 6 คน ด้วยคำถามที่ค่อนข้างจะยากทั้ง 6 คน ซึ่งจากมุมมองคำถามถือว่ายากมาก
“ส่วนตัวคิดว่าทั้ง 6 คน ล้วนแต่ตอบคำถามได้ดี มากน้อยแตกต่างกัน สำหรับเรา คนที่ตอบคำถามได้ดีที่สุดคือมิสโคลัมเบีย คนนี้ได้คำถามที่ค่อนข้างจะยาก ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการเมืองในประเทศของเธอ แต่คิดว่าต้องเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากถึงตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาแล้วก็ตอบคำถามแบบที่ว่าถูกใจคนทั้งประเทศ แต่อาจจะไม่ถูกใจประธานาธิบดีของเธอ แต่เธอกล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีต่อหน้าการถ่ายทอดสดที่มีผู้ชมเป็นพันล้านคน ตรงนี้เป็นความสุดยอดของผู้หญิงคนหนึ่งเลยที่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ซื่อตรงต่อตัวเอง และพูดสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดไปแบบตรงไปตรงมา”


ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่าเพราะทั้งสีหน้าแววตา น้ำเสียง รวมไปถึงกระบวนการวิธีแก้ไขที่นอกจากจะตอบคำถามแล้วยังได้กล่าวถึงกระบวนการแก้ไขเสนอแนะ ส่งให้เธอเข้าสู่รอบ 3 คนสุดท้ายอย่างไร้ข้อกังขา
“ให้ทุกๆ คนร่วมมือกัน เธอเสนอวิธีการแก้ไขโดยที่มีความต้องการแบบนั้นจริงๆ ของเธอ ดูจากแววตา สีหน้า เรามีความรู้สึกว่าเธออยากให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ดูแล้วคล้อยตาม ไม่ต่างจากน้องน้ำตาล น้องน้ำตาลก็ได้คำถามที่ยากมากเหมือนกัน คำถามถึงผู้นำที่เธอนับถือยกย่อง ส่วนตัวคิดว่าคำถามแบบนี้ตอบแบบไหนก็ไม่ถูกใจ จะตอบว่าผู้นำทหารหรือว่าจะตอบผู้นำอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังไม่ใช่ จะตอบแบบผู้นำผู้หญิงในประเทศอื่นๆ ก็ยังไม่ใช่ ตอบผู้นำประเทศฟิลิปปินส์เอง โรดรีโก ดูแตร์เต ตอบคนไหนไม่มีทางถูกใจ
“คิดว่าน้องก็เลยตอบคนที่เธอเทิดทูนที่สุดในชีวิต ไหนๆ ก็จะตอบแล้วกรรมการก็คงไม่ถูกใจ ถ้าเธอจะเลือกคนใดคนหนึ่งมา แต่เธอขอเลือกคนที่คนไทยทั้งประเทศรักและรวมไปถึงตัวเธอเองรัก ครอบครัวเธอ พูดชื่อขึ้นมาเนี่ย เรารู้สึกว่าโอเคเลย แม้จะไม่ตรงคำถาม แต่ว่ามันตรงกับใจคนฟังทั้ง 70 ล้านคนในประเทศไทย ตรงนี้น้องก็มีความเป็นนักการทูตในตัวเอง คือฟังแล้วรู้เลย คำถามที่น้องตอบออกไปมันทัชชิ่ง จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะเอ่ยพระนาม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ต่อหน้าคนพันล้านคน มันเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่เธอสามารถทำได้ พูดออกมา แม้หลายคนอาจจะมองว่าตอบไม่ตรงคำถาม แต่ส่วนตัวเลือกตอบแบบไหนก็คงไม่ถูกใจใครทั้งหมด แต่น้องเลือกตอบพระองค์ท่าน คนที่น้องรัก คนที่คนไทยทั้งประเทศรักออกมา ตรงนี้มันได้ใจ 70 ล้านดวง ที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด”

“ทูตวัฒนธรรม”
ส่งสารที่ดีงามให้โลกรู้จัก
นับตั้งแต่ พ.ศ. 2508 (ค.ศ.1965) “ปุ๊ก-อาภัสรา หงสกุล” ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าประกวดนางงามจักรวาล ที่เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับรางวัลชนะเลิศมาครอง สวมมงกุฎนางงามจักรวาลคนแรกของประเทศไทย และเป็นนางงามจักรวาลคนที่ 14 ของโลก เป็นเวลาถึง 24 ปีต่อมา ประเทศไทยถึงได้มีโอกาสอย่างนั้นอีกครั้ง จากการเข้าประกวดของ “ปุ๋ย-ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” ซึ่งนับเป็นสาวงามจากประเทศไทยที่ครองมงกุฎนางงามจักรวาลเป็นคนที่ 2 ได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ.1988) ที่เมืองไทเป ประเทศไต้หวัน
“29 ปีที่แล้วคือครั้งสุดท้ายที่นางงามจากประเทศไทยบ้านเราได้จับไมค์ตอบคำถาม ผ่านมาอีก 29 ปี ถึงได้มี “น้ำตาล-ชลิตา ส่วนเสน่ห์” จับไมค์แล้วตอบคำถาม ส่วนตัวคิดว่าตรงนี้ก็ถือเป็นความประทับใจแล้ว ซึ่งน้องก็ทำได้ดีที่สุดแล้ว ถือว่าดีที่สุด” หนุ่ม - ประเสริฐ เผยด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า นั่นเพราะนอกจากความมุ่งมั่นตั้งใจของสางงามบ้านเรา พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วนยังช่วยเสริมส่งกันและกันให้เกิดขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นความประทับใจเหนือสิ่งอื่นใด
“เพราะทุกประเทศในโลกนี้ก็พยายามจะหานางงามที่เหมาะสมที่สุดเพื่อจะส่งไปประกวดนางงามจักรวาลหรือเวทีอื่นๆ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศ เราก็ต้องหาคนที่เหมาะสมที่สุด ทุกๆ เวทีทำเหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าสำหรับปีนี้เป็นปีที่โชคดี ที่บุคลากรในวงการแฟชั่นโอบอุ้มแล้วก็ช่วยเหลือ เป็นกำลังสำคัญในการที่ทำให้น้องดูโดดเด่นในทุกๆ วัน ถึงขั้นติดกระแสนิยมในทุกๆ โพสต์ของทุกๆ ประเทศ


“แล้วอีกสิ่งหนึ่ง คิดว่าทางกองประกวดของบ้านเราหาก็คือ หาคนที่มีความมุ่งมั่น เพราะว่าการเป็นนางงาม พอได้ตำแหน่งแล้วไม่ใช่นั่งรอวันๆ ว่าเมื่อไหร่ต้องเดินทางไปประกวด ไม่ใช่ แต่เราจะต้องมีการเทรนนิ่ง เข้าแคมป์เพื่อจะโค้ชและเทรน นางงามเองก็จะต้องมีวินัย รักในการเรียนรู้และต้องมีทัศนคติที่ดีในการที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ แล้วก็ต้องอดทน ที่บอกว่าต้องอดทน เพราะการตัดชุดเสื้อผ้าชุดหนึ่ง ไม่ใช่ว่าวัดตัวเสร็จแล้วอีกสามวันมารับ ไมใช่
“มันจะต้องมีการฟิตติ้ง มีการลองผิดลองถูก มีการซ้อมหรือแม้กระทั่งการแต่งหน้าก็ดี กว่าน้องจะแต่งออกมาได้แบบนี้ ก็ต้องมาลองผิดลองถูกหลายครั้ง เมกอัพอาร์ทิสต์ต้องออกแบบสไตล์การแต่งหน้าหลายต่อหลายครั้ง แล้วก็ถ่ายภาพหลายต่อหลายครั้ง เพื่อจะหาจุดที่ดีที่สุด มุมที่ดีที่สุดของน้องออกมา เพื่อจะหารูปแบบที่ดีที่สุดออกมา เสนอต่อสาธารณชน น้องเองก็ต้องมีความอดทนเหมือนกัน ดังนั้น กองประกวดก็ต้องหาบุคคลแบบนี้ที่พร้อมจะทุ่มเมให้กับงานของกองประกวด งานของชาติ
“ครั้งนี้ เราหลอมรวมใจเราทั้งหมดเข้าด้วยกัน นอกจากความสามารถของน้อง เราผ่านมาได้เพราะเกิดการประสานงานของทุกฝ่าย ตรงนี้คงต้องใช้คำว่าวาระแห่งชาติ เพราะว่าน้องผ่านเข้ามาเป็นคนที่ 13 นั่นคือการผ่านเข้ารอบแบบการโหวต น้องไม่ได้ถูกคัดเลือกจากรรมการเหมือน 12 คนแรก น้องผ่านมาด้วย 1 เสียงสุดท้ายของทุกๆ คน ไม่ใช่เฉพาะแฟนนางงาม แต่เป็นคนไทยทุกๆ คนที่ส่งกำลังใจด้วยพลังงานด้านบวกให้น้อง ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม ทุกคนมองว่านี่เป็นวาระแห่งชาติ
“แล้วทำไมการประกวดนางงามถึงต้องสำคัญขนาดนั้น การประกวดนางงามไม่ได้สำคัญแค่ผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นไปเดินแล้วได้ตำแหน่งกลับมา แต่ว่าในอีเวนต์แบบนี้ อีเวนต์ที่มีคนดู อยู่ที่ฮอลล์ประมาณหนึ่ง แต่ว่ามีการถ่ายทอดไปหลายสิบประเทศทั่วโลก รวมถึงจำนวนคนดูเป็นพันล้านคนที่ดูการถ่ายทอดสดเมื่อเช้านี้ การที่ประเทศไทยได้ถูกเอ่ยชื่อซ้ำๆๆ ไทยแลนด์ๆๆ หลายครั้ง การได้เอ่ยถึงพระมหากษัตริย์ การได้เอ่ยถึงชุดประจำชาติไทยของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เราจะต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่ในการขอเพื่อออกรายการทีวีของเขาเพื่อจะพูดประโยคเหล่านี้ แต่นี่คือเราใช้โอกาสในการประกวดนางงามในการบอกเล่าเรื่องราวของประเทศของเรา นั่นคือการประชาสัมพันธ์ประเทศ นั่นคือการบอกเล่าเรื่องราววัฒนธรรมของประเทศไทย ผ่านการประกวดนางงามจักรวาล
“น้องก็ทำออกมาได้ไม่ผิดหวัง อย่างเช่นสื่อต่างๆ เต็มหน้าฟีดโลกออนไลน์ คนที่รักน้องและชื่นชมน้อง อย่างหนึ่งต้องบอกเลยว่า หนึ่ง น้องเป็นคนกตัญญู น้องจะพูดถึงคุณแม่น้องตลอดเวลา แม้กระทั่งในวีทีอาร์น้องไม่ได้ถ่ายกับใครคนอื่นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวส่วนตัว น้องกลับนำเสนอเรื่องคุณแม่ ซึ่งอาจจะเป็นไอดอลของน้องเองมานำเสนอ ซึ่งตอกย้ำความเป็นวัฒนธรรมบ้านเรา คือคนไทยเราอ้าแขนรับและเราพร้อมรับคนที่มีความกตัญญูเป็นที่ตั้ง น้องนำเสนอแบบนี้ เราสัมผัสได้ถึงความน่ารัก จิตใจที่งดงามของน้อง จากความงดงามของเรือนกายแบบไทยๆ แม้ไม่ได้มงกุฎ แต่ได้ใจคนไทยทั้งประเทศ”


เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : เพจเฟซบุ๊ก MissUniverse
_____________________________________
เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่น้อยครั้งจะเกิดขึ้น สำหรับการประกวด Miss Universe 2016 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในช่วงสายของวันนี้ หลังจากที่ “น้ำตาล-ชลิตา ส่วนเสน่ห์” ตัวแทนสาวงามจากประเทศไทยผ่านเข้ารอบ 13 คนสุดท้ายด้วยคะแนนโหวตท่วมท้น 100 กว่าล้านโหวต และยังสามารถเข้ารอบลึกขึ้นเรื่อยๆ โดยผ่านด่าน 9 คนสุดท้าย ได้มีโอกาสอวดโฉมในชุดราตรีจากการตัดเย็บของแบรนด์ไทย “ASAVA” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากชุดฉลองพระองค์ของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ใช้เวลาตัดเย็บกว่า 5 เดือน ส่งให้เธอผ่านเข้ารอบ 6 คนสุดท้ายมาได้ด้วยเสียงเชียร์แรงใจกระหึ่มทั่วเมืองไทย
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถผ่านเข้ารอบ 3 คนสุดท้ายชิงมงกุฎนางงามจักรวาลคนที่ 65 ได้ ท่ามกลางความเสียใจของพี่น้องชาวไทย แต่กระนั้น ปรากฏการณ์เหล่านี้ก็มีบทเรียนที่สามารถนำมาปรับใช้กับบ้านเมืองเราขณะนี้…
ยุติธรรม โปร่งใส
นิมิตใหม่วงการมิสยูนิเวิร์ส
“ภาพรวมสำหรับการประกวดมิสยูนิเวิร์สปีนี้ ในยุคใหม่ของ IMG ก็คงจะพยายามหากฎเกณฑ์ใหม่ๆ เพื่อมาให้ผู้ชมมีส่วนร่วมมากขึ้น โดยที่ในปีนี้ใช้สื่อโซเชียลเน็ตเวิร์กเข้ามามีส่วนร่วมมากถึงมากที่สุด จะเห็นได้ว่าในจำนวนผู้เข้ารอบ 12 คน บวกด้วยอีก 1 คน จากเสียงโหวตจากผู้ชมทางบ้าน รวมทั้งสิ้นเป็นผู้เข้ารอบทั้งหมด 13 คน
“และในระหว่างการชมไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็นว่ามีการเปิดให้โหวตไปเรื่อยๆ เป็นโหวตแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะนำคะแนนส่วนหนึ่งไปบวกกับคณะกรรมการเพื่อจะคัดเลือกรอบ 9 คน รอบ 6 คน และรอบ 3 คนสุดท้าย” หนุ่ม - ประเสริฐ เจิมจุติธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกวดสาวงามของประเทศไทย เปิดเผยถึงการประกวดมิสยูนิเวิร์สในปีนี้
“เขาใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเยอะขึ้น เพื่อจะให้คนทางบ้านมีส่วนร่วมมากขึ้นและก็มากขึ้น ซึ่งนอกจากเรียกเรตติ้งของรายการ ก็อาจจะเป็นคล้ายๆ การป้องกันความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นด้วย ซึ่งครั้งนี้เป็นอะไรที่ประทับใจมาก ครั้งนี้มีความบริสุทธิ์โปร่งใส เพราะว่าก่อนการประกวดจะจบสิ้นลง ในระหว่างการประกวด เรามักจะได้ยินข่าวลือเยอะมากในปีนี้ อาทิ ข่าวลือว่าประเทศสหรัฐอเมริกาจะเป็นผู้ครอบครองมงกุฎในปีนี้ หรือว่ามิสโคลัมเบียที่ในปีที่แล้วถูก สตีฟ ฮาร์วีย์ พิธีกรประกาศผลผิด ปีนี้อาจจะเอามงกุฎมาคืนให้โคลัมเบียเพื่อให้สมศักดิ์ศรี หรืออย่างที่ว่ากันว่า ประเทศบางประเทศ มีหุ้นส่วน เป็นรีสอร์ต เป็นเจ้าของเวทีสถานที่จัดงานประกวด น่าจะเข้ารอบลึกๆ แล้วก็รวมทั้งเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ที่บางประเทศที่มีสัมพันธ์ไมตรีอันดีกับประเทศสหรัฐอเมริกาน่าจะเข้ารอบเป็นส่วนใหญ่
“แม้กระทั่งประเทศเม็กซิโกเองที่น่าจะเข้ารอบลึกๆ กว่านี้ เพราะว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งจะประกาศขึ้นภาษีอีก 20 เปอร์เซ็นต์สำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศเม็กซิโกเพื่อจะมาสร้างกำแพงกั้นระหว่างพรมแดน เพื่อเป็นการตอบแทน เราก็จะได้ยินข่าวแบบนี้เยอะมาก จนกระทั่งเราก็กลัวว่าการประกวดในปีนี้จะมีการเมือง มีเรื่องลึกลับซับซ้อนซึ่งประชาชนคนดูอย่างเราเข้าไม่ถึง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผลประกวดออกมาเป็นแบบนี้ เราก็เลยรู้สึกสบายใจว่าการประกวดมิสยูนิเวิร์สในยุคที่บริสุทธิ์โปร่งใสได้กลับมาอีกครั้งแล้ว”
ซึ่งการประกวดนางงามจักรวาล (Miss Universe) เป็นการประกวดความงามประจำปี เริ่มจัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2495 โดยแปซิฟิกมิลส์ (Pacific Mills) บริษัทเสื้อผ้าจากแคลิฟอร์เนีย และหลังจากนั้นได้บริหารงานโดย เคย์เซอร์-รอธ (Kayser-Roth) และตามด้วย กัล์ฟแอนด์เวสเทิร์นอินดัสทรีซ์ (Gulf and Western Industries) จนกระทั่งปี พ.ศ. 2539 โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ซื้อกิจการและบริหารงานโดยองค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization) ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2558 ก่อนที่จะขายกิจการองค์กรนางงามจักรวาลให้ William Morris Endeavor (also known as WME) นับเป็นระยะเวลาเกินครึ่งทศวรรษ
“มันมีข่าวอึมครึมอย่างนี้หลายต่อหลายครั้ง แล้วอีกอย่างหนึ่งที่ประทับใจก็คือว่าประเทศมหาอำนาจทางความงามบางประเทศอย่างประเทศเวเนซุเอลา ประเทศโดมินิกัน ประเทศเปอร์โตริโก แม้กระทั่งประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย หลายครั้งประเทศเหล่านี้ยึดพื้นที่จนกระทั่งประเทศอื่นๆ ที่เป็นประเทศเล็กๆ น้อยๆ ไม่สามารถจะก้าวข้ามมาได้เลย ปีนี้ก็เหมือนเป็นนิมิตหมายใหม่ที่ประเทศเล็กๆ ก็ยังสามารถ ถ้าสวยจริง แน่จริง ก็ก้าวผ่านเข้ามาได้ถึงรอบสุดท้าย
“ในความเห็นของเรา คือมีความเป็นกลางมากขึ้นตรงนี้ด้วย อย่างประเทศเวเนซุเอลา คว้ามงกุฎตั้ง 7 ครั้ง ตำแหน่งอันดับรองนี่นับไม่ถ้วนเลย ประเทศสหรัฐอเมริกาเข้าชิงถึง 22 ครั้งแล้วเข้ารอบ นอกจากได้มงกุฎ 8 ครั้ง รวมเป็น 30 ครั้ง ยังมีที่เข้ารอบไม่ได้รับตำแหน่งอีก 29 ครั้ง ปีนี้ก็เลยเป็นปีที่มีความแตกต่าง
“เพราะนิยามความสวยงามไม่มีแบบแผนตายตัว ส่วนตัวคิดว่าจริงๆ แล้วการประกวดนางงามจักรวาลหรือการประกวดนางงามระดับประเทศของบ้านเราก็ดี คงไม่ได้มองกันถึงความงามอย่างเดียวแล้ว การประกวดนางงามสมัยนี้เป็นเหมือนการสมัครงาน เพราะว่า ทันทีที่ได้เป็นนางงามของเวทีใดเวทีหนึ่ง โดยเฉพาะเวทีระดับโลกหรือระดับประเทศ ก็จะต้องมีการเซ็นสัญญา ดังนั้น พอมีการเซ็นสัญญาปุ๊บ นั่นหมายถึงการจะต้องทำงานร่วมกันอีก 365 วันขึ้นไป หรือมากกว่านั้นในบางเวที
“ทางกองประกวดเอง นอกจากหาคนที่สวยรูปร่างดีแล้ว ยังจะต้องหาคนที่มีทัศนคติต่อองค์กรที่ดี ทัศนคติต่อผู้อื่นที่ดี ทัศนคติในการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นที่ดีด้วย ถึงจะทำงานด้วยกันอย่างราบรื่นตลอดระยะเวลา 1 ปี ซึ่งผลการประกวดในครั้งนี้ก็ครบสมบูรณ์”
เลอค่าทั้งกายใจ
คุณค่านางงามที่แท้จริง
ปัจจุบันการแข่งขันจะคัดเลือกสาวงามจากประเทศที่ส่งเข้าประกวด โดยผ่านรอบ Prelimnary ซึ่งคะแนนจากส่วนนี้จะส่งผลต่อการเข้ารอบในวันประกวดจริง โดยจะแยกเป็นคะแนนที่มาจาก การเดินชุดว่ายน้ำ (Swimming Suit Competition), การเดินชุดราตรี (Evening Gown Competition) และการสัมภาษณ์ต่อหน้าคณะกรรมการ โดยเมื่อจบจากรอบนี้ ในวันประกวดจริงจะมีการประกาศผู้ที่ได้คะแนนสะสมจากรอบ Prelimnary ที่สูงสุด 15 อันดับ เพื่อเข้ารอบ 15 คนสุดท้าย (Semifinalist) จากนั้นผู้เข้าประกวดทั้ง 15 คนจะต้องเดินประกวดในชุดว่ายน้ำ เพื่อคัดเข้ารอบ 10 คนต่อไป
และในรอบ 10 คนสุดท้าย จะใช้การเดินชุดราตรีตัดสินผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้าย และผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้าย จะต้องตอบคำถามจากคณะกรรมการ โดยคำถามที่แตกต่างกัน เพื่อคัดเข้ารอบ 3 คนสุดท้าย โดยรอบ 3 คนสุดท้าย จะต้องตอบคำถามจากกรรมการ โดยเป็นคำถามเดียวกัน โดยคะแนนในรอบต่างๆ ที่ผ่านมา จะถูกลบทิ้งไป และเริ่มต้นใหม่ที่การตอบคำถามจากกรรมการ ก่อนที่กรรมการแต่ละคนจะพิจารณาถึงความเหมาะสมในตำแหน่งต่างๆ อีกครั้งจาก Final Look และเป็นผลการตัดสินออกมาว่าใครจะเป็นผู้ครองมงกุฎนางงามจักรวาล
“นั่นคือส่วนหนึ่งที่เขาให้เราดู ยังมีบางส่วนที่เขายังไม่ให้เห็นอีก อย่างเช่นทำไมการประกวดนางงามระดับโลกก็ดีหรือระดับประเทศบ้านเราก็ดี จะต้องมีการเก็บตัวนางงามเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน นั่นเพราะว่าทางกองประกวดต้องศึกษานิสัยใจคอ ไม่ใช่ให้นางงามเที่ยวเฉยๆ แล้วไปถ่าย Tie-in สินค้า ถ่ายสปอนเซอร์ แค่นั้น แต่ทางกองประกวดมีหน้าที่ดูนางงามในระยะยาวๆ ว่าเขาจะทำงานร่วมกับใครได้ ใครที่มีอุปนิสัยพร้อมที่จะทำงานร่วมกับกองประกวด ใครที่มีนิสัยส่วนตัวเข้ากับคนอื่นได้ เขาจะบวกกับรูปร่างหน้าตาแล้วถึงจะออกมาเป็นคนที่เหมาะสมคนนั้น”
จึงได้เห็นการตั้งคำถามที่นอกจากเข้มข้นกว่าปีใดๆ ที่ผ่านมา แต่ยังลึกขึ้น เพื่อให้บรรดาสาวงามฉาดฉายมุมมองความคิด
“จริงๆ แล้ว คำถามในเวทีอย่างนี้ส่วนมากจะไม่อิงการเมืองและศาสนา เพราะมันเป็นเรื่องที่ตอบยาก ตอบไปมันก็ไม่มีทางถูกใจคนทั้งโลก แต่ว่าแปลกที่พอทาง IMG เข้ามา ถือลิขสิทธิ์ต่อจากปีที่แล้วปีแรก กับปีนี้ปีที่สอง คำถามอิงการเมืองตลอด ส่วนตัวคิดว่าอย่างหนึ่ง คำถามทางการเมือง ตอบยาก อาจจะต้องการให้นางงามวัดความฉลาด วัด EQ IQ NQ ของนางงาม จริงๆ แล้วนางงามที่ตอบคำถามได้ดีมากๆ อย่างเช่นนางงามประเทศฟิลิปปินส์ที่ชนะเลิศในปีที่แล้ว ก็ได้คำถามค่อนข้างเกี่ยวเนื่องกับการเมืองและเป็นการเมืองประเทศของเขา แต่เธอสามารถจะตอบคำถามได้อย่างละมุนละม่อมอย่างนักการทูต ตรงนี้คิดว่าเป็นการวัดได้อย่างหนึ่งเหมือนกันว่ามีทัศนคติที่ดี
“ไม่ได้ถามการเมืองแบบเอาเป็นเอาตาย และไม่ได้ถามเพื่อเอาคำตอบของนางงามไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม เพียงต้องการดูว่านางงามคนนี้มีทัศนคติแบบไหน สามารถจะควบคุมสติตัวเองได้ไหม สามารถจะเรียบเรียงคำตอบออกมาได้แบบนักการทูตแค่ไหน เพราะตรงนี้นางงามก็ต้องทำงานเกี่ยวกับไมตรีด้วย พอเป็นนางงามจักรวาลต้องเดินทางไปทั่วโลก”
“ไฮไลต์การประกวดครั้งนี้จึงอยู่ในช่วงท้าย ช่วงการตอบคำถาม 6 คนสุดท้าย เพื่อคัดให้เหลือ 3 คนสุดท้าย ส่วนตัวมองว่าปีนี้เขาไม่ได้ให้นางงามโชว์เต็มที่อย่างที่ผ่านมา ปีนี้ เวลาเดินออกมาที เดิน 3 คน 8 คน นางงามจะไม่มีโอกาสโชว์เดี่ยวๆ เลย ดังนั้นคิดว่าการให้คะแนนทั้งหลายแหล่ บางส่วนน่าจะเก็บตั้งแต่รอบ Semi-finalist แล้ว รอบนี้ก็เลยเป็นรอบการโชว์อย่างเดียว ไฮไลต์ก็เลยตกมาอยู่ที่คำถามของนางงามทั้ง 6 คน ด้วยคำถามที่ค่อนข้างจะยากทั้ง 6 คน ซึ่งจากมุมมองคำถามถือว่ายากมาก
“ส่วนตัวคิดว่าทั้ง 6 คน ล้วนแต่ตอบคำถามได้ดี มากน้อยแตกต่างกัน สำหรับเรา คนที่ตอบคำถามได้ดีที่สุดคือมิสโคลัมเบีย คนนี้ได้คำถามที่ค่อนข้างจะยาก ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการเมืองในประเทศของเธอ แต่คิดว่าต้องเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากถึงตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาแล้วก็ตอบคำถามแบบที่ว่าถูกใจคนทั้งประเทศ แต่อาจจะไม่ถูกใจประธานาธิบดีของเธอ แต่เธอกล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีต่อหน้าการถ่ายทอดสดที่มีผู้ชมเป็นพันล้านคน ตรงนี้เป็นความสุดยอดของผู้หญิงคนหนึ่งเลยที่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ซื่อตรงต่อตัวเอง และพูดสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดไปแบบตรงไปตรงมา”
ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่าเพราะทั้งสีหน้าแววตา น้ำเสียง รวมไปถึงกระบวนการวิธีแก้ไขที่นอกจากจะตอบคำถามแล้วยังได้กล่าวถึงกระบวนการแก้ไขเสนอแนะ ส่งให้เธอเข้าสู่รอบ 3 คนสุดท้ายอย่างไร้ข้อกังขา
“ให้ทุกๆ คนร่วมมือกัน เธอเสนอวิธีการแก้ไขโดยที่มีความต้องการแบบนั้นจริงๆ ของเธอ ดูจากแววตา สีหน้า เรามีความรู้สึกว่าเธออยากให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ดูแล้วคล้อยตาม ไม่ต่างจากน้องน้ำตาล น้องน้ำตาลก็ได้คำถามที่ยากมากเหมือนกัน คำถามถึงผู้นำที่เธอนับถือยกย่อง ส่วนตัวคิดว่าคำถามแบบนี้ตอบแบบไหนก็ไม่ถูกใจ จะตอบว่าผู้นำทหารหรือว่าจะตอบผู้นำอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังไม่ใช่ จะตอบแบบผู้นำผู้หญิงในประเทศอื่นๆ ก็ยังไม่ใช่ ตอบผู้นำประเทศฟิลิปปินส์เอง โรดรีโก ดูแตร์เต ตอบคนไหนไม่มีทางถูกใจ
“คิดว่าน้องก็เลยตอบคนที่เธอเทิดทูนที่สุดในชีวิต ไหนๆ ก็จะตอบแล้วกรรมการก็คงไม่ถูกใจ ถ้าเธอจะเลือกคนใดคนหนึ่งมา แต่เธอขอเลือกคนที่คนไทยทั้งประเทศรักและรวมไปถึงตัวเธอเองรัก ครอบครัวเธอ พูดชื่อขึ้นมาเนี่ย เรารู้สึกว่าโอเคเลย แม้จะไม่ตรงคำถาม แต่ว่ามันตรงกับใจคนฟังทั้ง 70 ล้านคนในประเทศไทย ตรงนี้น้องก็มีความเป็นนักการทูตในตัวเอง คือฟังแล้วรู้เลย คำถามที่น้องตอบออกไปมันทัชชิ่ง จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะเอ่ยพระนาม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ต่อหน้าคนพันล้านคน มันเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่เธอสามารถทำได้ พูดออกมา แม้หลายคนอาจจะมองว่าตอบไม่ตรงคำถาม แต่ส่วนตัวเลือกตอบแบบไหนก็คงไม่ถูกใจใครทั้งหมด แต่น้องเลือกตอบพระองค์ท่าน คนที่น้องรัก คนที่คนไทยทั้งประเทศรักออกมา ตรงนี้มันได้ใจ 70 ล้านดวง ที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด”
“ทูตวัฒนธรรม”
ส่งสารที่ดีงามให้โลกรู้จัก
นับตั้งแต่ พ.ศ. 2508 (ค.ศ.1965) “ปุ๊ก-อาภัสรา หงสกุล” ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าประกวดนางงามจักรวาล ที่เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับรางวัลชนะเลิศมาครอง สวมมงกุฎนางงามจักรวาลคนแรกของประเทศไทย และเป็นนางงามจักรวาลคนที่ 14 ของโลก เป็นเวลาถึง 24 ปีต่อมา ประเทศไทยถึงได้มีโอกาสอย่างนั้นอีกครั้ง จากการเข้าประกวดของ “ปุ๋ย-ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” ซึ่งนับเป็นสาวงามจากประเทศไทยที่ครองมงกุฎนางงามจักรวาลเป็นคนที่ 2 ได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ.1988) ที่เมืองไทเป ประเทศไต้หวัน
“29 ปีที่แล้วคือครั้งสุดท้ายที่นางงามจากประเทศไทยบ้านเราได้จับไมค์ตอบคำถาม ผ่านมาอีก 29 ปี ถึงได้มี “น้ำตาล-ชลิตา ส่วนเสน่ห์” จับไมค์แล้วตอบคำถาม ส่วนตัวคิดว่าตรงนี้ก็ถือเป็นความประทับใจแล้ว ซึ่งน้องก็ทำได้ดีที่สุดแล้ว ถือว่าดีที่สุด” หนุ่ม - ประเสริฐ เผยด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า นั่นเพราะนอกจากความมุ่งมั่นตั้งใจของสางงามบ้านเรา พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วนยังช่วยเสริมส่งกันและกันให้เกิดขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นความประทับใจเหนือสิ่งอื่นใด
“เพราะทุกประเทศในโลกนี้ก็พยายามจะหานางงามที่เหมาะสมที่สุดเพื่อจะส่งไปประกวดนางงามจักรวาลหรือเวทีอื่นๆ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศ เราก็ต้องหาคนที่เหมาะสมที่สุด ทุกๆ เวทีทำเหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าสำหรับปีนี้เป็นปีที่โชคดี ที่บุคลากรในวงการแฟชั่นโอบอุ้มแล้วก็ช่วยเหลือ เป็นกำลังสำคัญในการที่ทำให้น้องดูโดดเด่นในทุกๆ วัน ถึงขั้นติดกระแสนิยมในทุกๆ โพสต์ของทุกๆ ประเทศ
“แล้วอีกสิ่งหนึ่ง คิดว่าทางกองประกวดของบ้านเราหาก็คือ หาคนที่มีความมุ่งมั่น เพราะว่าการเป็นนางงาม พอได้ตำแหน่งแล้วไม่ใช่นั่งรอวันๆ ว่าเมื่อไหร่ต้องเดินทางไปประกวด ไม่ใช่ แต่เราจะต้องมีการเทรนนิ่ง เข้าแคมป์เพื่อจะโค้ชและเทรน นางงามเองก็จะต้องมีวินัย รักในการเรียนรู้และต้องมีทัศนคติที่ดีในการที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ แล้วก็ต้องอดทน ที่บอกว่าต้องอดทน เพราะการตัดชุดเสื้อผ้าชุดหนึ่ง ไม่ใช่ว่าวัดตัวเสร็จแล้วอีกสามวันมารับ ไมใช่
“มันจะต้องมีการฟิตติ้ง มีการลองผิดลองถูก มีการซ้อมหรือแม้กระทั่งการแต่งหน้าก็ดี กว่าน้องจะแต่งออกมาได้แบบนี้ ก็ต้องมาลองผิดลองถูกหลายครั้ง เมกอัพอาร์ทิสต์ต้องออกแบบสไตล์การแต่งหน้าหลายต่อหลายครั้ง แล้วก็ถ่ายภาพหลายต่อหลายครั้ง เพื่อจะหาจุดที่ดีที่สุด มุมที่ดีที่สุดของน้องออกมา เพื่อจะหารูปแบบที่ดีที่สุดออกมา เสนอต่อสาธารณชน น้องเองก็ต้องมีความอดทนเหมือนกัน ดังนั้น กองประกวดก็ต้องหาบุคคลแบบนี้ที่พร้อมจะทุ่มเมให้กับงานของกองประกวด งานของชาติ
“ครั้งนี้ เราหลอมรวมใจเราทั้งหมดเข้าด้วยกัน นอกจากความสามารถของน้อง เราผ่านมาได้เพราะเกิดการประสานงานของทุกฝ่าย ตรงนี้คงต้องใช้คำว่าวาระแห่งชาติ เพราะว่าน้องผ่านเข้ามาเป็นคนที่ 13 นั่นคือการผ่านเข้ารอบแบบการโหวต น้องไม่ได้ถูกคัดเลือกจากรรมการเหมือน 12 คนแรก น้องผ่านมาด้วย 1 เสียงสุดท้ายของทุกๆ คน ไม่ใช่เฉพาะแฟนนางงาม แต่เป็นคนไทยทุกๆ คนที่ส่งกำลังใจด้วยพลังงานด้านบวกให้น้อง ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม ทุกคนมองว่านี่เป็นวาระแห่งชาติ
“แล้วทำไมการประกวดนางงามถึงต้องสำคัญขนาดนั้น การประกวดนางงามไม่ได้สำคัญแค่ผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นไปเดินแล้วได้ตำแหน่งกลับมา แต่ว่าในอีเวนต์แบบนี้ อีเวนต์ที่มีคนดู อยู่ที่ฮอลล์ประมาณหนึ่ง แต่ว่ามีการถ่ายทอดไปหลายสิบประเทศทั่วโลก รวมถึงจำนวนคนดูเป็นพันล้านคนที่ดูการถ่ายทอดสดเมื่อเช้านี้ การที่ประเทศไทยได้ถูกเอ่ยชื่อซ้ำๆๆ ไทยแลนด์ๆๆ หลายครั้ง การได้เอ่ยถึงพระมหากษัตริย์ การได้เอ่ยถึงชุดประจำชาติไทยของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เราจะต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่ในการขอเพื่อออกรายการทีวีของเขาเพื่อจะพูดประโยคเหล่านี้ แต่นี่คือเราใช้โอกาสในการประกวดนางงามในการบอกเล่าเรื่องราวของประเทศของเรา นั่นคือการประชาสัมพันธ์ประเทศ นั่นคือการบอกเล่าเรื่องราววัฒนธรรมของประเทศไทย ผ่านการประกวดนางงามจักรวาล
“น้องก็ทำออกมาได้ไม่ผิดหวัง อย่างเช่นสื่อต่างๆ เต็มหน้าฟีดโลกออนไลน์ คนที่รักน้องและชื่นชมน้อง อย่างหนึ่งต้องบอกเลยว่า หนึ่ง น้องเป็นคนกตัญญู น้องจะพูดถึงคุณแม่น้องตลอดเวลา แม้กระทั่งในวีทีอาร์น้องไม่ได้ถ่ายกับใครคนอื่นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวส่วนตัว น้องกลับนำเสนอเรื่องคุณแม่ ซึ่งอาจจะเป็นไอดอลของน้องเองมานำเสนอ ซึ่งตอกย้ำความเป็นวัฒนธรรมบ้านเรา คือคนไทยเราอ้าแขนรับและเราพร้อมรับคนที่มีความกตัญญูเป็นที่ตั้ง น้องนำเสนอแบบนี้ เราสัมผัสได้ถึงความน่ารัก จิตใจที่งดงามของน้อง จากความงดงามของเรือนกายแบบไทยๆ แม้ไม่ได้มงกุฎ แต่ได้ใจคนไทยทั้งประเทศ”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : เพจเฟซบุ๊ก MissUniverse