ประชาชนต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เดินทางมาต่อแถวบริเวณหน้าทางเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อรอคิวเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเบื้องหน้าพระบรมโกศ ที่ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เผย พระองค์ทรงพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรชาวไทยอย่างหนักมาโดยตลอด ยังความปลาบปลื้มและความรักมาสู่พระองค์ ในวันที่พระองค์เสด็จสวรรคต และตั้งใจมากราบให้มากกว่า 1 ครั้ง
วันนี้ (29 ม.ค.) สำหรับบรรยากาศการเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งในวันนี้ดำเนินมาเป็นวันที่ 88 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต่างแต่งกายด้วยชุดดำเรียบร้อยจำนวนมาก เดินทางมาต่อแถวอย่างเป็นระเบียบท่ามกลางสภาพอากาที่ร้อนจัด เพื่อขึ้นสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยเจ้าหน้าที่ได้เปิดประตูให้ประชาชนเดินแถวเข้าตั้งแต่เวลา 04.45 น. ก่อนเปลี่ยนเข้าทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน เวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทางประตูวิเศษไชยศรี
ด้าน นางอังคณา ทาตา อายุ 43 ปี ชาวเขตธนบุรี กรุงเทพฯ มากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว 11 ครั้ง มาพร้อม นางกมลทิพย์ จันทร์อินทร์ อายุ 47 ปี ชาวเขตบางบอน กรุงเทพฯ ซึ่งมากราบถวายสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรก โดย นางอังคณา กล่าวว่า ส่วนตัวตั้งใจจะมาจนกว่าพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ ๙ จะออกพระเมรุมาศ ไม่ได้ตั้งใจว่าต้องมากี่ครั้ง แค่ว่างก็มาแล้ว
ทั้งนี้ ส่วนตัวประทับใจและผูกพันกับพระองค์ เพราะเคยได้กราบแทบพระบาทตอนตนเด็กๆ ครั้งที่พระองค์เสด็จฯแปรพระราชฐานพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร และเสด็จฯเยี่ยมประชาชน จำไม่ได้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรต่อ รู้แค่ว่าประทับใจพระองค์มากตั้งแต่นั้นมา จึงเป็นแรงบันดาลใจให้มากราบพระบรมศพอยู่บ่อยๆ ซึ่งมาแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน บางครั้งได้เจอประชาชนร้องไห้ด้วยความรักพระองค์ ยิ่งเห็นเขาร้องตนก็ยิ่งประทับใจพระองค์ หรือผู้สูงอายุบางคนที่มากราบสักการะก็จะเล่าประสบการณ์และความประทับใจที่มีต่อในหลวง รัชกาลที่ ๙ อาทิ เคยได้รับเสด็จฯ อย่างไรก็ดี ปกติตนจะเข้าวัดทำบุญถวายเป็นพระราชกุศลพระองค์อยู่ตลอดอยู่แล้ว แต่ในวันที่ 10 - 13 กุมภาพันธ์นี้ ตั้งใจจะบวชพราหมณ์ 3 วัน ณ วัดโนนม่วง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
ด้าน นางกมลทิพย์ กล่าวว่า รู้สึกประทับใจกับการมาครั้งแรก และตั้งใจจะกลับมากราบพระบรมศพอีกก่อนจะออกพระเมรุมาศ ทั้งนี้ ส่วนตัวจะติดตามพระองค์จากข่าวโทรทัศน์ ได้เห็นพระองค์เสด็จฯไปช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ต่างๆ อยู่ตลอด อีกทั้งพระราชทานคำสอน อาทิ การประหยัด ใช้จ่ายที่จำเป็น ซึ่งตนได้น้อมนำมาใช้กับชีวิต พบผลลัพธ์ออกมาดี คือ เราไม่จน เราไม่ลำบาก ก็เป็นความประทับใจและภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย อย่างไรก็ตาม ตนทำบุญด้วยการใส่บาตรพระสงฆ์ทุกเช้า เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
ด้าน นางกัญญารัตน์ เขียวสาตร์ อายุ 49 ปี ชาวจังหวัดตาก กล่าวว่า ตนออกจากบ้านที่ จังหวัดสมุทรปราการ มาถึงที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวงเวลา 06.00 น. และได้เข้าประมาณ 10.00 น. ซึ่งวันนี้มาเป็นครั้งที่ 9 แล้ว ที่ผ่านมา เคยรอมากสุดประมาณ 10 กว่าชั่วโมง แต่รู้สึกว่ารอไม่นานและไม่เหนื่อยเลย เพราะตั้งใจว่ามาแล้วก็ต้องเข้าไปให้ได้ ระหว่างที่รอก็ได้พูดคุยกับคนรอบข้างจนรู้จักคุ้นเคยกัน ถ้ามีเวลาว่างก็จะนัดกันมากราบสักการะพระบรมศพ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะมาเรื่อยๆ
นางกัญญารัตน์ กล่าวต่อว่า ตนเคยมีโอกาสได้รับเสด็จฯ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ขณะประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช วันนั้นพระองค์เสด็จพระราชดำเนินโดยรถเข็นพระที่นั่งมาถวายสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ตนยังจำความรู้สึกได้ดี ทั้งตื้นตันและปลื้มปีติที่สุดในชีวิต ประชาชนที่เฝ้าฯ รับเสด็จฯต่างเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้อง ไม่คาดคิดว่าครั้งนั้นจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะมีโอกาสได้รับเสด็จฯ นับเป็นบุญที่ได้เกิดมาในแผ่นดินไทย และได้อยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร ตนและครอบครัวรักพระองค์มากและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงงานหนักเพื่อประชาชนมาตลอด 70 ปี ส่วนตัวได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต และสอนให้ลูกหลานเดินตามรอยพระยุคลบาท