xs
xsm
sm
md
lg

ตกนรกขุมลึกจึงนึกได้ : โชเล่ย์ ดอกกระโดน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ภาพชายแต่งเป็นหญิงสาว รูปใบหน้าเรียวยาวจมูกโต แหลงใต้คล่องปรื๋อ แต่บอกกล่าวกับคนอื่นว่าตนเป็น "คนกุงเต้บ" (คนกรุงเทพฯ) พร้อมกับคำพูดสุดฮิตติดปาก เป็นสโลแกนตัวเองว่า “มันมีดีอารายยย...” เขาคือ “นิรัญ ช้างกลาง ” หรือ “โชเล่ย์ ดอกกระโดน” ที่แม้ว่าจะหันหลังให้วงการไปหลายปี แต่ความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับเขายังคงแจ่มชัดทุกครั้งเมื่อนึกถึงหรือได้ยินได้ฟังสำเนียงทองแดง  

ล่าสุด เมื่อช่วงต้นๆ ปี มีข่าวคราวเกี่ยวถึงทิศทางชีวิตที่เปลี่ยนไป ต่างจากข่าวครั้งก่อนที่มีว่า...ร่ำรวยมั่งคั่งแต่มีหนี้สินนับล้านบาท จนต้องออกมาแจกนามบัตรหางานเลี้ยงชีพ และพอมีก็แบ่งปันช่วยเหลือพี่น้องที่ตกทุกข์ได้ยาก กระทั่งมีข่าวล่าสุดว่า จากไม่หล่อไม่เท่ กลับมามีกระแสชื่นชมในรูปร่างที่เปลี่ยนไป แต่ก็ยังไม่วายที่จะมีเสียงกระแหนะกระแหน ทำนองว่าออกมาหากินกับความน่าสงสาร

จริงเท็จประการใด? ชายคนนี้นั่งอยู่กับเรา...

อยู่ให้เป็น
เย็นให้อยู่

“มันเกิดขึ้นในช่วงที่ผมตัดสินใจออกจากวงการ แล้วออกไปทำธุรกิจ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนต้องกลับไปอยู่บ้าน” ดาวตลกชื่อดังในอดีตที่มีทั้งผลงานโฆษณา ผลงานละคร ผลงานภาพยนตร์ ร่วม 20 ปี เริ่มต้นเปิดเผยถึงกระแสข่าวล่าสุดที่สังคมออนไลน์พูดถึงการเปลี่ยนแปลง ที่นอกจากรูปร่างหน้าตา วาจาถ้อยคำยังคงนิ่มนวล แม้จะมีกรณีเชิงโดนต่อว่า…

“เราไม่รู้ข่าวเลยสักนิด ไม่ได้ออกมาเลยครั้งนี้ อยู่ๆ ตื่นมามีคนส่งข่าวบอกว่า พี่บ่าวๆ มีข่าวขึ้นหน้าเว็บไซต์ หน้าเว็บเพจ ว่า ‘โชเล่ย์เปลี่ยนไป’ บ้าง ‘เปลี่ยนอย่างแรงส์นิ โชเล่ย์ ดอกกระโดน หายไปนาน หล่อเลย’ บ้าง คือเปลี่ยนไปในทำนองรูปร่างหน้าตาดูดีขึ้น แต่จริงๆ แล้วผมว่าดูน่ากลัวกว่าเดิมด้วยซ้ำนะ เพราะอายุก็มากแล้ว และก็ด้วยกล้องสมัยนี้มีแอปพลิเคชันมันก็ดูเปลี่ยนไป และบวกกับเป็นรูปที่ถ่ายในกองละคร และด้วยลุคด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ก็เกิดการเข้าใจผิดคิดว่าครั้งนี้เราจะออกมาเหมือนรอบแรกหรือเปล่าที่ออกมาแจกนามบัตรน่ะครับ หรือครั้งที่สองที่ออกมาเรี่ยไรเงินช่วยน้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช

“ทีนี้ก็บานปลายไป…จนมีคนคนหนึ่งมาโพสต์ต่อว่าผมว่า “ออกมาวนๆ เวียนๆ อยู่ในห้วงแห่งความล้มเหลว ตลอดเวลา มันน่ารังเกียจ ไม่มีความน่าสงสารหรอกนะ มันน่ารังเกียจด้วยซ้ำไป แล้วไม่อายเหรอนี่ ที่ออกมาแสดงความเวทนาขอตัวเองให้คนอื่นเห็น เพื่อมาขอเศษใจจากคนอื่นเขา”...

กับวันเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป...ไม่ใช่แค่เพียงรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนแปลง หากยังรวมถึงจิตใจเบื้องลึก เพราะหลังจากชีวิตประสบอุปสรรคในโลกธุรกิจจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ซึ่งน่าจะยังพอมีใครจดจำช่วงเวลานั้น กับการออกมาแจกนามบัตรที่เป็นกระแสข่าวอย่างครึกโครมในวงการบันเทิงหรือการเรี่ยไรเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้เมื่อครั้งที่น้ำท่วมใหญ่เมืองคอน

“เล่าย้อนช่วงนั้นที่ออกสื่อครั้งแรก หลังจากออกจากวงการ คือเหมือนเราเปิดร้านค้า เพื่อค้าขายอะไรสักอย่างนี่แหละ เราก็ต้องมีนามบัตรไปแจกเขา นี่คือสิ่งที่เจ้าของธุรกิจเขาทำกัน เมื่อเราออกมารับงานใหม่ เราก็ทำนามบัตรแจก มันจะเป็นอะไรไป คนอื่นเขาก็ทำกันทั้งนั้น ขนาดห้างร้านใหญ่ๆ มีกี่สิบหมื่นล้านบาท เขาก็ยังทำโบรชัวร์จ้างเด็กไปแจกเลย เพราะอะไร เพราะต้องการให้คนรู้ไงว่าที่ห้างร้านเขามีอะไรบ้าง แล้วผมกลับมาหลังจากหายไปนานและกลับมาช่วงคาเฟ่มันตกพอดี ไม่มีคนเข้าคาเฟ่ ไม่มีลูกค้า คนมันมาน้อยมาก โอกาสปากต่อปากที่เขาจะบอกต่อให้เรานั้นไม่มี ก็เลยตัดสินใจทำนามบัตรขึ้นมาแจก แจกเพื่อหางาน ไม่ได้แจกเพื่อขอเงิน อย่างคนที่เขาขายของเล็กๆ น้อยๆ สมมตินะอย่างขายห่อหมกหรือคั่วเกาลัดขาย เขายังมีนามบัตรให้ทุกคนรู้เลยว่าของเขาอร่อย ราคาถูกและขายอยู่ตรงไหน ไม่อย่างนั้นใครจะรู้ได้ไงครับ ผมก็เลยออกมา

“แต่ไม่ได้จะมาขอเงิน ตอนออกมาแจกนามบัตร มีคนหยิบยื่นเงินให้ เรายกมือไหว้บอกเลยพี่ครับ ถ้าพี่จะช่วยผม รอพี่มีงานแล้วไปให้ผมแสดงดีกว่าครับ ไม่ใช่ว่าดูถูกอะไรใครน่ะ แต่เราก็ยังอยากใช้กำลังที่เรามี ความสามารถที่เรามีมากกว่า จึงไม่ขอรับเงินใครที่เราไม่ได้ทำงานให้ไงครับ แม้ว่าในตอนนั้นจะเป็นหนี้ธนาคารถึง 4 ล้านกว่าบาท เหลือเงินติดบ้านอยู่แค่ 5 แสนบาท เมื่อมาบวกลบกับรายจ่ายที่จ่ายทุกวัน เดือนหนึ่ง 3 หมื่นกว่าบาท เราก็ไม่มีรายได้เข้าเลยนั้น แป๊บเดียวน่ะครับ เงิน 5 แสนบาทน่ะ ถ้าให้ผมรอให้เงินหมดก่อนแล้วค่อยออกมาแจกนามบัตร เกิดเงินหมดแล้วออกมาแจกนามบัตร ถ้าตอนนั้นใครๆ ก็ยังไม่มีงาน ยังไม่มีใครจ้างเลย จะให้ผมทำอย่างไร เป็นหนี้ธนาคารน่ะครับ ไม่ใช่คนข้างบ้านที่จะขอเลื่อนพรุ่งนี้มะรืนนี้ได้

หลังจากนั้นพอมีงานเริ่มเข้ามาและได้ชำระผ่อนหนี้กับเลี้ยงตัว เราก็ออกมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อช่วยเรี่ยไรเงินช่วยเหลือคนที่ถูกน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ ตอนนั้นพี่ทำคณะตลกก็พาทีมงานไปพร้อมลูกสาว 3 คน ออกไปเรี่ยไรแถวประตูน้ำ นักข่าวก็มาทำข่าว ถามว่าตั้งเป้าไว้ไหม จะได้ยอดเท่าไหร่ ผมบอกเราไม่ใช่พระเอกนางเอก แถมดังก็ไม่ดัง ได้แค่ 2-3 หมื่นบาท ก็ดีใจแล้ว แต่เราก็พยายามพาลูกน้องเดินเรี่ยไรเต็มที่ จากประตูน้ำก็ไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปจัตุจักร ได้เงินราวๆ 7 หมื่นกว่าบาท เกือบ 8 หมื่น

“ก็เลยเอาเงินตัวเองใส่ให้ครบ 8 หมื่นบาท เพื่อเอาไปบริจาค ที่นครศรีฯ คืนนั้นก่อนเช้าที่ผมจะเอาเงินไปบริจาค ก็พูดลอยๆ กับลูกว่าถ้าได้ 1 แสนบาทนี้แจ๋วเลย เพราะจะได้ช่วยทุเลาความเดือดร้อนได้อีกมาก ลูกก็มองหน้าหัวเราะแล้วพูดว่า “พอเถอะพ่อ เนี่ยปวดเนื้อปวดตัวไปหมดแล้ว” แต่พอตอนเช้าเขาก็มาบอกผมว่า หนูสามคนช่วยสมทบพ่อช่วยทำบุญอีก 2 หมื่นบาท สรุปยอด 1 แสนบาท ทุกบาททุกสตางค์ เงินที่เรี่ยไรมา ไม่มีเอามาใช้ค่าอะไรทั้งนั้น ค่ากิน ค่าเดินทาง ค่ารถ น้ำมงน้ำมัน ใช้สอยเงินส่วนตัวผมทั้งนั้น เพื่อมอบเงินที่เขาตั้งใจทำบุญได้ทำบุญอย่างจริงๆ แล้ววันนั้นก็เดินทางไปมอบเงินให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เพราะเราเคยได้รับการช่วยเหลือตอนออกมาแจกนามบัตร จึงรู้ว่าคนรอการช่วยเหลือเป็นอย่างไรครับ”

“นั่นคือเหตุผลที่พาลูกน้องและลูกสาวตัวเองออกมา แต่ครั้งนี้เราไม่ได้ออกจริงๆ”
ดาวตลกในอดีตกล่าวย้ำ ก่อนจะบอกถึงเหตุผลความคิดที่เกิดขึ้นในคอมเมนต์หลังเหตุการณ์ ว่ามาเพื่อแก้ไขข้อเข้าใจผิด เพราะเขาอาจจะไม่ได้อ่านเนื้อข่าวละเอียดหรือเนื่องจากเขาอยู่ต่างประเทศด้วยทำให้รับรู้ข่าวสารผิดพลาดทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนกัน

“ก็มีคนบอกเหมือนกันนะว่ารีบออกมาทำไม คนกำลังด่า น่าจะปล่อยให้ด่าจะได้เป็นกระแส ผมรู้ ผมก็คิด ไม่ใช่ไม่รู้ว่า ถ้าเราไม่ออกมาจะเป็นอย่างไร กระแสมันต้องมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน การด่าประณามมันจะยิ่งปักลึกและจะแรงขึ้นตามลำดับด้วย คิดไปคิดมา ออกมาเลย เคลียร์ให้เข้าใจก่อนที่จะไม่ได้เคลียร์  เพราะอะไร เพราะคืนนี้เมื่อเราหลับแล้วไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะได้ตื่นขึ้นมาหรือเปล่า คนเรารู้วันเกิด แต่ไม่รู้วันตาย ฉันใดก็ฉันนั้น

“ถ้าปล่อยให้กระแสแรงขึ้น แล้วเราไม่ตื่นมาล่ะ นึกแล้วน่าใจหายน่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้มันก็จะติดลบกับลูกเรา เป็นมลทินติดตัวกับลูกเรา ต่อให้ลูกออกมาเล่า มาแก้ให้ว่า พ่อไม่ได้เป็นอย่างนั้นไม่ได้เป็นอย่างนี้ มันไม่มีทางหายไปได้ ผมเลยออกมาเคลียร์ซะเลย อยากให้จบ พอ…ไม่ได้มองถึงเรื่องชื่อเรื่องเสียงแล้ว ชื่อเสียงของความดังมันไม่สำคัญกับเราแล้ว…พอ

“ไม่ได้คิดถึงว่าจะเป็นขวัญใจด้วยซ้ำ สำหรับการที่เราตอบขอบคุณเขาไป ชี้แจงเหตุผลแทนเขาในเพจต่างๆ จนพี่ๆ น้องๆ ชาวโซเชียลบอกว่า “พี่โคตรแมนเลย เขาว่าพี่พี่ยังไปขอบคุณเขาอีก” เพราะด้วยความที่เราทำใจมานานแล้วเราปลงแล้ว ชีวิตมันเป็นการเรียนรู้ อดีตที่ผ่านมาทำให้เราเรียนรู้อย่างเข้าใจและอยู่ร่วมกับมันให้ได้ อย่างบ้านนี้ คนตรงนี้ เขากินแกงไตปลาไม่กินส้มตำ เราก็อย่าฝืนเอาส้มตำไปขายให้เขา ก็ต้องทำไตปลาไปขาย คนอีสานเขากินส้มตำ ไม่ค่อยกินน้ำพริกอ่องเท่าไหร่ เราก็อย่าไปฝืนยัดเยียดน้ำพริกอ่องให้เขา เราต้องเรียนรู้และอยู่กับมันให้ได้”

สวรรค์อยู่ในอก
นรกอยู่ในใจ

“แต่กว่าจะรู้ คิดอย่างวันนี้ได้ คือถ้าเป็นเมื่อก่อนผมโกรธไปแล้ว เพราะผมเป็นคนใจร้อน ประกอบกับผมเป็นคนเกิดวันอาทิตย์ด้วยหรือเปล่าไม่รู้ มันก็ยิ่งทำให้ผมใจร้อนหนักเข้าไปอีก ใครขับรถปาดหน้านิด่าเปิง และก็ด้วยความที่เราใจร้อนเนี่ยแหละ ผมว่า ทำให้ผมได้เห็น ทำให้ผมได้รู้ถึงความผิดพลาด”

ด้วยอดีตที่ลำบากหนัก ไม่เคยคิดว่าจะก้าวพ้นและมาถึงจุดนี้ได้ทั้งมีชื่อเสียงเงินทอง จากเด็กบ้านนอกเกิดบ้านปากพยิง ตำบลปากพูน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช

"ย้อนนิดหนึ่งนะว่าสภาพแวดล้อมบ้านเกิดผมนะ รายรอบด้วยชุมชนมุสลิม จึงมักได้ยินได้ฟังบทสวดพระคัมภีร์อัลกุรอานในโรงเรียนปอเนาะ กระทั่งเกิดซึมซาบท่วงทำนองก่อเกิดเป็นความชอบต่อยอด จนชอบไปดูภาพยนตร์ดนตรีอินเดียที่ออกฉายกลางแปลงย่านจังหวัด จนสามารถขับร้องและเต้นเพลงอินเดียได้ จึงเลือกเดินทางหอบหิ้วความฝันการอยากเป็นนักร้องมาที่เมืองหลวงกรุงเทพฯ ด้วยงบเงิน 100 บาท บากบั่นสมัครตำแหน่งนักร้องได้สมดังหวัง ได้ร้องใน “ดาราคาเฟ่” สถานบันเทิงชื่อดังแห่งยุค ค่าตัวเดือนหนึ่งเกือบ 1 หมื่นบาท ก่อนที่แววความสามารถตลกจะเฉิดฉาย หลังมีปัญหากับผู้จัดการร้าน จึงผันตัวเองมาเป็นตลกสักกัดคณะของพ่อดู๋ ดอกกระโดน และเพียงการแสดงครั้งแรกกับมุกแต่งหญิง ก็สร้างเสียงขำขันด้วยลุคผู้หญิงจมูกโตแถมพูดติดสำเนียงใต้อย่างธรรมชาติ กลายเป็นดาวตลกชื่อดังมีผลงานละครทั้งจอแก้วจอเงิน ออกอัลบัมผลงานเพลงที่ไม่มีใครไม่รู้จัก

“คิดแค่มาทำงานด้านนี้ ตามที่ใจเรารักเราชอบ แล้วสามารถมีเงินเดือนหนึ่งสักสี่ซ้าห้าพันบาทก็สุดๆ แล้ว ได้แบ่งส่งเสียที่บ้าน ให้พ่อแม่พี่ๆ น้องๆ บ้างก็ดีใจแล้ว แต่ทำไปทำมามันมีเป็นล้านๆ บาท ทั้งบ้าน ทั้งรถ รถคันแรกราคา 8 แสนบาท ผ่อนแป๊บเดียวหมด เราไม่เคยมาถึงจุดนี้ด้วย ก็ประเดประดังเข้ามาหมดทุกอย่าง กิเลสตัณหาราคะ (หัวเราะ) พูดง่ายๆ บาปพาลงจริงๆ เราก็เลยไขว้เขว สมมติมีโอ่งขนาดเท่ากัน วัสดุเหมือนกัน แต่ราคา 20 บาทกับราคา 60 บาท เราซื้อ 20 บาทไม่ได้กลัวเสียหน้า ต้องซื้อ 60 บาท คือมันโอเวอร์ ทุกอย่างที่ไม่เคยมี ก็ต้องมีให้หมด เครื่องทำน้ำอุ่น ก็ซื้อมาติดครบทุกห้องน้ำ 4-5 ห้อง ไม่ได้ใช้แล้วก็มาปล่อยให้เสียอยู่อย่างนั้น ได้ใช้ที่ไหน เวอร์ตามเขาไปหมดทุกอย่าง


“เราไม่รู้จักประมาณตน ไม่รู้จักพอ เห็นช้างขี้จะขี้ตามช้าง ในที่สุด ชีวิตก็เริ่มตก ครอบครัวเราก็พาเขาลำบาก ทีนี้ที่เครียดๆ คือไม่ใช่เรื่องชื่อเสียงแล้ว สำคัญเลยเรื่องปากท้องแล้วแหละ

หนี้สินราว 4 ล้าน ยังไม่นับค่ากินใช้อยู่จิปาถะรายวันที่สะสม ตกเดือนละ 3 หมื่นกว่าบาท ท่ามกลางสภาพไร้งานจ้างการแสดง จึงเป็นบทเรียนราคาแพงของชีวิตที่ซึ่งกว่าจะตรากตรำฝ่าฟันผ่านพ้นจุดนั้นมาได้ก็สาหัสสากรรจ์จนคิดได้และจำถึงวันนี้

“นั่นแหละถึงคิดได้ หลังจากนั้น อยู่ที่บ้านเราก็ไปสังเกตน้องชาย ‘สมคิด ช้างกลาง’ จากอดีตที่ใจร้อน มุทะลุ คล้ายๆ กันกับผมนี่แหละ แต่พอเขาบวชเขาใจเย็น สงบ ไม่มีความโกรธ ไม่โกรธใครเลย ยุงสักตัวก็ไม่ตบ เราก็ซึมซับตรงนั้น บวกกับน้องบอกเตือนสติเราอยู่ตลอด เพราะเขาก็รู้ว่าเราทุกข์ เรามีปัญหามากแค่ไหนเขารู้ ตายไปทุกสิ่งทุกอย่างที่มีก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง แม้แต่เสื้อผ้า กางเกงใน ถ้าไม่ใส่ให้ เราก็ไม่ได้ใส่ น้องชายผมที่โดนฆาตกรรม แม้แต่กางเกงในยังไม่ได้ใส่ เขาถอดออก เขามีทรัพย์สินมีค่ามากมาย บ้าน รถเงิน ทุกอย่างมีไว้แต่ไม่ได้เอาอะไรไปเลยสักอย่าง มันก็เลยทำให้คิด”

ค่อยๆ คลายจิตใจวิตกกังวล ผ่อนเบาความเครียดในเรื่องปัญหาหนี้สินและเส้นทางชีวิต สงบจนในช่วงที่กลับไปอยู่บ้านเกิด สามารถหัดวาดรูปเหมือนจริงระดับศิลปินย่อมๆ

“ช่วงที่คิดๆ อยู่นั้น จังหวะเราว่างๆ ไม่มีอะไรทำพอดี ก็เลยอยากลองหัดวาดรูป เพราะตอนเด็กๆ เคยวาดรูปเล่นบนพื้นทรายประจำ ก็ไปเอากระดาษ A4 กับดินสอสองบี ทีนี้พอเราวาดเรื่อยๆ มันก็ทำให้ใจเราเย็น เพราะวาดรูปต้องวาดให้เหมือน ใจเราก็ค่อยๆ เย็นลงเรื่อยๆ เส้นสายที่ออกมาเนี่ย วาดแล้วดูรู้เลยว่าเราวาดคนที่มีความสุขหรือวาดคนที่มีความทุกข์ ดวงตาเราวาดให้บ่งบอกได้เลย เราวาดได้เยิ้มมาก ซึ้งมาก เศร้ามาก เซ็กซี่จริงๆ อะไรอย่างเนี้ย (หัวเราะ)

“ทั้งสองส่วนนั้นก็คือจุดเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตทั้งความคิด เราก็ปลงได้มากขึ้น คิดรู้ชีวิต ชีวิตคือคุณทำบาปแค่ไหน ทำบุญแค่ไหน นั้นแหละจะติดตัวคุณไปตลอด ทำบาปก็กรรมของบาปติดตัวไป ทำดีก็กรรมของบุญติดตัวคุณไป ทำชั่วผลเห็นไว แต่คนจะจดจำไปจนตาย ทำดีผลเห็นช้าก็จริง แถมความดีหายไปไวอีกต่างหาก ทำดีมาทั้งชีวิต พลาดนิดจบเลย ความดีที่สะสมมา หมดเกลี้ยง แต่ผลจะส่งให้คนจดจำเราดี เลือกเอาอยากให้เป็นแบบไหน แบบนั้นคือสิ่งที่เราจะได้รับมาตอบแทน

“และอีกอย่าง เวลาเราเหลือน้อยลงทุกวัน หมายความว่าอายุเรามากขึ้น เวลาที่เราจะมีชีวิตอยู่เหลือน้อยลงแล้ว จะทำอะไรก็รีบทำ ไม่ใช่ว่าละชั่ว ละทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจะอายุยั่งยืน ไม่ใช่ มันก็ต้องไปตามกาลเวลาทุกอย่าง ทำอะไรให้ใจเย็นๆ คิดก่อน ก่อนที่จะทำ คิดก่อนจะพูด เมื่อทำแล้วพูดแล้วแก้ยากมาก ตรงนี้ก็ให้เราประคับประคองชีวิตไปสู่เส้นทางที่ดี และมีความสุข”

ความดังไม่คงที่
ความดีซิคงทน

หลังจากผ่านชีวิตทั้งรุ่งโรจน์และตกต่ำกระทั่งประคับประคองชีวิตได้ มีงานแสดงละครให้เห็นเนืองๆ อย่างเรื่องล่าสุด ‘เสน่ห์รักนางซิน’ ที่กำลังถ่ายทำ ในวันนี้ที่ใกล้ฝั่งฝัน จะได้ปลดเปลื้องภาระหนี้สิ้น ที่ยังเหลืออยู่อีกจำนวน 5 แสนบาท สุดท้ายของที่พักพิงแล้ว ได้กลับมาใช้ความสามารถที่มีเลี้ยงชีพอยู่กับลูกเต้าคือความสุขที่แท้จริง

“พูดถึงละครก็บทชาวประมงก็เหมือนๆ ชีวิตเรา คือท้องเรื่องเราเป็นชาวประมงออกเรือไปในทะเลตามปกติชีวิต แล้วบังเอิญพอดี พระเอกกับนางเอกลอยคอรอความช่วยเหลืออยู่ในน้ำ ชีวิตเขาใกล้จะจมน้ำแล้ว และในระหว่างที่หมดหวัง เราผ่านมาพอดี เขาก็ตะโกนให้ช่วย เราก็ไปรับเขา พอไปช่วยรับเสร็จเราก็ถามเขาว่าจะไปไหน เขาก็บอกว่าจะไปโรงแรมมุขทะเล เราก็จะพาไปส่ง แต่พอมองฟ้า ฟ้ามันตั้งเค้าพายุ ก็เลยบอกว่าถ้าไปส่งตอนนี้ไม่ทันแน่ พักที่บ้านเราก่อนละกัน

“ก็ยังนั่งคิดอยู่เลยว่าพระเอกนางเอก เหมือนชีวิตเรามากเลย ที่เคยรอคนมาช่วยเหลือในตอนนั้น ชีวิตเราในตอนนั้นคือชีวิตใกล้จมน้ำ แล้วรอคนมาช่วยใช่ไหม ในที่นี้เราเล่นเป็นคนช่วยคนขึ้นมา เราก็ต้องเต็มที่ให้เขาทั้งสีหน้าอาการ สายตา ได้หมด

“ถ้าถามความรู้สึกจากที่เราเคยอยากให้เขาช่วย ทีนี้พอเราได้ช่วยเขา มันมีความสุข เป็นความสุขที่หาที่เปรียบไม่ได้ ทีนี้หลังจากเราสามารถลุกยืนได้บางแล้วมาช่วยเหลือ เป็นผู้ให้ เรายิ้มมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เข้าใจเลยว่าหลายๆ คน หรือคนรุ่นใหม่ ที่คิดว่าการทำบุญแล้วไม่เห็นผล จริงๆ บุญก็คือความสุขที่เราได้รับ มันเป็นความสุขมากที่เราได้สบายใจ อย่างวันนี้ไปปล่อยกบนะ วันนี้ตื่นเช้าตักบาตรนะ ทำไมเวลากลับบ้าน มันสบายใจมากมายก็ไม่รู้

“แต่ถ้าไปขโมยของเขา กังวลแล้ว ตำรวจจะมาไหม ถ้าเกิดเจ้าของบ้านลงมาเห็นกำลังย่องเบาอยู่อย่างนี้ จะทำอย่างไง มันร้อนรนใจน่ะ และนั่นคือบาป ไม่ใช่บุญแล้ว ทำชั่วมันสบายตรงไหน แต่ไปทำบุญซิ เดินสง่าผ่าเผย ไม่มีหรอกต้องปีนหน้าต่างไปทำบุญ เดินเข้าทางประตู ออกทางประตู สบาย นั่นคือการไปทำบุญ

“พอคิดได้อย่างนั้น ตอนนี้ก็เลยไม่ได้คิดว่า จะต้องกลับมามีชื่อเสียงโด่งดังหรือไม่ ต้องไปหางานเยอะๆ อย่างนั้นอย่างนี้ คือมันปลงหมดแล้ว ถ้ามีงานเข้ามาก็แสดงว่าบุญเรา แล้วเราจะไม่เรียกราคาด้วย แค่ไหนก็ช่าง ผู้ใหญ่เขารู้ เขาจัดความเหมาะสมได้ หาผู้หลักผู้ใหญ่กราบๆ ท่านตลอดน่ะดี แต่อย่าหวังไปขอให้ท่านดัน เพราะต่อให้เขาดันเราแค่ไหนถ้าเราไม่มีบุญ ไม่มีดวงก็ไม่ดัง ต้องปลง

“แล้วก็อยู่แบบพอเพียง หลังบ้านปลูกผักสวนครัวไว้หยิบใช้ ทำหน้าที่ตรงนี้ หน้าที่ที่ผู้ใหญ่มอบโอกาสให้ ได้ทำก็ทำให้ที่ดีสุด ใครจะมองเราอย่างไรตอนนี้ช่างแล้ว คิดอย่างที่วัยรุ่นเขาใช้คำว่าไม่แคร์สื่อ แต่เราไม่ใช่ไม่แคร์สื่อ แต่เราจะไม่โต้ตอบอะไรกับใครทั้งหมด เขามองอย่างไรก็ช่าง ถ้าไม่ใช่ก็ค่อยออกมาเคลียร์ ไม่โต้ตอบ การโต้ตอบคือการโต้เถียงหรือด่ากัน แต่เราไม่โต้เถียง เราจะเคลียร์นิ่มๆ ใจเย็นๆ ให้เขารู้ว่าความจริงแล้วเป็นอย่างไร บอกเขาแค่ "โปรดเข้าใจผมด้วย"...แค่นั้น

“คือถึงชีวิตเราเรียนรู้อะไรมามากแล้ว แต่เขาบอกว่าคนเราไม่แก่เกินเรียน ก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เพราะสังคมยุคใหม่สมัยใหม่มีอะไรให้เรียนรู้อยู่ตลอด อย่างตอนนี้ก็มีอินเทอร์เน็ตอะไรนั่นไง มาให้เรียนรู้อยู่ ลูกเล่นก็บ่นด่าว่าลูก แต่สุดท้ายเรากลับไม่ทันข่าวอะไรเลย ก็เลยต้องเล่นต้องเรียนรู้ แต่อย่าเรียนรู้มาก เรียนเพื่อกอบโกยหรือหวังผล เรียนรู้อย่างเข้าใจและอยู่ร่วมกับมันตรงนั้นให้ได้ ไม่คิดมากเดี๋ยวฟุ้งซ่าน เพราะมันเหมือนไฟริษยา ที่มีแต่จะมาเผาผลาญจิตใจ มาเรียนรู้อยู่กับมันให้เป็นดีกว่า ปลง...อันดับแรกสู้กับจิตใจตัวเองก่อน แล้วค่อยๆ ปรับ เรื่องตรงนี้ต้องค่อยๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า กิเลสเหมือนน้ำ ถ้าเราไม่ดูแล มันจะไหลลงต่ำ

“ความสุขความทุกข์อยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่ชื่อเสียงเงินทองที่เราสร้างมา ความดังไม่คงที่ความดีซิคงทน คุณจะหาความสุขทุกข์ เลว ดี อยู่ที่ตัวเรา”











เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : วชิร สายจำปา

กำลังโหลดความคิดเห็น