ชาวยุโรปอีกชีวิตหนึ่ง ที่ถูกจารึกชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ไทย ทั้งในด้านงานส่วนตัวและงานราชการ เป็นผู้ให้กำเนิดรถไฟสายแรก และรถไฟฟ้าสายแรกในเมืองไทย เป็นผู้ปรับปรุงกองทัพเรือไทยให้ทันสมัย และรับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือไทยในยุคที่ไทยกำลังถูกรุกรานด้วยลัทธิล่าอาณานิคม ทั้งๆที่เป็นชาวยุโรป
ท่านผู้นี้ก็คือ อังเดร ดู เปลส์ เดอ ริเชอเลียว (Andre du Plesis de Richelieu) ซึ่งได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น นายพลเรือโทพระยาชลยุทธโยธินทร์
พระยาชลยุทธโยธินเป็นชาวเดนมาร์ค จบวิชาการทหารเรือแล้วรับราชการในกองทัพเดนมาร์คอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะเดินทางมาประเทศไทยโดยมีหนังสือรับรองเป็นลายพระหัตถ์พระเจ้าคริสเตียนที่ ๘ ว่าเป็นนายเรือตรีในกองทัพเดนมาร์ค และผ่านการเป็นกัปตันเรือมาแล้ว
กัปตันริเชอเลียวเข้ารับราชการไทยเมื่อเดือนเมษายน ๒๔๑๘ ขณะที่มีอายุราว ๓๐ ปี ในหน้าที่กัปตันเรือพิทยัมรณยุทธ รักษาความสงบในภาคใต้ด้านทะเลอันดามัน
ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๑๙ ได้เกิดจลาจลจากพวกอั้งยี่เข้ายึดเมืองภูเก็ต กัปตันริเชอเลียวซึ่งย้ายมาเป็นกัปตันเรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ ได้นำเรือเข้าร่วมปราบจนสงบ ด้วยความดีความชอบในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น หลวงชลยุทธโยธินทร์ และย้ายมาเป็นปลัดกรมแสง หรือ กรมทหารแคตลิงกัน ซึ่งเพิ่งสั่งปืนกลแคตลิงกันเข้ามาใช้ในกองทัพ รับหน้าที่ฝึกทหารบกและทหารเรือให้ใช้ปืนนี้
ในปี ๒๔๒๑ ไทยได้สั่งต่อเรือเวสาตรีมาจากอังกฤษเพื่อเป็นเรือพระที่นั่ง จึงทรงโปรดเกล้าฯให้หลวงชลยุทธโยธินทร์รับหน้าที่เป็นกัปตันเรือเวสาตรีอีกตำแหน่ง
ในเดือนมิถุนายน ๒๔๓๒ อั้งยี่ ๒ ก๊กเปิดศึกกันในกรุงเทพฯ ยึดถนนเจริญกรุงย่านบางคอแหลมเป็นสมรภูมิ ปิดถนนขุดเป็นสนามเพลาะ ทางการจึงต้องใช้ทหารปราบ ตอนนั้นกัปตันริเชอเลียวเป็น นายพลเรือจัตวาพระยาชลยุทธโยธินทร์ รักษาการผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ได้นำทหารเรือลุยมาจากถนนตก สมทบกับทหารบกที่บุกมาทางด้านสาธร วันเดียวเหตุการณ์ก็สงบ เปิดเดินรถได้
ในปี ๒๔๓๖ เรือรบฝรั่งเศสบุกฝ่าแนวป้องกันของไทยที่ปากอ่าวเข้ามา ขณะพระยาชลยุทธฯเป็นผู้อำนวยการป้องกันปากน้ำเจ้าพระยาด้วย ได้ใช้ปืนที่ป้อมพระจุลฯยิงจนเรือนำล่องจมไปลำหนึ่ง แล้วรีบขึ้นรถไฟสายปากน้ำตามเรือรบฝรั่งเศสอีก ๒ ลำเข้ามา จะเอาเรือพระที่นั่งมหาจักรีเข้าชนเรือรบฝรั่งเศส แต่ไทยไม่ต้องการก่อปัญหาให้ลุกลามออกไปอีก จึงใช้วิธีเจรจา
พระยาชลยุทธโยธินทร์ได้ทุ่มเทหัวใจในการปฏิบัติหน้าที่เหมือนเป็นคนไทยคนหนึ่ง เป็นที่พอพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จนถึงขั้นช้างเผือกสยามชั้นที่ ๑ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือในปี ๒๔๔๓
พระยาชลยุทธฯได้ขอพระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนนายเรือ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯได้พระราชทานตามที่ขอ และเสด็จมาทรงเปิดโรงเรียนนายเรือที่พระราชวังเดิมในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๔๙
นอกจากหน้าที่ราชการแล้ว พระยาชลยุทธฯยังเห็นว่าเมืองไทยในยุคพัฒนานั้น สาธารณูปโภคด้านคมนาคมเป็นสิ่งสำคัญ จึงร่วมกับเพื่อนชาวต่างชาติระดมทุนสร้างรถรางขึ้น โดยสายแรกเริ่มจากบางคอแหลม ถนนตก มาตามถนนเจริญกรุง สุดทางที่ศาลหลักเมือง เริ่มแรกใช้ม้าลาก ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของเอเซีย ในขณะที่ยุโรปยังมีไม่กี่ประเทศ และก่อนญี่ปุ่นถึง ๑๐ ปี
ทุกวันนี้ถือกันว่า วันที่ ๒๖ มีนาคม เป็นวันสถาปนากิจการรถไฟไทย เพราะวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๔๓๙ เป็นวันเปิดเดินรถไฟหลวงครั้งแรกจากสถานีหัวลำโพงไปสถานีอยุธยา แต่ในวันนั้น มีรถไฟสายหนึ่งเปิดให้บริการมาก่อนแล้ว ๓ ปี หากแต่เป็นรถไฟของบริษัทเอกชน
ในปี ๒๔๒๙ รัฐบาลได้ให้สัมปทาน ๕๐ ปีแก่บริษัทของพระยาชลยุทธโยธินกับพวก สร้างทางรถไฟสายปากน้ำ จากหัวลำโพงไปสมุทรปราการ เป็นระยะทาง ๒๑ กิโลเมตร และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปทำพิธีเริ่มการก่อสร้างเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๔๓๔ ทั้งได้เสด็จพระราชดำเนินไปทำพิธีเปิดเดินรถในวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๔๓๖ มีพระราชดำรัสในครั้งนั้นความตอนหนึ่งว่า
“...เรามีความยินดีที่ได้รับหน้าที่อันเป็นที่พึงใจ คือจะได้เป็นผู้เปิดรถไฟสายนี้ ซึ่งเป็นที่ชอบใจและปรารถนามาช้านานแล้วนั้น ได้สำเร็จสมดังประสงค์ลงในครั้งนี้ เพราะเหตุว่าเป็นรถไฟสายแรกที่จะได้เปิดในบ้านเมืองเรา แล้วยังจะมีสายอื่นต่อๆไปอีกเป็นจำนวนมากในเร็วๆนี้ เราหวังใจว่าจะเป็นการเจริญแก่ราชการและการค้าขายในบ้านเมืองเรายิ่งนัก...”
อีกทั้งพระยาชลยุทธฯยังได้ร่วมกับเพื่อนชาวต่างประเทศ เข้ารับกิจการโรงไฟฟ้าจากบริษัทอเมริกัน ที่วางมือเพราะรัฐบาลไทยไม่ยอมให้ขึ้นค่าไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะผลิตไฟฟ้าบริการประชาชนแล้ว ยังเปลี่ยนรถรางทั่วกรุงเทพฯและรถไฟสายปากน้ำ มาเป็นรถไฟฟ้าด้วย
ในปี ๒๔๔๔ พระยาชลยุทธโยธินทร์ได้ลาออกจากราชการ เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ หลังจากรับราชการอยู่ ๒๖ ปี แม้กลับไปรักษาตัวที่ประเทศเดนมาร์คแล้ว ก็ยังรับเป็นธุรกิจการของทหารเรือไทยอยู่เสมอ เช่นหาคนมาปฏิบัติราชการ ติดต่อประสานงานเมื่อกองทัพเรือส่งนักเรียนหรือข้าราชการไปอบรมที่เดนมาร์ค และยังมีจดหมายติดต่อกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ และสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพอยู่เสมอ พระราชสาส์นที่ทรงมีไปถึงพระยาชลยุทธโยธินทร์ ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ ไต่ถามถึงทุกข์สุขของครอบครัว ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆในเมืองไทยและการเปลี่ยนแปลงในกรมทหารเรือให้ทราบ
ในคราวพระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาชลยุทธโยธินทร์ยังแสดงความจงรักภักดีเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการมาร่วมในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ และในปี ๒๔๖๘ พระยาชลยุทธโยธินทร์พร้อมด้วยบุตรชายบุตรสาว ๓ คน ได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนเมืองไทยอีกครั้ง ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เข้าเฝ้า
พระยาชลยุทธโยธินทร์ถึงอนิจกรรมที่บ้านเกิดในปี ๒๔๗๔ ขณะมีอายุได้ ๘๖ ปี หลังออกจากราชการสยามไป ๓๐ ปี แต่ชื่อเสียงและผลงานยังจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ไทยตลอดมา