xs
xsm
sm
md
lg

เปิดคำร้อง “ครูจอมทรัพย์” ขอรื้อฟื้นคดี เรียกร้องความยุติธรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


วันนี้ (16 ม.ค.) ศาลจังหวัดนครพนม มีกำหนดนัดสอบคำให้การคดีอาญา ที่ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 54 ปี อดีตข้าราชการครูโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สกลนคร ที่ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 3 ปี 2 เดือน ในคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดนครพนม เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต ตามที่ พ.ต.ต.ทนงศักดิ์ โพธิ์โหน่ง พนักงานสอบสวนยื่นฟ้อง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2548 หลังศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้มีการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะมีการสืบพยานใหม่ในเวลา 13.00 น.

ทีมข่าว MGR Online ขอนำคำสำนวนไต่สวนรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นมาพิจารณาใหม่ พร้อมบันทึกความเห็นของศาลชั้นต้นมานำเสนอดังนี้

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 และให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) (8), 47, 78, 157, 160 วรรคหนึ่งและวรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานขับรถโดยประมาทเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ฐานไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่ไปแสดงตัวแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 2 เดือน

ผู้ร้องยื่นคำร้องและเพิ่มเติมคำร้องว่า เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2557 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีแพ่งที่ นางสาวแพงสี พ่อบำรุง บุตร นายเหลือ พ่อบำรุง ผู้ตาย ยื่นฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน นายสับ วาปี ยื่นคำร้องขอชำระเงินซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดตามคำพิพากษาเป็นเงิน 170,000 บาท และในวันเดียวกัน นายสับ ให้ข้อเท็จจริงแก่ผู้ร้องว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง นายสับ ขับรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีเขียว รุ่นเคบีแซด หมายเลขทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ผ่านบ้านงานที่มีการจัดแสดงหมอลำทางด้านซ้าย และต่อมาขับแซงรถจักรยานยนต์ทางด้านขวาเกิดชนกับรถจักรยานของผู้ตายที่ขี่สวนทางมา เมื่อลงจากรถไปดูพบผู้ขี่รถจักรยานเป็นชายนอนนิ่งสลบบนถนน รถจักรยานกระเด็นอยู่ไหลทางด้านขวามือ รถจักรยานยนต์ที่นายสับขับแซงแล่นมาถึงที่เกิดเหตุได้จอด และไฟหน้ารถจักรยานยนต์ส่องมาที่บริเวณป้ายทะเบียนรถยนต์กระบะ และมองเห็นนายสับยืนอยู่ใกล้คนเจ็บ นายสับตกใจกลัวรีบขึ้นรถขับหลบหนี และนำรถยนต์กระบะไปจอดซ่อนไว้ที่พักเพิงนาของตนเอง ตำบลโพนทราย อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร แล้วเดินทางกลับบ้านที่ตำบลกุดเข้ อำเมืองเมืองมุกดาหาร ต่อมานายสับนำรถยนต์กระบะไปซ่อม และขายให้แก่พ่อค้ารับซื้อของเก่าในราคา 20,000 บาท ครั้นเมื่อคดีถึงที่สุด นายสับ ทราบว่า จำเลยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด วันที่ 19 พฤษภาคม 2557 นายสับตัดสินใจเข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรนาโคน ตำบลโคกหินแฮ่ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม เพื่อเล่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และวันที่ 23 พฤศจิกายน 2557 ให้การรับสารภาพต่อ พันตำรวจโท อภิมุข ศักดิ์ธนา และ พันตำรวจโท ปุญธนัช เกตุเทศ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม ขอให้ศาลรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ เนื่องจากพยานหลักฐานไม่ถูกต้องตรงกับความจริง และมีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งไม่เคยนำมาสืบในศาลมาก่อนและศาลยังไม่ได้นำมาพิจารณาวินิจฉัยในคดีอันถึงที่สุดนั้น ซึ่งหากได้นำมาสืบสามารถแสดงว่าผู้ร้องไม่ได้กระทำความผิด ขอให้ศาลพิจารณาให้ผู้ร้องรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ ให้คืนตำแหน่งหน้าที่ราชการแก่ผู้ร้อง และจ่ายเงินค่าทดแทน

โจทก์คัดค้านว่า พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำมาเป็นข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่นั้น เป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่เดิมตั้งแต่ชั้นสอบสวน จึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้องมีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้ง และสำคัญคดีอันจะแสดงว่าผู้ร้องต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดไม่ได้กระทำความผิด และพยานบุคคลซึ่งศาลอาศัยเป็นหลักไม่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าคำเบิกความเป็นเท็จหรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริงแต่อย่างใด ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องแล้วทำความเห็นว่า กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติ มาตรา 5 (3) แห่งพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 เห็นควรยกคำร้องขอ

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า มูลคดีเกิดจากรถยนต์กระบะขับแซงรถจักรยานยนต์แล้วชนกับรถจักรยานที่ผู้ตายขี่สวนทางมาในยามวิกาลและหลบหนีไปโดยไม่ทราบผู้ใดเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะดังกล่าว สาเหตุที่มีการดำเนินคดีแก่จำเลยเกิดจากการตรวจสอบเลขทะเบียนรถตามที่ประจักษ์พยานโจทก์เห็นและจดจำได้ว่าเป็นรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ซึ่งจำเลยขายให้แก่นายประพัฒน์ แสนเมืองโคตร แล้ว แต่ยืมไปใช้ในช่วงเกิดเหตุ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ เนื่องจาก นายสับ วาปี ทราบว่า จำเลยถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกและต้องออกจากราชการ ทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิด ความจริงแล้วในวันเกิดเหตุนายสับขับรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีเขียวอ่อน หมายเลขทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ซึ่งแตกต่างจากรถยนต์ที่จำเลยขายและนำไปใช้เพียงชื่อจังหวัด ไปในที่เกิดเหตุแล้วชนกับรถจักรยานของผู้ตายที่ขี่สวนทางมา หลังเกิดเหตุยังลงจากรถไปดูสอดคล้องกับพยานโจทก์ที่เบิกความว่าคนขับรถยนต์กระบะเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง นายสับ เกรงกลัวความผิดจึงได้หลบหนีไป นายสับ ได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2557 ตามสำเนาบันทึกประจำวันเอกสารหมาย ร.16 ยื่นคำร้องขอชดใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษาแทนจำเลยตามสำเนาคำร้องเอกสารหมาย ร.6 และให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมตามบันทึกเอกสารหมาย ร.17 ซึ่งมีข้อเท็จจริงและรายละเอียดยากแก่การแต่งเรื่องราว และเป็นการให้ข้อเท็จจริงที่ปรักปรำตนเอง เนื่องจากความสำนึกผิดและบาปกรรมที่จำเลยต้องมารับโทษแทนตนเองเช่นนี้ เมื่อคำนึงถึงผลกระทบที่จำเลยได้รับ ต้องถูกลงโทษจำคุกและให้ออกจากราชการแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่ประจักษ์พยานโจทก์สามารถจดจำได้เพียงตัวเลขของทะเบียนรถและพนักงานสอบสวนไม่ได้สืบหาเลขทะเบียนเดียวกันจากจังหวัดใกล้เคียง พยานหลักฐานดังกล่าวของผู้ร้องเป็นพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดี ซึ่งถ้าได้นำมาสืบในคดีแล้วจะแสดงว่าจำเลยผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นไม่ได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 5 (3) และคำร้องมีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง

จึงมีคำสั่งให้รับคำร้อง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ต่อไป








กำลังโหลดความคิดเห็น