พสกนิกรจากทั่วสารทิศแต่งกายด้วยชุดดำเรียบร้อยจำนวนมาก มาต่อแถวเพื่อขึ้นสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายลงมาตลอดเวลา อย่างไม่ย่อท้อ
วันนี้ (10 ม.ค.) สำหรับบรรยากาศการเข้ากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งในวันนี้ดำเนินมาเป็นวันที่ 71 ของการพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ในเวลา 04.40 น. ก่อนเปลี่ยนเข้าทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน เวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทางประตูวิเศษไชยศรี
แม้จะมีสายฝนโปรยปรายลงมาตลอดเวลา ปรากฏว่า ยังคงมีประชาชนแต่งกายด้วยชุดดำเรียบร้อยจำนวนมากจากทั่วประเทศ มาต่อแถวเพื่อขึ้นสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ด้าน นายคณิน บุญเสริฐ อายุ 35 ปี ครูจากโรงเรียนฮอดพิทยาคม ตำบลหางดง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เดินทางมาพร้อมครูอีก 8 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 160 คน เผยว่า ในโอกาสที่พานักเรียนมาทัศนศึกษาที่วัดพระแก้วและทดลองใช้ชีวิตใน กทม. เป็นเวลา 3 วัน จึงจัดกิจกรรมพานักเรียนมาร่วมสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถือเป็นโอกาสดีที่ครั้งหนึ่งในชีวิตของนักเรียนซึ่งเกิดในแผ่นดินของพระองค์ จะได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ซึ่งมีคุณค่ามากต่อชีวิตของประชาชนชาวไทย โดยให้นักเรียนร่วมต่อแถวกับประชาชนทั่วไปตั้งแต่เวลา 04.00 น. นอกจากนี้ ที่โรงเรียนยังจัดกิจกรรมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. พ.ศ. 2559 และเพื่อเป็นการสานต่อพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทางโรงเรียนยังได้บูรณาการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้เยาวชนคนรุ่นหลังได้เรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป
ด้าน นางสาวกมลทิพย์ และ นางสาวกมลชนก ดอกป๋อ อายุ 15 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนฮอดพิทยาคม กล่าวด้วยความตื้นตันว่า รู้สึกดีใจและภูมิใจมากที่ครั้งหนึ่งในชีวิตมีโอกาสเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หลังจากนี้ จะกลับไปเล่าให้คนในครอบครัวฟังว่าตนมีโอกาสได้แสดงความจงรักภักดีด้วยการเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพแล้ว รู้สึกตื้นตันใจที่เห็นประชาชนจำนวนมากเดินทางมาเข้าแถวรออย่างไม่ย่อท้อ แสดงให้เห็นว่า พระองค์ท่านทรงเป็นที่รักและทรงสถิตอยู่ในดวงใจของประชาชนเสมอ ส่วนตัวเนื่องจากโรงเรียนมีการนำเรื่องหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาสอนในวิชาเศรษฐศาสตร์ ทำให้รู้จักประหยัดอดออม ใช้จ่ายอย่างรอบคอบและมีเหตุผล ก็พยายามที่จะนำสิ่งที่ตัวเองเรียนมาใช้ในชีวิตประจำวันและเผยแพร่ให้คนที่รู้จัก เดินตามรอยพระบาทในเรื่องความพอเพียงเพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ให้อยู่คู่คนไทยสืบไป
ด้วยความรักความศรัทธาต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงดูแลพสกนิกรชาวไทยในทุกๆ ด้าน
ส่วน นางสุทธิรัตน์ จงอวยพร อายุ 50 ปี เจ้าของธุรกิจโรงพิมพ์ในอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งปณิธานว่า อย่างน้อยต้องมากราบสักการะพระบรมศพให้ได้ 9 ครั้ง หรือมากกว่านั้นหากโอกาสอำนวย
“ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงเหนื่อยกับพวกเราเยอะ โดยเฉพาะชาวอยุธยาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์หลายโครงการ เสด็จพระราชดำเนินที่จังหวัดอยุธยาก็หลายครั้ง ตัวเองเคยมีโอกาสได้เฝ้ารับเสด็จฯถึงสองครั้งด้วยกัน คือที่ วัดใหญ่ชัยมงคล และครั้งสุดท้ายที่ทุ่งมะขามหย่อง เมื่อปี 2555 นอกจากจะทรงช่วยเหลือในด้านต่างๆ ยังมีคำสอนที่สามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตจริง อย่างหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งตัวเองและครอบครัวน้อมนำหลักนี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต ด้วยการปลูกผักปลูกผลไม้ อย่าง มะนาว กระเจี๊ยบ แก้วมังกร ฯลฯ เก็บไว้กินในครัวเรือน ส่วนที่เหลือก็นำมาวางขายหน้าบ้าน วันนี้เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว ตัวเองจึงตั้งใจว่าต้องมากราบพระบรมศพโดยตั้งเป้าหมายขั้นต้นไว้ที่ 9 ครั้ง และวันนี้เป็นครั้งที่สองโดยมากับคณะชมรมผู้สูงอายุจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนครั้งแรกร่วมเดินทางมาพร้อมกับคณะชมรมคนรักในหลวง หลังจากนี้ วางแผนพอเคลียร์งานที่โรงพิมพ์เสร็จแล้วจะนั่งรถไฟกลับมาอีกเรื่อยๆ ซึ่งมาแต่ละครั้งก็ตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย” นางสุทธิรัตน์ กล่าวน้ำตาคลอ
ด้าน นางสาวบานเย็น ภานนท์ อายุ 57 ปี ชาวบ้านหนองแดง ตำบลสีออ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ตนนัดกับเพื่อนบ้าน รวม 6 คน นั่งรถไฟฟรีออกจากอุดรธานี วันที่ 9 ม.ค. และมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อเช้า ดีใจและภูมิใจมากที่ได้มากราบสักการะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ประชาชนอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขด้วยพระบารมีของพระองค์ วันนี้เห็นประชาชนมากราบสักการะพระองค์เป็นจำนวนมากก็รู้สึกปลาบปลื้มและซาบซึ้งใจมากที่ได้เห็นทุกคนรักพระองค์เช่นเดียวกัน
ด้าน นางสาวบานเย็น กล่าวต่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดีมาก ทรงครองราชย์ด้วยทศพิธราชธรรม ทรงรักและมีพระเมตตาต่อประชาชนทุกคน พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อพวกเรา และมีโครงการพระราชดำรินับพันโครงการที่ทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อย่างที่อีสานเคยมีพื้นที่แห้งแล้งจนถูกเรียกว่า ทุ่งกุลาร้องไห้ แต่ด้วยน้ำพระทัยจากในหลวง รัชกาลที่ ๙ พระราชทานโครงการอีสานเขียว ทำให้พื้นที่แห้งแร้งกลับมาอุดมสมบูรณ์และเขียวขจี ส่วนตัวได้น้อมนำเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต โดยปลูกพืชผักไว้กินเอง ส่วนที่เหลือก็นำไปขาย
“ดิฉันเคยรับเสด็จในหลวง รัชกาลที่ ๙ จำนวน 3 ครั้ง แต่จำปีไม่ได้แล้ว จำได้เพียงว่าดีใจมากที่ได้เห็นพระองค์จริง นึกถึงครั้งใดก็ตื้นตันใจทุกครั้ง ที่บ้านจะติดพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ และดิฉันจะนำดอกไม้มาถวายทุกวันพระ แม้พระองค์จะไม่อยู่กับพวกเราแล้ว แต่พระองค์จะสถิตอยู่ในใจตลอดไป” นางสาวบานเย็น กล่าว