คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.นายกฯ นำ ครม.-ผบ.เหล่าทัพ ถวายพระพร “ในหลวง ร.10” ทรงอวยพรปีใหม่คนไทย พร้อมสืบสานพระราชปณิธาน “ในหลวง ร.9” !
เมื่อวันที่ 1 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะรัฐมนตรี ได้เข้าลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2560 ณ ห้องแดง ศาลาว่าการพระราชวัง ในพระบรมมหาราชวัง ขณะที่นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และข้าราชการระดับสูงของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงองค์กรอิสระ พรรคการเมือง และคณะทูตานุทูตประเทศต่างๆ ได้เข้าลงนามถวายพระพรเช่นกัน ทั้งนี้ สำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าเข้าลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตั้งแต่เวลา 06.58-.17.00 น. โดยมีประชาชนจำนวนมากเดินทางมาลงนามถวายพระพรทั้งในพระบรมมหาราชวัง และอีก 7 พระตำหนักทั่วประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 31 ธ.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้พระราชทานพระราชดำรัสเนื่องในวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560 แก่ประชาชนชาวไทย เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ความว่า "ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีเพื่ออำนวยพรแก่ท่านทั้งหลายทั่วกัน และขอขอบใจท่านเป็นอย่างมากที่มีไมตรีจิตสนับสนุนข้าพเจ้าในภารกิจทุกอย่างเสมอมา ในปีที่แล้วบ้านเมืองของเรามีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จสวรรคตเมื่อเดือนตุลาคม กล่าวได้ว่า นำความโศกเศร้าอาดูร และนับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวไทยทั้งประเทศ ข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันและประทับใจที่ได้เห็นประชาชนทุกเพศทุกวัยถ้วนหน้า มีจิตจงรักภักดีและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ พรั่งพร้อมกันมาถวายสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง"
"ขอขอบใจทุกท่านที่ร่วมมือร่วมใจช่วยงานพระบรมศพอย่างพร้อมเพรียง ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ข้อนี้น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า คนไทยนั้นมีจิตใจดี มีความกตัญญูกตเวที มีความเอื้ออารีต่อกัน มีความรักชาติรักแผ่นดิน เป็นคุณสมบัติประจำชาติ และมีความรู้ความสามารถไม่แพ้ชนชาติอื่นใด ดังนั้น ไม่ว่าจะมีอุปสรรคปัญหาหรือเหตุไม่ปกติใดๆ เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ก็เชื่อได้ว่า ถ้าเราจะร่วมกันคิดอ่านและช่วยกันปฏิบัติแก้ไข ทุกสิ่งทุกอย่าง จะสามารถคลี่คลายลุล่วงไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน"
"ในปีใหม่นี้ ขอให้ชาวไทยทุกคนตั้งใจให้แน่วแน่ที่จะรักษาคุณสมบัตินี้ให้เหนียวแน่น และทำความคิดจิตใจให้แจ่มใสด้วยปัญญาที่กระจ่าง พิจารณาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงโดยปราศจากอคติ ให้มีความมุ่งมั่นมีกำลังใจในอันที่จะร่วมกันปฏิบัติสรรพกิจน้อยใหญ่ในภาระหน้าที่ตามแนวพระบรมราโชบายที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานไว้ให้งานทุกอย่างสำเร็จผล เป็นความดีความเจริญทั้งแก่ตนเองแก่ส่วนรวมและประเทศชาติ เป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ในการนี้ ข้าพเจ้าขอปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับประชาชนชาวไทยโดยเต็มกำลังความสามารถเพื่อสืบสานพระราชปณิธานเช่นกัน ขออนุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวไทย อีกทั้งพระบารมีแห่งสมเด็จพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต มีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นอาทิ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย ให้มีความสุขกายสุขใจ และประสบแต่สิ่งที่พึงปรารถนาตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน"
โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานบัตรอวยพร ปีพุทธศักราช 2560 แก่ประชาชนชาวไทย และผู้ที่ปฏิบัติงานถวายในโครงการพระราชดำริต่างๆ ด้วย โดยด้านหน้าของบัตรอวยพรพระราชทานมีตราประจำพระราชวงศ์จักรีอยู่ตรงกลาง ด้านล่างเป็นพระปรมาภิไธย ภปร และพระนามาภิไธย สก เมื่อเปิดบัตรอวยพร ทางด้านซ้ายของบัตรอวยพร มีข้อความ B.E.2560 (2017) บรรทัดต่อมามีคำว่า Season’s Greetings and Best Wishes for the New Year จากนั้นเป็นลายพระหัตถ์พระปรมาภิไธย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และที่ด้านล่างของบัตรอวยพรมีข้อความ Her Majesty Queen Sirikit and The Royal Family of Thailand ส่วนที่ด้านขวาของบัตรอวยพร มีพระปรมาภิไธย ภปร อยู่ด้านบนตรงกลางภาพ ขนาบด้วยพระนามาภิไธย สก และพระปรมาภิไธย วปร ส่วนด้านล่างเป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงฉายคู่กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อยู่ในกรอบวงกลม ด้านล่างพระบรมฉายาลักษณ์ของทั้งสองพระองค์ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และพระรูปทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
สำหรับบรรยากาศการเข้าสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง หลังผ่านพ้นวันที่ 1 ม.ค.ยังคงมีประชาชนจากทุกสารทิศเดินทางมาสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เมื่อช่วงเย็นวันที่ 5 ม.ค. มหาเถรสมาคมได้ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดพิธีสวดพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยพระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ พระราชาคณะ พระสังฆาธิการทุกระดับ ทุกวัดในเขตกรุงเทพมหานคร รวมกว่า 400 รูป เข้าร่วมพิธี
ด้านนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยภายหลังการประชุมศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ว่า ในช่วงวันที่ 20 - 21 ม.ค.นี้ จะหยุดกิจกรรมต่างๆ โดยรอบสนามหลวงทั้งหมด รวมถึงการเข้ากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวันครบรอบ 100 วันการสวรรคต และจะเปิดให้จัดกิจกรรมอีกครั้งในวันที่ 22 ม.ค. ส่วนจะเปิดให้ประชาชนสักการะจนครบ 1 ปีหรือไม่นั้น ต้องรอความชัดเจนจากสำนักพระราชวังอีกครั้ง
2.“บิ๊กตู่” ไม่ฟันธงเลือกตั้งปี 60 หรือ 61 แต่ยันเป็นไปตามโรดแมป ด้าน “อภิสิทธิ์” ชี้แม้เลือกตั้งปี 61 ก็ไม่ได้หลุดจากโรดแมป!
ความเคลื่อนไหวสถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา สืบเนื่องจากกรณีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) คนที่ 1 ได้ออกมาระบุถึงการทำงานของ สนช.ในปี 2560 ว่า จะต้องพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 10 ฉบับ รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องอีกประมาณ 50 ฉบับ และกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีมีมติเร่งรัดเป็นพิเศษอีก 41 ฉบับ รวมทั้งหมดประมาณ 100 ฉบับ นอกจากนี้ยังมีกฎหมายที่อยู่ในบัญชีตามโรดแมปของคณะรัฐมนตรีอีกมากกว่า 100 ฉบับ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ สนช.ที่จะต้องออกกฎหมายเพื่อให้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการบริหารประเทศในปี 2560 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของโรดแมปก่อนนำไปสู่การเลือกตั้งประมาณกลางปี 2561 นั้น
ปรากฏว่า การระบุของนายสุรชัยที่ว่าจะมีการเลือกตั้งประมาณกลางปี 2561 ได้กลายเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจะเลื่อนโรดแมปหรือไม่ โดย นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(วิป สนช.) กล่าวว่า สิ่งที่นายสุรชัยระบุว่าจะมีการเลือกตั้งกลางปี 2561 เป็นประเด็นที่มีน้ำหนัก เพราะรัฐธรรมนูญระบุว่า กระบวนการพิจารณากฎหมายลูกต้องทำให้เสร็จภายใน 8 เดือน นับจากวันที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติมีผลบังคับใช้ ขณะที่ สนช.มีเวลาพิจารณากฎหมายลูก 2 เดือน และหลังจากที่ สนช.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.ซึ่งเป็นกฎหมายลูกฉบับสุดท้ายเสร็จแล้ว ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 150 วัน ดังนั้น ถ้าคำนวณตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้สูงสุด ต้องใช้เวลาอีก 15 เดือน จึงจัดเลือกตั้งได้ ช่วงเวลาเลือกตั้งจึงตกอยู่ประมาณกลางปี 2561 ตามที่นายสุรชัยระบุไว้ ไม่ใช่รัฐบาลหรือ สนช.มีเจตนาเลื่อนการเลือกตั้ง แต่ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายลูก อย่างไรก็ตาม นพ.เจตน์ กล่าวว่า การคำนวณดังกล่าวเป็นการคิดตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้สูงสุด หากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) เร่งการพิจารณากฎหมายลูก สามารถส่งมาให้ สนช.ได้ก่อน 8 เดือน อาจจะร่นเวลาการเลือกตั้งให้เร็วขึ้นได้
ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย รีบออกมาดักคอให้นายกรัฐมนตรีรักษาคำพูด โดยบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเคยกล่าวต่อหน้าผู้นำประเทศต่างๆ ถือว่าเป็นสัญญาประชาคมที่ทุกคนจะให้ความเคารพและเชื่อถือ การที่นายกฯ ระบุจะเดินหน้าตามโรดแมปและการเลือกตั้งจะมีขึ้นในช่วงปลายปี 2560 ถือเป็นคำมั่นสัญญาจากผู้นำประเทศ จึงขอฝากถึงนายกฯ ว่า ต่างชาติจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดและเฝ้ามองอยู่ว่า นายกฯ จะสืบทอดอำนาจต่อไปอีกหรือไม่
ขณะที่ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) กล่าวว่า หากการเลือกตั้งจะช้าออกไป ต้องมีเหตุผลที่ยอมรับได้ และหากจำเป็นต้องเลื่อนเพราะทำงานเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง รัฐบาลไม่ควรสนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หากรัฐบาลสามารถทำให้พนักงานได้รับเงินเดือนตรงทุกเดือน การส่งออกอยู่ในเกณฑ์ดี ก็ไม่เป็นปัญหาหากจะอยู่ต่อไป “อยากให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะจากนี้การทำงานเพื่อบ้านเมืองต้องเหนื่อย ขออย่าท้อถอย ขณะที่การทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ โดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ก็ขอให้กำลังใจ เพราะเชื่อว่าจากนี้ กรธ.อาจได้รับผลกระทบจากหลายฝ่าย จากการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ดังนั้นขอให้ทำงานโดยมุ่งประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงการเดินหน้าตามโรดแมปจะมีการเลื่อนออกไปหรือไม่ว่า ทุกคนต้องเข้าใจขั้นตอนของโรดแมปคืออะไร 1.ต้องมีรัฐธรรมนูญ 2.ต้องทำกฎหมายลูก จะกี่ฉบับตนไม่รู้ แต่มีกรอบเวลาอยู่แล้ว ถ้าทำเกินเวลาก็แสดงว่าไม่ทัน ถ้าทำเร็วกว่านั้นก็แสดงว่าทำทัน เมื่อทำกฎหมายลูกเสร็จ จะมีขั้นตอนดำเนินการในทางการเมืองเรื่องการเตรียมเลือกตั้ง จัดผู้สมัคร หาเสียง และการหาเสียงจะวุ่นวายขนาดไหนก็รู้อยู่แล้ว ซึ่งควรจะทำช่วงไหนก็ต้องดูเรื่องการเริ่มต้นหาเสียง แต่เมื่อถึงเวลาหาเสียงก็เป็นเรื่องของท่าน ตนไม่ยุ่ง หาเสียงเสร็จ เลือกตั้งเสร็จ ใช้เวลาเท่าไร ประมาณ 150 วัน จากนั้นก็มีขั้นการจัดตั้งรัฐบาล ในระยะเวลา 90 วัน ใช่ไหม นี่คือสิ่งที่เกิดมาตลอด “แล้วผมไปเลื่อนโรดแมปของท่านตรงไหน หรือถ้าทุกคนจะเอาเร็ว เอาเลือกตั้งตอนนี้ ผมถามว่าแล้วอย่างอื่นจะไปอย่างไร ไอ้คนเร่งคือใคร และเขาต้องการอะไร เขาได้พูดอย่างที่ผมพูดหรือไม่ ผมไม่ได้ไปลดขั้นตอน ถ้าผมลดขั้นตอน ไอ้นี่ก็ไม่ต้องทำ เพื่อให้เลือกตั้งเร็วๆ แล้วมันหมดไหม กฎหมายยังไม่ออกอีกเท่าไหร่ แล้วท่านก็มาบอกว่าผมไม่ทำอะไร ก็ร่วมมือกับผมสิ จะได้ลดงานให้มันเร็วขึ้น ถ้าไม่ร่วมมือก็จะเป็นอยู่แบบนี้ ถ้าทำไม่ได้ ยุทธศาสตร์ ปฏิรูปก็จะเดินไม่ได้ ทั้งนี้ ปฏิทินการเลือกตั้งเป็นไปตามขั้นตอน ถ้าจะเกิดการเลือกตั้งต้องมีกระบวนการเลือกตั้ง พรรคการเมืองต้องมีกระบวนการดำเนินการทางการเมือง แต่ถ้าให้หาเสียงวันนี้ ก็ด่ากันตั้งแต่วันนี้ ผมก็สัญญากับประชาชนว่า จะคืนความสุขให้ แต่จะเร็วหรือช้า ก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนโรดแมป เพราะโรดแมปคือโรดแมป ไม่ต้องไปฟังใครพูดอย่างนั้นอย่างนี้”
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ส่งสัญญาณว่าไม่มีปัญหาไม่ว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นในปี 2560 หรือ 2561 โดยบอก ได้เคยพูดไว้แล้วว่า ถ้านับคำนวณกันดีๆ เลือกตั้งจะเกิดปี 2560 หรือปี 2561 ได้ทั้งนั้น ไม่ได้หลุดจากโรดแมป เพราะนับหนึ่ง ตั้งแต่วันหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ สมมติว่าประกาศใช้ในเดือน ก.พ.นี้ ต้องนำตัวเลข 240 วัน 150 วันมาบวก ต้องเข้าปี 2561 ได้อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่จะเป็นปี 2560 หรือ 2561 ขึ้นกับความรวดเร็วของการทำงาน แต่มีบางกรณี เช่น ถ้ากฎหมายลูกมีปัญหา เพราะหน่วยงานต่างๆ องค์กรอิสระเห็นไม่ตรงกัน อาจจะขยับก็ได้
3.ใต้อ่วม น้ำท่วม 9 จังหวัด เสียชีวิตแล้ว 6 ด้าน มท. ยกระดับน้ำท่วมใต้เป็น “ภัยระดับ 3” ขณะที่ “บิ๊กตู่” นำ รมต.ลงใต้ให้กำลังใจ-ยันไม่ทอดทิ้ง!
สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัด ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันใน 9 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง, นราธิวาส, ยะลา, สงขลา, ปัตตานี, ตรัง, นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี และชุมพร นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) เผยเมื่อวันที่ 6 ม.ค.ว่า ภาวะน้ำท่วมใน 9 จังหวัดดังกล่าว ครอบคลุมพื้นที่ 68 อำเภอ 381 ตำบล 2,507 หมู่บ้าน มีผู้เสียชีวิต 6 ราย
ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภาวะน้ำท่วม มีรายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ว่า มีโรงเรียนในสังกัด สพฐ. และโรงเรียนเอกชนใน จ.ยะลา ปัตตานี นราธิวาส นครศรีธรรมราช ชุมพร พัทลุง ตรัง สุราษฎร์ธานี ได้รับความเสียหาย 1,467 โรงเรียน ปิดเรียนแล้ว 1,096 โรงเรียน
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย(6 ม.ค.) ว่า มีสถานพยาบาลได้รับผลกระทบแล้ว 102 แห่งใน 9 จังหวัดที่ประสบอุทกภัย และมีสถานพยาบาลที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดอีก 66 แห่ง และว่า ได้กำชับให้สถานพยาบาลจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการในพื้นที่ที่ประชาชนเข้าถึงสถานพยาบาลลำบาก โดยส่วนกลางได้สนับสนุนยาและเวชภัณฑ์ไปแล้วกว่า 2 แสนชุด
ขณะที่นายธีรวัฒน์ เดชทองคำ รองผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) เผยว่า จากการลงพื้นที่สำรวจของ กยท.พบว่า มีเกษตรกรชาวสวนยางได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยครั้งนี้แล้ว 60,338 ราย และมีพื้นที่ยางได้รับความเสียหาย 531,876 ไร่
ด้านนางวิเรขา สันตพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยว่า อุทกภัยใน 4 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ส่งผลกระทบต่อการเปิดดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ 11 ธนาคาร โดยมีสาขาที่ปิดบริการทั้งสิ้น 93 สาขา
ขณะที่ภาวะน้ำท่วมสนามบินนครศรีธรรมราช ได้ส่งผลให้ทางสนามบินต้องประกาศปิดให้บริการชั่วคราวเป็นเวลาอย่างน้อย 2 วัน คือ 6-7 ม.ค.
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้ออกประกาศยกระดับการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่(ระดับ 3) เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้มีความรุนแรงมากขึ้น
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พร้อมรัฐมนตรีบางส่วน ได้เดินทางลงพื้นที่ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 6 ม.ค. เพื่อเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยและประชุมงานด้านความมั่นคงและพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ โอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขอบคุณชาวใต้ทุกคนที่อดทนสู้กับภัยธรรมชาติมาอย่างแสนสาหัส และว่า รัฐบาลรู้ถึงความยากลำบากของชาวใต้ และไม่เคยทอดทิ้ง ไม่ว่าตัวจะมาหรือไม่มา แต่ใจมาถึง ทำงานทุกวันถึงทุกจังหวัด โดย ครม.และตนยืนยันหลักการว่า ทำงานเพื่อคน 70 ล้านคน ไม่ใช่ทำงานให้ใครคนใดคนหนึ่ง หรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งโดยเฉพาะ ทุกคนอยากให้มีถนนก็โอเค จะมีแผนรายปีไปเรื่อยๆ อะไรจำเป็นก็ทำให้ก่อน ถือเป็นคำสัญญาว่าจะทำให้
4.7 วันอันตรายปีใหม่ ตายพุ่ง 478 ศพ ด้านคมนาคมเตรียมเสนอ “บิ๊กตู่” ใช้ ม.44 เพิ่มโทษรถโดยสาร หลังรถตู้ประสานงารถปิกอัพ ดับ 25 ศพ!
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 2 ม.ค. ได้เกิดอุบัติเหตุใหญ่ รถตู้รับส่งผู้โดยสารสายกรุงเทพฯ-จันทบุรี หมายเลขทะเบียน 15-1352 กรุงเทพมหานคร มีผู้โดยสารเต็มคัน ชนกับรถปิกอัพอีซูซุ ดีแม็กซ์ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน 1 ฒณ 2483 กรุงเทพมหานคร บริเวณ กม.26-27 หมู่ 1 ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี จากนั้นไฟได้ลุกไหม้รถทั้งสองคัน หลังตำรวจ สภ.บ้านบึง ได้รับแจ้งและรุดไปยังที่เกิดเหตุ พร้อมรถดับเพลิงจากเทศบาลตำบลหนองอิรุณ และพื้นที่ใกล้เคียงรวม 3 คัน ช่วยกันดับไฟที่โหมลุกไหม้ แต่ไม่สามารถช่วยผู้ที่ติดอยู่ในรถได้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวม 25 ศพ มีผู้รอดชีวิต 2 ราย
จากการสอบสวนเบื้องต้นพยานที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ รถตู้คันดังกล่าวขับมาจาก จ.ระยอง ด้วยความเร็วสูง มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ เมื่อถึงที่เกิดเหตุคาดว่าคนขับหลับใน ก่อนพุ่งลงเกาะกลางถนน ข้ามไปฝั่งตรงข้ามและชนรถปิกอัพที่บรรทุกแรงงานชาวกัมพูชามาเต็มคันอย่างจัง ทำให้เกิดไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว
ด้านนายพิเนตร เลิศเขมทัต นายอำเภอบ้านบึง กล่าวว่า อุบัติเหตุครั้งนี้ คาดว่ารถตู้ติดก๊าซ เมื่อเกิดอุบัติเหตุชนกัน ทำให้เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นทันที โดยไม่มีผู้โดยสารออกมาจากรถได้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
ขณะที่นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี กล่าวว่า คาดว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากคนขับรถตู้อาจหลับใน ประกอบกับคนขับอายุ 64 ปี ขับรถตลอดทั้งวันและพักผ่อนน้อย อย่างไรก็ตามต้องสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง ส่วนเรื่องเงินประกันชีวิตนั้น คาดว่าผู้เสียชีวิตจะได้รับเงินคนละ 6-7 แสนบาท รวมประมาณ 16-17 ล้านบาทเศษ
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ไม่พอใจกรณีเกิดเหตุรถตู้ชนรถปิกอัพจนมีผู้เสียชีวิต 25 ราย โดย พล.อ.ประยุทธ์แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ว่า จากนี้เป็นต้นไป ภายใน 3 เดือน จะดำเนินคดีกับรถ คนขับ รถไม่ได้มาตรฐาน รถตู้ที่บรรทุกเกินกำหนด รถโดยสารประจำทางทั้งหมดที่ให้บริการ จะต้องมีสมุดประจำรถ ลงชื่อคนขับ เวลาขับทุกเส้นทาง โดยด่านตรวจทุกด่านจะต้องตรวจทั้งหมด ถ้าขับเกินเวลาต้องยึดรถ เอาคนลง แล้วหารถใหม่ คนขับใหม่ จะใช้มาตรการนี้เข้มงวดใน 3 เดือน ก่อนถึงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ปีนี้
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า “อย่าโวยวาย ถ้าใครวิ่งไม่ได้ เดี๋ยวผมหารถมาวิ่งเอง รถพวกนี้เป็นรถร่วมบริการทั้งสิ้น ถ้าทุกคนต้องการความปลอดภัย ต้องร่วมมือกับผม ถ้าไม่อยากให้มีการตายมาก เพราะวันนี้ทำเต็มที่แล้ว มีด่านมากกว่าปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่มากกว่าปีที่แล้ว ยึดรถเป็นหมื่น แล้วต้องมาดูแลรักษารถอีก แล้วยังบาดเจ็บสูญเสียอีก ผมรับไม่ได้ ตายคนเดียวผมก็รับไม่ได้ คนบาดเจ็บ สูญเสียคือใคร พ่อแม่ ครอบครัว ลูกเมีย อนาคตหายไปทั้งหมด ความหวังของครอบครัวหมดไปทั้งสิ้น เรื่องของการใช้รถตู้เหมือนกัน รถตู้ต้องอยู่ในกรอบกติกา รถตู้ป้ายเหลืองไม่ใช่ปล่อยปละละเลย วันหน้าต้องเป็นป้ายรถขนส่งทั้งหมด ถูกต้องตามกฎหมาย 100% ถามกันทุกปีมาตรการ ระเบียบ มาตรฐานความปลอดภัย ทำแล้วกัน ถ้าไม่ทำมีเรื่องแน่ จะเข้มงวดแล้ว”
ขณะที่นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เผยว่า ได้เตรียมเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ให้ใช้มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.เพิ่มบทลงโทษแรงขึ้น และออกกฎหมายเอาผิดกับผู้ขับรถโดยสารสาธารณะและผู้ประกอบการที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจราจร จนก่อให้เกิดอุบัติเหตุและการสูญเสียชีวิต เพื่อกระตุ้นเตือนให้ผู้ประกอบการให้ควบคุมผู้ขับขี่อย่างเคร่งครัดมากขึ้น คาดว่าน่าจะสามารถออกคำสั่งดังกล่าวได้ภายในเดือน ม.ค.นี้ นอกจากนี้กระทรวงฯ ยังได้ออกมาตรการระยะเร่งด่วน เพื่อควบคุมและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินรถตู้ ประกอบด้วย 1.ติดตั้งระบบติดตามการเดินรถผ่านดาวเทียม(จีพีเอส) ซึ่งรถตู้ทุกคันจะต้องติดตั้งระบบจีพีเอสให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 31 มี.ค.2560 เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลการเดินรถไปยังกรมการขนส่งทางบก ในการติดตามและควบคุมการขับขี่ให้อยู่ในความเร็วที่กำหนด 2.ติดตามสภาพความพร้อมของรถตู้ โดยกรมการขนส่งทางบกจะจัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่ในการตรวจเช็กสภาพความพร้อมของรถตู้และสภาพร่างกายของคนขับ ทั้งนี้ รถตู้ทุกคันทั่วประเทศจะต้องเข้าไปจอด ณ จุดจอดในสถานีขนส่งทั้งหมด ไม่ให้มีการไปวิ่งรับคนนอกสถานีขนส่งอีกภายในเดือน ก.พ.นี้ 3.การจำกัดชั่วโมงของผู้ขับขี่รถตู้ จะต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อการพัก 10 ชั่วโมง 4.การควบคุมผู้ประกอบการรถตู้ โดยจะต้องมีความเข้มข้นและเข้มงวดมากขึ้น ต่อไปต้องกำหนดโทษผู้ประกอบการรถตู้ด้วย
ขณะที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เผยยอดอุบัติเหตุที่เกิดในช่วง 7 วันอันตราย 29 ธ.ค.2559-4 ม.ค.2560 ว่า เกิดอุบัติเหตุรวม 3,919 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม 478 ราย ซึ่งมากกว่าผู้เสียชีวิตในช่วง 7 วันอันตรายของปีก่อนหน้า 98 ศพ ผู้บาดเจ็บ 4,128 ราย สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ เมาสุรา ร้อยละ 36.59 ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 31.31 สำหรับยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด คือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 81.82 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ 16.01-20.00 น. ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด คือ ชลบุรี ส่วนจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเลยมี 4 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอน ยะลา ระนอง และสตูล
5.สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยโดนแล้ว ถูก “เอเอฟซี” สั่งปรับ 1 ล้าน เซ่นแฟนบอลจุดพลุแฟลร์ ด้านอินโดนีเซีย โดนหนักกว่าไทย ถูกปรับ 2.4 ล้าน!
หลังจากการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016” รอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 ที่ทีมชาติไทย พบกับอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีแฟนบอลจำนวนหนึ่งได้จุดพลุแฟลร์ในสนามราชมังคลากีฬาสถานนั้น ล่าสุด คณะกรรมการวินัยสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย(เอเอฟซี) ได้ทำหนังสือถึงสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย แจ้งบทลงโทษกรณีดังกล่าวแล้ว โดยให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย จ่ายค่าปรับ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1 ล้านบาท สำหรับการละเมิดกฏบระเบียบข้อบังคับทางวินัยของเอเอฟซี และให้จ่ายค่าปรับดังกล่าวภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งคำสั่งนี้ พร้อมกันนี้ เอเอฟซียังเตือนสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยด้วยว่า หากมีการละเมิดข้อบังคับดังกล่าวซ้ำอีก จะถูกลงโทษรุนแรงกว่าเดิม
ด้านนายพาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศและโฆษกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย กล่าวถึงบทลงโทษดังกล่าวว่า ถือเป็นบทลงโทษขั้นต้นสำหรับเรื่องนี้ ซึ่งอาจมีบทลงโทษที่หนักขึ้นตามมาในภายหลังหากเกิดปัญหาซ้ำซ้อน “ที่ผ่านมา ทางสมาคมฯ ทำงานอย่างหนัก เพื่อชี้แจงเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการวินัยของเอเอฟซีเข้าใจว่า เราจริงจังกับการแก้ปัญหานี้ ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมข้อมูลจากทั้งตำรวจและฝ่ายจัดการแข่งขัน รวมถึงทำแผนการรับมือปัญหาดังกล่าวให้ทางเอเอฟซีพิจารณาเพิ่มเติมด้วย อย่างไรก็ดี ทางเอเอฟซีได้ย้ำเตือนมาอีกด้วยว่าหากเกิดขึ้นในการแข่งขันของฟีฟา และเอเอฟซีครั้งต่อไป จะมีการลงโทษในขั้นที่สูงกว่าการปรับเงิน เพื่อไม่ให้ปัญหาในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต สมาคมฯ ต้องขอความร่วมมือจากแฟนบอลทุกท่านให้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของฝ่ายจัดการแข่งขัน รวมถึงหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ผิดข้อบังคับทั้งหมด เพื่อไม่ให้มีบทลงโทษที่รุนแรงกว่าเดิมจากทางเอเอฟซีในภายหลัง”
ทั้งนี้ "เอเอฟซี" ได้ลงโทษสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียเช่นกัน หลังแฟนบอลจุดพลุแฟลร์ถึง 2 ครั้ง ภายในสนามระหว่างการแข่งขัน "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016" ที่ทีมชาติไทยคว้าแชมป์ และ อินโดนีเซียรับตำแหน่งรองแชมป์ โดยอินโดนีเซียถูกปรับหนักกว่าไทย ถูกปรับเป็นจำนวน 65,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.4 ล้านบาท