อดีตพนักงานออฟฟิศที่คลุกคลีอยู่กับเบเกอรี่มาโดยตลอด จนผันตัวเองมาสู่เจ้าของผลิตภัณฑ์ขนมปังเพื่อสุขภาพในนามแบรนด์ The Oven Farm ซึ่งกำลังเป็นอาหารทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยมีผลิตภัณฑ์ในสต็อกมากถึง 100 ชนิด
“ปอ-ไธวดี ศุภโรจน์” เรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์การอาหาร (Food Science) ก่อนเข้าไปเรียนและฝึกทำเบเกอรี่ที่โรงเรียนวิชาการโรงแรมแห่งโรงแรมโอเรียนเต็ล (OHAP) จึงทำให้ชื่นชอบการทำขนมเป็นชีวิตจิตใจ จนกระทั่งได้มาทำงานประจำ และมีโอกาสทำขนมออกมาขาย แต่สุดท้าย เธอก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำขนมจนกลายเป็นกิจการที่โตวันโตคืน
หลังจากออกจากงานประจำ เธอก็ได้รับโอกาสดีๆ จากคุณหมอที่รักษาแนวทางของธรรมชาติบำบัดให้ทำขนมปังเพื่อสุขภาพ โดยมีโจทย์มาให้เป๊ะๆ ว่า ห้ามใส่นม เนย มาการีน ไข่ น้ำมันและสารต่างๆ และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ แบรนด์ “The Oven farm” มีผลิตภัณฑ์ที่ทำออกมาเพื่อตอบโจทย์คนรักสุขภาพกว่า 100 ชนิด!
• ก่อนจะมาเป็นแบรนด์ The Oven farm
6 ปีที่แล้ว ปอเป็นพนักงานบริษัท เราเรียนจบมาทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหารหรือเรียกว่าฟู้ดไซน์ (Food Science) ส่วนตัวปอชอบทางด้านการทำขนมอยู่แล้วด้วย หลังจากเรียนจบเราก็เลยไปลงเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับเบเกอรี่ที่โรงเรียนวิชาการโรงแรมแห่งโรงแรมโอเรียนเต็ล หรือ OHAP ซึ่งตอนนี้เขาก็มีเปิดสอนอยู่นะคะ ใครสนใจทางด้านเบเกอรี่ก็จะได้ลงไปขลุกอยู่ในครัวเบอเกอรี่เลย ไปขลุกอยู่กับพนักงานเลยค่ะ ได้ทั้งเรียนและปฏิบัติจริงไปด้วย และตอนนั้น ปอโชคดีที่อายุเข้าเกณฑ์แล้วก็สอบผ่าน เลยได้เข้าไปเรียน อายุประมาณ 23-24 ปี เราก็เข้าไปเรียนอยู่ 1 ปี เรียนไปด้วยเป็นพนักงานฝึกหัดไปด้วย
พอเราทำเบเกอรี่เป็น เราก็ยังอยากทำงานเกี่ยวกับด้านนี้อยู่ หลังจากนั้นก็เลยลองไปสมัครงาน เพราะเราอยากมีประสบการณ์ทางด้านที่เราเรียนมาด้วย เลยได้เข้าไปทำงานโรงงานเกี่ยวกับเบเกอรี่ ซึ่งที่ผ่านมาเราจะคลุกคลีอยู่กับเบเกอรี่ทั้งหมดเลย อย่างที่โรงงานก็จะอยู่ในแผนกคนคิดค้นสูตรเบเกอรี่ ถ้าเป็นวิเคราะห์คุณภาพก็จะอยู่ในกลุ่มวิเคราะห์เบเกอรี่ จะอิงๆ เกี่ยวกับด้านนี้ตลอดค่ะ
ทำงานประมาณ 4 ปีได้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาพอสมควรระหว่างที่ทำงานที่สุดท้าย ตอนนั้นก็ใกล้ปีใหม่แล้วเราก็เลยลองทำเบเกอรี่ขายเองดู โดยเริ่มจากขายให้ญาติ ขายให้เพื่อน ขายให้เพื่อนแม่ เน้นขายคนใกล้ตัวก่อน ผลปรากฏว่าก็ขายดี เลยคิดว่ามันน่าสนใจกว่าการทำงานบริษัทแล้ว ตอนนั้นเลยตัดสินใจออกจากงานเลยค่ะ อีกอย่าง เราไม่ได้ไปยืมเงินใครมาทำ เก็บเล็กผสมน้อยซื้อเครื่องทำขนมทีละตัว ด้วยตัวเอง แต่ตอนนั้นยังเป็นเบเกอรี่ปกติอยู่นะคะ ไม่ใช่เพื่อสุขภาพอย่างทุกวันนี้
• แล้วมาเริ่มทำขนมปังเพื่อสุขภาพตอนไหนอย่างไร
ที่เปลี่ยนมาเป็นสไตล์สุขภาพ เพราะเราได้ไปรับโจทย์จากคุณหมอที่เป็นญาติๆ กัน ซึ่งคุณหมอเขาจะรักษาแนวทางของธรรมชาติบำบัดอยู่แล้วด้วยค่ะ คุณหมอเห็นว่าปอออกจากงานมาทำเบเกอรี่ขาย เขาเลยอยากให้เราลองไปทำให้เขาหน่อย อันนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เราได้โอกาสดีๆ จากทางสถาบันที่รักษารักษาในแนวทางเกี่ยวกับธรรมชาติบำบัด
ตอนนั้นเราได้รับโจทย์หนึ่งมาก็คือผู้ป่วยเขาอยากมีทางเลือกในการรับประทาน คุณหมอก็เลยถามมาว่าทำได้ไหม เบอเกอรี่ไม่ใส่ผงชูรส ไม่สารสารปรุงแต่ง ไม่ใส่สี ไม่ใส่กลิ่น ไม่ใส่สารเสริมคุณภาพต่างๆ ฯลฯ ซึ่งสารเหล่านี้ผู้ป่วยไม่สามารถทานได้เพราะถ้ามีสารต่างๆ เหล่านี้ ร่างกายจะต้องมาจำกัดสารพวกนี้ที่ร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้ออกไป ส่งผลให้ระบบร่างกายอาจจะต้องทำงานหนัก ซึ่งปกติผู้ป่วยที่เป็นโรค เขาก็ไม่ควรที่จะรับสารพวกนี้ให้เป็นภาระ เราก็เลยได้โจทย์ท้าทายนี้มาว่าทำได้ไหม
• ตอนนั้นตีโจทย์ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์อะไรบ้างคะ
ยอมรับนะคะว่าข้อห้ามเยอะมาก (หัวเราะ) ห้ามใส่สารต่างๆ ทั้งสารเสริมคุณภาพ ผงชูรส กลิ่น รส น้ำมัน ไขมัน มาการีน เนยขาว ไข่ ถั่ว เพราะผู้ป่วยเขาต้องจำกัดสิ่งพวกนี้ ให้รับเข้าไปน้อยที่สุด อย่างเมล็ดงา คุณหมอก็ห้ามรับประทาน เพราะว่าเมล็ดงาเป็นเมล็ดพืชที่ให้น้ำมัน เราก็เลยเอาสูตรมาตัดสิ่งที่ห้ามและไม่ควรใส่ออกไป ก็ทำออกมาแบบนั้นเลยค่ะ ก็ลองผิดลองถูกอยู่เยอะเหมือนกัน มีเอาฝรั่งผลมาทำ ฟักแม้วมาลองทำ ผ่านบ้างไม่ผ่านบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยผ่านนะคะ เพราะมันดูประหลาดเกินไป
พอเราไม่ใส่สารพวกนี้ ก็ทำให้ขนมปังดูไม่น่ากิน ไม่น่าสนใจ เราเลยต้องใส่ความเป็นธรรมชาติเข้าไป ด้วยการนำวัตถุดิบจากธรรมชาติมาทำ ปอก็ทำตามโจทย์เลยนะคะแต่เราไม่เคยทำขนมเพื่อสุขภาพมาก่อน จนได้ออกมาเป็นขนมปัง 3-4 อย่าง จะมีแค่ขนมปังฟักทอง ขนมปังแครอท ขนมปังผักโขม และกล้วยน้ำว้า ซึ่งกระแสตอบรับกลับมาตอนนั้นก็ดีนะคะ เขาดีใจกันมากที่มีขนมให้เลือก มีแค่นี้เขาก็แฮปปี้มากแล้ว
ตอนนั้นเราก็เลยผลิตทั้งสองอย่างเลย ทั้งแบบปกติและแบบสุขภาพ เพราะว่าแบบสุขภาพ เราก็รู้จักแค่ว่าส่งที่ร้านคุณหมอ เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปวางขายที่ไหน เนื่องจากสมัยนั้นเขาก็ยังไม่ได้รู้จักกันมากเท่าไหร่ แล้วมันจำเป็นหรือที่คนสุขภาพปกติจะต้องกินอะไรที่มันไม่มีไขมัน ไม่มีนม เนย ไม่มีน้ำมัน
• แล้วมาจริงจังกับการขายขนมปังสุขภาพอย่างเดียวตอนไหนคะ
พอเราไปเดินตลาดแล้วเห็นอะไรที่มันน่าสนใจ เราก็จับเอามาทดลอง แล้วก็ปรับเปลี่ยนสูตร ปกติ เราใส่ฟักทอง เราก็ดึงออกมาใส่เป็นมันเทศแทน หรืออย่างวันนี้ เราเห็นแตงโมก็จะลองเอาแตงโมมาใส่ เราจะทดลองแบบนี้ตลอด ผ่านบ้างไม่ผ่านบ้าง บางทีกินไม่ได้ก็มี จากที่ขายให้กับผู้ป่วยอย่างเดียว ตอนนั้นจากที่ทำอยู่สองอย่าง เราเลยคิดว่าถ้าเรามาทำในด้านของสุขภาพอย่างเดียวเลย น่าจะดีกว่า เพราะคู่แข่งน้อยด้วย ตอนนั้นก็จะมีขนมปังพวกโฮลวีทธรรมดา ยังไม่ค่อยมีใครเอาธรรมชาติมาผสม เราเอาวัตถุดิบจากธรรมชาติมาผสม มันก็เลยได้สีที่สวย ดึงดูด ก็ตัดแบบปกติออกไปเลย ทำขนมเพื่อสุขภาพแค่อย่างเดียว
ตอนนั้นที่ปอทำขนมปังสุขภาพ ปอเริ่มจากทำเอง มีลูกมือแค่คนเดียว ทำในครัว ทำส่งกันตามปกติ วันที่เราอยากเอาไปขยายตลาด ตอนนั้นก็คิดนะคะว่าจะขายร้านไหนดี เลยมาคิดว่าเอาไปวางขายร้านอาหารเจหรืออาหารมังสวิรัติดูไหม เพราะมันน่าจะตรงกลุ่มเป้าหมายดี เลยลองเอาไปเสนอคนสุขภาพปกติเลยนะคะ แต่จะเป็นกลุ่มคนที่ทานเจและมังสวิรัติ ตอนนั้นเราก็ไปตั้งโต๊ะหน้าเดียวก่อน เริ่มจากร้าน “คุณเชิญ มังสวิรัติ” (สุขุมวิท 42) ซึ่งเจ้าของร้านก็ใจดีมากเลยนะคะ ให้เราไปตั้งโต๊ะขาย ให้ลูกค้าเขาได้ชิมก่อน ตอนนั้นก็เริ่มมีหลายไส้ขึ้นมาแล้ว จากขนมปังแค่ 4 อย่าง ก็จะเริ่มมีเป็นโรลเผือก โรลมัน ใส่อะไรต่อมิอะไร เริ่มมีสินค้าเยอะขึ้น ผลปรากฏว่าเราไปยืนขาย มันก็ขายได้ดี อาจจะเป็นเพราะมันแปลกใหม่ด้วยมั้งคะ หลังจากนั้นเราก็ได้วางขายร้านคุณเชิญแล้วคุณเชิญก็แนะนำให้ไปส่งตามที่ต่างๆ ที่เป็นร้านสุขภาพ ก็โอเคเป็นที่ตอบรับ แต่อาจจะยังไม่ได้เยอะมาก แต่มันก็สามารถขายได้ค่ะ
เราทำอย่างนั้นมาเรื่อยๆ กระทั่งร้านสุขภาพเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น เริ่มมีคนเปิดร้านสุขภาพกันเยอะขึ้น เราก็เริ่มเอาไปลงขายเรื่อยๆ หลังจากนั้นผ่านมา 5 ปี ก็เป็น The oven Farm อย่างทุกวันนี้ค่ะ (ยิ้ม)
• นับว่าแบรนด์ The Oven Farm นำวัตถุดิบจากธรรมชาติมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ อีกทั้งไม่ใส่สาร ตรงนี้เป็นจุดเด่นของทางร้านเลยใช่ไหมคะ
เราตั้งใจทำให้มันสดใหม่จริงๆ ปอว่ามันเป็นข้อดีของเราเลยนะคะ เราทำอย่างสดใหม่และตั้งใจคัดสรรวัตถุดิบให้กับลูกค้า เจ้าอื่นๆ ปอว่าเขาก็น่าจะทำเหมือนกัน เพราะคงไม่มีใครไม่อยากทำอะไรดีๆ ให้กับลูกค้าหรอกค่ะ ซึ่งเราก็นึกไม่ออกว่าเราดีกว่าคนอื่นยังไง เพราะเบเกอรี่มันเป็นอะไรที่ไม่ได้ยาก เป็นเหมือนงานศิลปะที่ใครก็สามารถทำได้เราก็เลยไม่คิดว่าเราจะดีไปกว่าคนอื่น แต่ที่เรามั่นใจเรามั่นใจวัตถุดิบ อย่างบีทรูท เราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาบีทรูทที่เก็บมารักษามายังไง แต่ของเรามั่นใจได้เลยว่ามันใหม่จริงๆ ฟักทองเราปอกวันนี้แล้วทำวันนี้เลย ไม่ได้แช่แข็ง ไม่ได้เอาฟักทองที่ตกเกรดหรืออะไรมาเลย ซึ่งเรามั่นใจของเราจริงๆ
อย่างผลผลิตก่อนที่เราจะได้สินค้าของเจ้านั้นๆ มา อย่างเช่นข้าว เราต้องมั่นใจว่าเป็นข้าวของเจ้านี้ เพราะว่าถ้ามันผิดเจ้าไป สมมติว่าเราสั่งข้าวสีนิลมา ถ้ามันไม่ใช่เจ้าที่เราไว้ใจ มันจะมีปน มีเศษหิน เราก็ต้องเอาที่ดีๆ สวยๆ มา ซึ่งมันจะมีพันธุ์ของมัน ตรงนี้มันเป็นเรื่องของความปลอดภัยของผู้บริโภคด้วยว่าเคี้ยวไป กลัวว่าเขาจะเจอหิน หรืออย่างลูกเดือย เรารับจากที่เขาคัดมาแล้วนะคะ แต่ถ้าเราไม่มั่นใจ เราก็ต้องคัดอีกรอบก่อนที่จะใช้ทั้งๆ ที่เขาคัดมาแล้ว
คอนเซ็ปต์ของเราคือจะใช้วัตถุดิบที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่ใช้แบบสำเร็จรูป ถ้าใช้แบบสำเร็จรูป เราจบแล้ว ไม่ต้องมานั่งคัด ง่ายกว่าเยอะด้วย แต่เราก็ไม่รู้ว่าถ้ามาแบบสำเร็จรูป อย่างลูกเดือยผง เขาเอาอะไรมาทำให้เรา มาจากลูกเดือยไม่ดี ขึ้นมอดหรือเปล่า เราไม่เอาแบบนั้น พอเราใช้วัตถุดิบธรรมชาติที่มันไม่ใช่สำเร็จรูป เราก็จะต้องมีการปรับทุกวัน เพราะว่าฟักทองมันไม่ได้เหมือนกันทุกล็อต ทุกลูก เพราะฉะนั้น ในไลน์การผลิตจะต้องมีความชำนาญมาก มันเลยเป็นเรื่องของศิลปะผสมกับวิทยาศาสตร์ด้วยที่จะทำให้ขนมปังออกมาเหมือนกันทุกวัน อย่างปอเคยทำรสส้ม แต่ตอนนี้ต้องเลิกผลิตไปเพราะว่าส้มมันมีความไม่สม่ำเสมอในแต่ละล็อต เราไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้ เราเลยต้องคัดออกไปอย่างน่าเสียดาย
มีครั้งหนึ่ง ปอเคยดันสับปะรด แต่ไส้นี้อวสานไปแล้ว เพราะเราไม่สามารถทำการตลาดให้ลูกค้าเข้าใจได้ แต่ความจริงมันอร่อยมากนะคะ ถ้าใครได้กิน พอเห็นเป็นไส้สับปะรด ทุกคนจะคิดในหัวว่ามันจะต้องหวานเหมือนสับปะรดกวน แต่มันก็ต้องจบไป ซึ่งมันก็ยากนะคะ หรือบางไส้ก็จะมีตามฤดูกาล อย่างลูกตาล เราก็จะเอาเฉพาะเจ้าเหมือนกัน เราจะไม่เอาเจ้าอื่นเพราะกลัวฟอกให้มันขาว ถ้าฟอกขาวเราก็ไม่เอา เราจะเข้าไปแหล่งผลิตตอนแรก ไปคุยกับเขาเลยว่าเราต้องการยังไง ต้องลงไปคุยกับเกษตรกรเลย เราต้องการสิ่งที่ดีจริงๆ
บางที เราต้องเลือกนะ ระหว่างเงินกับจรรยาบรรณ จริงๆ ปอหวังกำไรนะ แต่เราก็ทำไม่ได้ที่จะไปลดต้นทุน อย่างผักโขม เราก็ใช้จากเลมอนฟาร์มเลยค่ะ ได้ความสะดวกด้วย สดใหม่ด้วย เขาคัดมาแล้ว จริงๆ มันก็ต้นทุนสูงแหละค่ะ ได้อะไรหรือเปล่าไม่รู้ ก็ถัวเฉลี่ยกันไป เพราะเป้าหมายของเราจะเอาของดีจริงๆ ซึ่งเราบอกไม่หมดหรอกว่ามันดียังไง แต่ว่ามันเป็นจรรณยาบรรณของผู้ผลิต ซึ่งบางทีมันอาจลดต้นทุนถูกจริงนะคะ แต่ถามว่ามันดีไหม มันไม่ดีแน่ๆ ทำออกไปลูกค้าไม่รู้หรอก แต่เรารู้ไงคะ มันอยู่ในใจเรา ถ้าเราไม่กิน ก็อย่าไปทำให้คนอื่นเขากินจะดีกว่า
• ตั้งแต่ทำมา มีอุปสรรคอะไรบ้างไหมคะ
มีหลายเรื่องมากเลยนะคะ จริงๆ ก็เหมือนกับธุรกิจทั่วไปที่เขามีอุปสรรคกัน แต่ของปอจะมีปัญหาเรื่องการขนส่ง เพราะทุกร้านที่เราส่ง เขาอยากได้ขนมปังตอนเช้ากันทั้งหมด ซึ่งมันยากมากเลยที่จะส่งขนมให้ตรงเวลาพร้อมกัน อีกอย่างจะมีอุปสรรคในเรื่องของอายุสินค้าที่เราพยายามแก้ แต่ก็ยังแก้ไม่ได้ เพราะว่าขนมปังของเราไม่ได้ใส่สารกันบูด พอไม่ได้ใส่สารกันบูด อายุสินค้าก็เลยจะสั้นมาก สั้นในที่นี้คือทำวันนี้สามารถเสียได้วันนี้เลย เราตั้งใจทำสิ่งที่ดีออกไป แต่บางทีอากาศมันร้อนมาก มันก็เสีย อย่างเคยมีลูกค้าคนหนึ่งเก็บขนมไว้ในรถ ซื้อวันนั้นขึ้นราได้ตอนเย็นวันนั้นเลย เพราะว่าทิ้งไว้ในรถที่มันร้อนมาก
ตรงนี้เป็นอุปสรรคจริงๆ นะคะ ถึงแม้ว่าจะผลิตมาได้ 5 ปีแล้ว แต่การตลาดเราก็ยังไม่ได้เข้าถึงลูกค้าทุกคน เขาไม่รู้ว่าขนมเรานี่มันเซ้นซิทีฟกับดินฟ้าอากาศมาก เราไม่ได้ใส่สาร เพราะเป็นปณิธานของเราอยู่แล้วว่าไม่ใส่สาร ซึ่งถ้าเราใส่สารก็จบ สบาย แต่เราไม่ใส่ แล้วบนแพจเกจจิ้ง เราก็เตือนแล้วว่าให้เก็บในตู้เย็น แต่บางทีลูกค้าอาจจะไม่ได้อ่านก็เป็นปัญหาของเรา อีกอย่าง เราทำแบบหวานน้อยด้วย ปกติความหวานมันจะช่วยแช่อิ่ม ช่วยยืดอายุได้ แต่ปริมาณที่เราใส่ไป เหมือนไม่ได้ใส่ ถ้าวัตถุดิบหวานอยู่แล้ว เราก็ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม มันเลยเสียง่าย เสียเร็ว พร้อมที่จะเสียตลอดเวลา ซึ่งเราเจออุปสรรคอย่างนี้ เราเลยคิดว่าเราจะผลิตของที่อย่างน้อยเก็บได้ 2-3 วันก็ยังดี เพื่อมาทดแทนผลิตภัณฑ์ที่เสียง่าย พอเจอออุปสรรคเยอะก็มีบ้างนะคะที่เราไม่อยากไปต่อ แต่พอเรานึกถึงลูกค้าขึ้นมา เราไม่สามารถหยุดทำได้ มันก็ต้องทำต่อไป
• หลายคนมักบอกว่าผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่ถูกออกแบบมาเพื่อสุขภาพมักจะไม่อร่อย ตรงนี้คิดเห็นอย่างไรบ้างคะ
ปอว่ามันอร่อยสู้ขนมปังแบบปกติไม่ได้อยู่แล้ว ต้องยอมรับ แต่ว่าเวลาที่เรารับประทานเข้าไปแล้วมันดีต่อเรา อย่างปอมีลูก ปอก็จะไม่ให้ลูกทานขนมปังยี่ห้ออื่น จะให้ทานแต่ขนมปังของตัวเอง เพราะเรารู้ว่ามันมีที่มายังไง เราผลิตเอง เรารู้ว่าเราใส่อะไรลงไป มันสามารถให้ลูกเรารับประทานได้อย่างมั่นใจด้วย
ส่วนเรื่องรสชาติ ปอว่าคนที่เคยรับประทานแบบอร่อยมา เปลี่ยนยากนะคะ จนกว่าจะมีอะไรที่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้ อาจจะต้องป่วยก่อนหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ปอว่าสำหรับเด็กๆ หรือคนรุ่นใหม่ ถ้าหันมาดูแลสุขภาพตั้งแต่ยังเด็ก อย่างลูกปอขวบกว่าๆ ลิ้นเขาไม่ต้องทานหวานมาก เขากินได้หมดทุกรสเลยนะคะ ซึ่งเราสามารถฝึกได้ตั้งแต่ยังเล็กเลยค่ะ ก็ดีต่อสุขภาพเขาด้วย จริงๆ รสชาติมันไม่ได้แย่นะคะ แต่ถ้าถามว่ามันอร่อยสู้กับแบบธรรมดาที่หอมเนยหอมนมไหม มันสู้ไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าวัดในเรื่องสุขภาพเราไม่ได้ใส่สารสังเคราะห์ลงไปมันก็น่าจะดีว่า แต่จริงๆ แล้วนมเนยมันก็ไม่ใช่สารสังเคราะห์อะไรนะคะ จริงๆ มันมีประโยชน์ถ้าเรากินในปริมาณที่จำกัด แต่ที่เราทำอย่างนี้ขึ้นมาก็เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งของลูกค้า ซึ่งมันก็เป็นส่วนน้อยนะคะ ลูกค้าก็กลุ่มเฉพาะมากๆ ค่ะ
อย่างตัวปอกินนมเนยไหม ปอก็กินนะคะ เพราะปอไม่ต้องจำกัดการรับประทานอะไร ของคนอื่นเราก็ทาน ของตัวเองเราก็ทาน แต่เราทำผลิตภัณฑ์นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าว่าวันนี้เขาอยากรับประทานแบบสุขภาพก็ได้ แต่ถ้าวันไหนรีบเร่งจะต้องซื้อแบบปกติกินเพื่อให้อิ่มท้อง ปอก็ว่าไม่ได้ผิดอะไรนะคะ แต่ถ้ารับประทานที่มีสารต่างๆ ทุกวัน มันก็จะสะสม ร่างกายเราก็จะต้องทำงานหนัก เพื่อที่จะกำจัดมันออก ส่วนตัวปอก็จะเลือกทาน ถ้าสินค้าไหนมีสารเยอะๆ ก็จะไม่กิน แต่ถ้าเลือกไม่ได้จริงๆ ก็จะทานบ้างค่ะ
• ในฐานะที่อยู่ในแวดวงสินค้าเพื่อสุขภาพ มองกระแสสุขภาพปัจจุบันยังไงบ้างคะ
รู้สึกดีที่ว่าคนหันมารักสุขภาพมากขึ้น ตอนนี้ไม่ใช่เฉพาะคนสูงอายุนะ เพราะกลุ่มคนรักสุขภาพมีตั้งแต่อายุน้อย ตั้งแต่เด็กมัธยม เด็กมหาวิทยาลัย เด็กๆ จะเริ่มจากกลัวอ้วนก่อน ปอมองว่าก็เป็นเรื่องที่ดีนะคะ กระแสการรักสุขภาพ อีกอย่างมันก็เป็นช่องทางที่ดีสำหรับธุรกิจด้วย ธุรกิจต่างๆ ก็จะสามารถเกิดขึ้นมาได้เพราะสินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพก็ยังมีไม่เยอะมาก มันสามารถทำให้เขาคิดค้นอะไรขึ้นมาใหม่ๆ เกี่ยวกับสุขภาพได้เยอะเลยค่ะ (ยิ้ม)
• คิดว่าสิ่งที่เราทำ ตอบโจทย์อะไรกับคนรักสุขภาพอย่างไรบ้าง
แรกๆ ยังไม่ได้เล็งเห็นอะไรเกี่ยวกับสุขภาพนะคะ จะรู้สึกแค่ว่า เราเป็นคนทำขนมแล้วเรารู้สึกสนุกที่ได้ทำขนม ยังไม่ได้มองตลาดอะไรไว้เลย เหมือนขายไปเรื่อยๆ มีคนมาสนใจ มาสั่งซื้อ เขาอยากขาย อยากเป็นตัวแทนจำหน่าย ซึ่งมันก็ไปของมันได้เรื่อยๆ ไม่ได้มองเรื่องคู่แข่ง มองเรื่องสุขภาพ แต่เรามองว่ามีคนสนใจ เหมือนเราได้ฟี้ดแบ็คกลับมาว่ามีคนสนใจ ได้ขยายไปเรื่อยๆ พอสักระยะก็เริ่มมีคนเปิดร้านสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปอโตมากับร้านสุขภาพที่ตอนนี้มีเยอะมาก เราก็ส่งขายกันไป จากกลุ่มลูกค้าคุณหมอตอนนี้ก็ขยายกว้างไปยังคนปกติด้วยก็รู้สึกดีที่ได้มาทำตรงนี้ค่ะ
สิ่งที่เราทำ ปออยากทำเพราะอยากให้เป็นทางเลือกให้เขา เพราะผลิตภัณฑ์ของเราตั้งใจในการเลือกวัตถุดิบที่ดี กระบวนการผลิตที่ดี สดใหม่ ผลิตวันนี้พรุ่งนี้เช้าเราส่งแล้ว เราผลิตวันต่อวัน ไม่เก็บสต็อกไว้นานๆ ของสดสัปดาห์หนึ่ง เราจะลง 2-3 รอบ เราจะไม่ให้มันค้างสต็อก และพยายามให้มันขายหมดในวันหรือสองวัน ไม่ให้ค้างไว้ เราตั้งใจในการคัดเลือกวัตถุดิบต่างๆ อย่างวัตถุดิบ ถ้าเราเลือกแบบออร์แกนิกได้ เราก็จะเลือก ถ้าไม่ได้ เราจะเอาแบบปลอดสารพิษ แต่ถ้าไม่ได้อีกจริงๆ เราจะใช้วัตถุทั่วไป แต่เราจะเอามาผ่านกระบวนการทำความสะอาดให้ดีแล้วถึงเอามาเข้าไลน์การผลิต เราก็เลยมั่นใจว่าเราจะผลิตสิ่งที่ดีๆ สดใหม่ออกสู่ตลาดให้ผู้บริโภคได้รับประทานกัน ลูกค้ามีอะไรสงสัย ก็สามารถสอบถามเราได้โดยตรง นอกจากเราจะตอบโจทย์ที่เริ่มจากผู้ป่วย มาเป็นคนรักสุขภาพแล้ว เรายังตอบโจทย์กลุ่มคนที่แพ้อาหารบางชนิดด้วย อย่างบางคนแพ้ถั่ว แพ้นม แพ้เนย แพ้ไข่ เราก็จะมีทางเลือกให้เขามากขึ้น
ถามปอว่าตอบโจทย์คนป่วยโดยตรงไหม ปอว่าผลิตภัณฑ์เราก็เหมือนสลัดดีๆ สักจาน ถามหมอว่าสลัดจานนี้ดีต่อผู้ป่วยไหมหมอเอง ก็คงบอกว่ามันก็คงเป็นทางเลือก ซึ่งผลิตภัณฑ์เราผู้ป่วยสามารถทานได้ค่ะ เพราะเราไม่ได้ใส่สารต่างๆ เข้าไปเพิ่มให้ร่างกายทำงานหนัก เพราะคุณหมอเขาเป็นห่วงตรงนี้มากๆ เพราะฉะนั้น ผู้บริโภคทานได้อย่างสบายใจค่ะ แต่ว่าทานแล้วจะหายป่วยหรือเปล่าปอตอบเลยว่าไม่ กินสลัดจานนี้จะหายป่วยไหม นี่สลัดนะ ผักทั้งจานเลยนะ มีแอนตี้ออกซิแดนซ์นะ ถามว่าจะหายป่วยเลยไหมก็ไม่ ไม่มีใครสามารถตอบได้ แต่แค่มันเป็นทางเลือกที่ดีว่ามื้อนี้เราไม่เร่งรีบมาก อยากหาอะไรดีๆ ให้ตัวเองรับประทาน เราก็สามารถตอบโจทย์คุณได้
เราไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันเหมาะกับผู้ป่วยจริงๆ เพราะมันเป็นความเชื่อ อย่างบางคนเชื่อว่าใบทุเรียนเทศดี กินแล้วหายมะเร็ง อย่างงี้คนที่เป็นมะเร็งกินก็ต้องหายหมด แต่มันเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล ขนมปังเราก็เหมือนกันค่ะ แต่พัฒนาขึ้นมาก็เพื่อตอบโจทย์ให้กับกลุ่มลูกค้าของคุณหมอค่ะ ซึ่งอันนี้ก็เป็นความเชื่อของคุณหมอที่คนไข้ต้องจำกัดการบริโภคให้ได้ตามนี้ ผงชูรสไม่กิน ไขมันน้อย โปรตีนน้อย ตามแนวทางการรักษาของเขา แต่หมอทางเคมีทำอย่างไรเราก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะ
• อยากจะพัฒนาหรือขยายกิจการอย่างไรต่อไปบ้างคะ
อนาคตปออยากใช้ข้าวมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ พยายามลองผิดลองถูก อยู่ แต่ไม่รู้ว่ามันจะโดนเมื่อไหร่ อาจจะต้องทดลองเป็นพันครั้งก็ได้ ตอนนี้ก็มีงานวิจัยกับมหาวิทยาลัย เพราะลำพังเราไม่ได้มีอุปกรณ์วิเคราะห์อะไรต่างๆ บางทีเราต้องมีองค์ประกอบทางด้านเคมีอะไรของเขาด้วย เราต้องอาศัยหน่วยงาน ต่อไปก็มีคิดว่าจะทำขนมปังเพื่อผู้สูงอายุโดยเฉพาะด้วย เราต้องการให้มันเป็นแบบนั้นให้เป็นทางเลือกสำหรับเขาให้เขาได้มีทางเลือกมากขึ้น อาจจะดีกว่าสูตรปัจจุบัน มีอะไรที่มันชัดเจน อย่างน้อยมันก็จะเป็นมื้อนึงที่ปลอดภัยสำหรับกลุ่มคนผู้สูงอายุ เพราะอนาคตจะมีกลุ่มคนผู้สูงอายุค่อนข้างมาก ซึ่งปอมองว่าอย่างนั้นนะคะ ก็เล็งๆ อยู่ ค่ะ แต่ปัจจุบันนี้ก็มีขนมปังเป็น 100 ชนิดแล้วค่ะ จากที่เริ่มมา 4 ตัวในตอนแรก
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : วชิร สายจำปา และ Facebook : The Oven Farm
“ปอ-ไธวดี ศุภโรจน์” เรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์การอาหาร (Food Science) ก่อนเข้าไปเรียนและฝึกทำเบเกอรี่ที่โรงเรียนวิชาการโรงแรมแห่งโรงแรมโอเรียนเต็ล (OHAP) จึงทำให้ชื่นชอบการทำขนมเป็นชีวิตจิตใจ จนกระทั่งได้มาทำงานประจำ และมีโอกาสทำขนมออกมาขาย แต่สุดท้าย เธอก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำขนมจนกลายเป็นกิจการที่โตวันโตคืน
หลังจากออกจากงานประจำ เธอก็ได้รับโอกาสดีๆ จากคุณหมอที่รักษาแนวทางของธรรมชาติบำบัดให้ทำขนมปังเพื่อสุขภาพ โดยมีโจทย์มาให้เป๊ะๆ ว่า ห้ามใส่นม เนย มาการีน ไข่ น้ำมันและสารต่างๆ และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ แบรนด์ “The Oven farm” มีผลิตภัณฑ์ที่ทำออกมาเพื่อตอบโจทย์คนรักสุขภาพกว่า 100 ชนิด!
• ก่อนจะมาเป็นแบรนด์ The Oven farm
6 ปีที่แล้ว ปอเป็นพนักงานบริษัท เราเรียนจบมาทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหารหรือเรียกว่าฟู้ดไซน์ (Food Science) ส่วนตัวปอชอบทางด้านการทำขนมอยู่แล้วด้วย หลังจากเรียนจบเราก็เลยไปลงเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับเบเกอรี่ที่โรงเรียนวิชาการโรงแรมแห่งโรงแรมโอเรียนเต็ล หรือ OHAP ซึ่งตอนนี้เขาก็มีเปิดสอนอยู่นะคะ ใครสนใจทางด้านเบเกอรี่ก็จะได้ลงไปขลุกอยู่ในครัวเบอเกอรี่เลย ไปขลุกอยู่กับพนักงานเลยค่ะ ได้ทั้งเรียนและปฏิบัติจริงไปด้วย และตอนนั้น ปอโชคดีที่อายุเข้าเกณฑ์แล้วก็สอบผ่าน เลยได้เข้าไปเรียน อายุประมาณ 23-24 ปี เราก็เข้าไปเรียนอยู่ 1 ปี เรียนไปด้วยเป็นพนักงานฝึกหัดไปด้วย
พอเราทำเบเกอรี่เป็น เราก็ยังอยากทำงานเกี่ยวกับด้านนี้อยู่ หลังจากนั้นก็เลยลองไปสมัครงาน เพราะเราอยากมีประสบการณ์ทางด้านที่เราเรียนมาด้วย เลยได้เข้าไปทำงานโรงงานเกี่ยวกับเบเกอรี่ ซึ่งที่ผ่านมาเราจะคลุกคลีอยู่กับเบเกอรี่ทั้งหมดเลย อย่างที่โรงงานก็จะอยู่ในแผนกคนคิดค้นสูตรเบเกอรี่ ถ้าเป็นวิเคราะห์คุณภาพก็จะอยู่ในกลุ่มวิเคราะห์เบเกอรี่ จะอิงๆ เกี่ยวกับด้านนี้ตลอดค่ะ
ทำงานประมาณ 4 ปีได้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาพอสมควรระหว่างที่ทำงานที่สุดท้าย ตอนนั้นก็ใกล้ปีใหม่แล้วเราก็เลยลองทำเบเกอรี่ขายเองดู โดยเริ่มจากขายให้ญาติ ขายให้เพื่อน ขายให้เพื่อนแม่ เน้นขายคนใกล้ตัวก่อน ผลปรากฏว่าก็ขายดี เลยคิดว่ามันน่าสนใจกว่าการทำงานบริษัทแล้ว ตอนนั้นเลยตัดสินใจออกจากงานเลยค่ะ อีกอย่าง เราไม่ได้ไปยืมเงินใครมาทำ เก็บเล็กผสมน้อยซื้อเครื่องทำขนมทีละตัว ด้วยตัวเอง แต่ตอนนั้นยังเป็นเบเกอรี่ปกติอยู่นะคะ ไม่ใช่เพื่อสุขภาพอย่างทุกวันนี้
• แล้วมาเริ่มทำขนมปังเพื่อสุขภาพตอนไหนอย่างไร
ที่เปลี่ยนมาเป็นสไตล์สุขภาพ เพราะเราได้ไปรับโจทย์จากคุณหมอที่เป็นญาติๆ กัน ซึ่งคุณหมอเขาจะรักษาแนวทางของธรรมชาติบำบัดอยู่แล้วด้วยค่ะ คุณหมอเห็นว่าปอออกจากงานมาทำเบเกอรี่ขาย เขาเลยอยากให้เราลองไปทำให้เขาหน่อย อันนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เราได้โอกาสดีๆ จากทางสถาบันที่รักษารักษาในแนวทางเกี่ยวกับธรรมชาติบำบัด
ตอนนั้นเราได้รับโจทย์หนึ่งมาก็คือผู้ป่วยเขาอยากมีทางเลือกในการรับประทาน คุณหมอก็เลยถามมาว่าทำได้ไหม เบอเกอรี่ไม่ใส่ผงชูรส ไม่สารสารปรุงแต่ง ไม่ใส่สี ไม่ใส่กลิ่น ไม่ใส่สารเสริมคุณภาพต่างๆ ฯลฯ ซึ่งสารเหล่านี้ผู้ป่วยไม่สามารถทานได้เพราะถ้ามีสารต่างๆ เหล่านี้ ร่างกายจะต้องมาจำกัดสารพวกนี้ที่ร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้ออกไป ส่งผลให้ระบบร่างกายอาจจะต้องทำงานหนัก ซึ่งปกติผู้ป่วยที่เป็นโรค เขาก็ไม่ควรที่จะรับสารพวกนี้ให้เป็นภาระ เราก็เลยได้โจทย์ท้าทายนี้มาว่าทำได้ไหม
• ตอนนั้นตีโจทย์ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์อะไรบ้างคะ
ยอมรับนะคะว่าข้อห้ามเยอะมาก (หัวเราะ) ห้ามใส่สารต่างๆ ทั้งสารเสริมคุณภาพ ผงชูรส กลิ่น รส น้ำมัน ไขมัน มาการีน เนยขาว ไข่ ถั่ว เพราะผู้ป่วยเขาต้องจำกัดสิ่งพวกนี้ ให้รับเข้าไปน้อยที่สุด อย่างเมล็ดงา คุณหมอก็ห้ามรับประทาน เพราะว่าเมล็ดงาเป็นเมล็ดพืชที่ให้น้ำมัน เราก็เลยเอาสูตรมาตัดสิ่งที่ห้ามและไม่ควรใส่ออกไป ก็ทำออกมาแบบนั้นเลยค่ะ ก็ลองผิดลองถูกอยู่เยอะเหมือนกัน มีเอาฝรั่งผลมาทำ ฟักแม้วมาลองทำ ผ่านบ้างไม่ผ่านบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยผ่านนะคะ เพราะมันดูประหลาดเกินไป
พอเราไม่ใส่สารพวกนี้ ก็ทำให้ขนมปังดูไม่น่ากิน ไม่น่าสนใจ เราเลยต้องใส่ความเป็นธรรมชาติเข้าไป ด้วยการนำวัตถุดิบจากธรรมชาติมาทำ ปอก็ทำตามโจทย์เลยนะคะแต่เราไม่เคยทำขนมเพื่อสุขภาพมาก่อน จนได้ออกมาเป็นขนมปัง 3-4 อย่าง จะมีแค่ขนมปังฟักทอง ขนมปังแครอท ขนมปังผักโขม และกล้วยน้ำว้า ซึ่งกระแสตอบรับกลับมาตอนนั้นก็ดีนะคะ เขาดีใจกันมากที่มีขนมให้เลือก มีแค่นี้เขาก็แฮปปี้มากแล้ว
ตอนนั้นเราก็เลยผลิตทั้งสองอย่างเลย ทั้งแบบปกติและแบบสุขภาพ เพราะว่าแบบสุขภาพ เราก็รู้จักแค่ว่าส่งที่ร้านคุณหมอ เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปวางขายที่ไหน เนื่องจากสมัยนั้นเขาก็ยังไม่ได้รู้จักกันมากเท่าไหร่ แล้วมันจำเป็นหรือที่คนสุขภาพปกติจะต้องกินอะไรที่มันไม่มีไขมัน ไม่มีนม เนย ไม่มีน้ำมัน
• แล้วมาจริงจังกับการขายขนมปังสุขภาพอย่างเดียวตอนไหนคะ
พอเราไปเดินตลาดแล้วเห็นอะไรที่มันน่าสนใจ เราก็จับเอามาทดลอง แล้วก็ปรับเปลี่ยนสูตร ปกติ เราใส่ฟักทอง เราก็ดึงออกมาใส่เป็นมันเทศแทน หรืออย่างวันนี้ เราเห็นแตงโมก็จะลองเอาแตงโมมาใส่ เราจะทดลองแบบนี้ตลอด ผ่านบ้างไม่ผ่านบ้าง บางทีกินไม่ได้ก็มี จากที่ขายให้กับผู้ป่วยอย่างเดียว ตอนนั้นจากที่ทำอยู่สองอย่าง เราเลยคิดว่าถ้าเรามาทำในด้านของสุขภาพอย่างเดียวเลย น่าจะดีกว่า เพราะคู่แข่งน้อยด้วย ตอนนั้นก็จะมีขนมปังพวกโฮลวีทธรรมดา ยังไม่ค่อยมีใครเอาธรรมชาติมาผสม เราเอาวัตถุดิบจากธรรมชาติมาผสม มันก็เลยได้สีที่สวย ดึงดูด ก็ตัดแบบปกติออกไปเลย ทำขนมเพื่อสุขภาพแค่อย่างเดียว
ตอนนั้นที่ปอทำขนมปังสุขภาพ ปอเริ่มจากทำเอง มีลูกมือแค่คนเดียว ทำในครัว ทำส่งกันตามปกติ วันที่เราอยากเอาไปขยายตลาด ตอนนั้นก็คิดนะคะว่าจะขายร้านไหนดี เลยมาคิดว่าเอาไปวางขายร้านอาหารเจหรืออาหารมังสวิรัติดูไหม เพราะมันน่าจะตรงกลุ่มเป้าหมายดี เลยลองเอาไปเสนอคนสุขภาพปกติเลยนะคะ แต่จะเป็นกลุ่มคนที่ทานเจและมังสวิรัติ ตอนนั้นเราก็ไปตั้งโต๊ะหน้าเดียวก่อน เริ่มจากร้าน “คุณเชิญ มังสวิรัติ” (สุขุมวิท 42) ซึ่งเจ้าของร้านก็ใจดีมากเลยนะคะ ให้เราไปตั้งโต๊ะขาย ให้ลูกค้าเขาได้ชิมก่อน ตอนนั้นก็เริ่มมีหลายไส้ขึ้นมาแล้ว จากขนมปังแค่ 4 อย่าง ก็จะเริ่มมีเป็นโรลเผือก โรลมัน ใส่อะไรต่อมิอะไร เริ่มมีสินค้าเยอะขึ้น ผลปรากฏว่าเราไปยืนขาย มันก็ขายได้ดี อาจจะเป็นเพราะมันแปลกใหม่ด้วยมั้งคะ หลังจากนั้นเราก็ได้วางขายร้านคุณเชิญแล้วคุณเชิญก็แนะนำให้ไปส่งตามที่ต่างๆ ที่เป็นร้านสุขภาพ ก็โอเคเป็นที่ตอบรับ แต่อาจจะยังไม่ได้เยอะมาก แต่มันก็สามารถขายได้ค่ะ
เราทำอย่างนั้นมาเรื่อยๆ กระทั่งร้านสุขภาพเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น เริ่มมีคนเปิดร้านสุขภาพกันเยอะขึ้น เราก็เริ่มเอาไปลงขายเรื่อยๆ หลังจากนั้นผ่านมา 5 ปี ก็เป็น The oven Farm อย่างทุกวันนี้ค่ะ (ยิ้ม)
• นับว่าแบรนด์ The Oven Farm นำวัตถุดิบจากธรรมชาติมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ อีกทั้งไม่ใส่สาร ตรงนี้เป็นจุดเด่นของทางร้านเลยใช่ไหมคะ
เราตั้งใจทำให้มันสดใหม่จริงๆ ปอว่ามันเป็นข้อดีของเราเลยนะคะ เราทำอย่างสดใหม่และตั้งใจคัดสรรวัตถุดิบให้กับลูกค้า เจ้าอื่นๆ ปอว่าเขาก็น่าจะทำเหมือนกัน เพราะคงไม่มีใครไม่อยากทำอะไรดีๆ ให้กับลูกค้าหรอกค่ะ ซึ่งเราก็นึกไม่ออกว่าเราดีกว่าคนอื่นยังไง เพราะเบเกอรี่มันเป็นอะไรที่ไม่ได้ยาก เป็นเหมือนงานศิลปะที่ใครก็สามารถทำได้เราก็เลยไม่คิดว่าเราจะดีไปกว่าคนอื่น แต่ที่เรามั่นใจเรามั่นใจวัตถุดิบ อย่างบีทรูท เราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาบีทรูทที่เก็บมารักษามายังไง แต่ของเรามั่นใจได้เลยว่ามันใหม่จริงๆ ฟักทองเราปอกวันนี้แล้วทำวันนี้เลย ไม่ได้แช่แข็ง ไม่ได้เอาฟักทองที่ตกเกรดหรืออะไรมาเลย ซึ่งเรามั่นใจของเราจริงๆ
อย่างผลผลิตก่อนที่เราจะได้สินค้าของเจ้านั้นๆ มา อย่างเช่นข้าว เราต้องมั่นใจว่าเป็นข้าวของเจ้านี้ เพราะว่าถ้ามันผิดเจ้าไป สมมติว่าเราสั่งข้าวสีนิลมา ถ้ามันไม่ใช่เจ้าที่เราไว้ใจ มันจะมีปน มีเศษหิน เราก็ต้องเอาที่ดีๆ สวยๆ มา ซึ่งมันจะมีพันธุ์ของมัน ตรงนี้มันเป็นเรื่องของความปลอดภัยของผู้บริโภคด้วยว่าเคี้ยวไป กลัวว่าเขาจะเจอหิน หรืออย่างลูกเดือย เรารับจากที่เขาคัดมาแล้วนะคะ แต่ถ้าเราไม่มั่นใจ เราก็ต้องคัดอีกรอบก่อนที่จะใช้ทั้งๆ ที่เขาคัดมาแล้ว
คอนเซ็ปต์ของเราคือจะใช้วัตถุดิบที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่ใช้แบบสำเร็จรูป ถ้าใช้แบบสำเร็จรูป เราจบแล้ว ไม่ต้องมานั่งคัด ง่ายกว่าเยอะด้วย แต่เราก็ไม่รู้ว่าถ้ามาแบบสำเร็จรูป อย่างลูกเดือยผง เขาเอาอะไรมาทำให้เรา มาจากลูกเดือยไม่ดี ขึ้นมอดหรือเปล่า เราไม่เอาแบบนั้น พอเราใช้วัตถุดิบธรรมชาติที่มันไม่ใช่สำเร็จรูป เราก็จะต้องมีการปรับทุกวัน เพราะว่าฟักทองมันไม่ได้เหมือนกันทุกล็อต ทุกลูก เพราะฉะนั้น ในไลน์การผลิตจะต้องมีความชำนาญมาก มันเลยเป็นเรื่องของศิลปะผสมกับวิทยาศาสตร์ด้วยที่จะทำให้ขนมปังออกมาเหมือนกันทุกวัน อย่างปอเคยทำรสส้ม แต่ตอนนี้ต้องเลิกผลิตไปเพราะว่าส้มมันมีความไม่สม่ำเสมอในแต่ละล็อต เราไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้ เราเลยต้องคัดออกไปอย่างน่าเสียดาย
มีครั้งหนึ่ง ปอเคยดันสับปะรด แต่ไส้นี้อวสานไปแล้ว เพราะเราไม่สามารถทำการตลาดให้ลูกค้าเข้าใจได้ แต่ความจริงมันอร่อยมากนะคะ ถ้าใครได้กิน พอเห็นเป็นไส้สับปะรด ทุกคนจะคิดในหัวว่ามันจะต้องหวานเหมือนสับปะรดกวน แต่มันก็ต้องจบไป ซึ่งมันก็ยากนะคะ หรือบางไส้ก็จะมีตามฤดูกาล อย่างลูกตาล เราก็จะเอาเฉพาะเจ้าเหมือนกัน เราจะไม่เอาเจ้าอื่นเพราะกลัวฟอกให้มันขาว ถ้าฟอกขาวเราก็ไม่เอา เราจะเข้าไปแหล่งผลิตตอนแรก ไปคุยกับเขาเลยว่าเราต้องการยังไง ต้องลงไปคุยกับเกษตรกรเลย เราต้องการสิ่งที่ดีจริงๆ
บางที เราต้องเลือกนะ ระหว่างเงินกับจรรยาบรรณ จริงๆ ปอหวังกำไรนะ แต่เราก็ทำไม่ได้ที่จะไปลดต้นทุน อย่างผักโขม เราก็ใช้จากเลมอนฟาร์มเลยค่ะ ได้ความสะดวกด้วย สดใหม่ด้วย เขาคัดมาแล้ว จริงๆ มันก็ต้นทุนสูงแหละค่ะ ได้อะไรหรือเปล่าไม่รู้ ก็ถัวเฉลี่ยกันไป เพราะเป้าหมายของเราจะเอาของดีจริงๆ ซึ่งเราบอกไม่หมดหรอกว่ามันดียังไง แต่ว่ามันเป็นจรรณยาบรรณของผู้ผลิต ซึ่งบางทีมันอาจลดต้นทุนถูกจริงนะคะ แต่ถามว่ามันดีไหม มันไม่ดีแน่ๆ ทำออกไปลูกค้าไม่รู้หรอก แต่เรารู้ไงคะ มันอยู่ในใจเรา ถ้าเราไม่กิน ก็อย่าไปทำให้คนอื่นเขากินจะดีกว่า
• ตั้งแต่ทำมา มีอุปสรรคอะไรบ้างไหมคะ
มีหลายเรื่องมากเลยนะคะ จริงๆ ก็เหมือนกับธุรกิจทั่วไปที่เขามีอุปสรรคกัน แต่ของปอจะมีปัญหาเรื่องการขนส่ง เพราะทุกร้านที่เราส่ง เขาอยากได้ขนมปังตอนเช้ากันทั้งหมด ซึ่งมันยากมากเลยที่จะส่งขนมให้ตรงเวลาพร้อมกัน อีกอย่างจะมีอุปสรรคในเรื่องของอายุสินค้าที่เราพยายามแก้ แต่ก็ยังแก้ไม่ได้ เพราะว่าขนมปังของเราไม่ได้ใส่สารกันบูด พอไม่ได้ใส่สารกันบูด อายุสินค้าก็เลยจะสั้นมาก สั้นในที่นี้คือทำวันนี้สามารถเสียได้วันนี้เลย เราตั้งใจทำสิ่งที่ดีออกไป แต่บางทีอากาศมันร้อนมาก มันก็เสีย อย่างเคยมีลูกค้าคนหนึ่งเก็บขนมไว้ในรถ ซื้อวันนั้นขึ้นราได้ตอนเย็นวันนั้นเลย เพราะว่าทิ้งไว้ในรถที่มันร้อนมาก
ตรงนี้เป็นอุปสรรคจริงๆ นะคะ ถึงแม้ว่าจะผลิตมาได้ 5 ปีแล้ว แต่การตลาดเราก็ยังไม่ได้เข้าถึงลูกค้าทุกคน เขาไม่รู้ว่าขนมเรานี่มันเซ้นซิทีฟกับดินฟ้าอากาศมาก เราไม่ได้ใส่สาร เพราะเป็นปณิธานของเราอยู่แล้วว่าไม่ใส่สาร ซึ่งถ้าเราใส่สารก็จบ สบาย แต่เราไม่ใส่ แล้วบนแพจเกจจิ้ง เราก็เตือนแล้วว่าให้เก็บในตู้เย็น แต่บางทีลูกค้าอาจจะไม่ได้อ่านก็เป็นปัญหาของเรา อีกอย่าง เราทำแบบหวานน้อยด้วย ปกติความหวานมันจะช่วยแช่อิ่ม ช่วยยืดอายุได้ แต่ปริมาณที่เราใส่ไป เหมือนไม่ได้ใส่ ถ้าวัตถุดิบหวานอยู่แล้ว เราก็ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม มันเลยเสียง่าย เสียเร็ว พร้อมที่จะเสียตลอดเวลา ซึ่งเราเจออุปสรรคอย่างนี้ เราเลยคิดว่าเราจะผลิตของที่อย่างน้อยเก็บได้ 2-3 วันก็ยังดี เพื่อมาทดแทนผลิตภัณฑ์ที่เสียง่าย พอเจอออุปสรรคเยอะก็มีบ้างนะคะที่เราไม่อยากไปต่อ แต่พอเรานึกถึงลูกค้าขึ้นมา เราไม่สามารถหยุดทำได้ มันก็ต้องทำต่อไป
• หลายคนมักบอกว่าผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่ถูกออกแบบมาเพื่อสุขภาพมักจะไม่อร่อย ตรงนี้คิดเห็นอย่างไรบ้างคะ
ปอว่ามันอร่อยสู้ขนมปังแบบปกติไม่ได้อยู่แล้ว ต้องยอมรับ แต่ว่าเวลาที่เรารับประทานเข้าไปแล้วมันดีต่อเรา อย่างปอมีลูก ปอก็จะไม่ให้ลูกทานขนมปังยี่ห้ออื่น จะให้ทานแต่ขนมปังของตัวเอง เพราะเรารู้ว่ามันมีที่มายังไง เราผลิตเอง เรารู้ว่าเราใส่อะไรลงไป มันสามารถให้ลูกเรารับประทานได้อย่างมั่นใจด้วย
ส่วนเรื่องรสชาติ ปอว่าคนที่เคยรับประทานแบบอร่อยมา เปลี่ยนยากนะคะ จนกว่าจะมีอะไรที่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้ อาจจะต้องป่วยก่อนหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ปอว่าสำหรับเด็กๆ หรือคนรุ่นใหม่ ถ้าหันมาดูแลสุขภาพตั้งแต่ยังเด็ก อย่างลูกปอขวบกว่าๆ ลิ้นเขาไม่ต้องทานหวานมาก เขากินได้หมดทุกรสเลยนะคะ ซึ่งเราสามารถฝึกได้ตั้งแต่ยังเล็กเลยค่ะ ก็ดีต่อสุขภาพเขาด้วย จริงๆ รสชาติมันไม่ได้แย่นะคะ แต่ถ้าถามว่ามันอร่อยสู้กับแบบธรรมดาที่หอมเนยหอมนมไหม มันสู้ไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าวัดในเรื่องสุขภาพเราไม่ได้ใส่สารสังเคราะห์ลงไปมันก็น่าจะดีว่า แต่จริงๆ แล้วนมเนยมันก็ไม่ใช่สารสังเคราะห์อะไรนะคะ จริงๆ มันมีประโยชน์ถ้าเรากินในปริมาณที่จำกัด แต่ที่เราทำอย่างนี้ขึ้นมาก็เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งของลูกค้า ซึ่งมันก็เป็นส่วนน้อยนะคะ ลูกค้าก็กลุ่มเฉพาะมากๆ ค่ะ
อย่างตัวปอกินนมเนยไหม ปอก็กินนะคะ เพราะปอไม่ต้องจำกัดการรับประทานอะไร ของคนอื่นเราก็ทาน ของตัวเองเราก็ทาน แต่เราทำผลิตภัณฑ์นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าว่าวันนี้เขาอยากรับประทานแบบสุขภาพก็ได้ แต่ถ้าวันไหนรีบเร่งจะต้องซื้อแบบปกติกินเพื่อให้อิ่มท้อง ปอก็ว่าไม่ได้ผิดอะไรนะคะ แต่ถ้ารับประทานที่มีสารต่างๆ ทุกวัน มันก็จะสะสม ร่างกายเราก็จะต้องทำงานหนัก เพื่อที่จะกำจัดมันออก ส่วนตัวปอก็จะเลือกทาน ถ้าสินค้าไหนมีสารเยอะๆ ก็จะไม่กิน แต่ถ้าเลือกไม่ได้จริงๆ ก็จะทานบ้างค่ะ
• ในฐานะที่อยู่ในแวดวงสินค้าเพื่อสุขภาพ มองกระแสสุขภาพปัจจุบันยังไงบ้างคะ
รู้สึกดีที่ว่าคนหันมารักสุขภาพมากขึ้น ตอนนี้ไม่ใช่เฉพาะคนสูงอายุนะ เพราะกลุ่มคนรักสุขภาพมีตั้งแต่อายุน้อย ตั้งแต่เด็กมัธยม เด็กมหาวิทยาลัย เด็กๆ จะเริ่มจากกลัวอ้วนก่อน ปอมองว่าก็เป็นเรื่องที่ดีนะคะ กระแสการรักสุขภาพ อีกอย่างมันก็เป็นช่องทางที่ดีสำหรับธุรกิจด้วย ธุรกิจต่างๆ ก็จะสามารถเกิดขึ้นมาได้เพราะสินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพก็ยังมีไม่เยอะมาก มันสามารถทำให้เขาคิดค้นอะไรขึ้นมาใหม่ๆ เกี่ยวกับสุขภาพได้เยอะเลยค่ะ (ยิ้ม)
• คิดว่าสิ่งที่เราทำ ตอบโจทย์อะไรกับคนรักสุขภาพอย่างไรบ้าง
แรกๆ ยังไม่ได้เล็งเห็นอะไรเกี่ยวกับสุขภาพนะคะ จะรู้สึกแค่ว่า เราเป็นคนทำขนมแล้วเรารู้สึกสนุกที่ได้ทำขนม ยังไม่ได้มองตลาดอะไรไว้เลย เหมือนขายไปเรื่อยๆ มีคนมาสนใจ มาสั่งซื้อ เขาอยากขาย อยากเป็นตัวแทนจำหน่าย ซึ่งมันก็ไปของมันได้เรื่อยๆ ไม่ได้มองเรื่องคู่แข่ง มองเรื่องสุขภาพ แต่เรามองว่ามีคนสนใจ เหมือนเราได้ฟี้ดแบ็คกลับมาว่ามีคนสนใจ ได้ขยายไปเรื่อยๆ พอสักระยะก็เริ่มมีคนเปิดร้านสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปอโตมากับร้านสุขภาพที่ตอนนี้มีเยอะมาก เราก็ส่งขายกันไป จากกลุ่มลูกค้าคุณหมอตอนนี้ก็ขยายกว้างไปยังคนปกติด้วยก็รู้สึกดีที่ได้มาทำตรงนี้ค่ะ
สิ่งที่เราทำ ปออยากทำเพราะอยากให้เป็นทางเลือกให้เขา เพราะผลิตภัณฑ์ของเราตั้งใจในการเลือกวัตถุดิบที่ดี กระบวนการผลิตที่ดี สดใหม่ ผลิตวันนี้พรุ่งนี้เช้าเราส่งแล้ว เราผลิตวันต่อวัน ไม่เก็บสต็อกไว้นานๆ ของสดสัปดาห์หนึ่ง เราจะลง 2-3 รอบ เราจะไม่ให้มันค้างสต็อก และพยายามให้มันขายหมดในวันหรือสองวัน ไม่ให้ค้างไว้ เราตั้งใจในการคัดเลือกวัตถุดิบต่างๆ อย่างวัตถุดิบ ถ้าเราเลือกแบบออร์แกนิกได้ เราก็จะเลือก ถ้าไม่ได้ เราจะเอาแบบปลอดสารพิษ แต่ถ้าไม่ได้อีกจริงๆ เราจะใช้วัตถุทั่วไป แต่เราจะเอามาผ่านกระบวนการทำความสะอาดให้ดีแล้วถึงเอามาเข้าไลน์การผลิต เราก็เลยมั่นใจว่าเราจะผลิตสิ่งที่ดีๆ สดใหม่ออกสู่ตลาดให้ผู้บริโภคได้รับประทานกัน ลูกค้ามีอะไรสงสัย ก็สามารถสอบถามเราได้โดยตรง นอกจากเราจะตอบโจทย์ที่เริ่มจากผู้ป่วย มาเป็นคนรักสุขภาพแล้ว เรายังตอบโจทย์กลุ่มคนที่แพ้อาหารบางชนิดด้วย อย่างบางคนแพ้ถั่ว แพ้นม แพ้เนย แพ้ไข่ เราก็จะมีทางเลือกให้เขามากขึ้น
ถามปอว่าตอบโจทย์คนป่วยโดยตรงไหม ปอว่าผลิตภัณฑ์เราก็เหมือนสลัดดีๆ สักจาน ถามหมอว่าสลัดจานนี้ดีต่อผู้ป่วยไหมหมอเอง ก็คงบอกว่ามันก็คงเป็นทางเลือก ซึ่งผลิตภัณฑ์เราผู้ป่วยสามารถทานได้ค่ะ เพราะเราไม่ได้ใส่สารต่างๆ เข้าไปเพิ่มให้ร่างกายทำงานหนัก เพราะคุณหมอเขาเป็นห่วงตรงนี้มากๆ เพราะฉะนั้น ผู้บริโภคทานได้อย่างสบายใจค่ะ แต่ว่าทานแล้วจะหายป่วยหรือเปล่าปอตอบเลยว่าไม่ กินสลัดจานนี้จะหายป่วยไหม นี่สลัดนะ ผักทั้งจานเลยนะ มีแอนตี้ออกซิแดนซ์นะ ถามว่าจะหายป่วยเลยไหมก็ไม่ ไม่มีใครสามารถตอบได้ แต่แค่มันเป็นทางเลือกที่ดีว่ามื้อนี้เราไม่เร่งรีบมาก อยากหาอะไรดีๆ ให้ตัวเองรับประทาน เราก็สามารถตอบโจทย์คุณได้
เราไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันเหมาะกับผู้ป่วยจริงๆ เพราะมันเป็นความเชื่อ อย่างบางคนเชื่อว่าใบทุเรียนเทศดี กินแล้วหายมะเร็ง อย่างงี้คนที่เป็นมะเร็งกินก็ต้องหายหมด แต่มันเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล ขนมปังเราก็เหมือนกันค่ะ แต่พัฒนาขึ้นมาก็เพื่อตอบโจทย์ให้กับกลุ่มลูกค้าของคุณหมอค่ะ ซึ่งอันนี้ก็เป็นความเชื่อของคุณหมอที่คนไข้ต้องจำกัดการบริโภคให้ได้ตามนี้ ผงชูรสไม่กิน ไขมันน้อย โปรตีนน้อย ตามแนวทางการรักษาของเขา แต่หมอทางเคมีทำอย่างไรเราก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะ
• อยากจะพัฒนาหรือขยายกิจการอย่างไรต่อไปบ้างคะ
อนาคตปออยากใช้ข้าวมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ พยายามลองผิดลองถูก อยู่ แต่ไม่รู้ว่ามันจะโดนเมื่อไหร่ อาจจะต้องทดลองเป็นพันครั้งก็ได้ ตอนนี้ก็มีงานวิจัยกับมหาวิทยาลัย เพราะลำพังเราไม่ได้มีอุปกรณ์วิเคราะห์อะไรต่างๆ บางทีเราต้องมีองค์ประกอบทางด้านเคมีอะไรของเขาด้วย เราต้องอาศัยหน่วยงาน ต่อไปก็มีคิดว่าจะทำขนมปังเพื่อผู้สูงอายุโดยเฉพาะด้วย เราต้องการให้มันเป็นแบบนั้นให้เป็นทางเลือกสำหรับเขาให้เขาได้มีทางเลือกมากขึ้น อาจจะดีกว่าสูตรปัจจุบัน มีอะไรที่มันชัดเจน อย่างน้อยมันก็จะเป็นมื้อนึงที่ปลอดภัยสำหรับกลุ่มคนผู้สูงอายุ เพราะอนาคตจะมีกลุ่มคนผู้สูงอายุค่อนข้างมาก ซึ่งปอมองว่าอย่างนั้นนะคะ ก็เล็งๆ อยู่ ค่ะ แต่ปัจจุบันนี้ก็มีขนมปังเป็น 100 ชนิดแล้วค่ะ จากที่เริ่มมา 4 ตัวในตอนแรก
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : วชิร สายจำปา และ Facebook : The Oven Farm