xs
xsm
sm
md
lg

ความจริงอีกด้าน! เหยื่อเงินแสนหายจากบัญชี “กสิกรไทย” ถูกผลักเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ แจงโดนหลอกอีกที

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


MGR Online - กรณีกระทู้เตือนภัย ธนาคารสีเขียวโดนปลอมแปลงเอกสารสูญเงินนับแสนบาท ก่อนที่ “กสิกรไทย” จะระบุเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ แจงเคยโดนมิจฉาชีพโทร.บอกว่าโอนเงินผิด โอนคืนเพื่อความสบายใจ ก่อนเจอหมายเรียก คดีถูกหลอกขายสินค้าผ่านเน็ต 6-7 คดี และมีหมายจับ สน.นิมิตรใหม่หลงเหลือ ระบุคุยกับธนาคารเข้าใจดี พบคนร้ายปลอมบัตรอย่างเนียน ใช้เครื่องอ่านข้อมูลได้ เหลือแต่ที่อยู่คนร้าย

จากกรณีที่ในเว็บไซต์พันทิป ได้มีสมาชิกหมายเลข 3556631 ตั้งกระทู้หัวข้อ “เตือนภัย ธนาคารสีเขียว โดนปลอมแปลงเอกสารสูญเงินนับแสนบาท” ระบุว่า เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา เงินในบัญชีของตนที่ฝากไว้ในธนาคารกสิกรไทย สาขาเดอะมอลล์ บางแค ถูกถอนเงินออกไปเป็นจำนวน 124,000 บาท โดยพบว่ามีการขอทำสมุดบัญชี และบัตรเอทีเอ็มใหม่ โดยใช้บัตรประชาชนปลอม และได้แจ้งความไว้ที่ สน.หลักสอง เมื่อวันที่ 27 ต.ค. แต่ผ่านไปกว่า 1 เดือน คดียังไม่มีความคืบหน้า กระทั่งหลังตั้งกระทู้ในเว็บไซต์พันทิป แหล่งข่าวจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งมายังกองบรรณาธิการ MGR Online ระบุว่า ผู้ที่อ้างถึงในกระทู้ดังกล่าว คือ นายพัฒน์พงษ์ ทรงเงินดี และระบุว่ามีประวัติพัวพันกับคดีฉ้อโกงประชาชนหลายคดี ตามที่นำเสนอไปแล้วนั้น

วันนี้ (2 ธ.ค.) เมื่อเวลา 15.45 น. นายการกิจ ชื่นบาน อายุ 35 ปี ผู้จัดการบริษัทที่นายพัฒน์พงษ์เป็นลูกจ้าง ได้ชี้แจงทางโทรศัพท์ต่อ “MGR Online” ระบุว่า นายพัฒน์พงษ์ไม่ได้เป็นกลุ่มสิบแปดมงกุฎที่พัวพันกับคดีฉ้อโกงประชาชนตามที่ทางธนาคารกล่าวหา โดยระบุว่านายพัฒน์พงษ์เป็นพนักงานทั่วไป ทำงานอยู่กับตน โดยรับผิดชอบบัญชีเงินฝากดังกล่าวที่บริษัทนำมาใช้สำหรับรับเงินโอนจากลูกค้า ไม่ได้นำไปใช้ส่วนตัว ซึ่งเฉพาะลูกค้าที่ซื้อขายกับตนก็จะรู้เลขที่บัญชีนี้

ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากมีเงินโอนออกจากบัญชีไป 124,000 บาท ทางเราติดต่อทางธนาคาร ก็แจ้งว่ามีเจ้าตัวคือนายพัฒน์พงษ์มาเบิกเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งตนก็กล่าวว่า ในเวลานั้นนายพัฒน์พงษ์ทำงานอยู่กับตน ก็ให้คนไปติดต่อทางธนาคาร จึงพบว่ามีคนไปแจ้งความเอกสารหายว่าสมุดบัญชีของนายพัฒน์พงษ์หาย แล้วนำใบแจ้งความไปธนาคารกสิกรไทย สาขาเดอะมอลล์บางแค เพื่อทำสมุดบัญชีเล่มใหม่ และเดินทางไปที่สาขาเทสโก้ โลตัส ปิ่นเกล้า เพื่อไปทำบัตรเอทีเอ็มใบใหม่ แล้วทำการถอนเงินออกเกือบหมดบัญชี

“ทางเราก็ติดต่อไปทางธนาคาร ก็ทำการตรวจสอบ แต่ด้วยความที่ลูกน้องไปติดต่อธนาคารเป็นพนักงานฝ่ายบัญชีของบริษัทฯ ซึ่งได้รับมอบหมายค่อนข้างอารมณ์ร้อน ก็ไปติดต่อธนาคารอย่างโมโหว่าทำงานกันยังไงถึงปล่อยให้เป็นเช่นนี้ กระทั่งทางธนาคารไม่คุยกับพนักงานคนดังกล่าว หลังจากนั้นทางบริษัทพยายามติดต่อมาตลอด เพราะบริษัทจำเป็นต้องนำเงินไปหมุนเวียน แล้วอยู่ดีๆ เงินก็ถูกถอนออกจากบริษัทไป ทั้งๆ ที่เราต้องใช้เงิน แล้วบอกให้รอ”

นายการกิจกล่าวว่า กระทั่งวันหนึ่ง พ.ต.ท.วิทยา สุดสาคร รองผู้กำกับการ (สอบสวน) สน.หลักสอง โทรศัพท์ขอสอบสวนรอบที่ 2 ตนก็ไปสอบปากคำตามปกติ จนกระทั่ง พ.ต.ท.วิทยา กล่าวกับนายพัฒน์พงษ์ ว่ามีหมายจับของ สน.นิมิตรใหม่ ทางเราก็งงว่าทำไมถึงไม่มีหมายเรียก พอไล่เรียงว่าเกิดอะไรขึ้นก็พบว่าเมื่อปี 2558 บริษัทฯ ถูกมิจฉาชีพกลุ่มหนึ่งนำเลขที่บัญชีของนายพัฒน์พงษ์ไปหลอกขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ต เช่น คอมพิวเตอร์แมคบุ๊ก ราคา 16,100 บาท ซึ่งราคาถูกเกินจริง โดยอ้างว่าร้อนเงิน เมื่อลูกค้าสนใจจึงให้เลขที่บัญชีนายพัฒน์พงษ์ จากนั้นมิจฉาชีพโทรศัพท์หานายพัฒน์พงษ์ระบุว่าโอนเงินผิดบัญชี และขอให้ช่วยโอนกลับ นายพัฒน์พงษ์จึงโอนกลับคืนไปจำนวนดังกล่าวเพื่อความสบายใจ แต่ผ่านไปประมาณ 1-2 เดือนก็มีหมายเรียกมาว่ามีผู้เสียหายถูกนายพงษ์พัฒน์หลอก ตนยืนยันว่ามีข้อมูลบัญชีปลายทาง

ทั้งนี้ พบว่ามิจฉาชีพรายนี้ก่อเหตุทั้งหมด 6-7 ครั้ง จากหลายสถานีตำรวจทั่วประเทศ เพราะมิจฉาชีพไปหลอกขายสินค้ามาเยอะมาก ซึ่งได้ไปชี้แจงต่อผู้เสียหายว่าพวกตนถูกหลอกซึ่งทุกคดีจบหมด แต่มีอยู่หมายเรียกหนึ่งซึ่งตกหล่นไป ทาง พ.ต.ต.ธนาเดช หนูเอียด พนักงานสอบสวน สน.นิมิตรใหม่ ก็ออกหมายจับตามระเบียบของเขา เพราะเราไม่รู้และไม่ได้รับการติดต่อ ก็กลายเป็นหมายจับอีกคดีที่เราไม่รู้มาก่อน เพราะฉะนั้นเวลาที่ไปค้นหาในเฟซบุ๊กว่านายพัฒน์พงษ์มีผู้เสียหายมาร้องเรียน บางคดีชี้แจงต่อผู้เสียหายแล้ว บางคดีจับผู้ก่อเหตุตัวจริงมาได้ ซึ่งได้ยึดเงินให้กับผู้เสียหาย และผู้เสียหายได้ตัวมิจฉาชีพแล้ว แต่ตนไม่ได้ตามเรื่อง ทั้งนี้ ทาง สน.หลักสองได้ส่งตัวนายพัฒน์พงษ์ไปยัง สน.นิมิตรใหม่ เพื่อสอบปากคำแล้ว

“มาถึงหมายจับฉบับดังกล่าว ธนาคารโทรศัพท์กล่าวกับ พ.ต.ท.วิทยา สน.หลักสอง ว่านายพัฒน์พงษ์มีหมายจับ น่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มมิจฉาชีพ แล้วจี้ให้ทาง สน.หลักสองจับเรา แล้วส่งให้ทาง สน.นิมิตรใหม่ดำเนินคดี เขาก็เลยไปให้ข่าวอย่างไรไม่รู้ วันที่เขาจี้มาว่าเรามีหมายจับว่าเป็นมิจฉาชีพ เขา (ธนาคารกสิกรไทย) ก็บอกทาง สน.ว่า ถ้าเป็นมิจฉาชีพจริงก็จะไม่จ่ายเงิน 124,000 บาทที่ออกจากบัญชี ด้วยความโมโหผู้เสียหายก็เลยไปตั้งกระทู้ที่เว็บไซต์พันทิป ยังไม่ทันได้ใส่รายละเอียด กระทู้พันทิปก็โดนลบ วันรุ่งขึ้นก็มีข่าวในเว็บไซต์ MGR Online และถูกแชร์ไปจำนวนมาก น้องก็โทรศัพท์มาว่าทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้ ซึ่งเราได้ไปติดต่อธนาคารว่าเรื่องเกิดขึ้นมาแบบนี้ได้อย่างไร ผมก็สงสารลูกน้อง เพราะอยู่ที่บ้านแล้วมีคนไปถามว่าไปโกงเขาทำไม ซึ่งลูกน้องก็เสียใจ” นายการกิจกล่าว

นายการกิจตั้งข้อสังเกตว่า ที่ทางธนาคารทำเช่นนี้เพื่อปกปิดความผิดพลาด และรักษาชื่อเสียงของธนาคาร พอเกิดเรื่องว่านายพัฒน์พงษ์มีหมายจับอยู่แล้ว ก็กล่าวหาว่าเป็นพวกเดียวกับกลุ่มมิจฉาชีพ ทั้งที่เขาไม่ได้รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร พ.ต.ท.วิทยายังพูดกับตนว่า ข่าวแบบนี้ออกมาได้อย่างไร กระบวนการตัดสินของศาลยังไม่ออกมาเลยว่าผิดหรือไม่ผิด เขาก็ไม่ควรที่จะมาให้ข่าวแบบนี้ ทางตำรวจเขาก็เข้าใจทางเราด้วยซ้ำว่าเราไม่รู้เรื่อง ปกติทางธนาคารก็จะไม่ค่อยคุย ตนก็พยายามติดต่อกลับ อย่างเจ้าหน้าที่ชื่อ น.ส.รุ่งนภา กล่าวว่า ข่าวที่ออกไปไม่รู้เรื่องเลยว่าออกไปได้อย่างไร ออกมาจากหน่วยไหน ถ้าออกข่าวอย่างนี้มาตนสามารถที่จะตั้งกระทู้เพื่อชี้แจงให้กับลูกน้องได้ไหม ตนตั้งกระทู้ไปพันทิปก็ลบอยู่ดี จึงได้มาสอบถามทางฝ่ายกฎหมายของธนาคารอีกครั้ง

“ผมมาธนาคาร จะติดต่อทางใครยังไม่รู้เลย เพราะปกติโทร.มายังคุยกันยาก คือเขาจะไม่คุยกับเรา แล้วเขาก็โบ้ยว่าเราเป็นพวกมิจฉาชีพเพราะมีคดีเก่า ซึ่งไม่ได้ไปตามดูว่าคดีเก่ามันเกิดจากอะไร เกิดจากการโดนมิจฉาชีพหลอกซ้ำอีกทีหนึ่ง บริษัทฯ ขายอะไหล่รถนำเข้าจากจีน และยังมีธุรกิจอีกเยอะ สินค้าของผมยอดเงินมันอาจจะออกเยอะ เงินมันหมุนค่อนข้างเยอะ ก็เลยเป็นจุดที่ทำให้มิจฉาชีพเลือกที่จะมาก่อเหตุกับบริษัทที่มียอดเงินเข้ามาเยอะ” นายการกิจกล่าว

ต่อมาเวลา 17.30 น. นายการกิจกล่าวกับทาง MGR Online เพิ่มเติมว่า ในวันนี้ได้พูดคุยกับทางธนาคารกสิกรไทย ซึ่งก็เข้าใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และจะให้ติดต่อส่วนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้แจงต่อไป

นายการกิจยังได้ส่งหลักฐานมายัง MGR Online เป็นสำเนาบัตรประชาชนที่คนร้ายนำบัตรตัวจริงทำการเปิดบัญชี โดยชี้แจงว่า คนร้ายคือนายกฤษฎางค์กูรร์ พงษ์สุวรรณ อยู่บ้านเลขที่ 45/17 หมู่ 8 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี โดยได้ทำการเปลี่ยนข้อมูลบนบัตรเป็นชื่อนายพัฒน์พงษ์ แต่รูปใบหน้าที่อยู่เป็นของคนร้าย ซึ่งทางธนาคารระบุว่าบัตรดังกล่าวสามารถอ่านกับเครื่องอ่านสมาร์ทการ์ดของธนาคารได้ และมีข้อมูลของนายพัฒน์พงษ์ ที่ผ่านมาเคยก่อเหตุกับนายธันธวัช (ขอสงวนนามสกุล) ที่สาขาตลาดดวงแก้ว จ.นนทบุรี ได้เงินไป 400,000 บาท
บัตรประชาชนปลอม ระบุชื่อ นายพัฒน์พงษ์ ทรงเงินดี แต่ที่อยู่และรูปถ่ายเป็นของคนร้าย
บัตรประชาชนปลอม ระบุชื่อ นายธันธวัช (ขอสงวนนามสกุล) แต่ชื่อและนามสกุลภาษาอังกฤษตรงกับคนร้าย
ใบถอนเงินที่คนร้ายถอนเงินออกจากบัญชี นายธันธวัช (ขอสงวนนามสกุล) จำนวน 400,000 บาท เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา
กำลังโหลดความคิดเห็น