ชีวิตของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ไม่ได้ราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินควรจะเป็น แม้จะได้รับยกย่องว่าเป็น “พระบิดาแห่งราชนาวีไทย” แต่ขณะทรงปฏิบัติหน้าที่นี้ในสมัยรัชกาลที่ ๖ พระองค์ต้อง “ตกงาน” อย่างไม่คาดคิด แต่ก็ไม่ทรงปล่อยให้ชีวิตหมดเปลืองไปเปล่าๆ หันไปศึกษาการแพทย์ไทยอย่างคร่ำเคร่ง จนได้รับกล่าวขานเป็น “หมอเทวดา”
นายพลเรือตรี พระยาหาญกลางสมุทร บันทึกถึงสาเหตุที่ นายพลเรือตรีกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ถูกออกจากราชการเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๔ เพราะต้นเหตุมาจาก “ตรุสบ้า”
ทั้งนี้ นายเรือตรี ตรุส บุนนาค ซึ่งมียาว่า “ตรุสบ้า” ได้ดื่มสุราเมา แล้วพูดถึงเรื่องเงินเพิ่มอีก ๕๐ บาทนอกเหนือจากเงินเดือนประจำ ๖๕ บาท ที่ยังไม่ได้รับ เพราะทางการยังพิจารณาไม่เสร็จ ทำให้นายเรือตรีตรุสไม่พอใจ ประกาศลั่นว่าถ้าไม่จ่ายก็ให้ระวังปืนเรือ
คำประกาศขณะเมาของ “ตรุสบ้า” ถูกนำไปเพ็ดทูลเข้าพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพิโรธ และโทษว่ากรมหลวงชุมพรฯสั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ดี หนักไปทางก่อกำเริบ อาจจะกลายเป็นพวกบอลเชวิค ซึ่งขณะนั้นพวกบอลเชวิคได้ทำการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซีย เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ทำให้คำว่า “บอลเชวิค” เป็นที่หวาดกลัวมาถึงเมืองไทย ประกอบกับมีข่าวซุบซิบกันว่า กรมหลวงชุมพรฯจะนำทหารเรือคิดกบฏ สถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
พระบิดาแห่งราชนาวีไทย จึงต้อง “ตกงาน” เพราะความเมาของ “ตรุสบ้า” ผู้ใต้บังคับบัญชานั่นเอง
แต่ต่อมาในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๖๐ กรมหลวงชุมพรฯก็ได้รับโปรดเกล้าฯให้กลับเข้ารับราชการอีก ในตำแหน่งจเรทหารเรือ และได้เลื่อนยศเป็น นายพลเรือโท ตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ ในรัชกาลเดียวกัน
ตอนที่ต้องออกจากราชการทหารเรือในปี ๒๔๕๔ นายพลเรือตรีกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงหันมาใช้เวลาว่างศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจากพระยาพิษณุประสาทเวช หัวหน้าหมอหลวงฝ่ายยาไทย ทรงศึกษาอย่างคร่ำเคร่ง และเปิดวังของพระองค์เป็นห้องทดลอง เมื่อพบตัวยาขนานใดก็ทดลองกับสัตว์ก่อน จนแน่ใจจึงนำมาใช้กับคน และออกรักษาประชาชนผู้ยากไร้โดยไม่คิดทั้งค่ายาค่ารักษา
ในไม่ช้าวังของพระองค์ก็แปรสภาพเป็นโรงพยาบาล มีการตรวจรักษาด้วยแผนโบราณและสมัยใหม่ โดยใช้วิธีตรวจเลือด ตรวจร่างกายด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ แต่รักษาด้วยยาสมุนไพรโบราณ ส่วนมากเสด็จในกรมฯจะอยู่ในชุดโสร่งสีแดง ไม่ใส่เสื้อ มีเพียงผ้าขาวม้าพาดบ่าเห็นรอยสักเต็มองค์ออกตรวจรักษาคนไข้ พระองค์ไม่ประสงค์ให้ใครๆเรียกกันว่า “เสด็จในกรม” แต่โปรดให้เรียกว่า “หมอพร” ทรงวางพระองค์เป็นหมอธรรมดา แต่กิตติศัพท์การรักษาของพระองค์ลือลั่นไปทั่วบางกอก ว่าหมอพรเป็นผู้วิเศษ โรคที่ใครรักษาไม่ได้ คนไข้กำลังจะตายอยู่แล้ว หมอพรยังชุบชีวิตขึ้นมาได้ยังกับหมอเทวดา
ครั้งหนึ่งทรงแต่งชุดหมอพร นุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน สะพายร่วมยาเดินไปรักษาคนไข้แถวสำเพ็ง หญิงชราชาวจีนคนหนึ่งเข้ามากราบพระบาท ทูลว่าสามีของนางเป็นวัณโรคมานานแล้ว รักษามาหลายหมอก็ไม่หายซักที ขณะนี้กำลังพะงาบๆใกล้ตายเต็มทน ขอทรงโปรดช่วยชีวิตสามีของนางด้วยเถิด
หมอพรเข้าไปพินิจพิจารณาอาการของจีนชราที่นอนหายใจครอกๆ ทรงทำพิธีเป่ามนต์และมอบยาไว้ให้ หลังจากนั้นไม่กี่วันพระองค์เสด็จไปดูอาการอีกครั้ง ปรากฏว่าจีนชราลุกขึ้นมากราบพระบาทประหลกๆ พร้อมกับบอกเมียให้ไปเอาเงินมาลังหนึ่งเพื่อถวายเป็นค่ายา แต่หมอพรโบกพระหัตถ์รับสั่งว่า พระองค์ไม่ใช่หมอเซ็งลี้ ขอให้เอาเงินนั้นไปบริจาคการกุศลดีกว่า
อย่าว่าแต่จะชุบชีวิตคนจะตายให้ลุกขึ้นมาได้เลย แม้แต่คนจะคลอด หมอพรก็ทรงทำได้
คืนหนึ่ง นางละครคณะปรีดาลัย คณะละครที่ดังสุดๆในยุคนั้น เกิดเจ็บท้องขึ้นมากลางดึกขณะเปิดแสดงอยู่ที่วิกนาครเขษม พวกละครวิ่งวุ่นกันทั้งโรง เพราะไม่รู้ว่าจะหาหมอที่ไหนมาทำคลอด พลันนึกถึงหมอพร จึงวิ่งไปตามถึงวังนางเลิ้ง หมอพรรับสั่งว่าไม่มีความรู้เรื่องหมอตำแยเลย แต่เมื่อรบเร้าให้ไป ก็จะไปให้ เผอิญการคลอดครั้งนั้นลุล่วงไปอย่างง่ายดาย ปลอดภัยทั้งแม่และลูก กิตติศัพท์เรื่องหมอพรทำคลอดให้นางละครคณะปรีดาลัยจึงดังระบือไปทั่วเมือง ใครๆที่กำลังตั้งท้องก็อยากจะให้หมอพรไปทำคลอดให้ทั้งนั้น
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงกล่าวถึง กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ไว้ว่า
...ความสามารถซึ่งจะทำการอันทรงจำนงให้สำเร็จดังพระประสงค์ เมื่อเป็นทหารเรือคนก็เคารพนับถือเรียกกันว่า “เจ้าพ่อ” เมื่อมาเป็นหมอพรคนก็ศรัทธาเชื่อถือกันว่าเป็น “หมอเทวดา”...