เมื่อปี ร.ศ. ๑๒๒ (พ.ศ. ๒๔๔๖) ได้มีคดีพิสดารชวนขบขันเกิดขึ้นที่เมืองอุบลราชธานี เมื่อ อำแดงสี จับ อ้ายเชียงทัน บ้านอยู่ตำบลในเมืองได้พร้อมของกลางที่ขโมยไป คือกระทะใบใหญ่ที่นางใช้ทอดขนมฝักบัวขายในงานออกร้านทุ่งศรีเมือง
อ้ายเชียงทันแขนด้วนแค่ข้อศอกทั้งสองข้างมาแต่กำเนิด ปฏิเสธเสียงแข็งว่ากระทะของกลางเป็นของตน ถ้าขโมยมาจะเอาไปได้อย่างไรในเมื่อแขนด้วนอย่างนี้ มือก็ไม่มีจะจับ อำแดงสีก็จำได้ว่าเป็นกระทะของตนเพราะใช้อยู่ทุกวันและเพิ่งหาย จึงไปแจ้งกำนัน เรื่องจึงต้องถึงโรงถึงศาล เพราะต่างฝ่ายต่างก็ยืนยันอย่างมีเหตุผล
คดีนี้มีผู้สนใจไปฟังกันมาก เพราะอยากรู้ว่าคนแขนด้วนกุดแบบนี้จะลักของเขาได้อย่างไร และศาลจะเชื่อข้างไหน
เมื่อถึงกำหนดวันพิจารณาคดี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพประสิทธิ์ประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์ ว่าราชการมณฑลอีสาน ทรงเห็นว่าเป็นคดีแปลกประหลาด จึงเสด็จไปที่ศาลร่วมกับคณะตระลาการ
เมื่อเริ่มพิจารณาคดี ทั้งโจทก์และจำเลยต่างก็อ้างเหตุผลให้น่าเชื่อว่าตัวเองเป็นเจ้าของกระทะ ทำให้คณะตระลาการต่างตัดสินใจไม่ถูก เสด็จในกรมฯสรรพประสิทธ์ฯนั่งฟังโดยไม่ซักถาม มองหาลู่ทางที่จะตัดสินคดีนี้ แล้วก็ทรงสรุปคำตัดสินดื้อๆว่า
“จริงของนายเชียงทัน สมข้อต่อสู้ ให้เชียงทันเอากระทะใบนี้กลับคืนไป เพราะว่าเป็นกระทะของเขา”
อำแดงสีเมื่อได้ยินรับสั่งก็หน้าเสีย เพราะเป็นกระทะของตนจริงๆ แต่เมื่อรับสั่งเช่นนั้น ก็ไม่รู้จะทัดทานอย่างไร
ฝ่ายอ้ายเชียงทันอารามดีใจที่เถียงจนพ้นข้อหา แถมยังได้เป็นเจ้าของกระทะ จึงตรงไปที่ของกลางซึ่งวางอยู่กลางศาล เอาหัวเข่าข้างหนึ่งกดขอบกระทะที่วางหงายให้กระดกขึ้น แล้วก้มหัวลุนกระทะ พร้อมเอาแขนด้วนทั้งสองข้างช่วยประคอง พอเงยหน้ากระทะก็ขึ้นไปเทินอยู่บนหัว รีบเดินตัวปลิวจะออกจากศาล
คณะตระลาการเห็นการกระทำของอ้ายเชียงทันคล่องแคล่วรวดเร็วต่างตกตะลึง แต่เสด็จในกรมฯทรงพระสรวลแล้วรับสั่งว่า
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนอ้ายเชียงทัน กลับมานี่ก่อน ขั้นแรกแกต่อสู้ว่าแขนด้วนไม่มีมือจับ เอาไปไม่ได้ บัดนี้ปรากฏว่าเห็นชัดแก่ตระลากรและคนทั้งปวงแล้วว่า แกเอากระทะใบนั้นไปได้ด้วยวิธีอย่างไร การให้การเท็จต่อศาลและมีความผิดจริงสมดังโจทก์กล่าวหา จะแก้ตัวว่าอย่างไร”
อ้ายเชียงทันยกแขนด้วนทั้งสองข้างขึ้นประคองกระทะ แล้วก้มหัวเอากระทะวางลงกลางศาล เงยหน้าขึ้นมาสารภาพแต่โดยดี จึงมีรับสั่งให้ตระลาการตัดสิน เอาอ้ายเชียงทันเข้าตะราง คืนกระทะให้อำแดงสีไป