“ผีบุญ” มีความหมายว่า “ผู้มีบุญ” ก็คือคนที่อวดอ้างว่าตัวเป็นผู้วิเศษ มีฤทธิ์เดชเหนือมนุษย์ ได้รับบัญชาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาสร้างความมั่งคั่งผาสุกให้ราษฎร ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แต่ก็ทำให้คนที่งมงายเชื่อได้เป็นจำนวนมาก
สมัยอดีต มีผีบุญเกิดขึ้นในภาคอีสานหลายราย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะประชาชนในย่านนี้ต้องเผชิญกับความยากเข็ญจากภัยแล้งอยู่เป็นประจำ ทำให้คนมักใหญ่ใฝ่อำนาจปลุกปั่นว่าเป็นเพราะรัฐบาลสยามส่งคนมาปกครองแล้วเก็บภาษีไปปรนเปรอคนกรุงเทพฯ ประกอบกับคนที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ยังเชื่อเรื่องภูตผีและไสยศาสตร์ จึงถูกพวกผีบุญหลอกได้ง่ายๆ
สมัยรัชกาลที่ ๕ ใน พ.ศ.๒๔๔๓ มีหนังสือจารึกใบลานข้อความเป็นคำพยากรณ์ว่า ในเดือนหกปีหน้า คือใน พ.ศ.๒๔๔๔ จะเกิดเภทภัยใหญ่หลวง หินแฮ่ หรือหินลูกรัง จะกลายเป็นเงินเป็นทอง ฟักเขียวฟักทองจะกลายเป็นช้างม้า ควายทุยควายเผือกและหมูจะกลายเป็นยักษ์กินคน ท้าวธรรมิกราชผู้มีบุญจะมาเป็นใหญ่ในโลกนี้ ผู้จะพ้นจากเหตุร้ายนี้ได้ต้องคัดคำพยากรณ์นี้เผยแพร่ต่อๆกันไป ถ้าใครเป็นคนบริสุทธิ์ไม่เคยทำชั่วทำบาป ก็ให้เอาหินแฮ่มารวบรวมไว้ รอท้าวธรรมิกราชจะมาชุบเป็นเงินเป็นทองให้ แต่ถ้าใครทำชั่วไว้ ก็ให้ไปนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีรดน้ำมนต์ เรียกว่า “พิธีตัดกรรมวางเวร” และถ้ากลัวถูกยักษ์กินก็ให้ฆ่าวัวควายฆ่าหมูเสียก่อนที่จะกลายเป็นยักษ์ ผู้ที่เป็นสาวหรือไม่สาวแต่ยังโสด ก็ให้รีบหาผัวเสีย เพราะยักษ์จะมาจับกินเฉพาะคนที่ไม่มีผัว
เรื่องนี้เล่าลือกันไปอย่างกว้างขวาง สร้างความหวาดกลัวกันทั่วทุกเมืองในมณฑลอีสาน ส่วนเจ้าหน้าที่ก็เห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหลของพวกโง่เขลาเบาปัญญา ไม่นานก็เลิกรากันไปเอง ไม่ต้องไปจัดการแต่อย่างใด ให้คอยติดตามข่าวไว้เท่านั้น
ต่อมาในปลายปี ๒๔๔๓ ราษฎรจำนวนมากต่างหยุดการทำมาหากิน พากันไปขุดหินแฮ่มาใส่หม้อใส่ไหบูชาไว้รอท้าวธรรมิกราชมาชุบ แล้วลงมือฆ่าวัวฆ่าควายฆ่าหมูให้หมดก่อนเดือนหก ทางราชการจึงเริ่มวิตกว่าต่อไปราษฎรจะไม่มีหมูกิน จะไม่มีวัวมีควายทำนา จึงให้กำนันผู้ใหญ่บ้านชี้แจงห้ามปราม แต่ก็ไม่อาจระงับข่าวลือและความเชื่อนี้ให้เบาบางลงได้ ซ้ำกลับแพร่กระจายไปถึงมณฑลอุดร เมืองหล่มสัก เมืองเลย มณฑลนครราชสีมา และข้ามโขงไปถึงเขตปกครองของฝรั่งเศส
ส่วนสาวโสดทั้งหลายก็กลัวว่าจะถูกยักษ์จับกิน แม้จะอยากมีผัวแต่ก็หาผู้ชายทำพันธุ์ยาก เพราะตั้งหน้าตั้งตาไปขุดหินแฮ่กันไม่สนใจจะได้เมียฟรี ขนาดผู้ชายพิกลพิการก็ยังถูกสาวโสดกล้ำกลืนเอาไปทำผัวดีกว่าถูกยักษ์กิน แม้แต่เด็กที่ยังไม่ประสีประสาในเรื่องเพศ ก็ยังเอามาสอนให้ทำผัว
ผีบุญได้ยกขบวนไปเกลี้ยกล่อมผู้คนที่เมืองเขมราฐให้มาร่วมอีก พระเขมรัฐประชารักษ์ เจ้าเมืองจึงออกทำความเข้าใจกับราษฎรล่วงหน้าไม่ให้เชื่อพวกผีบุญ เมื่อ “ผีบุญมั่น”ทราบข่าวก็โกรธ แสดงอิทธิฤทธิ์ยกพวกเข้าตีเมืองเขมราฐ จับเจ้าเมืองและผู้ช่วยอีก ๒ คนได้ จึงสั่งให้ประหารผู้ช่วยเจ้าเมืองทั้ง ๒ ส่วนพระเขมรัฐฯ ผีบุญมั่นเอาไว้เป็นตัวเชิด บังคับขึ้นขึ้นแคร่หามไปเกลี้ยกล่อมราษฎรเข้าเป็นพวก
นอกจากจะป่าวประกาศว่ารัฐบาลสยามขูดรีดภาษีไปบำรุงบางกอกแล้ว ผีบุญยังบอกราษฎรด้วยว่า ในไม่ช้าสยามจะต้องตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสเช่นเดียวกับญวน ลาว และเขมร ถ้าไม่อยากตกเป็นขี้ข้าฝรั่งเศสก็ต้องเข้ายึดเมืองอุบลราชธานี ตั้งเป็นรัฐอิสระจากรัฐบาลสยาม ไม่ต้องตกเป็นของฝรั่งเศสไปด้วย
หลายคนเห็นคล้อยไปกับผีบุญ บางคนยังคิดว่าจะได้เป็นใหญ่เมื่อได้ครองเมืองอุบลฯ จึงสวามิภักดิ์กับผีบุญมั่นอย่างถวายหัว ซึ่งองค์ผีบุญมั่นก็แต่งตั้งขึ้นเป็นระดับ “องค์” โกนหัวห่มขาวถือศีลกินเพลเช่นเดียวกับตัว กระจายสาขากันออกไป ให้เกณฑ์ปืนผาหน้าไม้และมีดพร้าเท่าที่จะหาได้มาเป็นอาวุธ และให้ตากข้าวเหนียวใส่ไถ้คาดไว้ที่เอวเป็นเสบียงทุกคน สำหรับเตรียมออกศึก วางเวรยามป้องกันการโจมตีของฝ่ายรัฐบาลอย่างรอบคอบ
“ฟืนไฟอย่าให้ดับ ปืนตับให้คาบชุด อาวุธไว้ขอกข้าง มารโตใดมากล่าวอ้าง ให้ตัดหัวถวายพระองค์ ให้ทุกคนระแวดระวัง”
เป็นคำสั่งขององค์มั่น แล้วให้ทุกคนขานรับด้วยคำว่า “ช่าช่าช่า” แทน “สาธุ สาธุ สาธุ”
เสด็จในกรมฯสรรพสิทธิ์ประสงค์ ผู้ว่าราชการมณฑลอีสาน ทรงเห็นว่าผีบุญเข้าข่ายเป็นกบฏต่อแผ่นดินอย่างชัดแจ้งแล้ว จึงรับสั่งทหารกองพลนครราชสีมาให้เข้ากวาดล้างผีบุญทางด้านเมืองยโสธรและเสลภูมิ ส่วนทางด้านเมืองอุบลฯ ดำรัสให้กองพันทหารอุบลฯจัดทหารไปสืบความเคลื่อนไหว นายร้อยตรีหรี่ จึงนำทหาร ๒ โหลไปดูลาดเลา หลังจากนั้น ๒ วันต่อมา ทั้ง ๒ โหลก็เหลือพลทหารป้อมกลับมาเพียงคนเดียวในสภาพไม่เหลือเสื้อผ้าติดตัวเลย เข้ากราบทูลรายงานว่า นายร้อยตรีหรี่เห็นว่ากำลังที่พาไปน้อย จะเข้าไปชักชวนชาวบ้านขุหลุให้ร่วมด้วย ครั้นไปถึงหนองน้ำขุหลุ พบพวกผีบุญที่ซุ่มดักอยู่เข้าโจมตี พวกผีบุญมีกำลังมากกว่าจึงฆ่าทหารตาย เหลือแต่เขาเพียงคนเดียวที่หนีรอดมาได้ และทราบว่าพวกผีบุญได้ยกกำลังจะไปสังหารท้าวกรมช้าง กรมการเมืองอุบลฯ ที่ออกไปรักษาการอยู่ที่เมืองพนานิคมด้วย
นายร้อยเอกหลวงชิตสรการ (จิตร มัธยมจันทร์) ผู้บังคับกองทหารปืนใหญ่ จึงได้รับมอบหมายให้นำทหารไป ๑๐๐ คนเศษ โดยมีปืนใหญ่ ๒ กระบอกเป็นอาวุธสำคัญ สมทบด้วยกองกำลังพลเรือนของเมืองอุบลฯอีกจำนวนหนึ่ง ยกไปบ้านสะพือใหญ่ ห่างค่ายของผีบุญประมาณ ๕๐ เส้น เลือกชัยภูมิที่สองข้างทางเป็นป่าทึบในเส้นทางที่จะไปเมืองอุบลฯเป็นที่ตั้งรับ
ในวันที่ ๔ เมษายน เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น.กองทัพผีบุญก็ยาตราจะไปตีเมืองอุบลฯตามคาด หลวงวิชิตฯได้ส่งหน่วยทหารปืนเล็กยาวหมวดหนึ่งออกไปต้านทานไว้ แล้วให้ทำเป็นถอย กลุ่มผีบุญกำลังฮึกเหิมจึงตามมา พอล่อเข้ามาในระยะวิถีกระสุนปืนใหญ่แล้ว หลวงวิชิตฯจึงให้ยิงปืนใหญ่นัดแรกออกไปเป็นสัญญาณ โดยให้วิถีกระสุนนัดนี้ข้ามหัวไป เพราะเกรงจะโดนพวกเดียวกัน แต่กลับทำให้ฝ่ายผีบุญลำพองใจคิดว่าเป็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ขององค์มั่น ทำให้แคล้วคลาดจากกระสุนปืนใหญ่ จึงดาหน้ากันเข้ามาจะเข่นฆ่าทหาร แต่พอปืนใหญ่นัดที่ ๒ คำราม กลุ่มผีบุญก็ล้มกันระเนระนาด ทำให้กลุ่มที่ตามมาชะงัก พอนัดที่ ๓ กลุ่มผีบุญที่รอดตายก็แตกกันกระเจิงไปคนละทิศละทาง ส่วนองค์มั่นเมื่อตอนปืนใหญ่นัดที่ ๒ ยังมีคนเห็นนุ่งขาวห่มขาวพนมมือเสกเป่าอยู่ท่ามกลางสาวก แต่พอนัดที่ ๓ จึงรีบเปลื้องเครื่องทรงออก แต่งเป็นชาวบ้านหลบหนีไปพร้อมกับสาวกประมาณ ๑๐ คนที่เป็นหน่วยคุ้มกัน โดยไม่ลืมที่จะแบกหีบสมบัติข้ามโขงไปด้วย ทิ้งศพสาวกที่ตายเกลื่อนถึง ๓๐๐ เศษ
สำหรับพระเขมรัฐเดชประชารักษ์ เจ้าเมืองเขมรัฐที่ถูกผีบุญจับเป็นตัวเชิด เคราะห์ดีที่ไม่ถูกกระสุนปืนใหญ่ไปด้วย ถูกคุมตัวมาสอบสวน ได้ความว่าไม่ได้สมัครใจเข้ากับผีบุญ แต่ถูกบังคับ จึงโปรดยกโทษให้ ส่วนสมุนผีบุญที่ถูกจับเป็นกว่า ๔๐๐ คน ถูกจำขื่อคามาพิจารณาโทษที่เมืองอุบลฯ ปรากฏว่ามีจำนวนมากจนไม่มีคุกตะรางจะใส่ จึงต้องเอาไปจำขื่อคาไว้กลางทุ่งสีเมือง ตากแดตากฝนจนกว่าคณะตุลาการจะสอบสวนและตัดสินเสร็จ คนที่เป็นชาวบ้านหลงมาเข้าเพราะความโง่เขลา ก็ปล่อยไป แต่บรรดาองค์ต่างๆที่ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษหวังจะเป็นใหญ่ ถูกตัดหัวเสียบประจานกันทั่วหน้า ไม่ให้เป็นเยี่ยงเป็นอย่างต่อไป
ส่วนพระครูอิน เจ้าอาวาสวัดหนองอีตุ้ม กับพระสงฆ์อีก ๓ รูปที่ไปเข้ากับกลุ่มผีบุญด้วย โปรดให้อยู่ในสมณเพศพุทธศาสนาต่อไป หากสึกออกมาเมื่อใดก็ให้จำคุกไว้ตลอดชีวิต