คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“ในหลวง” พระราชทาน ส.ค.ส.ปีใหม่ พร้อมอวยพรให้ประชาชนสุขกาย สุขใจ มีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ!
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 31 ธ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทาน ส.ค.ส.ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2559 แก่ประชาชนขาวไทย โดยเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ครึ่งพระองค์ ฉลองพระองค์เชิ้ตด้านใน ฉลองพระองค์คลุมสีขาวปักภาพคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง กลางภาพมีพรพระราชทานว่า “ให้มีกำลังกายที่แข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่นและสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ” ด้านบนของ ส.ค.ส.มีข้อความว่า “สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๙” ด้านล่างของภาพมีรูปลิง สัญลักษณ์ปีนักษัตรปีวอก สีฟ้า มีข้อความภาษาไทยว่า “ขอจงมีความสุขความเจริญ” ข้อความภาษาอังกฤษว่า “Happy New Year”
ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2559 ความว่า “ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน ให้มีความสุข ความเจริญ และความสำเร็จสมประสงค์ในสิ่งที่ปรารถนา ความสุขความเจริญนี้ แม้เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างยิ่ง แต่ในวิถีชีวิตของคนเรานั้น ย่อมต้องมีทั้งสุขและทุกข์ ทั้งความสมหวังและผิดหวังเป็นปรกติธรรมดา ทุกคนจึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจ และเตรียมกายให้พร้อม อย่าประมาท ในปีใหม่นี้ จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้รักษาและสร้างเสริมสุขภาพของตนให้สมบูรณ์ ให้มีกำลังกายที่แข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่น และมีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ จักได้สามารถนำพาตนให้ผ่านพ้นสถานการณ์ต่างๆ อันไม่พึงประสงค์ จนบรรลุถึงความสุขความเจริญและความสำเร็จได้ ดั่งที่ตั้งใจปรารถนา ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย ให้มีความสุขกาย สุขใจ ตลอดศกหน้านี้ โดยทั่วกัน”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ส.ค.ส.พระราชทานหลายปีที่ผ่านมา จะเป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคู่กับคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยงแสนรู้แทบทุกปี สำหรับปีนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองพระองค์เชิ้ตด้านในและฉลองพระองค์คลุมสีขาวปักภาพคุณทองแดง อาจเป็นเพราะคุณทองแดง เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขณะนอนหลับพักผ่อนและอยู่ระหว่างการรักษาดูแลของคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผศ.นสพ.คงศักดิ์ เที่ยงธรรม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หัวหิน กล่าวว่า คุณทองแดงอายุ 17 ปี หากเทียบกับคนแล้ว จะมีอายุ 119 ปี ถือเป็นสุนัขที่อายุยืนยาว เพราะปกติแล้ว สุนัขทั่วไปจะมีอายุประมาณ 10 กว่าปี น้อยตัวนักที่จะมีอายุเลย 15 หรือ 20 ปี
ทั้งนี้ ได้มีการประกอบพิธีทางศาสนาและนำกระดูกคุณทองแดงไปบรรจุไว้ในโถแก้วที่ฐานอนุสาวรีย์คุณทองแดง ภายในมูลนิธิศูนย์รักษ์สุนัขหัวหิน ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.ที่ผ่านมา สำหรับอนุสาวรีย์คุณทองแดง สร้างขึ้นพร้อมกับมูลนิธิศูนย์รักษ์สุนัขหัวหิน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินรายได้จากการจำหน่ายเสื้อยืดพิมพ์ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ครอบครัวคุณทองแดงจำนวน 4 ล้านบาท เพื่อสร้างอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในมูลนิธิฯ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ทรงเปิดอนุสาวรีย์คุณทองแดงเมื่อวันที่ 13 ก.พ.2557 เมื่อครั้งเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการทำงานของมูลนิธิศูนย์รักษ์สุนัขหัวหิน
2.ป.ป.ช.มีมติ 7 ต่อ 0 ยกข้อกล่าวหา “อภิสิทธิ์-สุเทพ-อนุพงษ์” สั่งใช้กำลังสลายการชุมนุม นปช. เหตุฟังไม่ขึ้น ชี้ ทำตามขั้นตอน!
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แถลงผลประชุม ป.ป.ช.ว่า จากกรณีที่มีคำร้องให้ถอดถอนและกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) กับพวก ว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ สลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) วันที่ 10 เม.ย.ถึงวันที่ 19 พ.ค.2553 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
ทั้งนี้ นายสรรเสริญ กล่าวว่า จากการไต่สวน ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุที่มีการสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนเข้าขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช. อยู่ในช่วงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ประกอบกับคำพิพากษาของศาลระบุว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม จึงมีเหตุจำเป็นที่ศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ต้องใช้มาตรการขอคืนพื้นที่เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ ซึ่งเป็นไปตามหลักสากลตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่ง แต่หากภายหลังพิสูจน์ได้ว่า มีการใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินกว่าเหตุ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้
และเมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้รับคดีการเสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 ไว้เป็นคดีพิเศษแล้ว ป.ป.ช.จึงมีมติให้ส่งเรื่องการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหารที่เป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว รวมถึงนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ ซึ่งมิใช่บุคคลตามมาตรา 66 ให้ดีเอสไอดำเนินการต่อไป
สำหรับกรณีกล่าวหานายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และ พล.อ.อนุพงษ์ กับพวก ละเว้นไม่สั่งระงับยับยั้ง ทบทวนวิธีการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้กำลังทหารนั้น นายสรรเสริญ กล่าวว่า จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลังเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ศอฉ.ได้ทบทวนปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าผลักดันผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจหรือจุดสกัดปิดล้อมวงนอกไว้โดยรอบ เพื่อให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง แต่วันที่ 19 พ.ค.2553 เจ้าหน้าที่เคลื่อนกำลังเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี โดยไม่ได้ผลักดันผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์โดยตรง แต่เป็นการกดดันกองกำลังติดอาวุธที่ยึดสวนลุมพินีอยู่ ซึ่งการปฏิบัติในการกระชับพื้นที่สวนลุมพินีในวันดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ เป็นการดำเนินการตามขั้นตอน โดยประกาศให้ผู้ชุมนุมออกไปจากพื้นที่ก่อน หลังประกาศแล้ว เจ้าหน้าที่จึงเข้าไป
ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติ 7 ต่อ 0 เสียงว่า ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน ยังรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามกับพวก ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาดังกล่าวตกไป
3.กระทรวงกลาโหม แถลงผลสอบสร้างอุทยานราชภักดิ์ ชี้ ใช้จ่ายงบตามระเบียบ รอ สตง.สรุปอีกครั้ง ด้าน “จตุพร” อ้างยังไม่สิ้นสงสัย!
เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการดำเนินโครงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ ได้แถลงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการตรวจสอบที่ตั้งขึ้นมีหน้าที่เพียงตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่มีอำนาจทางกฎหมาย โดยได้รับแต่งตั้งจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และว่า ได้มีการเรียกคนในกระทรวงกลาโหมและผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล โดยการหาข้อเท็จจริงได้มุ่งเน้นหาพยานหลักฐานและเอกสาร มีการเรียกบุคคลมาให้ความเห็น 23 คน นอกจากนี้ยังตรวจสอบเอกสารการใช้งบประมาณด้วย พบว่า การใช้จ่ายงบประมาณก่อสร้าง แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ งบกลาง 63.5 ล้านบาท และงบบริจาค 732 ล้านบาท
โดยงบ 149 ล้านบาท นำไปสร้างโรงเรียนนายสิบ ส่วนงบบริจาคเข้ามูลนิธิราชภักดิ์ 106 ล้านบาท จากการตรวจสอบ ยังไม่มีการใช้งบประมาณดังกล่าว และว่า จากการตรวจสอบงบประมาณ พบว่าเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้งนี้ คณะกรรมการเห็นว่า การใช้จ่ายงบกลาง งบกองทัพบก และงบบริจาค ได้ปฏิบัติตามระเบียบทุกขั้นตอน และขณะนี้ทราบว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) อยู่ระหว่างตรวจสอบงบประมาณอยู่
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวอีกว่า สำหรับการจัดกิจกรรม "ราชภักดิ์ไบค์แอนด์คอนเสิร์ตแทนคุณแผ่นดิน" มีการจัด 5 กิจกรรม โดยมีผู้บริจาครวมรายได้ทั้งสิ้น 77 ล้านบาทเศษ หักค่าใช้จ่าย 1 ล้านบาท เหลือ 76 ล้านบาทเศษ ซึ่งเงินทั้งหมดเข้าบัญชีกองทุนสวัสดิการอุทยานราชภักดิ์ และดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ทุกอย่าง พร้อมย้ำว่า ในส่วนของกิจกรรมปลูกต้นไม้ให้แผ่นดินนั้น ไม่ได้มีการซื้อขายต้นไม้แต่อย่างใด เพราะทางเอกชนนำมาบริจาค
ส่วนการหล่อพระบรมรูป 7 พระองค์นั้น พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ประเด็นนี้อยู่นอกเหนืออำนาจของคณะกรรมการ จึงไม่สามารถให้รายละเอียดได้ เพราะอาจกระทบต่อบุคคล ทำให้เกิดความเสียหาย แต่ได้ทำเรื่องส่งให้ พล.อ.ประวิตร ดำเนินการต่อไป ซึ่งจะต้องให้หน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมายเข้ามาดำเนินการในประเด็นนี้
เมื่อถามว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม บริสุทธิ์ 100% หรือไม่ พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าตรงไหนผิดหรือถูก เพราะมีอำนาจและขอบเขตในการสอบสวน ซึ่งในประเด็นนี้จะผิดถูกอย่างไรต้องให้หน่วยงานที่มีอำนาจทางกฎหมายดำเนินการต่อไป และหาก สตง.อยากได้ข้อมูล ก็พร้อมที่จะให้ข้อมูล ส่วนประเด็นคนสนิทของ พล.อ.อุดมเดช ที่หลบหนีไปนั้น คณะกรรมการเห็นว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะเขาหนีไปในคดีอื่น ที่ศาลทหารได้อนุมัติหมายจับไปก่อนหน้านี้
ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ซึ่งเข้าฟังการแถลงข่าวของกระทรวงกลาโหมครั้งนี้ด้วย กล่าวว่า พอใจการแถลงข่าวครั้งนี้ ถือว่าได้รับทราบข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้น มีความชัดเจนกว่าการตรวจสอบที่ผ่านมา
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้พูดเหน็บการแถลงข่าวผลสอบข้อเท็จจริงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ของกระทรวงกลาโหมว่า คณะกรรมการดังกล่าวชี้แจงแค่การใช้งบประมาณรายรับ-รายจ่ายเท่านั้น ไม่มีอำนาจตรวจความคลางแคลงใจกรณีการทุจริต ดังนั้นความสงสัยของอุทยานราชภักดิ์จึงยังไม่จบสิ้น การทำหน้าที่เช่นนี้ไม่ควรตั้งกรรมการให้เสียเวลา เพราะไม่มีอะไรสลับซับซ้อนในการตรวจสอบ จึงไม่รู้ว่า ทำไปทำไม ตนไม่มีความคาดหวังกับกรรมการชุดนี้ เพราะตั้งลูกน้องมาสอบผู้บังคับบัญชาก็ทำได้เท่านี้ ดังนั้นการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ยังไม่จบ ต้องรอตรวจสอบกันต่อไป
4.ศาลฎีกา พิพากษายืนยกฟ้อง 5 ตำรวจคดีอุ้ม “ทนายสมชาย” ด้าน “อังคณา” ถามหาความเป็นธรรมจากรัฐบาล-ตำรวจ!
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีอุ้มนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และนางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของนายสมชาย และบุตรรวม 5 คน ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อดีตสารวัตรกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) ช่วยราชการกองบังคับการปราบปราม(ขณะนี้หายสาบสูญ), พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ อดีตพนักงานสอบสวน กก.4 กองบังคับการปราบปราม, จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวน แผนก 4 กก.2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว, ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ กก.4 กองบังคับการปราบปราม และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน อดีตรอง ผกก.3 กองบังคับการปราบปราม ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น นภันต์วุฒิ ดำรงตำแหน่ง พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ ผู้กำกับการ ฝอ.สพ. เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะ และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ โดยใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2547 จำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ของนายสมชาย และลักทรัพย์เอารถยนต์ ทะเบียน ภง 6768 กรุงเทพมหานคร นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์ 1 เรือน ปากกายี่ห้อมองบลังค์ 1 ด้าม และโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง รวมมูลค่ากว่า 9 แสนบาท โดยพวกจำเลยได้ร่วมกันประทุษร้าย ผลักและฉุดกระชากตัวนายสมชายให้เข้าไปในรถยนต์ของจำเลยทั้งห้า แล้วพาตัวไป ซึ่งจนถึงขณะนี้ไม่ทราบว่านายสมชายยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ต่อมาจำเลยทั้งห้าได้เข้ามอบตัว ในชั้นสอบสวน จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และระหว่างการพิจารณา นางอังคณา ภรรยาและบุตรของนายสมชายรวม 5 คน ได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดี
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 2-5 พิพากษายกฟ้อง ขณะที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนยกฟ้องจำเลยที่ 2-5 ส่วน พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นยกฟ้องเช่นกัน เนื่องจากเห็นว่าคำให้การของพยานโจทก์ยังสับสน จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย อย่างไรก็ตาม ระหว่างอุทธรณ์ ศาลได้ออกหมายจับ พ.ต.ต.เงิน พร้อมสั่งปรับนายประกันจำเลยจำนวน 1.5 ล้านบาท เนื่องจากจำเลยไม่มาศาลตามนัด นอกจากนี้ศาลยังยกคำร้องการขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมของนางอังคณา ภรรยาและบุตรนายสมชาย ตามที่ฝ่ายจำเลยได้ยื่นคัดค้าน โดยศาลเห็นว่า คดียังไม่ชัดเจนว่านายสมชายเสียชีวิตแล้วหรือไม่ ภรรยาและบุตรจึงไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีและไม่มีสิทธิเป็นโจทก์ร่วม
ต่อมา อัยการโจทก์ รวมทั้งภรรยาและบุตรนายสมชาย ได้ยื่นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย รวมทั้งขอเป็นโจทก์ร่วมในคดี ซึ่งศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดียังไม่ชัดเจนว่านายสมชายถูกทำร้ายหรือกระทำให้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ดังนั้นภรรยาและบุตร จึงไม่ใช่ผู้ที่จะขอเป็นโจทก์ร่วมได้ และไม่มีอำนาจยื่นฎีกา นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างของโจทก์เลื่อนลอย ยังไม่อาจนำมาพิสูจน์ความผิดของจำเลยทั้งห้าได้ จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องจำเลย
หลังฟังคำพิพากษา นางอังคณา กล่าวว่า รู้สึกเสียใจ เมื่อปี 2555 รัฐบาลได้มีมติเยียวยาครอบครัวนายสมชาย เนื่องจากเชื่อได้ว่าถูกลักพาตัวและอุ้มหายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่วันนี้ไม่สามารถเอาผิดใครได้ คงต้องถามรัฐบาล ถามสำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะผู้รับผิดชอบคดี และเป็นต้นทางกระบวนการยุติธรรมว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติและรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร จะให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวตนอย่างไร และจะดำเนินการอย่างไรในการบอกสถานที่อยู่และสถานะของนายสมชายให้ได้ และว่า “อยากให้ดีเอสไอเร่งคดีการสูญหายของนายสมชายที่หายตัวไปตั้งแต่ปี 2548 เป็นเวลากว่า 10 ปีมาแล้ว”
นางอังคณา ยังชี้ปัญหาด้วยว่า ขณะนี้ประเทศไทยไม่มีกฎหมายว่าด้วยการบังคับสูญหาย ทั้งที่มีคนเห็นคนกลุ่มหนึ่งผลักทนายสมชายขึ้นรถและเขาไม่ได้กลับมาอีก แต่เราไม่มีกฎหมายดูแลตรงนี้ ถ้าหาศพไม่เจอ แสดงว่าก็ไม่สามารถเอาผิดใครได้ เพราะฉะนั้นประเทศไทยต้องรีบเร่งลงนามสัตยาบรรณอนุสัญญาคนหายของสหประชาชาติ และต้องมีกฎหมายว่าด้วยการบังคับสูญหายต่อไป เพราะคนอาจถูกจับกุมตัวไปไว้ในสถานที่ลับและไม่เปิดเผยโดยไม่รู้สถานะและชะตากรรมได้
5.ศาลฎีกา พิพากษากลับจำคุก “เอกชัย” อดีตผู้ช่วย “เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์” 1,020 ปี คดียักยอกทรัพย์แบงก์บีบีซี!
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ฟ้องนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซี และนายเอกชัย อธิคมนันทะ อดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซี เป็นจำเลยที่ 1 - 2 ฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ และความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2538 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์อนุมัติวงเงินสินเชื่อผ่านระบบคอมพิวเตอร์แก่บุคคล และนิติบุคคลต่าง ๆ ในวงเงินเกิน 30 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการบริหาร หรือบอร์ดบีบีซี ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย
ต่อมาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง เนื่องจากหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองได้เบียดบังทรัพย์สินของบีบีซีไปเป็นของตนโดยทุจริต และยังไม่ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองสร้างความเสียหายให้แก่โจทก์ร่วมแต่อย่างใด ต่อมา โจทก์ได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งสอง
ซึ่งศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 1 เสียชีวิตแล้ว คดีอาญาจึงระงับไป ขณะที่พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์สินของบีบีซีไปโดยทุจริต ด้วยการใช้บัตรอนุมัติสินเชื่อให้แก่บริษัทที่มาขอกู้เงินโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่น่าเชื่อถือ ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับให้ลงโทษจำคุกจำเลย 204 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 1,020 ปี แต่ตามกฎหมาย ให้ลงโทษจำคุกได้ไม่เกิน 20 ปี คงให้จำคุกนายเอกชัย จำเลยที่ 2 ไว้ 20 ปี และให้จำเลยชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทน จำนวน 1,854,201,794.75 บาท แก่บีบีซี ผู้เสียหายด้วย
ทั้งนี้ วันดังกล่าว(29 ธ.ค.) ศาลได้เบิกตัวนายเอกชัย จำเลยที่ 2 ซึ่งสวมชุดนักโทษ จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาฟังคำพิพากษา เนื่องจากก่อนหน้านี้ ศาลได้พิพากษาจำคุกนายเอกชัยกรณีร่วมกับนายเกริกเกียรติยักยอกทรัพย์บีบีซีหลายคดี
6.ป.ป.ช.มีมติอายัดทรัพย์สิน “ปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์” หลานภรรยา “ธาริต” กว่า 27 ล้าน หลังพบถือครองทรัพย์สินแทนธาริต-ภรรยา!
เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้แถลงมติที่ประชุม ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2557 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีนายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของนายธาริต และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยา ไว้เป็นการชั่วคราว เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2558 จำนวน 40,954,720.58 บาท นั้น
ต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตรวจพบว่า นายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ หลานชายของนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยาของนายธาริต มีพฤติการณ์ถือครองทรัพย์สินแทนนายธาริต และนางวรรษมล ซึ่งถือว่าเป็นพฤติการณ์โอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สิน คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ถือครองทรัพย์สินแทนนายธาริต และนางวรรษมล ได้แก่ เงินฝากและที่ดิน รวมมูลค่า 27,473,572.05 บาท ประกอบด้วย 1. บัญชีเงินฝากธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) จำนวน 4 บัญชี เป็นเงิน 643,572.05 บาท 2. ที่ดินที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จำนวน 9 แปลง มูลค่ารวม 26,830,000 บาท ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการโอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สินรายการอื่นๆ ของนายธาริต ที่อยู่ในชื่อของนายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้แถลงข่าวให้สาธารณชนได้รับทราบด้วย