จากการถูกคัดเลือกให้รับบทในละครเวทีของคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ “ก้อย-อรัชพร โภคินภากร” ในการเดินทางเข้าสู่โลกแห่งการแสดง ก่อนจะแจ้งเกิดอย่างเต็มตัว กับบท “ดิว” เด็กสาวสุดมั่นจนน่าหมั่นไส้ในซีรีส์ยอดนิยมทั้งในหมู่ผู้ชมวัยใสไปจนถึงวัยไม่รุ่น อย่างเรื่อง “ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น” ที่ได้ส่งต่อให้เธอได้รับรางวัลด้านการแสดงจากเทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 19 จากผลงานหนังสั้นเรื่อง 'Glowstick' เมื่อเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ดี ในความคิดของสาวน้อยคนนี้ นี่เป็นแค่เพียงจุดเริ่มเท่านั้นบนเส้นทางสายการแสดง

“ก่อนหน้านี้ เราก็ชอบดูหนังดูละครมากนะคะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะแสดงได้” สาวน้อยเจ้าของฉายา “ก้อย ฮอร์โมนส์” เล่าพลางยิ้ม
“พอได้เล่นละครเวทีของคณะตอนนั้น มันคือจุดเริ่มต้นของการแสดงจริงๆ”
• จากจุดนั้น เรารู้สึกว่ามันช้าไปหรือเปล่าสำหรับการเริ่มต้น
ก็นิดหน่อยค่ะถ้าเทียบกับคนอื่น แต่เรายังมองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีมาก ที่จริง ตอนเข้าคณะนี้ เราไม่ได้มีความคิดชัดเจนว่าเราจะเข้ามาทำอะไรที่นี่ ขณะที่พ่อแม่อยากให้เรียนหมอเพราะเราเรียนสายวิทย์มา แต่ปรากฏว่าสอบไม่ติด เลยไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรดี แต่เพราะความที่เราเป็นคนชอบทำกิจกรรมมากๆ ตั้งแต่เรียนมัธยมแล้ว พอเข้านิเทศได้ เราก็ลองทำทุกอย่าง รวมทั้งเล่นละครซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าได้เจอสิ่งที่ชอบ มันอาจจะช้าสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเรา อย่างน้อย เราก็ได้เจอทัน ลงล็อกพอดี

• ตอนที่เห็นบทในฮอร์โมนส์ครั้งแรกก่อนรับเล่น คิดเห็นอย่างไรบ้างครับ
คิดในใจนะว่า อีนี่เป็นอะไรของมันวะ แต่พอเขาเล่าเบื้องหลังปุ๊บ เราถึงรู้ว่าตัวละครนี้เป็นคนที่เสพละครเยอะแล้วก็อิน จึงเอาการกระทำในละครมาใช้ในชีวิตจริง แล้วก็รู้สึกว่า เออ เข้าใจนะ เพราะเคยเห็นคนที่โกรธแล้วก็กรี๊ด ซึ่งชีวิตจริง ถ้าไม่ได้เสพเยอะๆ เขาไม่ทำนะ เขาโกรธแต่เก็บ แต่ตัวละครนี้ทำทุกอย่างเหมือนละคร ทั้งการขมึงตา ซึ่งเราก็รู้สึกว่า มันเติบโตมาอย่างงี้นี่เอง
แต่ว่าเราสนุกมากที่ได้เล่นบทนี้ มันเป็นตัวละครที่สุดทางมาก เป็นตัวละครที่มองโลกว่า “ก็ชั้นถูกอ่ะ” ซึ่งจริงๆ ก็มีคนที่มองแบบเดียวกันนี้เยอะมากเช่นกัน คือจะเป็นแบบว่าทำไมอ่ะ ไม่เห็นผิดเลย และเป็นคนที่เกลียดคนอื่นง่ายมาก แบบว่า ถ้าฉันไม่ชอบคนนี้ ก็จะไม่ชอบไปเลย แต่ถ้าชอบก็คือชอบสุดโต่งเหมือนกัน เช่น ถ้าชอบเยลลี่ ก็จะปกป้องทุกทางเพื่อไม่ให้ใครมาทำอะไรได้ แต่พอไม่ชอบดาว เราทำอย่างไรก็ได้ให้คนคนนี้ล่มจม เรารู้สึกว่าแค่นั้นเอง กับการเป็นตัวละครนี้

• ตัวละครดิวในมุมมองของก้อย เป็นคนอย่างไร
จริงๆ เราว่าดิวเป็นคนที่โผงผางมากๆ หมายถึงว่า ก็ฉันไม่ชอบแบบนี้ ฉันจะอยู่กับคนที่ฉันชอบเท่านั้น ซึ่งถ้ามองในแง่ดี ตัวละครนี้เป็นคนที่ตรงมากๆ แสดงออกชัดเจนว่ากูชอบคนนี้ ไม่ชอบคนนี้ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง เราอาจจะคิดว่าทำไมคนคนนี้มันคิดน้อยจังวะ ในมิติของความเป็นคน มันน่าจะคิดได้มากกว่านี้หรือเปล่า แต่ถามว่าคนที่เป็นแบบดิวมีมั้ย เรามั่นใจว่ามี คนที่คิดน้อย คือกูจะทำอย่างงี้แค่นั้น
แต่ถ้าถามว่าตัวละครนี้ให้อะไรกับสังคมบ้าง ก้อยว่ามันก็ทำให้รู้สึกว่าอย่าเป็นคนแบบนี้เลยละกัน เพราะทุกๆ คนก็จะเกลียดคนแบบนี้แหละ แต่เพื่อนเราก็เคยบอกเหมือนกันว่าอย่าคิดว่าไม่มีคนแบบนี้นะ เราเคยเจอเหมือนกัน และการเป็นคนแบบนี้ บางคนอาจจะไม่รู้ตัว เหมือนกับดิวที่ไม่รู้สึกว่าเราทำอะไรผิด

• มีฟีดแบ็กอย่างไรบ้างกับบทนี้ เพราะเท่าที่เห็น หลายคนถึงกับบอกว่าอยากปาทุเรียนใส่เหมือนพวกนางร้ายในละครเลย
ถูกแซวตลอดค่ะ และด้วยความที่หน้าตาของเรามีลักษณะแบบชวนหาเรื่องอยู่แล้ว มันก็เลยยิ่งส่งไปในแบบนั้นด้วย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าผิดที่หน้าตาเราหรือยังไง ที่จะเป็นแบบกวนๆ หน่อย แต่มันก็โอเค ตอบโจทย์กับความเป็นดิวดี แต่บางทีก็มีคอมเมนต์ที่ด่าเราแรงมาก ซึ่งเราก็ต้องรักษาระยะห่างเหมือนกันนะคะ เพราะไม่แน่ใจว่า “จะตบกูจริงมั้ยเนี่ย” (หัวเราะ) แต่เรารู้สึกดีที่มีคนเกลียด เพราะตัวละครนี้ถูกเขียนมาเพื่อให้คนด่าอยู่แล้ว ซึ่งพอทำให้คนเกลียดจริงๆ เราก็รู้สึกภูมิใจว่าทำให้คนอินได้

• เห็นว่าเพิ่งได้รับรางวัลมาด้วย
ดีใจมากเลยค่ะ (ยิ้ม) เพราะทุกครั้งที่เราเล่น เราตั้งใจในงานที่เราทำ เนื่องจากเรามองว่าการได้งานมาสักงาน มีคนที่อยากเข้ามาเยอะไปหมด คุณต้องฝ่าฟันคนเหล่านั้นมา เพราะฉะนั้น ทำทั้งที ก็ต้องทำให้ออกมาดีมากๆ และที่ผ่านมา เราอัดเต็มแรงของเราทุกงาน แต่มันก็สามารถเต็มที่กว่านี้ได้อีก เพียงแต่ ณ โมเมนต์นั้น เราคิดว่าดีที่สุดตรงนั้นแล้ว คือทำให้สุดไปเลยละกัน ไม่ว่างานไหนก็ตาม เราว่างานการแสดงต้องอยู่กับสิ่งนี้เป็นหลัก ถึงจะรอด คุณต้องเต็มที่ มันถึงจะมีความสุขในตัวเราเองด้วย เราฟินกับตัวนี้แล้วนะ เราได้เป็นตัวนี้แล้วนะ และการที่เราได้รางวัลมา มันก็ตอกย้ำว่า การที่เราตั้งใจมันส่งผลอะไรออกมาแล้วนะกับความตั้งใจของเรา แต่มันก็ยังสามารถไปอีกเรื่อยๆ เท่าที่จะทำได้

• มีต้นแบบไหมครับในด้านการแสดง
ไม่ได้มีขนาดนั้น แต่จะชอบแบบเป็นเรื่องๆ อย่างเราชอบพี่นุ่น-ศิรพันธ์ ในบท “ดากานดา” จากเรื่อง “เพื่อนสนิท” มาก เราชอบ เบนเนดิกต์ คัมเบอร์ชาช ที่เล่น “เชอร์ล็อก โฮล์มส์” และ “ดิ อิมมิเทชั่น เกม” เรื่องหลังนี้เราชอบมาก จนอยากรู้ว่าเขาเวิร์กชอปกันยังไง ถึงทำให้คนคนหนึ่งกลายเป็นตัวนั้นจริงๆ การที่ผู้ชายคนหนึ่งเล่นเป็นเกย์โดยไม่เสแสร้ง มันเห็นกันได้ง่ายๆ เหมือนกันนะ เราดูจนเชื่อว่าเขาเป็นจริงๆ แล้วเขาก็รักผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ คือมิติของตัวละครมันเยอะและลึก การแสดงของเขาทำให้เรารู้สึกว่าทำได้ยังไง และอีกคนหนึ่ง คือ “เอ็ดดี้ เรดเมย์น” จาก The Theory of Everything

• ในฐานะคนที่เล่นละครคนหนึ่ง มองละครบ้านเราอย่างไรบ้าง
เราว่า ในวงการบันเทิงที่เป็นเชิงละครเขาเน้นขาย อย่างเช่น เน้นขายสวยหล่อหรืออะไรที่ย่อยง่ายมากๆ ซึ่งเรามองว่า ฮอร์โมนส์ จะฉีกให้เหมือนกับเมืองนอกแล้ว หมายถึงว่าเขาพยายามจะเล่นประเด็นที่คนมองไม่ถึงหรือใช้โปรดักชันที่มันจริง แต่มันก็มีอีกหลายที่ ที่เรามองว่าทำไมคุณถึงเลือกทำละครแบบนั้น ทั้งๆ ที่คุณมีงบที่จะสามารถเนรมิตให้ยิ่งใหญ่ได้ นักแสดงไทยหลายคนเก่งมาก แต่ไม่ได้ถูกใช้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งบทที่ส่งมา ทั้งที่จริงๆ ตอนนี้ประเทศไทยมีการศึกษามากพอในระดับหนึ่ง ที่จะรับละครที่มันยากขึ้น มีการศึกษามากขึ้น ไม่ใช่แบบว่ามีแต่เมโลดราม่า
คือสุดท้ายแล้ว มองในฐานะสื่อ เราควรจะมอบสิ่งที่ดีกว่า มากกว่าการตลาดหรือเปล่า เช่นสมมติว่า อันนี้ขายได้แน่นอน เพราะคนชอบ โดยที่ไม่ได้อะไรเลย ซึ่งในละครเรื่องหนึ่ง มันน่าจะมีอะไรให้คนคิด เราในฐานะสื่อ ถ้าทำให้คนคิดได้ เราว่าเรื่องนั้นประสบความสำเร็จ

Profile
ชื่อ : อรัชพร โภคินภากร
ชื่อเล่น : ก้อย
วันเกิด : 28 เมษายน 2537
ส่วนสูง : 160
น้ำหนัก : 42
งานอดิเรก : ดูหนัง, เล่นละคร
ผลงาน : ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ซีซั่น 2-3 รับบท ‘ดิว’
ละครเวทีนิเทศจุฬาฯ เรื่อง ‘ปิ๊กกะแอน’ (2556)
ละครเวทีนิเทศจุฬาฯ เรื่อง ‘เดอะ วิลล่า สมาริส’ (2558)
รางวัล : รางวัลนักแสดง จาก เทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 19 ประจำปี 2558





เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
“ก่อนหน้านี้ เราก็ชอบดูหนังดูละครมากนะคะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะแสดงได้” สาวน้อยเจ้าของฉายา “ก้อย ฮอร์โมนส์” เล่าพลางยิ้ม
“พอได้เล่นละครเวทีของคณะตอนนั้น มันคือจุดเริ่มต้นของการแสดงจริงๆ”
• จากจุดนั้น เรารู้สึกว่ามันช้าไปหรือเปล่าสำหรับการเริ่มต้น
ก็นิดหน่อยค่ะถ้าเทียบกับคนอื่น แต่เรายังมองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีมาก ที่จริง ตอนเข้าคณะนี้ เราไม่ได้มีความคิดชัดเจนว่าเราจะเข้ามาทำอะไรที่นี่ ขณะที่พ่อแม่อยากให้เรียนหมอเพราะเราเรียนสายวิทย์มา แต่ปรากฏว่าสอบไม่ติด เลยไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรดี แต่เพราะความที่เราเป็นคนชอบทำกิจกรรมมากๆ ตั้งแต่เรียนมัธยมแล้ว พอเข้านิเทศได้ เราก็ลองทำทุกอย่าง รวมทั้งเล่นละครซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าได้เจอสิ่งที่ชอบ มันอาจจะช้าสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเรา อย่างน้อย เราก็ได้เจอทัน ลงล็อกพอดี
• ตอนที่เห็นบทในฮอร์โมนส์ครั้งแรกก่อนรับเล่น คิดเห็นอย่างไรบ้างครับ
คิดในใจนะว่า อีนี่เป็นอะไรของมันวะ แต่พอเขาเล่าเบื้องหลังปุ๊บ เราถึงรู้ว่าตัวละครนี้เป็นคนที่เสพละครเยอะแล้วก็อิน จึงเอาการกระทำในละครมาใช้ในชีวิตจริง แล้วก็รู้สึกว่า เออ เข้าใจนะ เพราะเคยเห็นคนที่โกรธแล้วก็กรี๊ด ซึ่งชีวิตจริง ถ้าไม่ได้เสพเยอะๆ เขาไม่ทำนะ เขาโกรธแต่เก็บ แต่ตัวละครนี้ทำทุกอย่างเหมือนละคร ทั้งการขมึงตา ซึ่งเราก็รู้สึกว่า มันเติบโตมาอย่างงี้นี่เอง
แต่ว่าเราสนุกมากที่ได้เล่นบทนี้ มันเป็นตัวละครที่สุดทางมาก เป็นตัวละครที่มองโลกว่า “ก็ชั้นถูกอ่ะ” ซึ่งจริงๆ ก็มีคนที่มองแบบเดียวกันนี้เยอะมากเช่นกัน คือจะเป็นแบบว่าทำไมอ่ะ ไม่เห็นผิดเลย และเป็นคนที่เกลียดคนอื่นง่ายมาก แบบว่า ถ้าฉันไม่ชอบคนนี้ ก็จะไม่ชอบไปเลย แต่ถ้าชอบก็คือชอบสุดโต่งเหมือนกัน เช่น ถ้าชอบเยลลี่ ก็จะปกป้องทุกทางเพื่อไม่ให้ใครมาทำอะไรได้ แต่พอไม่ชอบดาว เราทำอย่างไรก็ได้ให้คนคนนี้ล่มจม เรารู้สึกว่าแค่นั้นเอง กับการเป็นตัวละครนี้
• ตัวละครดิวในมุมมองของก้อย เป็นคนอย่างไร
จริงๆ เราว่าดิวเป็นคนที่โผงผางมากๆ หมายถึงว่า ก็ฉันไม่ชอบแบบนี้ ฉันจะอยู่กับคนที่ฉันชอบเท่านั้น ซึ่งถ้ามองในแง่ดี ตัวละครนี้เป็นคนที่ตรงมากๆ แสดงออกชัดเจนว่ากูชอบคนนี้ ไม่ชอบคนนี้ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง เราอาจจะคิดว่าทำไมคนคนนี้มันคิดน้อยจังวะ ในมิติของความเป็นคน มันน่าจะคิดได้มากกว่านี้หรือเปล่า แต่ถามว่าคนที่เป็นแบบดิวมีมั้ย เรามั่นใจว่ามี คนที่คิดน้อย คือกูจะทำอย่างงี้แค่นั้น
แต่ถ้าถามว่าตัวละครนี้ให้อะไรกับสังคมบ้าง ก้อยว่ามันก็ทำให้รู้สึกว่าอย่าเป็นคนแบบนี้เลยละกัน เพราะทุกๆ คนก็จะเกลียดคนแบบนี้แหละ แต่เพื่อนเราก็เคยบอกเหมือนกันว่าอย่าคิดว่าไม่มีคนแบบนี้นะ เราเคยเจอเหมือนกัน และการเป็นคนแบบนี้ บางคนอาจจะไม่รู้ตัว เหมือนกับดิวที่ไม่รู้สึกว่าเราทำอะไรผิด
• มีฟีดแบ็กอย่างไรบ้างกับบทนี้ เพราะเท่าที่เห็น หลายคนถึงกับบอกว่าอยากปาทุเรียนใส่เหมือนพวกนางร้ายในละครเลย
ถูกแซวตลอดค่ะ และด้วยความที่หน้าตาของเรามีลักษณะแบบชวนหาเรื่องอยู่แล้ว มันก็เลยยิ่งส่งไปในแบบนั้นด้วย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าผิดที่หน้าตาเราหรือยังไง ที่จะเป็นแบบกวนๆ หน่อย แต่มันก็โอเค ตอบโจทย์กับความเป็นดิวดี แต่บางทีก็มีคอมเมนต์ที่ด่าเราแรงมาก ซึ่งเราก็ต้องรักษาระยะห่างเหมือนกันนะคะ เพราะไม่แน่ใจว่า “จะตบกูจริงมั้ยเนี่ย” (หัวเราะ) แต่เรารู้สึกดีที่มีคนเกลียด เพราะตัวละครนี้ถูกเขียนมาเพื่อให้คนด่าอยู่แล้ว ซึ่งพอทำให้คนเกลียดจริงๆ เราก็รู้สึกภูมิใจว่าทำให้คนอินได้
• เห็นว่าเพิ่งได้รับรางวัลมาด้วย
ดีใจมากเลยค่ะ (ยิ้ม) เพราะทุกครั้งที่เราเล่น เราตั้งใจในงานที่เราทำ เนื่องจากเรามองว่าการได้งานมาสักงาน มีคนที่อยากเข้ามาเยอะไปหมด คุณต้องฝ่าฟันคนเหล่านั้นมา เพราะฉะนั้น ทำทั้งที ก็ต้องทำให้ออกมาดีมากๆ และที่ผ่านมา เราอัดเต็มแรงของเราทุกงาน แต่มันก็สามารถเต็มที่กว่านี้ได้อีก เพียงแต่ ณ โมเมนต์นั้น เราคิดว่าดีที่สุดตรงนั้นแล้ว คือทำให้สุดไปเลยละกัน ไม่ว่างานไหนก็ตาม เราว่างานการแสดงต้องอยู่กับสิ่งนี้เป็นหลัก ถึงจะรอด คุณต้องเต็มที่ มันถึงจะมีความสุขในตัวเราเองด้วย เราฟินกับตัวนี้แล้วนะ เราได้เป็นตัวนี้แล้วนะ และการที่เราได้รางวัลมา มันก็ตอกย้ำว่า การที่เราตั้งใจมันส่งผลอะไรออกมาแล้วนะกับความตั้งใจของเรา แต่มันก็ยังสามารถไปอีกเรื่อยๆ เท่าที่จะทำได้
• มีต้นแบบไหมครับในด้านการแสดง
ไม่ได้มีขนาดนั้น แต่จะชอบแบบเป็นเรื่องๆ อย่างเราชอบพี่นุ่น-ศิรพันธ์ ในบท “ดากานดา” จากเรื่อง “เพื่อนสนิท” มาก เราชอบ เบนเนดิกต์ คัมเบอร์ชาช ที่เล่น “เชอร์ล็อก โฮล์มส์” และ “ดิ อิมมิเทชั่น เกม” เรื่องหลังนี้เราชอบมาก จนอยากรู้ว่าเขาเวิร์กชอปกันยังไง ถึงทำให้คนคนหนึ่งกลายเป็นตัวนั้นจริงๆ การที่ผู้ชายคนหนึ่งเล่นเป็นเกย์โดยไม่เสแสร้ง มันเห็นกันได้ง่ายๆ เหมือนกันนะ เราดูจนเชื่อว่าเขาเป็นจริงๆ แล้วเขาก็รักผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ คือมิติของตัวละครมันเยอะและลึก การแสดงของเขาทำให้เรารู้สึกว่าทำได้ยังไง และอีกคนหนึ่ง คือ “เอ็ดดี้ เรดเมย์น” จาก The Theory of Everything
• ในฐานะคนที่เล่นละครคนหนึ่ง มองละครบ้านเราอย่างไรบ้าง
เราว่า ในวงการบันเทิงที่เป็นเชิงละครเขาเน้นขาย อย่างเช่น เน้นขายสวยหล่อหรืออะไรที่ย่อยง่ายมากๆ ซึ่งเรามองว่า ฮอร์โมนส์ จะฉีกให้เหมือนกับเมืองนอกแล้ว หมายถึงว่าเขาพยายามจะเล่นประเด็นที่คนมองไม่ถึงหรือใช้โปรดักชันที่มันจริง แต่มันก็มีอีกหลายที่ ที่เรามองว่าทำไมคุณถึงเลือกทำละครแบบนั้น ทั้งๆ ที่คุณมีงบที่จะสามารถเนรมิตให้ยิ่งใหญ่ได้ นักแสดงไทยหลายคนเก่งมาก แต่ไม่ได้ถูกใช้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งบทที่ส่งมา ทั้งที่จริงๆ ตอนนี้ประเทศไทยมีการศึกษามากพอในระดับหนึ่ง ที่จะรับละครที่มันยากขึ้น มีการศึกษามากขึ้น ไม่ใช่แบบว่ามีแต่เมโลดราม่า
คือสุดท้ายแล้ว มองในฐานะสื่อ เราควรจะมอบสิ่งที่ดีกว่า มากกว่าการตลาดหรือเปล่า เช่นสมมติว่า อันนี้ขายได้แน่นอน เพราะคนชอบ โดยที่ไม่ได้อะไรเลย ซึ่งในละครเรื่องหนึ่ง มันน่าจะมีอะไรให้คนคิด เราในฐานะสื่อ ถ้าทำให้คนคิดได้ เราว่าเรื่องนั้นประสบความสำเร็จ
Profile
ชื่อ : อรัชพร โภคินภากร
ชื่อเล่น : ก้อย
วันเกิด : 28 เมษายน 2537
ส่วนสูง : 160
น้ำหนัก : 42
งานอดิเรก : ดูหนัง, เล่นละคร
ผลงาน : ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ซีซั่น 2-3 รับบท ‘ดิว’
ละครเวทีนิเทศจุฬาฯ เรื่อง ‘ปิ๊กกะแอน’ (2556)
ละครเวทีนิเทศจุฬาฯ เรื่อง ‘เดอะ วิลล่า สมาริส’ (2558)
รางวัล : รางวัลนักแสดง จาก เทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 19 ประจำปี 2558
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร