“เล่นเพื่อน” พจนานุกรมอธิบายความหมายไว้ว่า หญิงคบหญิงด้วยกันต่างชู้รัก หรือ หญิงสำเร็จความใคร่กับคนเพศเดียวกัน
ความจริงไม่ใช่เฉพาะ “หญิงกับหญิง” แต่ “ชายกับชาย” ก็เล่นเป็นเหมือนกัน
บางคนว่า “เล่นเพื่อน” เป็นการไปรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา เรื่องแบบนี้เราทำเองเป็น ไม่ต้องให้ฝรั่งมาสอน
ภาพเขียนฝาผนังแต่โบราณ ก็มีภาพเรื่องนี้ปรากฏอยู่หลายแห่ง และไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่อง “สัปดน” แต่เป็น “ความเป็นจริงของชีวิต” ส่วนในสมัยนี้ไม่ต้องพูดถึง “เล่นเพื่อน” หรือ “รักร่วมเพศ” ถือได้ว่าเป็นเสรีภาพส่วนบุคคล หรือเป็นรสนิยมจากฮอร์โมนในร่างกาย แต่ในสมัยก่อนมักเกิดกับการถูกกักขังจำกัดขอบเขตที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เช่นเจ้าจอมหม่อมห้ามนางใน ถูกกักให้อยู่แต่ในเขตที่ห้ามผู้ชายล่วงล้ำ และห้ามออกมาคบหากับคนข้างนอก สังคมจึงเหลือแต่คนเพศเดียว
เมื่อถึงวัยสาว มนุษย์ย่อมมีสัญชาติญาณของการสืบพันธุ์ ถูกฮอร์โมนภายในร่างกายกดดัน รักร่วมเพศจึงเกิดขึ้น
จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องผิดธรรมชาติ เพราะธรรมชาติหาทางออกให้
“เล่นเพื่อน” จึงเป็น “การปลดปล่อย” ของสาวชาววังที่ไม่มีทางออก เป็นเรื่องที่ซุบซิบกันมานาน และอื้อฉาวขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อ “คุณสุวรรณ” กวีดังในสมัยนั้น ผู้แต่งเรื่อง “พระมเหลเถไถ” ซึ่งถวายตัวรับใช้อยู่ในตำหนักพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ได้แต่งเพลงยาวเรื่อง “หม่อมเป็ดสวรรค์” นำพฤติกรรมหม่อมห้ามสองคนในตำหนักมาบรรยาย
หม่อมทั้งสองนี้ก็คือ “หม่อมสุด” และ “หม่อมขำ” ซึ่งเดิมเป็นหม่อมห้ามของกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ เมื่อกรมพระราชวังบวรสวรรคตแล้ว หม่อมสุดได้เข้ามารับราชการในวังหลวงก่อน ประจำอยู่ที่ตำหนักของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ต่อมาจึงชวนหม่อมขำซึ่งสนิทสนมกันเป็นพิเศษ มารับราชการร่วมตำหนักด้วยอีกคน
หม่อมขำนั้นหมั่นผัดหน้าทาแป้ง มีกริยาชดช้อย เดินโยกย้ายส่ายสะโพก คุณสุวรรณบอกฉายาไว้ว่า
“ฝ่าพระบาทจึ่งพระราชทานนาม ยกจากห้ามขึ้นเป็นจอมเรียกหม่อมเป็ด”
ส่วนที่สนุกของเรื่องนี้ ก็คือสาเหตุที่หม่อมสุดได้พระราชทานฉายาว่า “คุณโม่ง”
ทั้งนี้ ทั้งสองต้องนอนอยู่ปลายพระบาทของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ หม่อมสุดนั้นเป็นคนมีการศึกษา อ่านหนังสือได้คล่อง จึงรับหน้าที่อ่านกาพย์กลอนถวายก่อนบรรทม ซึ่งคุณสุวรรณบรรยายไว้ว่า
“หนังสือไทยอ่านคล่องทำนองชาย
รู้จักทำกาพย์กลอนอักษรสาร
สำหรับอ่านพระราชนิพนธ์ถวาย
หนังสือตกอ่านแต้มไม่แย้มพราย
อ่านอยู่ปลายพระแท่นบรรทมใน
แต่ปากอ่านใจคิดขนิษฐ์เป็ด
มิใคร่จะเสร็จสิ้นสุดสมุดได้
จนล่วงมัชฌิมยามสองย่ำฆ้องชัย
จะหยุดไว้ก็เกรงพระอาชญา
หม่อมเป็ดน้อยค่อยเตือนให้เพื่อนนอน
เฝ้าเคืองค้อนแค้นขัดสะบัดหน้า
ยังไม่ทรงพระบรรทมตรมอุรา
แต่ชายตาดูพักตร์พยักกัน
เห็นพระองค์ทรงนิ่งไม่ติงกาย
เตือนก็ชายดึงต่วนให้ป่วนปั่น
หับสมุดหยุดยั้งฟังสำคัญ
ด้วยกระสันเสียวซ่านรำคาญใจ
พระแกล้งทรงพระกรรสะจะให้รู้
ว่าตื่นพระบรรทมอยู่หาหลับไม่
คุณโม่งก็ชะงากกระดากใจ
ก็แข็งจิตอ่านไปใจประวิง
ครั้นพระองค์ทรงพลิกพระกายกลับ
หมายว่าพระบรรทมหลับสนิทนิ่ง
ก็สมจิตคิดไว้ใจประวิง
ก็คลานชิงกันขยับดับเทียนชัย
เข้าชุลมุนวุ่นวายปลายพระบาท
ก็คิดคาดเอาว่าหาเห็นไม่
จึ่งกระทำเอาแต่อำเภอใจ
ด้วยแสงไฟมืดมิดไม่มีโพลง
กระซุบกระซิบซุ่มกายปลายพระบาท
อุตลุดอุดจาดทำอาจโถง
เอาเพลาะหอมกรอมหุ้มกันคลุมโปง
จึ่งตรัสเรียกว่าคุณโม่งแต่นั้นมา”
ที่หม่อมสุดได้ชื่อว่า “คุณโม่ง” ก็เพราะคลุมโปงเล่นอุตลุดกับ “หม่อมเป็ด” ที่ปลายพระบาทนี่เอง
คุณสุวรรณเอาเรื่อง “หม่อมเป็ดสวรรค์” มาเล่า ด้วยเห็นเป็นเรื่องขบขันเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องตำหนิติเตียนแต่อย่างใด
ในบทกลอนของ “สุนทรภู่” ก็กล่าวถึงเรื่องรักร่วมเพศของผู้หญิงชาวบ้านนอกรั้วนอกวังไว้หลายแห่ง แต่ที่น่าสนใจก็คือใน “นิราศพระประธม” ได้กล่าวถึงแม่ม่ายคนหนึ่งที่รักหญิงด้วยกันไว้ว่า
“สงสารแต่แม่ม่ายสายสวาท
นอนอนาถหนาวน่าน้ำตาไหล
อ่านหนังสือหรือว่าน้องจะลองไน
เสียดายใจจางจืดไม่ยืดยาว
แม้นยอมใจให้สัตย์จะนัดน้อง
ไปร่วมห้องหายม่ายทั้งหายหนาว
นี่หลงเพื่อนเหมือนเคี้ยวข้าวเหนียวลาว
ลืมข้าวเจ้าเจ้าประคุณที่คุ้นเคย”
แสดงว่าผู้หญิงที่เคยลิ้มรสผู้ชายมาแล้ว ก็ยังมาติดใจรักหญิงด้วยกัน ไม่ใช่ถูกกดดันอย่างหม่อมห้ามนางใน
ในกรณีนี้จึงถือได้ว่าเป็นการหาความแปลกใหม่ตามรสนิยม
ทุกวันนี้ องค์การอนามัยโลกถือว่าการรักร่วมเพศไม่ใช่เป็นโรคจิต หรือเป็นความปกติทางเพศที่ต้องบำบัด แต่เป็นรสนิยมทางเพศที่แตกต่างไปเท่านั้น
ในสังคมไทยปัจจุบันก็ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกพิสดารแล้ว และดูจะมีความเห็นเป็นส่วนใหญ่ว่า อยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ แต่อย่าให้ประเจิดประเจ้ออุจาดสายตาของคนที่เขายังไม่เห็นด้วยนักและเรียกร้องแต่เพียงว่า ขอให้เป็นคนดีของสังคมก็แล้วกัน