ชายหนุ่มวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้านี้ แว่บแรกที่เราได้เห็นนั้น เป็นบุคคลที่มีภูมิฐานอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งการแต่งกายที่ดูเรียบร้อยสมกับความเป็นนักธุรกิจที่เป็นอยู่ และ หน้าที่การงานที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะเขาคนนี้เป็นเจ้าของกิจการด้านไอที ที่มีผลประกอบการสูงถึงกว่า 6,000 ล้านบาท จนอาจจะเรียกได้ว่า มีชีวิตที่เพียบพร้อม เป็นที่นับหน้าถือตาทั้งในและนอกสังคม อย่างไม่ต้องสงสัย
สู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ลุยงานมาหลากรูปแบบ ไล่ตั้งแต่รับจ้างปอกมะพร้าว, อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ในสถานะสามเณร, อดีตนักมวยไทยผู้เจนเวทีมากว่า 5 ปี หรือ พนักงานธนาคารฝ่ายสินเชื่อ ซึ่งอาชีพทั้งหมดที่กล่าวมา คืออาชีพที่เขาได้ดำรงตำแหน่งมา ก่อนที่จะมาพบกับสิ่งที่เรียกว่า “คอมพิวเตอร์” ซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง
ณ วันนี้ “สมยศ เชาวลิต” หรือ “จิ๊บ J.I.B.” คือชายผู้นั้นที่เรากล่าวถึง เพราะเขาผู้นี้ เป็นเจ้าของกิจการในด้านเทคโนโลยีไอทีนาม บริษัท เจ.ไอ.บี. คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด หรือ J.I.B. Computer Group ผู้ซึ่งผ่านอุปสรรคขวากหนามต่างๆ ดั่งที่ได้กล่าวไปข้างต้น ด้วยจากการไม่มีอะไรเลย ให้กลายมาเป็น ผู้นำแห่งคอมพิวเตอร์อีกเจ้าหนึ่งของเมืองไทย จนกลายเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง มาจนถึงปัจจุบันนี้
นับเป็นเวลากว่า 14 ปี ของ J.I.B. สมยศ ยังคงเดินหน้าในการดำเนินธุรกิจดังกล่าวต่อไปอย่างมั่นคงและแข็งแรง และ ยังคงต่อสู้ในสถานะ “นักธุรกิจ” ต่อไปเช่นเดิม และนั่นคือบทพิสูจน์ได้ว่า “การประสบความสำเร็จ” คงจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้ายังมีความมุ่งมั่นและความอุตสาหะอย่างเพียงพอ...
ความจน คือเกราะชั้นดี
42 ปีก่อน เด็กชายสมยศ ได้ถือกำเนิดขึ้นที่อำเภอลานสกา นครศรีธรรมราช ในครอบครัวที่ปากกัดตีนถีบ ซึ่งถือเป็นปฐมบทแห่งการเพาะบ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตนเองในสถานะแห่งคนสู้ชีวิต
“ตั้งแต่จำความได้ ก็ต้องทำงานเลย คือแม่ก็ใช้ทำนู่นทำนี่ ตี 4 นี่แม่ปลุกแล้วนะ มาทำงานทำนู่นนี่ บางทีเรายังรู้สึกโกรธแม่มาก แต่ถ้าไม่ตื่นนี่โดนนะ คือแม่เขาเคี่ยวเข็ญมากในตอนนั้น ทำเป็นทุกอย่าง หุงข้าวเอง หาข้าวกินเอง ล้างจานเอง ซักผ้าเอง อะไรอย่างงี้ งานบ้านหลักๆ นี่ ทำเองหมด ตั้งแต่จำความได้ ก็ต้องทำแบบนี้มาตลอด พอโตขึ้นก็ไปช่วยแม่ แม่จะทำรับจ้าง เราก็ติดสอยห้อยตามไปช่วยในด้านต่างๆ”
“พอโตขึ้นมาในระดับที่ใช้กำลังแรงได้แล้ว ก็เริ่มปอกมะพร้าวเลย ด้วยการเอาเหล็กปักพื้นดิน แล้วก็ปอก 100 ลูกได้ 10 บาท วันนึงก็ปอกได้ประมาณ 1000 ลูก ก็ได้ค่าแรง 100 บาท คือสัมผัสอารมณ์แบบนี้ ปอกมะพร้าวกลางสายฝน ไม่ได้หยุดนะ แม่บอกไม่ต้องหยุด ยกเว้นอย่างเดียวตอนเวลามีฟ้าผ่าต้องไปหลบภัย”
ด้วยฐานะของทางบ้านที่อยู่ในสภาพอยู่ไปวันๆ เช่นนี้ ทำให้สมยศมีภารกิจหลักในวัยเด็ก นั่นคือ “การทำงาน” มาอยู่ในพจนานุกรมหลักของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และในขณะเดียวกัน ความสนุกสนานของช่วงเวลาวัยเด็ก ก็ปิดประตูแบบสนิทตายไปโดยปริยาย
“ไม่รู้สึกเลย เพราะว่า คือเราเห็นแม่เราทำงานหนัก เราจะรู้สึกสงสารในตอนนั้น สงสารแม่ ทำอะไรก็ได้ที่อยากช่วยเขา เพราะฉะนั้นเราก็จะตัดความสนุกในวัยเด็กออกไป ของเล่นไม่เคยมี ขนมก็ไม่ค่อยกิน คือไม่ถึงกับไม่เคยหรอก แต่มันน้อยมาก คือใช้เท่าที่จำเป็น แล้วก็อยากจะช่วยให้แม่เค้าไม่เหนื่อยมาก อันนี้เป็นตั้งแต่เด็กๆ อีกอย่าง คือถ้าเราทำงานแบบนี้ เราก็โตเกินวัยไปโดยอัตโนมัติ เราก็รู้สึกเลยว่า โตมาก็ทำงานแล้ว มันลำบากแล้ว แต่ไม่ถึงกับอดนะ มันเหนื่อย รู้สึกว่าต้องทำงานตลอด”
“ทำงานปอกมะพร้าวไปได้ประมาณนึง พอโตขึ้นมาหน่อย แม่ก็ซื้อรถไถ เมื่อก่อนมันเป็นเดินตาม ล้อเป็นเหล็กน่ะ เป็นคูโบต้า สตาร์ทแล้วกดคลัช จำได้รอบก็เสียงดังเลย ทำตรงนั้นด้วย ตอนนั้นทำรับจ้าง แม่ก็ซื้อรถมาแล้ว มารับจ้างถอย คือเวลาไถนา พอฝนตกหรืออะไรก็ต้องทำ ต้องแบบทั้งฝน นั่นก็หนักมากอีกอย่างนึง คือหนักขึ้นตามแรงที่เรามี ตอนเด็กๆ งานหนักทำมาหมด ทำทุกอย่าง เลยไม่กลัวความลำบาก”
หนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้สมยศ มีภูมิต้านทานทางร่างกายและจิตใจมาตั้งแต่เด็กๆ นั่น คือ การแยกทางของพ่อและแม่ในระหว่างที่เขาเรียนระดับชั้นประถมศึกษา จนในที่สุด มารดาของสมยศต้องรับหน้าที่เป็นกำลังหลักของครอบครัว บวกกับการเป็นลูกชายคนโตของบ้านด้วยแล้ว ทำให้เขาต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างให้มากกว่าเดิม ด้วยเหตุผลเดียว “เพื่อคนในครอบครัว” เท่านั้น
“พ่อกับแม่ เขาเลิกกันตั้งแต่ผมอยู่ ป.3-ป.4 เวลาทำอะไร เราก็รู้สึกสงสารแม่ คือพ่อก็ค่อนข้างมีตังค์นะ แต่พอเลิกกันปุ๊บ ก็ไม่เหลืออะไร เลี้ยงลูกทั้งหมด 4 คน มันก็ทำให้แบบ ทำไมพ่อไม่ช่วยเลย เราก็เลยช่วยแม่เต็มที่ เพราะผมสงสารแม่มากกว่า แรงบันดาลใจทั้งหมด มาจากตรงนั้น เพราะว่า เราอยากให้เขาสบาย คือทำอะไรก็ได้ แต่อยากให้เขาสบายแค่นั้น”
ในเวลาต่อมา เมื่อเขาได้ช่วยทางบ้านทำงานมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว สมยศก็ได้เดินทางเข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์ด้วยการบวชเป็นสามเณร เป็นเวลากว่า 2 ปี โดยเริ่มมาจากการบวชภาคฤดูร้อน ซึ่งเลยความตั้งใจ ที่จะบวชเพียงแค่ 7 วัน เท่านั้น โดยการบวชดังกล่าว ก็ได้สร้างประสบการณ์ทางธรรมะให้กับเขาได้พอสมควร
“พอเราเรียนจบ ป.6 มันก็จะมีแบบ บวชภาคฤดูร้อน ผมชอบ เพราะ เห็นเพื่อนๆ บวช ก็อยากจะบวชบ้าง เนื่องจากมันบวชแค่ 7 วันเอง ทีนี้พอบวชเรียบร้อย บังเอิญเจอหลวงตาที่เป็นตาแท้ๆ ของเรา ท่านก็บวชเป็นเวลานาน แล้วท่านก็เห็นผมบวชพอดี เลยชวนมาอยู่ที่กรุงเทพฯ จำวัดที่วัดหงส์รัตนาราม ตรงบริเวณบางกอกใหญ่ ก็ไม่ต้องเรียนหนังสือแล้ว บวชยาวเลย 2 ปี แต่ตอนบวชก็ได้อะไรเยอะมากนะ เพราะว่า เราได้เรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท ได้เปรียญ 1 และ 2 ประโยค คือเรียนแล้วก็ชอบมากเลย อยู่ในหลักธรรมะเลย ได้ท่อง ได้เรียน มันสงบ ได้นั่งสมาธิ ซึ่งวัดที่นี่ค่อนข้างเคร่งนะ ไม่ได้เหมือนวัดอื่นที่มีเณรเตะบอลอะไรกัน แต่ที่นี่จะเคร่งมาก พระต้องอยู่ในวินัย ท่านเจ้าอาวาส ท่านเจ้าคุณ จริงจังมากกับเรื่องพวกนี้ ในการประชุมแต่ละครั้ง เขาจะบอกบ่อยเลยว่า พระและเณรที่นี่จะต้องสำรวม ห้ามไปเดินห้างเด็ดขาด และก็ในส่วนการเรียน ก็ห้ามเรียนทางโลกด้วยนะ ทางโลก หมายถึง บางคนบวชพระ แต่ยังเรียน ม.1-2-3 ได้ แต่วัดนี้ ไม่ให้เรียน ถ้าคุณจะบวชพระ คุณต้องเรียนทางธรรมะเท่านั้น”
การบวชเรียนของสามเณรสมยศ ได้สร้างความสุขทางใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก จนทำให้มีความคิดที่ว่าถ้าได้เป็นสามเณรนักเทศน์แล้วจะมีความเท่ และมีความมุ่งมั่นพอที่จะทำตามที่คิด แต่ในที่สุดสามเณรสมยศก็ต้องลาสิกขาออกมา เพียงเพราะคำสอนของพระพยอมทางวิทยุในวันนั้น...
“ทีนี้ตอนที่บวช เราก็อยากจะเป็นนักเทศน์ รู้สึกว่าสามเณรที่บวชไม่นานแล้วเทศน์ได้ รู้สึกเท่ อยากจะเทศน์ได้บ้าง ก็เลยฟังเทศน์บ่อย แล้วมีช่วงหนึ่ง ได้ฟังพระพยอมเทศน์ทางวิทยุ ท่านบอกเลยว่า บางคนมาบวช แต่พ่อแม่ยังลำบากอยู่เลย ตัวเองมาอยู่ในศาสนาแล้วบวชเนี่ย จริงๆ ถ้าเราไปช่วยพ่อแม่น่าจะได้บุญกว่าบวชอีก พอเราได้ฟังแล้ว ก็คิดเลยว่า จะต้องออกไปช่วยแม่ ก็เลยลาสิกขาออกมา และก็กลับบ้านไปช่วยแม่ทำงาน”
ถึงแม้ว่าจะลาสิกขามาช่วยงานที่บ้านดั่งที่ตั้งใจแล้ว แต่ด้วยวัยที่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น สมยศได้เล็งเห็นถึงการศึกษาของตัวเอง เนื่องจากในช่วงที่บวชเรียนอยู่นั้น ตัวเขาแทบไม่ได้ศึกษาอย่างเช่นคนอื่นเลย และนั่นจึงทำให้เขาได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ นั่นคือ “การหนีออกจากบ้านเพื่อการเรียนของตัวเอง”
“ช่วงที่ช่วยแม่หนึ่งปี ผมเรียนจบแค่ ป.6 แล้วบวชเณร 2 ปี พอสึกออกมา ก็เท่ากับเด็ก ม.3 นะ ผมก็เรียน กศน. 1 ปี แล้วจบมัธยมต้น แถมยังจบมาแบบไม่ค่อยรู้เรื่องอีก ประกอบกับช่วงเป็นช่วงที่คาบเกี่ยวตรงที่ เราเรียนจบแล้วอยากเรียนต่อ แต่แม่อยากให้ทำงาน ก็จะมีปัญหากันนิดหน่อย เนื่องจากตอนนั้นเราเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว แต่แม่ก็อยากช่วยงานที่บ้าน เพราะเริ่มมีงานรับจ้างเข้ามาให้ทำนั่นนี่ เพราะแม่มีหัวคิดทางการค้า สุดท้าย เราก็เลยหนีออกจากบ้าน นั่งรถไฟขึ้นกรุงเทพฯแบบลุยเดี่ยวเลย ตอนนั้นนั่งรถไฟสนุกมาก 18 ชั่วโมง ออกที่นั่นบ่ายๆ ถึงนี่เช้าอีกวันหนึ่ง”
• คือหนีออกจากบ้านมา แล้วไม่ได้บอกกับใครเลย
ไม่ได้บอก แต่แม่ก็รู้ว่ามันก็มีอยู่ที่เดียว คือที่วัดที่หลวงตาท่านอยู่นั่นแหละ เอาวุฒิเดิมมาด้วย ก็เลยมาเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนสวนอนันต์ แต่แม่ก็ไม่ได้ส่งเงินมานะ ซึ่งพอผ่านไป 1 ปี แม่ก็ส่งเงินมา ตอนนั้นยังส่งแบบธนาณัติอยู่เลยก็ต้องเอาจดหมายธนาณัติไปรับที่ไปรษณีย์แลกเป็นเงิน แต่ก็ไม่ได้อะไรเยอะหรอก ส่งมาเดือนหนึ่งก็ 300 บาท หรือ 500 บาท ก็ใช้ไม่พอหรอก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้
• ปัจจัยหนึ่งที่อยากเรียนต่อ คือ เล็งเห็นอนาคตแล้วว่าไม่รุ่ง
เรามองว่า การทำงานแบบนี้ โอกาสรวยมันยากมาก เนื่องจาก การเป็นกรรมการมันเป็นความเสี่ยง ถ้าวันไหนเราป่วยก็อาจจะไม่ได้เงิน คือไม่ใช่ดูถูกนะ แต่ถ้าแบบวันไหนเราเหนื่อยหรือป่วย ก็จะไม่ได้เงินนะ มันไม่เหมือนเวลาเราทำงานประจำ ทำเป็นลูกจ้างเป็นรายเดือน คือป่วยแล้วลาได้อะไรได้ ซึ่งจุดนี้ เลยตัดสินใจที่ขอแม่มาเรียนต่อ
“คอมพิวเตอร์” เปลี่ยนชีวิต
เมื่อเดินทางมาศึกษาต่อในระดับมัธยมปลาย ที่กรุงเทพฯ ก็ใช่ว่าราบเรียบง่ายนัก อาจจะเป็นเพราะถูกร่างกายอยู่บ่อยครั้ง สมยศจึงหาทางปกป้องตนเองเพื่อไม่ให้ถูกรังแก นั่นคือการเป็นนักมวยไทย
“ตอนนั้นเป็นช่วงอยู่วัด เด็กที่อยู่ข้างวัดที่เราอยู่ เป็นพวกดมกาว กวนตีน ชอบหาเรื่อง มันอาจจะมองว่า ผมหน้าตาดีก็ได้มั้งในตอนนั้นนะ (หัวเราะ) หมั่นไส้ หาว่าไปมองหน้าบ้าง กวนตีนบ้าง แล้วเราจะโดนประจำเลย ในวัดมีสนามบอลเล็กๆ ผมก็ไปยืนดูเขาแข่งฟุตบอลกัน ขอเล่นด้วยมันไม่ให้เล่น เราก็กลับ มันก็หาว่ากวนตีนมันอีก ก็มารุมผม เราไม่มีความรู้การต่อสู้เลยก็รู้สึกเลยว่า ไม่ไหวว่ะ โดนอย่างงี้บ่อยๆ โดนไม้ไล่บ้างอะไรบ้าง มาตี แล้วทีนี้กลุ่มนักเลงรอบวัด มันมี 2-3 กลุ่ม แล้วเราก็จะเจอ ไม่กลุ่มใดก็กลุ่มหนึ่ง อยู่เสมอ แต่เราต้องเดินอยู่แถวนั้น เพราะว่าไปเรียน ตอนกลับต้องระวังมากเลย ใครอยู่ตรงไหนอะไร คอยวิ่งตลอดเวลา ทีนี้พอเริ่มแบบนี้ชักไม่ปลอดภัยแล้ว ประกอบกับในวัดจะเพื่อนเด็กวัดที่เป็นนักมวยอยู่ 2-3 คน ที่เขาไปซ้อมมวยแล้วชกไปด้วย วันนึง เพื่อนมันก็ชวนผมไปดูที่ค่าย ว่าซ้อมกันยังไง ผมก็ไปดู และก็ไปดูอยู่หลายวันเลย”
“ทางหัวหน้าค่าย เขาก็เห็นว่า เราผอมหุ่นขี้ก้าง น่าจะต่อยมวยได้ เพราะเวลาเราผอมช่วงลำตัวจะยาว กระดูกใหญ่ น่าจะชกมวยได้ เขาก็ถามว่าสนใจมั้ย เราก็โอเคเลย ก็เลยไปซ้อมกับเขา ซ้อมอยู่ประมาณ 3-4 เดือน กว่าจะได้ขึ้นชก ชกครั้งแรกที่เวทีรังสิต ปรากฏว่าชนะ หลังจากนั้นมาก็ชกเรื่อยๆ ผมชก 22 ครั้ง แพ้แค่ 2-3 ครั้ง ตอนนั้นมีหลายชื่อ ก็มีหลายชื่อ ดาวยศบ้าง เจริญศักดิ์บ้าง คือเวลาเราเปลี่ยนค่ายหรือเปลี่ยนอะไรก็แล้วแต่ อย่างคนเก่าตั้งมาก็ไม่เพราะ คนใหม่ก็เปลี่ยน แต่ที่เด่นๆ เลย ก็ เจริญศักดิ์ ช.สวนอนันต์”
“ผมชกมวยมาตั้งแต่เรียน ม.ปลาย ประมาณ 6 ปี คือถ้าเทียบชื่อชั้นถือว่าเล็กมาก ยังไม่ได้เป็นมวยในรายการด้วย ชกมวยไปด้วยทำงานประจำไปด้วย แล้วเราก็มาคิดว่าถ้าหากชกต่อจะยังไง ครั้งสุดท้ายที่ชก ลางานไปชกและไม่มีใครรู้ เพราะไม่ได้บอกใคร ตอนนั้นชกที่เวทีราชดำเนิน ปรากฏว่าแพ้ เพราะไม่ได้ซ้อม มวยมันต้องซ้อมหนัก ต้องแรงพอ ซ้อมต้องถึง ถึงจะชกได้ ขึ้นไปบนเวที ยกแรก รู้เลยว่า กูไม่รอดแน่ เพราะมันไม่มีแรง รู้สึกจะนอนตอนยก 3 โดนไปหลายหมัดเหมือนกัน วันต่อมาตาบวมไปทำงานเลย เพื่อนถามเลยว่าโดนอะไร หลังจากนั้น เรารู้เลยว่าไม่ควรชกก็บอกพี่ที่ค่ายว่า ผมขอเลิกชก เพราะทำงานประจำ มาซ้อมไม่ไหว ทำ 8 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น ปกติมวยซ้อมบ่าย 3 จนถึง 5-6 โมงเย็น แล้วเราเลิก 5 โมง ไปซ้อม เพื่อนก็กลับกันหมดแล้ว ซ้อมได้นิดเดียวก็ไม่โอเค ก็เลยเลิกชก”
ในช่วงเวลาเดียวกับที่ได้วาดแม่ไม้มวยไทยอยู่ในสังเวียนผ้าใบนั้น สมยศได้จบการศึกษาในระดับมัธยมปลายพอดี อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนเด็กวัดได้มาพูดถึง“วิชาคอมพิวเตอร์” ที่หนักหนาเกี่ยวกับรายวิชาให้ฟัง แต่หารู้ไม่ว่า นั่นเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญให้กับเขา และได้ทำให้สมยศอยู่ในโลกคอมพิวเตอร์มานับแต่นั้น
“มีเพื่อนที่วัดคนนึง เขาเรียนคอมพิวเตอร์ที่ ม.รามคำแหง แล้วก็มีหนังสือวางอยู่ เราก็ชอบเอามาหยิบอ่านดู เลยรู้สึกสนใจคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ตอนนั้น พอเรียนจบ ม.ปลาย เราเลยเบนเข็มมาเรียนด้านนี้ ที่วิทยาลัยอาชีวะธนบุรี ด้านคอมพิวเตอร์ เลย พอได้เข้าเรียน มันก็มีเขียนโปรแกรม อะไรเยอะแยะ ซึ่งเราชอบมาก และก็ชอบสิ่งนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น พอมันชอบก็เลยเรียนได้เกรดสูง ตอนจบออกมาก็ได้เกรดเฉลี่ย 3.9 จบปุ๊บ ธนาคารไทยพาณิชย์ก็รับเราเข้าทำงาน เพราะตอนนั้นเขาหาพนักงานระดับชั้นต้น แบบมาหาตามโรงเรียนเลย แล้วเราเกรดสูงก็ได้รับคัดเลือกไป”
“ผมก็เริ่มทำงานที่สำนักงานใหญ่ตรงชิดลม ทำอยู่ 4 ปี เขาก็ย้ายมาที่รัชโยธิน ก็มาทำที่นี่อีก 4 ปี รวมแล้วก็ 8 ปี โดยประมาณ ช่วงที่ทำงานธนาคาร ก็ทำเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ตลอด คือ ตอนนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ยังน้อย ทั้งฝ่ายมีแค่ 2 เครื่องเอง ประมาณ 100 คน แต่ใช้คอมพิวเตอร์แค่ 2 เครื่อง แล้วงานที่ผมทำประจำในตอนนั้นก็เป็นพนักงานด้านนิติกรรม เป็นฝ่ายสินเชื่อ ทำด้านนี้ก็คือ ทำสัญญาแล้วก็พิมพ์เข้าไป พิมพ์เป็นตัวหนังสือ มันจะมีแบบฟอร์มที่เค้าถ่ายเอกสารไว้ แล้วเราก็เหมือนเติมคำในช่องว่าง เอากระดาษซ้อน 3 แผ่น แล้วก็มีเหมือนแผ่นก็อปปี้ เป็นสำเนา ใส่ตรงกลาง แล้วก็ปิดไว้ข้างหลัง แล้วพิมพ์ไป ใช้พิมพ์ดีดธรรมดา พอเริ่มมีคอมพิวเตอร์ เราก็เริ่มคุยกับทีมระบบว่า บริษัทเราจะเอาแบบฟอร์มมาใช้ โดยใช้คอมพิวเตอร์จริง ตอนหลังก็ง่ายขึ้นเพราะว่า เราก็ทำแบบฟอร์มของเราในคอมพิวเตอร์ ตอนนั้นเรียกว่า ดีดีฟอร์ม เราก็พิมพ์ข้อมูลอะไรลงไป แล้วก็สั่งพิมพ์ เสร็จเรียบร้อยเราก็ใส่กระดาษแบบฟอร์มนี่แหละ ในช่องว่าง มันก็จะพิมพ์ลงช่องว่างพอดี โอกาสติดก็ไม่มีเลย เพราะเราพิมพ์แล้วเห็นหน้าจอ”
เมื่อได้มาทำงานในธนาคาร นอกจากจะทำตามตำแหน่งหลักที่ได้รับแล้ว ตำแหน่งเสริมที่สมยศได้รับคือ เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์กลายๆ และนั่นทำให้เขามีหน้าที่เพิ่มขึ้น คือ พาเพื่อนๆ พนักงานไปซื้อของที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า อยู่เสมอ
“ด้วยความที่เราจบทางด้านคอมพิวเตอร์มาโดยตรง และในตอนนั้นถือว่าเป็นของใหม่มาก คนที่จะซ่อมเป็นก็น้อย จอเปิดมาไม่ติด ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เราก็ต้องไปดูให้ ซึ่งอยู่ในสำนักงานไง ตอนนั้นเครื่องเริ่มมีเยอะขึ้น ทุกคนก็จะเรียกใช้แต่เรา เรามีความรู้ ซ่อมเป็น เปิดเครื่องแกะ ใส่ฮาร์ดดิสก์ ถอดเสียบสายใหม่ หรือมาดูว่าอะไรเสีย ก็จะซ่อมให้เขา ซ่อมไปซ่อมมาจนกลายเป็นคนรู้เรื่องไอทีในออฟฟิศอีกคนหนึ่งในที่ทำงาน ฉะนั้น ใครจะซื้อไอที ซื้ออุปกรณ์ ก็ต้องมาถามผมว่า พี่จะซื้อเครื่องนี้ยังไง แล้วก็จะพาผมไปซื้อเครื่องที่พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า”
“พอพาไปซื้อบ่อยๆ มันก็ไม่ไหว มันเสียเวลา คือไปนอกเวลางานก็จริง แต่มันต้องเดินทาง บางคนก็เลี้ยงข้าว บางคนก็ให้เงิน บางคนก็ไม่ให้ หรือ บางคนพาไปซื้อเสร็จ ต้องพาไปเลี้ยงข้าวอีก พอทำไปซักพัก เราก็เริ่มมองว่า เราน่าจะทำเองได้ เราก็โอเค คุณจะมาซื้อเครื่องที่พันธุ์ทิพย์ มาบอกผม เดี๋ยวผมพาไปซื้อเอง ผมพาไปซื้อเองหมายความว่า ผมไม่ซื้อให้ เครื่องราคา 30000 ผมบอกเลยว่า ผมคิด 33000 แต่คุณไม่ต้องไป เดี๋ยวผมเลือกให้ ผมส่งให้ที่บ้านด้วย ถ้าเสีย ผมรับผิดชอบเอง เอาของไปเคลมให้ ทำได้ทุกอย่าง คุณอยู่เฉยๆ ราคา 30000 นะ ผมชาร์จ 3000 ดูแลให้ทุกอย่าง แต่บอกเลยว่าชาร์จ 3000 ไม่ใช่บอกราคาพันธุ์ทิพย์นะ แต่ว่า 1 ปี ถ้าเครื่องเสีย ผมดูแลให้หมด ซอร์ฟแวร์มีปัญหา ลงวินโดว์อะไร เดี๋ยวทำให้ ก็ทำให้ดูแลหมดเลย เพราะฉะนั้นลูกค้า ก็จะเสี่ยงไปซื้อเอง หรือซื้อผ่านผม ทีนี้ผมไม่ไปแล้วไง เรากล้ารับประกันว่า ถ้าเสียเรารับประกันให้ มันทำให้เวลาลูกค้าซื้อกับผม ผมพยายามเลือกของดีให้ เพราะเราไม่อยากไปซ่อมให้ เพราะเราก็อยากให้ครั้งเดียวเหมือนกัน”
และจากปากต่อปากที่บอกต่อไปเรื่อยๆ นั่นส่งผลให้สมยศกลายสภาพเป็นเจ้าของกิจการที่เกี่ยวกับทางด้านคอมพิวเตอร์ย่อย ในที่ทำงานไปโดยปริยาย จนกระทั่งเมื่อโอกาสได้มาถึง เมื่อสมยศเล็งเห็นในการเป็นเจ้าของกิจการเองขึ้นมา ประกอบกับได้มีทำเลที่ตั้งพร้อม ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เขาไม่ปล่อยโอกาสที่ได้ให้หลุดมือไป และทิ้งพนักงานธนาคารที่ทำมาตลอด 8 ปี เป็นเบื้องหลัง
“พอเราทำมาเรื่อยๆ เครื่องมันก็ไม่เสีย เพราะไม่ใช่เงินผม ผมก็ต้องเลือกของดีให้เขา เวลาไปซื้อก็เลือกสเปคเครื่องก็ดูเลยว่า ใช้งานด้านไหน แล้วเราก็เลือกทุกอย่าง ยี่ห้อดีๆ ให้ เพราะฉะนั้น ก็จะมีการบอกต่อไปเรื่อยๆ ก็จะแบบ ซื้อเครื่องจากจิ๊บดีว่ะ ซื้อมาไม่ค่อยเสียเลย จนผมทำได้อยู่ประมาณ 2 ปี ประกอบกับที่ห้างเซียร์ รังสิต ก็เริ่มเปิดตึกที่เป็นด้านไอที พี่ที่เป็นเซลส์จากพันธุ์ทิพย์ มาเปิดร้านที่นี่ ผมก็ไปช่วยเขาซื้อ ประมาณว่า พี่มาเปิดร้านที่นี่นะ เราก็ไปทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละ 2-3 เครื่อง จิ๊บมาซื้อที่นี่หน่อย เราก็มา มาปุ๊บ มีห้องว่างเยอะเลย ก็เลยมีไอเดียว่า อยากจะมาเปิดร้านเอง”
“ตอนนั้นปี 2544 เป็นช่วงที่แต่งงานแล้ว ก็มีความคิดว่า ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว เรามีครอบครัว แล้วมันกลายเป็นว่า ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ชอบแข่งขัน หมายความว่า ชอบเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แบบคู่อื่น แต่งงานไปแล้ว 2 ปี มีบ้านแล้ว คู่นี้ไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วเราไม่มีอะไรเลย เราสองคน มีงานเดือนรวมกันประมาณ 3 หมื่น คิดไปเรื่องอื่นด้วย เรื่องแม่ด้วย หมายความว่า ด้วยที่เราแต่งงานด้วย แล้วก็มีลูก แล้วก็มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูก เขาบอกว่ามันเยอะมาก แล้วเราจะเอาตรงไหนให้แม่ คือส่งให้แม่ไปไม่กี่พันหรอก แต่ถ้าเรามีลูก เราให้ไม่ได้แน่เลย เพราะเราก็เริ่มผ่อนบ้าน เริ่มซื้อรถมือสอง จำได้ว่า ซื้อรถนิสสันมาราคา 1 แสนบาท ซ่อมทุกเดือนเลย เดี๋ยวแอร์ไม่ติด เดี๋ยวมีแต่ลมออกมาร้อนมาก เดี๋ยวจะมีปัญหาจุกจิกๆ คือมันไม่เยอะ แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกเดือน เราก็เลยมองว่า ทำตรงนี้ เริ่มไม่โอเคแล้ว สามหมื่นรายได้เราตายตัว แต่ค่าใช้จ่ายเราไม่ฟิกซ์ เราอยากจะให้แม่มากขึ้น เราอยากจะอะไรมากขึ้น"
• ในตอนที่คุณออกมาทำกิจการตัวเอง เรารู้สึกว่ามีความทะเยอทะยานมั้ยครับ
ใช่ อย่างเดียวเลย คืออยากมีเงินเยอะ อยากมีรายได้มากกว่าเดิม เริ่มต้นจากตรงนั้นก่อน อย่างเรื่องช่วยแม่ ก็คิดอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่มีโอกาส เพราะเงินเดือนเราเท่านี้ จะไปช่วยยังไง แต่มันก็คิดตลอดว่ามันถึงว่า เรามีธุรกิจ เรามีโอกาส เราทำได้ ไอ้เรื่องที่เราเคยคิด มันก็จะโผล่ขึ้นมา ถ้าเรามีเงินก็จะช่วยแม่ได้นะ จะได้ซื้อบ้าน ลูกจะได้ไม่ลำบาก มีเงินให้ลูกเรียน ได้ซื้อบ้านให้ตัวเอง อย่างอื่นก็ตามมาหมดเลย มันเลยทำให้ในจังหวะที่มีโอกาสตรงนั้น ก็เลยรีบคว้าโอกาสไม่ได้คิดมาก เรามองว่า ถ้ามันทำได้เท่าเดิม เราก็ถือว่าโอเคแล้ว แต่ถ้ามันมากกว่าเดิมล่ะ มันจะดีขึ้น คือมันมีความมุ่งมั่นสูงแล้ว
แต่ตอนนั้นคนก็ห้ามกันเยอะนะ แม่ก็ห้าม เพื่อนก็ถามจะออกไปทำไม มึงจะสู้ร้านใหญ่ได้เหรอ ซึ่งเรามองข้ามจุดตรงนั้นไปเพราะเรามองว่า เราทำได้แน่ๆ คือคิดอย่างเดียวเลยว่า ทำได้แน่ๆ เราก็มาคำนวณนะว่า ถ้าขายวันละ 2 เครื่อง เราก็ได้แน่ๆ 15000 คือเราคำนวณแล้วว่าเป็นไปได้ เราถึงออกมาทำ ในจังหวะที่คนอื่นห้ามหมด แต่เราคิดว่าเราทำได้ เราต้องทำให้ได้ มันมีความมุ่งมั่นสูง
• เทหมดหน้าตักเลย
ถ้าเจ๊งนี่คือ ธนาคารก็ไม่รับแล้วนะ ตายเลย (หัวเราะ) แต่เราก็มีแอบแย็ปนะว่า พี่ถ้าผมออกมาทำแล้วไม่โอเค ผมมาของานทำใหม่ ช่วยฝากให้ด้วยนะ แต่จริงๆ มันฝากไม่ได้หรอก คือเราออกมาทำเราก็คิดว่าไม่กลับไป แต่พอทำแล้ว ด้วยความทุ่มเท ผมมาทำงาน ตื่นตั้งแต่ตี 5 7 โมงเช้ามาถึงร้านแล้วนะ แล้วก็กลับประมาณ 4-5 ทุ่ม ทุกวัน มันต้องอยู่กับเรื่องร้านตลอดเวลา แล้วก็เต็มที่กับมัน มันทำให้ความกลัว หรือความอะไรหายหมด เพราะถ้าเราคิดว่า ร้านใหญ่มี เปิดไปแล้วไม่รุ่ง มันก็เหมือนกับคนทำธุรกิจ คุณจะทำอะไร มันก็มีเจ้าอยู่แล้ว ถ้าคุณคิดจะไปเปรียบเทียบกับเจ้าใหญ่พวกนั้น คุณก็ไม่มีโอกาสได้ทำ อย่างคุณจะทำธุรกิจอะไร แต่มันก็มีหมดแล้ว จะทำทุกอย่างมันมีทุกอาชีพหมดแล้วที่เป็นเจ้าใหญ่ๆ แต่เราไม่ได้คิดว่าจะใหญ่ ณ วันที่เปิด เราก็กะว่า เปิดแล้วตั้งใจเต็มที่ แล้วมันมีรายได้มากกว่าที่เราทำงานประจำ มันก็โอเคแล้ว คิดแค่นั้นจริงๆ
• อารมณ์ประมาณว่า ขอเป็นอีกทางเลือกให้กับผู้บริโภคประมาณนั้น
ไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นเลย คิดแค่ว่า เฮ้ย ออกมาเปิดร้าน แล้วถ้าขายได้แค่เดือนละ 4-5 หมื่น ก็โอเคแล้ว หมายถึงว่าถ้ามันมีกำไรนะ มันก็ดีกว่าอยู่ที่ทำงานประจำ คิดแค่นั้น คือถ้าลูกค้าไม่ซื้อ เราก็มาหาที่แบงค์ เอาโบชัวร์มาแจก แบบให้เพื่อนๆ ช่วยกันซื้อได้ หรือ ในสำนักงานใหญ่ มีคนอยู่ 6,000 ในตอนนั้นนะ อาจจะมีคนซื้อก็ได้ ซัก 10 คนก็ยังดี เดือนหนึ่งซัก 10-20 เครื่องก็อยู่ได้ ก็เลยตัดสินใจออกมา แต่ด้วยพอเรามีความตั้งใจที่เต็มที่ ขายเองทำเอง แล้วมีลูกค้ามาซื้อ ซึ่งทำให้จากวันที่ 27 กรกฎาคม 2544 เดือนตุลาคมปีเดียวกัน ผมสามารถเปิดสาขาที่ 2 ก็เปิดปุ๊บขายได้เลย พอขายได้อีก 3 เดือน ผมบอกแฟนเลยว่า ออกจากงานเหอะ เปิดร้านด้วยกัน เพราะดูแล้วว่า ขายได้แน่นอน ผมก็เปิดสาขาที่ 2 เพราะเดิมมันห้องเล็กมากประมาณ 10 ตารางเมตร
• ดำเนินกิจการมาได้ 3 เดือน ก็สามารถเปิดสาขา 2 ได้ ถือว่าไม่ธรรมดาเลยนะ
ก่อนที่จะออกมาเปิดร้านเอง ผมก็ตัดสินใจอยู่เดือนนึง แล้วผมก็ขอพี่เจ้าของร้านคอมคนนึง ว่า เดี๋ยวผมมาช่วยขายพี่ทุกเสาร์-อาทิตย์ แต่ผมขอเก็บกล่องนะ ผมไม่เอาเงิน แต่ผมจะขอเก็บกล่องที่ลูกค้าไม่เอาไว้ เพราะผมจะเปิดร้านเอง ก็ช่วงที่ลูกค้ามาซื้อ แล้วก็เก็บกล่องเอาไว้ วันที่เราเปิดร้าน ในร้านมีแต่กล่องเพียบเลย เปรียบเสมือนว่า มีของเต็มเลย ของไม่มีมีแต่กล่อง (หัวเราะ) มันเป็นการตลาดอย่างนึงนะ ดูเหมือนว่าของเยอะมาก แต่ว่าไม่มีของข้างในกล่องเลย แต่ลุกค้าเดินเข้ามานึกว่ามีเต็มเลย ทำให้ดูน่าเชื่อถือขึ้น ก็ตอนที่ออกมาจากแบงค์ มีเงินอยู่ 200,000 บาท ไปจ่ายค่าเช่าบ้าง มัดจำล่วงหน้า ประมาณ 100,000 เหลือ 100,000 ถ้าเราซื้อของหมดแล้ว มันจะไม่มีเงินหมุนเวียน คือเราก็เก็บไว้ส่วนหนึ่ง เก็บไว้ 30,000 เพราะช่วงนั้นเรายังไม่ค่อยมีเครดิตกับใคร พอลูกค้าซื้อ เราก็เอาเงินก้อนดังกล่าว ไปวิ่งโป๊ะของร้านอื่นๆ มา เพราะฉะนั้น เงิน 6-7 หมื่น จะเป็นเงินที่เราไปซื้อมาเป็นของสต็อกไว้ในร้าน เครื่องมือ ฮาร์ดดิสก์ซัก 2 ตัว คีย์บอร์ดซัก 4-5 ตัว มาวางอยู่ในตู้ ลูกค้าเดินเข้ามา เห็นของเต็มเลย แต่จริงๆ คือกล่องเปล่า ของในตู้อีกนิดหน่อย ก็ขายเสร็จ ก็จะเป็นแบบ คุณพี่รออีกชั่วโมงนะครับแล้วเดี๋ยวกลับมาใหม่ ไปทานข้าวก่อน พอลูกค้าหันหลังปุ๊บ เราวิ่งไปตามร้านต่างๆ ไปเอาของที่เซ็ทให้ลูกค้าไป แล้วก็มานั่งประกอบๆ ไปให้ของเขา กล่องเก็บไว้อีก วางโชว์ อยู่อย่างงี้
• ขึ้นชื่อว่าทำธุรกิจ แน่นอนว่าอุปสรรคก็ต้องมีมาคู่กันด้วย
ตอนที่ช่วงผมเปิดร้านใหม่ๆ ยังมีแบบระบบเถ้าแก่ทั่วๆ ไป แบบซื้อของเต็มร้าน แล้วรอลูกค้ามาซื้อ ทยอยไป บิลออกมาใบ มันทำให้ไม่มีระบบ และมันทำให้รู้ว่า บางทีไม่มีของอยู่ด้านใน แต่ซื้อล็อตใหม่มาอีก ทำให้ไม่รู้ว่ามีของเหลืออยู่ เพราะไม่ได้ทำเรื่องระบบ ซึ่งเราทำเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก และจุดนี้คือจุดสำคัญ ที่ทำให้เราฝ่าทะลุอรหันต์มาได้ เพราะว่ามันยากมากเลยนะ คุณเป็นร้านใหญ่ เราเป็นร้านเล็ก เราจะโดนกดตลอดเลย เราเจอมาทุกรูปแบบ เช่น มีอยู่ร้านหนึ่งในเซียร์ ซึ่งปัจจุบันก็ยังอยู่นะ พอเราซื้อของ จะแบบ “ถ้ามึงขายให้จิ๊บนะ มึงไม่ต้องมาขายกู” เราทำไง ก็ไม่ได้ขายไง หรือ ผมมาเจอแบบนี้ในช่วงนั้น สินค้าบางตัวเราไม่มีขาย เพราะเราโดนเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลายกด แต่สุดท้าย เราเน้นเรื่องบริการ เราก็โอเคไม่ซื้อ เราก็ไปตัดมาบ้าง เราก็ขายลูกค้าเท่าทุนบ้าง
หรือ พอเราสามารถดีลกับซัพพลายเออร์ได้ ก็จะมีคนโทรมาดิสเครดิตว่า ร้านจะเจ๊งแล้วนะ ให้เครดิตไม่ได้นะ อะไรอย่างงี้ ทางซับก็ตกใจ แล้วโทรมาเอาไงดีพี่ ไม่รู้นะ ช่วงนี้ขอเป็นเงินสด ก็จะโดนแบบนี้ ในหลายปีของช่วงแรกๆ จนเราไม่ได้คิดตรงนั้น โอเค เราก็หาแบรนด์อื่นที่ใกล้เคียงมามาลงแทน เราก็ทำแบบนี้ ก็ขยายสาขาอย่างเป็นระบบ ในการวางสต็อกที่แบบเป๊ะ มีการคำนวณว่า จอรุ่นนี้ถ้าขายเดือนนี้ได้ 7 ตัว บางทีซื้อมา สินค้าบางตัวมีหลายสี เวลาเราซื้อ เราดูประวัติการขายของเราทั้งหมด ซึ่งผมโชคดีตรงที่ตอนทำงานธนาคาร ผมทำเรื่องข้อมูลมาพอดี หมายความว่า มีการดึงรายงานการซื้อ ซื้อ ข้อมูล หรือสินเชื่อทั้งหมด อะไรแบบนี้ พอดีเราเก่งเรื่องทำรายงาน เรื่องเอา information มาผสม เพราะฉะนั้น ผมจึงเอามาเขียนโปรแกรมที่ใช้แบบนี้มาประยุกต์ใช้กับบริษัทในช่วงแรกๆ สมมุติว่า อย่าง คีย์บอร์ดรุ่นนี้ขายดี ถ้าเป็นร้านอื่น เอาสีนี้ 20 ตัว เอาอีกสีซัก 30 ตัว คือเขาจะซื้อแบบนี้ แต่เราไม่ใช่ สมมุติว่าเดือนนี้ขายได้ 15 ตัว ก็ซื้อตามที่เราขายได้ อีกรุ่นขายได้ 8 ตัว ก็ซื้อ 8 คือมีการคำนวณและใช้โปรแกรมมาช่วย ไม่ได้มานั่งเทียนซื้อ แบบสีนี้สวยเอามาเลย มันจะทำให้ของติดสต็อก เพราะเราทำโดยมีโปรแกรม ซึ่งเป็นจุดหลักสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราโตเร็ว
ณ วันนี้ กับ ธุรกิจระดับพันล้าน
ถึงแม้ว่าจะโดนอุปสรรคจากร้านค้าคู่แข่งภายนอกถาโถมเข้ามาเพียงใด แต่สมยศหาได้ย่อท้อต่อสิ่งนั้นไม่ กลับกลายเป็นว่าเขาก้าวเดินต่อไปอย่างเจียมตัวปะปนกับความมุ่งมั่นในธุรกิจและมั่นคงในสถานะได้ จนคำว่า “ความพยายามอยู่ที่ใด ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ก็ได้แสดงผล เพราะจากวันนั้น จนมาถึงวันนี้ ธุรกิจของ J.I.B. Computer Group ก็สามารถมีมูลค่าสินทรัพย์สูงถึงกว่า 6,000 ล้านบาท ในที่สุด
“ผมว่าการทำงานที่มีระบบระเบียบชัดเจน แล้วก็การวางแผนที่ดี ที่มันเป็นไปได้ ซึ่งเราก็วางแผนทุกปีนะ ว่าจะไปทิศทางใด เราไม่ได้ทำให้มันเยอะเกินไป แต่พอเราทำต่อเนื่องแล้วโตขึ้นเรื่อยๆ มันก็เป็นไปตามแผนที่เราวางไปเอง เราไม่เคยแบบ กูจะมี 100 สาขา เปิดตั้งแต่สาขาแรก พอสาขาแรกเห็นโอกาส มีห้อง เราก็คิดว่ามีห้อง ก็เปิดขยายอีก เพราะว่าดูแล้วขายได้ เปิดปุ๊บ ผมกับแฟนแยกคนสาขาเลย ตั้งชื่อไปเรื่อยเปื่อย จนได้ 5 ชื่อ j.i.b, k.o.b ชีตาร์ j2k อินไซต์ ซึ่งที่ตั้งชื่อแบบนี้ เพราะเมื่อก่อน เหมือนการหลอกลูกค้า สมมุติว่า ร้านแรกขายแพง ลูกค้าเดินมาร้าน 2 เราก็จะส่งสัญญาณว่า ลูกค้าคนนั้นเคยมาที่แรกแล้วนะ เซ็ทไป 20,000 ดูเลย อาจจะลดได้นิดหน่อย ก็จะประมาณนี้ คือเป็นร้านเราเหมือนกัน แล้วคนที่ทำไอที เมื่อก่อนทำแบบนี้หมด จนมีพี่คนหนึ่ง ซึงตอนนั้นผมเปิดได้ 5 ร้านแล้ว เขาเป็นเจ้านายเก่าที่เก่งทางการตลาด เค้ามาเห็น แล้วก็บอกเราว่า มึงบ้ารึเปล่า ทำหลายชื่อแบบนี้ ทำชื่อเดียวไปเลย ให้ลูกค้าเห็นว่า ทุกๆ ที่ก็มี มันจะทำให้สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้ามากกว่า ดีกว่าไปหลอกลูกค้าว่า ร้านแรกไม่ซื้อ ไปซื้อร้าน 2 แล้วลูกค้าไปด่าให้ฟัง ซึ่งด่าร้านเราเอง เมื่อก่อนเป็นแบบนี้จริง พอเขาบอก เราก็ปิ๊งโอเคเลย เพราะมันน่าจะดี”
“เราก็เริ่มสร้างแบรนด์ เพราะตอนนั้น เรามีสาขารองจากอีกเจ้าหนึ่ง นอกนั้นใช้คนละชื่อหมดเลย พอเจ้านายเห็นและแนะนำเรา เราก็เปลี่ยนตามที่เขาบอกทุกร้าน พอเปลี่ยน มันก็มีผลดีคือ เฮ้ย! เป็นเจ้าของเดียวกัน เคลมสะดวก ซื้อร้านอื่นไม่โอเค ซื้อร้านนี้ก็ได้ หรือ ราคาเท่ากันทุกร้าน ส่งเคลมได้ทุกร้าน และที่สำคัญคือ สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า วันนี้ลูกค้าเห็นป้ายเราแบบงงๆ ก็ซื้อของกลับไปแบบงงๆ ทำไมมันเยอะจังวะ คือพอมันมีเยอะมันทำให้ แบรนด์นี้มันโอเค บางคนคิดไปไกลอีกว่า เพราะมันเป็นแฟรนไชส์ แต่ละร้าน คนละเจ้าของ ซึ่งของเราเป็นของเราเองทั้งหมด แล้วตรงนี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้มันโตเร็วขึ้น เรื่องราคาเท่ากัน เรื่องการตกแต่งที่สไตล์เหมือนกัน ป้ายหน้าร้านเหมือนกันหมด ยอดมันก็โตมาเรื่อยๆ ขายไปขายมาผ่านไปแป๊บเดียวเอง มันก็ตอบโจทย์ทุกอย่างที่อยากได้อยากมี คือรวยโดยไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ตัวเลย จากที่ไม่มีอะไร แล้วพอเรารวยในวันหนึ่ง ผมว่าทุกคนเป็นอย่างผม ก็จะคิดแบบนี้ เฮ้ย กูรวยรึยังวะ เรามีอย่างงี้เรียกว่ารวยได้รึยัง แค่ไหนเรียกว่า คือเราตั้งเป้าหมายว่า ถ้ามีรายได้เดือนละแสน คงจะดีมากเลย แต่พอเราทำถึงแล้วมีโอกาส แล้วเราไปต่อ เป้าไม่เคยหยุดอยู่กับที่เลย เป้ามันไปเรื่อยๆ เลย”
“เมื่อถึงวันหนึ่ง เราไม่เคยดูเงินในกระเป๋าเลย ไม่เคยใช้เงินเลย ในช่วงแรกๆ คือมัวแต่ทำงานๆ ไม่เที่ยวไหนเลย 7 วันอยู่กับร้านทั้งหมด หายใจเข้าออกเป็นร้านเลย เพราะว่าเราเป็นหัวใจหลักในการขายด้วย ภรรยาก็ช่วยขาย แล้วก็สร้างทีมงานมาช่วยขาย แล้วมันมีเรื่องเงินเยอะ วันนึงขายได้เยอะ แล้วเราค่อนข้างกังวลว่า กลัวเด็กจะโกงอะไรแบบนี้ ในช่วง 4-5 ปี แรก ทุ่มเทกับร้าน โดยที่ไม่ได้ไปทำอะไรเลย จนเรามองแล้วเริ่มโตขึ้น ผมก็เริ่มสร้างตัวแทนแทนผม ให้มีคนขายแทน ช่วยจัดซื้อให้ เราก็ถอยมานั่งดูและแค่หาทำเล เพราะเราเริ่มขายดีแล้ว แล้วใครจะไปดู แล้วเราก็ไปเริ่มลงทุนเปิดสาขา ถ้าให้คนอื่นดู ก็ชิบหายเลยนะ มันดูพลาดเราก็ตาย เพราะฉะนั้นการเลือกทำเลเราต้องเลือกเอง ซึ่งถ้ามันผิดเราก็สามารถโทษตัวเองได้ว่ามันผิด แต่ถ้าเราให้พนักงานไปดูแล้วมันผิดพลาดขึ้นมา เรียบร้อย ฉะนั้น ทำเลค่อนข้างสำคัญ เราต้องเลือกทำเลที่ดีเท่านั้น”
• คือกล้าพูดได้เลยว่า J.I.B. Computer Group คือแบรนด์แถวหน้าที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แบบนี้
ปัจจุบันเราเป็นอยู่แล้ว เราเป็นผู้จำหน่ายไอที ที่มียอดสูงสุด พูดถึงเฉพาะฝั่งที่เป็นคอมพิวเตอร์นะ โดยเฉพาะ PC ยอดประกอบเดือนละประมาณหมื่นเครื่อง ถือว่าเยอะมาก แต่เจ้าอื่นเอายอดอย่างอื่นมารวมด้วย ของเราค้าปลีก 100 เปอร์เซ็นต์ และก็เป็นคอมพิวเตอร์อย่างเดียว ไม่ได้มีอย่างอื่น อย่างอื่นน้อยมาก แต่เจ้าอื่นๆ จะมีทางอย่างอื่นๆ แบบ apple จะมารวมยอด แต่ของเราเฉพาะ PC เลย ที่ใช้ windows เพราะถ้านับเฉพาะคอมพิวเตอร์ เราเชื่อว่าเรายอดเยอะสุด
• รูปแบบกิจการในปัจจุบันนี้ เป็นยังไงบ้างครับ
ปัจจุบัน เรามีประมาณ 119 สาขา แต่การเปิดสาขาในเดี๋ยวนี้มันค่อนข้างรอบตัว เพราะ ค่าเช่ามันสูง และ เปิดในทำเลที่ตั้ง ที่มันโอเคจริงๆ แต่เปิดมั้ยก็ยังเปิดอยู่ ตอนนี้มี 45 จังหวัด ยอดขายก็อย่างที่บอก แต่อีกตัวที่นำเสนอคือ ออนไลน์ j.i.b. ออนไลน์ ขายบนเว็บ ตอนนี้เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ รายได้แต่ละเดือนก็อยู่ที่ ประมาณ 30 ล้านบาท มันอาจจะดูไม่เยอะ เมื่อเทียบกับเจ้าอื่นๆ แต่ว่าเราเป็นเฉพาะด้านไอที เราอยากทำด้านนี้ ให้เป็นที่ 1 ด้านออนไลน์ ในฝั่งของคอมพิวเตอร์ ซึ่งมันจะมีความยากกว่าตรงที่ว่า คนที่ขายต้องมีความรู้ บางทีลูกค้าที่เลือกซื้อเนี่ย จะเอาสเปคยังไง แรมเท่าไหร่ ความเร็วเท่าไหร่ ก็ต้องให้พนักงานขายมีความรู้กับลูกค้า ถึงแม้ว่าเป็นออนไลน์ก็จริง แต่ของเรา หลังจากลูกค้าซื้อแล้ว จะให้พนักงานขาย โทรไปหาลูกค้าทุกกรณี เพื่อตกลงว่า ลูกค้าซื้อสินค้าแบบไหน เพราะบางทีลูกค้าอาจจะซื้อผิดบ้าง เราก็จะมีการคุยกันเบื้องต้นก่อนว่า โอเคอย่างงี้นะ บางทีลูกค้าซื้อเครื่องประกอบ แต่บางทีมันก็ใส่ด้วยกันไม่ได้ เจ้าหน้าที่ก็ให้คำปรึกษาก่อน เช่น โน้ตบุ๊ค ซื้อไปไม่มีวินโดว์ ก็ต้องแจ้งว่าไม่มี จะซื้อเพิ่มมั้ย หรือ ทำเองได้หรือเปล่า ประมาณนี้ พอลูกค้าซื้อแล้ว เราก็จัดส่งไปให้ ซึ่งในกรุงเทพ เราทำได้ ภายใน 6 ชั่วโมง ซึ่งในเวลาดังกล่าว เราจะส่งให้ได้ทั้งหมดต่อกรณี คือ ภายในวันนั้น ถ้าปริมณฑล จะเป็นวันถัดไปส่งถึง เราเน้นส่งถึง ส่งไว เราเน้นถึงจุดแข็ง ออนไลน์ และการชำระเงินได้ทุกรูปแบบ ใช้บัตรเครดิต COD หรือ จ่ายเงินหน้าบ้าน หรือ รูดบัตรหน้าบ้าน เฉพาะในเขต กทม. หรือโอนเงินตามเคาท์เตอร์ ซึ่งเป็นสเต็ปบายสเต็ปเลย
• จากที่เราสู้มาตลอด ได้แนวคิดมากมาย อยากจะให้คุณยกมาซักอย่างนึงที่ทำให้เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ได้
ผมว่าเรื่องที่สำคัญที่สุด คือเรื่องแรงบันดาลใจ ถ้ามีสิ่งนี้ มันจะมีอย่างอื่นตามมา สำหรับผมหลักเลยคืออยากให้แม่สบาย ตอนเด็กๆ เราเห็นทำงานแล้วร้องไห้ เพราะสงสาร ทำงานเหมือนผู้ชาย เราก็เริ่มคิดแล้ว จนทำให้ทุกอย่างตามมา เพราะทุกอย่างที่เราทำ เราทำเพื่อเขา พอเราเหนื่อยหรือท้อ เราก็จะคิดถึงเขาตลอดเวลา เราต้องทำให้เค้านะ ผมว่ามันสำคัญมาก มันทำให้เราสู้เพื่อใครคนหนึ่งได้ ที่เหลือก็หลักการทำงานทั่วไป ทั้งเรื่องการวางแผน แล้วก็ไม่ต้องไปคิดใหญ่โต ให้ทำแบบทีละนิดละน้อย บางคนบอกว่าเร็ว แต่จริงๆ 14 ปี มันนานมากนะสำหรับผม เราถือว่าเป็นร้านสุดท้ายที่เป็นร้านใหญ่ หลังจากผมก็ไม่เห็นใครเลย เพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ Margin ต่ำ ต้องบริหารให้ดีและดีมากๆ ถึงจะมีกำไร
ฉะนั้น จะทำให้รวยมันยาก ยกเว้นที่จะเป็นรายใหญ่จริงๆ หลายปีที่ผ่านมาเราเน้นเรื่องบริการ ถึงแม้จะไม่ได้ดีที่สุดที่ต้องการแต่เราเชื่อว่า เราดีในแง่มุมบริการ เราอยากจะให้เราเป็นเด่นในเรื่องลูกค้า ถ้าอยากจะซื้อของเราก่อน แต่จริงๆ เราก็อยากทำอย่างอื่น เช่นมือถือ เมื่อ 2-3 ปีก่อนก็อยากจะเปิดสาขามือถือให้ได้ 20-30 สาขาเหมือนกันนะ แต่พอทำไป 2-3 สาขา ก็จอด เพราะรู้แล้วว่าไม่ไหว มันไม่ใช่ทาง ไม่ถนัด แล้วมีเจ้าใหญ่อยู่แล้ว แบบ รุ่นนี้ขายดี เจ้าใหญ่เอาไปหมด จะตกมาที่เรา 10 กว่าตัว จะไปขายยังไง ได้ 10 ตัว วันเดียวหมดมันดูแล้วไม่ใช่ หรืออย่างสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เรามีวางบางมุม บางร้าน ที่ไม่มีคู่แข่งมากนัก แล้วเรามาทำในสิ่งที่เราถนัด คือ คอมพิวเตอร์ ฉะนั้น ถ้าเรามีร้านที่ดีทุกอย่าง เราก็พยายามทำเรื่องบริการให้ดีขึ้นเรื่อยๆ มีตัววัดที่ว่ามันดีขึ้น เหมือนกับเราปิดช่องคนอื่นไปด้วยอัตโนมัติ ใครจะมาทำก็เหนื่อยหน่อย ผมว่าความเขี้ยวในธุรกิจ เราไม่ได้ปิดนะ แต่เหมือนกับเราต้องพัฒนายิ่งๆ ขึ้นไปให้มันดีขึ้น
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ศิวกร เสนสอน
สู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ลุยงานมาหลากรูปแบบ ไล่ตั้งแต่รับจ้างปอกมะพร้าว, อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ในสถานะสามเณร, อดีตนักมวยไทยผู้เจนเวทีมากว่า 5 ปี หรือ พนักงานธนาคารฝ่ายสินเชื่อ ซึ่งอาชีพทั้งหมดที่กล่าวมา คืออาชีพที่เขาได้ดำรงตำแหน่งมา ก่อนที่จะมาพบกับสิ่งที่เรียกว่า “คอมพิวเตอร์” ซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง
ณ วันนี้ “สมยศ เชาวลิต” หรือ “จิ๊บ J.I.B.” คือชายผู้นั้นที่เรากล่าวถึง เพราะเขาผู้นี้ เป็นเจ้าของกิจการในด้านเทคโนโลยีไอทีนาม บริษัท เจ.ไอ.บี. คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด หรือ J.I.B. Computer Group ผู้ซึ่งผ่านอุปสรรคขวากหนามต่างๆ ดั่งที่ได้กล่าวไปข้างต้น ด้วยจากการไม่มีอะไรเลย ให้กลายมาเป็น ผู้นำแห่งคอมพิวเตอร์อีกเจ้าหนึ่งของเมืองไทย จนกลายเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง มาจนถึงปัจจุบันนี้
นับเป็นเวลากว่า 14 ปี ของ J.I.B. สมยศ ยังคงเดินหน้าในการดำเนินธุรกิจดังกล่าวต่อไปอย่างมั่นคงและแข็งแรง และ ยังคงต่อสู้ในสถานะ “นักธุรกิจ” ต่อไปเช่นเดิม และนั่นคือบทพิสูจน์ได้ว่า “การประสบความสำเร็จ” คงจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้ายังมีความมุ่งมั่นและความอุตสาหะอย่างเพียงพอ...
ความจน คือเกราะชั้นดี
42 ปีก่อน เด็กชายสมยศ ได้ถือกำเนิดขึ้นที่อำเภอลานสกา นครศรีธรรมราช ในครอบครัวที่ปากกัดตีนถีบ ซึ่งถือเป็นปฐมบทแห่งการเพาะบ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตนเองในสถานะแห่งคนสู้ชีวิต
“ตั้งแต่จำความได้ ก็ต้องทำงานเลย คือแม่ก็ใช้ทำนู่นทำนี่ ตี 4 นี่แม่ปลุกแล้วนะ มาทำงานทำนู่นนี่ บางทีเรายังรู้สึกโกรธแม่มาก แต่ถ้าไม่ตื่นนี่โดนนะ คือแม่เขาเคี่ยวเข็ญมากในตอนนั้น ทำเป็นทุกอย่าง หุงข้าวเอง หาข้าวกินเอง ล้างจานเอง ซักผ้าเอง อะไรอย่างงี้ งานบ้านหลักๆ นี่ ทำเองหมด ตั้งแต่จำความได้ ก็ต้องทำแบบนี้มาตลอด พอโตขึ้นก็ไปช่วยแม่ แม่จะทำรับจ้าง เราก็ติดสอยห้อยตามไปช่วยในด้านต่างๆ”
“พอโตขึ้นมาในระดับที่ใช้กำลังแรงได้แล้ว ก็เริ่มปอกมะพร้าวเลย ด้วยการเอาเหล็กปักพื้นดิน แล้วก็ปอก 100 ลูกได้ 10 บาท วันนึงก็ปอกได้ประมาณ 1000 ลูก ก็ได้ค่าแรง 100 บาท คือสัมผัสอารมณ์แบบนี้ ปอกมะพร้าวกลางสายฝน ไม่ได้หยุดนะ แม่บอกไม่ต้องหยุด ยกเว้นอย่างเดียวตอนเวลามีฟ้าผ่าต้องไปหลบภัย”
ด้วยฐานะของทางบ้านที่อยู่ในสภาพอยู่ไปวันๆ เช่นนี้ ทำให้สมยศมีภารกิจหลักในวัยเด็ก นั่นคือ “การทำงาน” มาอยู่ในพจนานุกรมหลักของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และในขณะเดียวกัน ความสนุกสนานของช่วงเวลาวัยเด็ก ก็ปิดประตูแบบสนิทตายไปโดยปริยาย
“ไม่รู้สึกเลย เพราะว่า คือเราเห็นแม่เราทำงานหนัก เราจะรู้สึกสงสารในตอนนั้น สงสารแม่ ทำอะไรก็ได้ที่อยากช่วยเขา เพราะฉะนั้นเราก็จะตัดความสนุกในวัยเด็กออกไป ของเล่นไม่เคยมี ขนมก็ไม่ค่อยกิน คือไม่ถึงกับไม่เคยหรอก แต่มันน้อยมาก คือใช้เท่าที่จำเป็น แล้วก็อยากจะช่วยให้แม่เค้าไม่เหนื่อยมาก อันนี้เป็นตั้งแต่เด็กๆ อีกอย่าง คือถ้าเราทำงานแบบนี้ เราก็โตเกินวัยไปโดยอัตโนมัติ เราก็รู้สึกเลยว่า โตมาก็ทำงานแล้ว มันลำบากแล้ว แต่ไม่ถึงกับอดนะ มันเหนื่อย รู้สึกว่าต้องทำงานตลอด”
“ทำงานปอกมะพร้าวไปได้ประมาณนึง พอโตขึ้นมาหน่อย แม่ก็ซื้อรถไถ เมื่อก่อนมันเป็นเดินตาม ล้อเป็นเหล็กน่ะ เป็นคูโบต้า สตาร์ทแล้วกดคลัช จำได้รอบก็เสียงดังเลย ทำตรงนั้นด้วย ตอนนั้นทำรับจ้าง แม่ก็ซื้อรถมาแล้ว มารับจ้างถอย คือเวลาไถนา พอฝนตกหรืออะไรก็ต้องทำ ต้องแบบทั้งฝน นั่นก็หนักมากอีกอย่างนึง คือหนักขึ้นตามแรงที่เรามี ตอนเด็กๆ งานหนักทำมาหมด ทำทุกอย่าง เลยไม่กลัวความลำบาก”
หนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้สมยศ มีภูมิต้านทานทางร่างกายและจิตใจมาตั้งแต่เด็กๆ นั่น คือ การแยกทางของพ่อและแม่ในระหว่างที่เขาเรียนระดับชั้นประถมศึกษา จนในที่สุด มารดาของสมยศต้องรับหน้าที่เป็นกำลังหลักของครอบครัว บวกกับการเป็นลูกชายคนโตของบ้านด้วยแล้ว ทำให้เขาต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างให้มากกว่าเดิม ด้วยเหตุผลเดียว “เพื่อคนในครอบครัว” เท่านั้น
“พ่อกับแม่ เขาเลิกกันตั้งแต่ผมอยู่ ป.3-ป.4 เวลาทำอะไร เราก็รู้สึกสงสารแม่ คือพ่อก็ค่อนข้างมีตังค์นะ แต่พอเลิกกันปุ๊บ ก็ไม่เหลืออะไร เลี้ยงลูกทั้งหมด 4 คน มันก็ทำให้แบบ ทำไมพ่อไม่ช่วยเลย เราก็เลยช่วยแม่เต็มที่ เพราะผมสงสารแม่มากกว่า แรงบันดาลใจทั้งหมด มาจากตรงนั้น เพราะว่า เราอยากให้เขาสบาย คือทำอะไรก็ได้ แต่อยากให้เขาสบายแค่นั้น”
ในเวลาต่อมา เมื่อเขาได้ช่วยทางบ้านทำงานมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว สมยศก็ได้เดินทางเข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์ด้วยการบวชเป็นสามเณร เป็นเวลากว่า 2 ปี โดยเริ่มมาจากการบวชภาคฤดูร้อน ซึ่งเลยความตั้งใจ ที่จะบวชเพียงแค่ 7 วัน เท่านั้น โดยการบวชดังกล่าว ก็ได้สร้างประสบการณ์ทางธรรมะให้กับเขาได้พอสมควร
“พอเราเรียนจบ ป.6 มันก็จะมีแบบ บวชภาคฤดูร้อน ผมชอบ เพราะ เห็นเพื่อนๆ บวช ก็อยากจะบวชบ้าง เนื่องจากมันบวชแค่ 7 วันเอง ทีนี้พอบวชเรียบร้อย บังเอิญเจอหลวงตาที่เป็นตาแท้ๆ ของเรา ท่านก็บวชเป็นเวลานาน แล้วท่านก็เห็นผมบวชพอดี เลยชวนมาอยู่ที่กรุงเทพฯ จำวัดที่วัดหงส์รัตนาราม ตรงบริเวณบางกอกใหญ่ ก็ไม่ต้องเรียนหนังสือแล้ว บวชยาวเลย 2 ปี แต่ตอนบวชก็ได้อะไรเยอะมากนะ เพราะว่า เราได้เรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท ได้เปรียญ 1 และ 2 ประโยค คือเรียนแล้วก็ชอบมากเลย อยู่ในหลักธรรมะเลย ได้ท่อง ได้เรียน มันสงบ ได้นั่งสมาธิ ซึ่งวัดที่นี่ค่อนข้างเคร่งนะ ไม่ได้เหมือนวัดอื่นที่มีเณรเตะบอลอะไรกัน แต่ที่นี่จะเคร่งมาก พระต้องอยู่ในวินัย ท่านเจ้าอาวาส ท่านเจ้าคุณ จริงจังมากกับเรื่องพวกนี้ ในการประชุมแต่ละครั้ง เขาจะบอกบ่อยเลยว่า พระและเณรที่นี่จะต้องสำรวม ห้ามไปเดินห้างเด็ดขาด และก็ในส่วนการเรียน ก็ห้ามเรียนทางโลกด้วยนะ ทางโลก หมายถึง บางคนบวชพระ แต่ยังเรียน ม.1-2-3 ได้ แต่วัดนี้ ไม่ให้เรียน ถ้าคุณจะบวชพระ คุณต้องเรียนทางธรรมะเท่านั้น”
การบวชเรียนของสามเณรสมยศ ได้สร้างความสุขทางใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก จนทำให้มีความคิดที่ว่าถ้าได้เป็นสามเณรนักเทศน์แล้วจะมีความเท่ และมีความมุ่งมั่นพอที่จะทำตามที่คิด แต่ในที่สุดสามเณรสมยศก็ต้องลาสิกขาออกมา เพียงเพราะคำสอนของพระพยอมทางวิทยุในวันนั้น...
“ทีนี้ตอนที่บวช เราก็อยากจะเป็นนักเทศน์ รู้สึกว่าสามเณรที่บวชไม่นานแล้วเทศน์ได้ รู้สึกเท่ อยากจะเทศน์ได้บ้าง ก็เลยฟังเทศน์บ่อย แล้วมีช่วงหนึ่ง ได้ฟังพระพยอมเทศน์ทางวิทยุ ท่านบอกเลยว่า บางคนมาบวช แต่พ่อแม่ยังลำบากอยู่เลย ตัวเองมาอยู่ในศาสนาแล้วบวชเนี่ย จริงๆ ถ้าเราไปช่วยพ่อแม่น่าจะได้บุญกว่าบวชอีก พอเราได้ฟังแล้ว ก็คิดเลยว่า จะต้องออกไปช่วยแม่ ก็เลยลาสิกขาออกมา และก็กลับบ้านไปช่วยแม่ทำงาน”
ถึงแม้ว่าจะลาสิกขามาช่วยงานที่บ้านดั่งที่ตั้งใจแล้ว แต่ด้วยวัยที่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น สมยศได้เล็งเห็นถึงการศึกษาของตัวเอง เนื่องจากในช่วงที่บวชเรียนอยู่นั้น ตัวเขาแทบไม่ได้ศึกษาอย่างเช่นคนอื่นเลย และนั่นจึงทำให้เขาได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ นั่นคือ “การหนีออกจากบ้านเพื่อการเรียนของตัวเอง”
“ช่วงที่ช่วยแม่หนึ่งปี ผมเรียนจบแค่ ป.6 แล้วบวชเณร 2 ปี พอสึกออกมา ก็เท่ากับเด็ก ม.3 นะ ผมก็เรียน กศน. 1 ปี แล้วจบมัธยมต้น แถมยังจบมาแบบไม่ค่อยรู้เรื่องอีก ประกอบกับช่วงเป็นช่วงที่คาบเกี่ยวตรงที่ เราเรียนจบแล้วอยากเรียนต่อ แต่แม่อยากให้ทำงาน ก็จะมีปัญหากันนิดหน่อย เนื่องจากตอนนั้นเราเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว แต่แม่ก็อยากช่วยงานที่บ้าน เพราะเริ่มมีงานรับจ้างเข้ามาให้ทำนั่นนี่ เพราะแม่มีหัวคิดทางการค้า สุดท้าย เราก็เลยหนีออกจากบ้าน นั่งรถไฟขึ้นกรุงเทพฯแบบลุยเดี่ยวเลย ตอนนั้นนั่งรถไฟสนุกมาก 18 ชั่วโมง ออกที่นั่นบ่ายๆ ถึงนี่เช้าอีกวันหนึ่ง”
• คือหนีออกจากบ้านมา แล้วไม่ได้บอกกับใครเลย
ไม่ได้บอก แต่แม่ก็รู้ว่ามันก็มีอยู่ที่เดียว คือที่วัดที่หลวงตาท่านอยู่นั่นแหละ เอาวุฒิเดิมมาด้วย ก็เลยมาเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนสวนอนันต์ แต่แม่ก็ไม่ได้ส่งเงินมานะ ซึ่งพอผ่านไป 1 ปี แม่ก็ส่งเงินมา ตอนนั้นยังส่งแบบธนาณัติอยู่เลยก็ต้องเอาจดหมายธนาณัติไปรับที่ไปรษณีย์แลกเป็นเงิน แต่ก็ไม่ได้อะไรเยอะหรอก ส่งมาเดือนหนึ่งก็ 300 บาท หรือ 500 บาท ก็ใช้ไม่พอหรอก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้
• ปัจจัยหนึ่งที่อยากเรียนต่อ คือ เล็งเห็นอนาคตแล้วว่าไม่รุ่ง
เรามองว่า การทำงานแบบนี้ โอกาสรวยมันยากมาก เนื่องจาก การเป็นกรรมการมันเป็นความเสี่ยง ถ้าวันไหนเราป่วยก็อาจจะไม่ได้เงิน คือไม่ใช่ดูถูกนะ แต่ถ้าแบบวันไหนเราเหนื่อยหรือป่วย ก็จะไม่ได้เงินนะ มันไม่เหมือนเวลาเราทำงานประจำ ทำเป็นลูกจ้างเป็นรายเดือน คือป่วยแล้วลาได้อะไรได้ ซึ่งจุดนี้ เลยตัดสินใจที่ขอแม่มาเรียนต่อ
“คอมพิวเตอร์” เปลี่ยนชีวิต
เมื่อเดินทางมาศึกษาต่อในระดับมัธยมปลาย ที่กรุงเทพฯ ก็ใช่ว่าราบเรียบง่ายนัก อาจจะเป็นเพราะถูกร่างกายอยู่บ่อยครั้ง สมยศจึงหาทางปกป้องตนเองเพื่อไม่ให้ถูกรังแก นั่นคือการเป็นนักมวยไทย
“ตอนนั้นเป็นช่วงอยู่วัด เด็กที่อยู่ข้างวัดที่เราอยู่ เป็นพวกดมกาว กวนตีน ชอบหาเรื่อง มันอาจจะมองว่า ผมหน้าตาดีก็ได้มั้งในตอนนั้นนะ (หัวเราะ) หมั่นไส้ หาว่าไปมองหน้าบ้าง กวนตีนบ้าง แล้วเราจะโดนประจำเลย ในวัดมีสนามบอลเล็กๆ ผมก็ไปยืนดูเขาแข่งฟุตบอลกัน ขอเล่นด้วยมันไม่ให้เล่น เราก็กลับ มันก็หาว่ากวนตีนมันอีก ก็มารุมผม เราไม่มีความรู้การต่อสู้เลยก็รู้สึกเลยว่า ไม่ไหวว่ะ โดนอย่างงี้บ่อยๆ โดนไม้ไล่บ้างอะไรบ้าง มาตี แล้วทีนี้กลุ่มนักเลงรอบวัด มันมี 2-3 กลุ่ม แล้วเราก็จะเจอ ไม่กลุ่มใดก็กลุ่มหนึ่ง อยู่เสมอ แต่เราต้องเดินอยู่แถวนั้น เพราะว่าไปเรียน ตอนกลับต้องระวังมากเลย ใครอยู่ตรงไหนอะไร คอยวิ่งตลอดเวลา ทีนี้พอเริ่มแบบนี้ชักไม่ปลอดภัยแล้ว ประกอบกับในวัดจะเพื่อนเด็กวัดที่เป็นนักมวยอยู่ 2-3 คน ที่เขาไปซ้อมมวยแล้วชกไปด้วย วันนึง เพื่อนมันก็ชวนผมไปดูที่ค่าย ว่าซ้อมกันยังไง ผมก็ไปดู และก็ไปดูอยู่หลายวันเลย”
“ทางหัวหน้าค่าย เขาก็เห็นว่า เราผอมหุ่นขี้ก้าง น่าจะต่อยมวยได้ เพราะเวลาเราผอมช่วงลำตัวจะยาว กระดูกใหญ่ น่าจะชกมวยได้ เขาก็ถามว่าสนใจมั้ย เราก็โอเคเลย ก็เลยไปซ้อมกับเขา ซ้อมอยู่ประมาณ 3-4 เดือน กว่าจะได้ขึ้นชก ชกครั้งแรกที่เวทีรังสิต ปรากฏว่าชนะ หลังจากนั้นมาก็ชกเรื่อยๆ ผมชก 22 ครั้ง แพ้แค่ 2-3 ครั้ง ตอนนั้นมีหลายชื่อ ก็มีหลายชื่อ ดาวยศบ้าง เจริญศักดิ์บ้าง คือเวลาเราเปลี่ยนค่ายหรือเปลี่ยนอะไรก็แล้วแต่ อย่างคนเก่าตั้งมาก็ไม่เพราะ คนใหม่ก็เปลี่ยน แต่ที่เด่นๆ เลย ก็ เจริญศักดิ์ ช.สวนอนันต์”
“ผมชกมวยมาตั้งแต่เรียน ม.ปลาย ประมาณ 6 ปี คือถ้าเทียบชื่อชั้นถือว่าเล็กมาก ยังไม่ได้เป็นมวยในรายการด้วย ชกมวยไปด้วยทำงานประจำไปด้วย แล้วเราก็มาคิดว่าถ้าหากชกต่อจะยังไง ครั้งสุดท้ายที่ชก ลางานไปชกและไม่มีใครรู้ เพราะไม่ได้บอกใคร ตอนนั้นชกที่เวทีราชดำเนิน ปรากฏว่าแพ้ เพราะไม่ได้ซ้อม มวยมันต้องซ้อมหนัก ต้องแรงพอ ซ้อมต้องถึง ถึงจะชกได้ ขึ้นไปบนเวที ยกแรก รู้เลยว่า กูไม่รอดแน่ เพราะมันไม่มีแรง รู้สึกจะนอนตอนยก 3 โดนไปหลายหมัดเหมือนกัน วันต่อมาตาบวมไปทำงานเลย เพื่อนถามเลยว่าโดนอะไร หลังจากนั้น เรารู้เลยว่าไม่ควรชกก็บอกพี่ที่ค่ายว่า ผมขอเลิกชก เพราะทำงานประจำ มาซ้อมไม่ไหว ทำ 8 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น ปกติมวยซ้อมบ่าย 3 จนถึง 5-6 โมงเย็น แล้วเราเลิก 5 โมง ไปซ้อม เพื่อนก็กลับกันหมดแล้ว ซ้อมได้นิดเดียวก็ไม่โอเค ก็เลยเลิกชก”
ในช่วงเวลาเดียวกับที่ได้วาดแม่ไม้มวยไทยอยู่ในสังเวียนผ้าใบนั้น สมยศได้จบการศึกษาในระดับมัธยมปลายพอดี อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนเด็กวัดได้มาพูดถึง“วิชาคอมพิวเตอร์” ที่หนักหนาเกี่ยวกับรายวิชาให้ฟัง แต่หารู้ไม่ว่า นั่นเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญให้กับเขา และได้ทำให้สมยศอยู่ในโลกคอมพิวเตอร์มานับแต่นั้น
“มีเพื่อนที่วัดคนนึง เขาเรียนคอมพิวเตอร์ที่ ม.รามคำแหง แล้วก็มีหนังสือวางอยู่ เราก็ชอบเอามาหยิบอ่านดู เลยรู้สึกสนใจคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ตอนนั้น พอเรียนจบ ม.ปลาย เราเลยเบนเข็มมาเรียนด้านนี้ ที่วิทยาลัยอาชีวะธนบุรี ด้านคอมพิวเตอร์ เลย พอได้เข้าเรียน มันก็มีเขียนโปรแกรม อะไรเยอะแยะ ซึ่งเราชอบมาก และก็ชอบสิ่งนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น พอมันชอบก็เลยเรียนได้เกรดสูง ตอนจบออกมาก็ได้เกรดเฉลี่ย 3.9 จบปุ๊บ ธนาคารไทยพาณิชย์ก็รับเราเข้าทำงาน เพราะตอนนั้นเขาหาพนักงานระดับชั้นต้น แบบมาหาตามโรงเรียนเลย แล้วเราเกรดสูงก็ได้รับคัดเลือกไป”
“ผมก็เริ่มทำงานที่สำนักงานใหญ่ตรงชิดลม ทำอยู่ 4 ปี เขาก็ย้ายมาที่รัชโยธิน ก็มาทำที่นี่อีก 4 ปี รวมแล้วก็ 8 ปี โดยประมาณ ช่วงที่ทำงานธนาคาร ก็ทำเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ตลอด คือ ตอนนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ยังน้อย ทั้งฝ่ายมีแค่ 2 เครื่องเอง ประมาณ 100 คน แต่ใช้คอมพิวเตอร์แค่ 2 เครื่อง แล้วงานที่ผมทำประจำในตอนนั้นก็เป็นพนักงานด้านนิติกรรม เป็นฝ่ายสินเชื่อ ทำด้านนี้ก็คือ ทำสัญญาแล้วก็พิมพ์เข้าไป พิมพ์เป็นตัวหนังสือ มันจะมีแบบฟอร์มที่เค้าถ่ายเอกสารไว้ แล้วเราก็เหมือนเติมคำในช่องว่าง เอากระดาษซ้อน 3 แผ่น แล้วก็มีเหมือนแผ่นก็อปปี้ เป็นสำเนา ใส่ตรงกลาง แล้วก็ปิดไว้ข้างหลัง แล้วพิมพ์ไป ใช้พิมพ์ดีดธรรมดา พอเริ่มมีคอมพิวเตอร์ เราก็เริ่มคุยกับทีมระบบว่า บริษัทเราจะเอาแบบฟอร์มมาใช้ โดยใช้คอมพิวเตอร์จริง ตอนหลังก็ง่ายขึ้นเพราะว่า เราก็ทำแบบฟอร์มของเราในคอมพิวเตอร์ ตอนนั้นเรียกว่า ดีดีฟอร์ม เราก็พิมพ์ข้อมูลอะไรลงไป แล้วก็สั่งพิมพ์ เสร็จเรียบร้อยเราก็ใส่กระดาษแบบฟอร์มนี่แหละ ในช่องว่าง มันก็จะพิมพ์ลงช่องว่างพอดี โอกาสติดก็ไม่มีเลย เพราะเราพิมพ์แล้วเห็นหน้าจอ”
เมื่อได้มาทำงานในธนาคาร นอกจากจะทำตามตำแหน่งหลักที่ได้รับแล้ว ตำแหน่งเสริมที่สมยศได้รับคือ เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์กลายๆ และนั่นทำให้เขามีหน้าที่เพิ่มขึ้น คือ พาเพื่อนๆ พนักงานไปซื้อของที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า อยู่เสมอ
“ด้วยความที่เราจบทางด้านคอมพิวเตอร์มาโดยตรง และในตอนนั้นถือว่าเป็นของใหม่มาก คนที่จะซ่อมเป็นก็น้อย จอเปิดมาไม่ติด ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เราก็ต้องไปดูให้ ซึ่งอยู่ในสำนักงานไง ตอนนั้นเครื่องเริ่มมีเยอะขึ้น ทุกคนก็จะเรียกใช้แต่เรา เรามีความรู้ ซ่อมเป็น เปิดเครื่องแกะ ใส่ฮาร์ดดิสก์ ถอดเสียบสายใหม่ หรือมาดูว่าอะไรเสีย ก็จะซ่อมให้เขา ซ่อมไปซ่อมมาจนกลายเป็นคนรู้เรื่องไอทีในออฟฟิศอีกคนหนึ่งในที่ทำงาน ฉะนั้น ใครจะซื้อไอที ซื้ออุปกรณ์ ก็ต้องมาถามผมว่า พี่จะซื้อเครื่องนี้ยังไง แล้วก็จะพาผมไปซื้อเครื่องที่พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า”
“พอพาไปซื้อบ่อยๆ มันก็ไม่ไหว มันเสียเวลา คือไปนอกเวลางานก็จริง แต่มันต้องเดินทาง บางคนก็เลี้ยงข้าว บางคนก็ให้เงิน บางคนก็ไม่ให้ หรือ บางคนพาไปซื้อเสร็จ ต้องพาไปเลี้ยงข้าวอีก พอทำไปซักพัก เราก็เริ่มมองว่า เราน่าจะทำเองได้ เราก็โอเค คุณจะมาซื้อเครื่องที่พันธุ์ทิพย์ มาบอกผม เดี๋ยวผมพาไปซื้อเอง ผมพาไปซื้อเองหมายความว่า ผมไม่ซื้อให้ เครื่องราคา 30000 ผมบอกเลยว่า ผมคิด 33000 แต่คุณไม่ต้องไป เดี๋ยวผมเลือกให้ ผมส่งให้ที่บ้านด้วย ถ้าเสีย ผมรับผิดชอบเอง เอาของไปเคลมให้ ทำได้ทุกอย่าง คุณอยู่เฉยๆ ราคา 30000 นะ ผมชาร์จ 3000 ดูแลให้ทุกอย่าง แต่บอกเลยว่าชาร์จ 3000 ไม่ใช่บอกราคาพันธุ์ทิพย์นะ แต่ว่า 1 ปี ถ้าเครื่องเสีย ผมดูแลให้หมด ซอร์ฟแวร์มีปัญหา ลงวินโดว์อะไร เดี๋ยวทำให้ ก็ทำให้ดูแลหมดเลย เพราะฉะนั้นลูกค้า ก็จะเสี่ยงไปซื้อเอง หรือซื้อผ่านผม ทีนี้ผมไม่ไปแล้วไง เรากล้ารับประกันว่า ถ้าเสียเรารับประกันให้ มันทำให้เวลาลูกค้าซื้อกับผม ผมพยายามเลือกของดีให้ เพราะเราไม่อยากไปซ่อมให้ เพราะเราก็อยากให้ครั้งเดียวเหมือนกัน”
และจากปากต่อปากที่บอกต่อไปเรื่อยๆ นั่นส่งผลให้สมยศกลายสภาพเป็นเจ้าของกิจการที่เกี่ยวกับทางด้านคอมพิวเตอร์ย่อย ในที่ทำงานไปโดยปริยาย จนกระทั่งเมื่อโอกาสได้มาถึง เมื่อสมยศเล็งเห็นในการเป็นเจ้าของกิจการเองขึ้นมา ประกอบกับได้มีทำเลที่ตั้งพร้อม ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เขาไม่ปล่อยโอกาสที่ได้ให้หลุดมือไป และทิ้งพนักงานธนาคารที่ทำมาตลอด 8 ปี เป็นเบื้องหลัง
“พอเราทำมาเรื่อยๆ เครื่องมันก็ไม่เสีย เพราะไม่ใช่เงินผม ผมก็ต้องเลือกของดีให้เขา เวลาไปซื้อก็เลือกสเปคเครื่องก็ดูเลยว่า ใช้งานด้านไหน แล้วเราก็เลือกทุกอย่าง ยี่ห้อดีๆ ให้ เพราะฉะนั้น ก็จะมีการบอกต่อไปเรื่อยๆ ก็จะแบบ ซื้อเครื่องจากจิ๊บดีว่ะ ซื้อมาไม่ค่อยเสียเลย จนผมทำได้อยู่ประมาณ 2 ปี ประกอบกับที่ห้างเซียร์ รังสิต ก็เริ่มเปิดตึกที่เป็นด้านไอที พี่ที่เป็นเซลส์จากพันธุ์ทิพย์ มาเปิดร้านที่นี่ ผมก็ไปช่วยเขาซื้อ ประมาณว่า พี่มาเปิดร้านที่นี่นะ เราก็ไปทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละ 2-3 เครื่อง จิ๊บมาซื้อที่นี่หน่อย เราก็มา มาปุ๊บ มีห้องว่างเยอะเลย ก็เลยมีไอเดียว่า อยากจะมาเปิดร้านเอง”
“ตอนนั้นปี 2544 เป็นช่วงที่แต่งงานแล้ว ก็มีความคิดว่า ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว เรามีครอบครัว แล้วมันกลายเป็นว่า ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ชอบแข่งขัน หมายความว่า ชอบเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แบบคู่อื่น แต่งงานไปแล้ว 2 ปี มีบ้านแล้ว คู่นี้ไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วเราไม่มีอะไรเลย เราสองคน มีงานเดือนรวมกันประมาณ 3 หมื่น คิดไปเรื่องอื่นด้วย เรื่องแม่ด้วย หมายความว่า ด้วยที่เราแต่งงานด้วย แล้วก็มีลูก แล้วก็มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูก เขาบอกว่ามันเยอะมาก แล้วเราจะเอาตรงไหนให้แม่ คือส่งให้แม่ไปไม่กี่พันหรอก แต่ถ้าเรามีลูก เราให้ไม่ได้แน่เลย เพราะเราก็เริ่มผ่อนบ้าน เริ่มซื้อรถมือสอง จำได้ว่า ซื้อรถนิสสันมาราคา 1 แสนบาท ซ่อมทุกเดือนเลย เดี๋ยวแอร์ไม่ติด เดี๋ยวมีแต่ลมออกมาร้อนมาก เดี๋ยวจะมีปัญหาจุกจิกๆ คือมันไม่เยอะ แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกเดือน เราก็เลยมองว่า ทำตรงนี้ เริ่มไม่โอเคแล้ว สามหมื่นรายได้เราตายตัว แต่ค่าใช้จ่ายเราไม่ฟิกซ์ เราอยากจะให้แม่มากขึ้น เราอยากจะอะไรมากขึ้น"
• ในตอนที่คุณออกมาทำกิจการตัวเอง เรารู้สึกว่ามีความทะเยอทะยานมั้ยครับ
ใช่ อย่างเดียวเลย คืออยากมีเงินเยอะ อยากมีรายได้มากกว่าเดิม เริ่มต้นจากตรงนั้นก่อน อย่างเรื่องช่วยแม่ ก็คิดอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่มีโอกาส เพราะเงินเดือนเราเท่านี้ จะไปช่วยยังไง แต่มันก็คิดตลอดว่ามันถึงว่า เรามีธุรกิจ เรามีโอกาส เราทำได้ ไอ้เรื่องที่เราเคยคิด มันก็จะโผล่ขึ้นมา ถ้าเรามีเงินก็จะช่วยแม่ได้นะ จะได้ซื้อบ้าน ลูกจะได้ไม่ลำบาก มีเงินให้ลูกเรียน ได้ซื้อบ้านให้ตัวเอง อย่างอื่นก็ตามมาหมดเลย มันเลยทำให้ในจังหวะที่มีโอกาสตรงนั้น ก็เลยรีบคว้าโอกาสไม่ได้คิดมาก เรามองว่า ถ้ามันทำได้เท่าเดิม เราก็ถือว่าโอเคแล้ว แต่ถ้ามันมากกว่าเดิมล่ะ มันจะดีขึ้น คือมันมีความมุ่งมั่นสูงแล้ว
แต่ตอนนั้นคนก็ห้ามกันเยอะนะ แม่ก็ห้าม เพื่อนก็ถามจะออกไปทำไม มึงจะสู้ร้านใหญ่ได้เหรอ ซึ่งเรามองข้ามจุดตรงนั้นไปเพราะเรามองว่า เราทำได้แน่ๆ คือคิดอย่างเดียวเลยว่า ทำได้แน่ๆ เราก็มาคำนวณนะว่า ถ้าขายวันละ 2 เครื่อง เราก็ได้แน่ๆ 15000 คือเราคำนวณแล้วว่าเป็นไปได้ เราถึงออกมาทำ ในจังหวะที่คนอื่นห้ามหมด แต่เราคิดว่าเราทำได้ เราต้องทำให้ได้ มันมีความมุ่งมั่นสูง
• เทหมดหน้าตักเลย
ถ้าเจ๊งนี่คือ ธนาคารก็ไม่รับแล้วนะ ตายเลย (หัวเราะ) แต่เราก็มีแอบแย็ปนะว่า พี่ถ้าผมออกมาทำแล้วไม่โอเค ผมมาของานทำใหม่ ช่วยฝากให้ด้วยนะ แต่จริงๆ มันฝากไม่ได้หรอก คือเราออกมาทำเราก็คิดว่าไม่กลับไป แต่พอทำแล้ว ด้วยความทุ่มเท ผมมาทำงาน ตื่นตั้งแต่ตี 5 7 โมงเช้ามาถึงร้านแล้วนะ แล้วก็กลับประมาณ 4-5 ทุ่ม ทุกวัน มันต้องอยู่กับเรื่องร้านตลอดเวลา แล้วก็เต็มที่กับมัน มันทำให้ความกลัว หรือความอะไรหายหมด เพราะถ้าเราคิดว่า ร้านใหญ่มี เปิดไปแล้วไม่รุ่ง มันก็เหมือนกับคนทำธุรกิจ คุณจะทำอะไร มันก็มีเจ้าอยู่แล้ว ถ้าคุณคิดจะไปเปรียบเทียบกับเจ้าใหญ่พวกนั้น คุณก็ไม่มีโอกาสได้ทำ อย่างคุณจะทำธุรกิจอะไร แต่มันก็มีหมดแล้ว จะทำทุกอย่างมันมีทุกอาชีพหมดแล้วที่เป็นเจ้าใหญ่ๆ แต่เราไม่ได้คิดว่าจะใหญ่ ณ วันที่เปิด เราก็กะว่า เปิดแล้วตั้งใจเต็มที่ แล้วมันมีรายได้มากกว่าที่เราทำงานประจำ มันก็โอเคแล้ว คิดแค่นั้นจริงๆ
• อารมณ์ประมาณว่า ขอเป็นอีกทางเลือกให้กับผู้บริโภคประมาณนั้น
ไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นเลย คิดแค่ว่า เฮ้ย ออกมาเปิดร้าน แล้วถ้าขายได้แค่เดือนละ 4-5 หมื่น ก็โอเคแล้ว หมายถึงว่าถ้ามันมีกำไรนะ มันก็ดีกว่าอยู่ที่ทำงานประจำ คิดแค่นั้น คือถ้าลูกค้าไม่ซื้อ เราก็มาหาที่แบงค์ เอาโบชัวร์มาแจก แบบให้เพื่อนๆ ช่วยกันซื้อได้ หรือ ในสำนักงานใหญ่ มีคนอยู่ 6,000 ในตอนนั้นนะ อาจจะมีคนซื้อก็ได้ ซัก 10 คนก็ยังดี เดือนหนึ่งซัก 10-20 เครื่องก็อยู่ได้ ก็เลยตัดสินใจออกมา แต่ด้วยพอเรามีความตั้งใจที่เต็มที่ ขายเองทำเอง แล้วมีลูกค้ามาซื้อ ซึ่งทำให้จากวันที่ 27 กรกฎาคม 2544 เดือนตุลาคมปีเดียวกัน ผมสามารถเปิดสาขาที่ 2 ก็เปิดปุ๊บขายได้เลย พอขายได้อีก 3 เดือน ผมบอกแฟนเลยว่า ออกจากงานเหอะ เปิดร้านด้วยกัน เพราะดูแล้วว่า ขายได้แน่นอน ผมก็เปิดสาขาที่ 2 เพราะเดิมมันห้องเล็กมากประมาณ 10 ตารางเมตร
• ดำเนินกิจการมาได้ 3 เดือน ก็สามารถเปิดสาขา 2 ได้ ถือว่าไม่ธรรมดาเลยนะ
ก่อนที่จะออกมาเปิดร้านเอง ผมก็ตัดสินใจอยู่เดือนนึง แล้วผมก็ขอพี่เจ้าของร้านคอมคนนึง ว่า เดี๋ยวผมมาช่วยขายพี่ทุกเสาร์-อาทิตย์ แต่ผมขอเก็บกล่องนะ ผมไม่เอาเงิน แต่ผมจะขอเก็บกล่องที่ลูกค้าไม่เอาไว้ เพราะผมจะเปิดร้านเอง ก็ช่วงที่ลูกค้ามาซื้อ แล้วก็เก็บกล่องเอาไว้ วันที่เราเปิดร้าน ในร้านมีแต่กล่องเพียบเลย เปรียบเสมือนว่า มีของเต็มเลย ของไม่มีมีแต่กล่อง (หัวเราะ) มันเป็นการตลาดอย่างนึงนะ ดูเหมือนว่าของเยอะมาก แต่ว่าไม่มีของข้างในกล่องเลย แต่ลุกค้าเดินเข้ามานึกว่ามีเต็มเลย ทำให้ดูน่าเชื่อถือขึ้น ก็ตอนที่ออกมาจากแบงค์ มีเงินอยู่ 200,000 บาท ไปจ่ายค่าเช่าบ้าง มัดจำล่วงหน้า ประมาณ 100,000 เหลือ 100,000 ถ้าเราซื้อของหมดแล้ว มันจะไม่มีเงินหมุนเวียน คือเราก็เก็บไว้ส่วนหนึ่ง เก็บไว้ 30,000 เพราะช่วงนั้นเรายังไม่ค่อยมีเครดิตกับใคร พอลูกค้าซื้อ เราก็เอาเงินก้อนดังกล่าว ไปวิ่งโป๊ะของร้านอื่นๆ มา เพราะฉะนั้น เงิน 6-7 หมื่น จะเป็นเงินที่เราไปซื้อมาเป็นของสต็อกไว้ในร้าน เครื่องมือ ฮาร์ดดิสก์ซัก 2 ตัว คีย์บอร์ดซัก 4-5 ตัว มาวางอยู่ในตู้ ลูกค้าเดินเข้ามา เห็นของเต็มเลย แต่จริงๆ คือกล่องเปล่า ของในตู้อีกนิดหน่อย ก็ขายเสร็จ ก็จะเป็นแบบ คุณพี่รออีกชั่วโมงนะครับแล้วเดี๋ยวกลับมาใหม่ ไปทานข้าวก่อน พอลูกค้าหันหลังปุ๊บ เราวิ่งไปตามร้านต่างๆ ไปเอาของที่เซ็ทให้ลูกค้าไป แล้วก็มานั่งประกอบๆ ไปให้ของเขา กล่องเก็บไว้อีก วางโชว์ อยู่อย่างงี้
• ขึ้นชื่อว่าทำธุรกิจ แน่นอนว่าอุปสรรคก็ต้องมีมาคู่กันด้วย
ตอนที่ช่วงผมเปิดร้านใหม่ๆ ยังมีแบบระบบเถ้าแก่ทั่วๆ ไป แบบซื้อของเต็มร้าน แล้วรอลูกค้ามาซื้อ ทยอยไป บิลออกมาใบ มันทำให้ไม่มีระบบ และมันทำให้รู้ว่า บางทีไม่มีของอยู่ด้านใน แต่ซื้อล็อตใหม่มาอีก ทำให้ไม่รู้ว่ามีของเหลืออยู่ เพราะไม่ได้ทำเรื่องระบบ ซึ่งเราทำเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก และจุดนี้คือจุดสำคัญ ที่ทำให้เราฝ่าทะลุอรหันต์มาได้ เพราะว่ามันยากมากเลยนะ คุณเป็นร้านใหญ่ เราเป็นร้านเล็ก เราจะโดนกดตลอดเลย เราเจอมาทุกรูปแบบ เช่น มีอยู่ร้านหนึ่งในเซียร์ ซึ่งปัจจุบันก็ยังอยู่นะ พอเราซื้อของ จะแบบ “ถ้ามึงขายให้จิ๊บนะ มึงไม่ต้องมาขายกู” เราทำไง ก็ไม่ได้ขายไง หรือ ผมมาเจอแบบนี้ในช่วงนั้น สินค้าบางตัวเราไม่มีขาย เพราะเราโดนเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลายกด แต่สุดท้าย เราเน้นเรื่องบริการ เราก็โอเคไม่ซื้อ เราก็ไปตัดมาบ้าง เราก็ขายลูกค้าเท่าทุนบ้าง
หรือ พอเราสามารถดีลกับซัพพลายเออร์ได้ ก็จะมีคนโทรมาดิสเครดิตว่า ร้านจะเจ๊งแล้วนะ ให้เครดิตไม่ได้นะ อะไรอย่างงี้ ทางซับก็ตกใจ แล้วโทรมาเอาไงดีพี่ ไม่รู้นะ ช่วงนี้ขอเป็นเงินสด ก็จะโดนแบบนี้ ในหลายปีของช่วงแรกๆ จนเราไม่ได้คิดตรงนั้น โอเค เราก็หาแบรนด์อื่นที่ใกล้เคียงมามาลงแทน เราก็ทำแบบนี้ ก็ขยายสาขาอย่างเป็นระบบ ในการวางสต็อกที่แบบเป๊ะ มีการคำนวณว่า จอรุ่นนี้ถ้าขายเดือนนี้ได้ 7 ตัว บางทีซื้อมา สินค้าบางตัวมีหลายสี เวลาเราซื้อ เราดูประวัติการขายของเราทั้งหมด ซึ่งผมโชคดีตรงที่ตอนทำงานธนาคาร ผมทำเรื่องข้อมูลมาพอดี หมายความว่า มีการดึงรายงานการซื้อ ซื้อ ข้อมูล หรือสินเชื่อทั้งหมด อะไรแบบนี้ พอดีเราเก่งเรื่องทำรายงาน เรื่องเอา information มาผสม เพราะฉะนั้น ผมจึงเอามาเขียนโปรแกรมที่ใช้แบบนี้มาประยุกต์ใช้กับบริษัทในช่วงแรกๆ สมมุติว่า อย่าง คีย์บอร์ดรุ่นนี้ขายดี ถ้าเป็นร้านอื่น เอาสีนี้ 20 ตัว เอาอีกสีซัก 30 ตัว คือเขาจะซื้อแบบนี้ แต่เราไม่ใช่ สมมุติว่าเดือนนี้ขายได้ 15 ตัว ก็ซื้อตามที่เราขายได้ อีกรุ่นขายได้ 8 ตัว ก็ซื้อ 8 คือมีการคำนวณและใช้โปรแกรมมาช่วย ไม่ได้มานั่งเทียนซื้อ แบบสีนี้สวยเอามาเลย มันจะทำให้ของติดสต็อก เพราะเราทำโดยมีโปรแกรม ซึ่งเป็นจุดหลักสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราโตเร็ว
ณ วันนี้ กับ ธุรกิจระดับพันล้าน
ถึงแม้ว่าจะโดนอุปสรรคจากร้านค้าคู่แข่งภายนอกถาโถมเข้ามาเพียงใด แต่สมยศหาได้ย่อท้อต่อสิ่งนั้นไม่ กลับกลายเป็นว่าเขาก้าวเดินต่อไปอย่างเจียมตัวปะปนกับความมุ่งมั่นในธุรกิจและมั่นคงในสถานะได้ จนคำว่า “ความพยายามอยู่ที่ใด ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ก็ได้แสดงผล เพราะจากวันนั้น จนมาถึงวันนี้ ธุรกิจของ J.I.B. Computer Group ก็สามารถมีมูลค่าสินทรัพย์สูงถึงกว่า 6,000 ล้านบาท ในที่สุด
“ผมว่าการทำงานที่มีระบบระเบียบชัดเจน แล้วก็การวางแผนที่ดี ที่มันเป็นไปได้ ซึ่งเราก็วางแผนทุกปีนะ ว่าจะไปทิศทางใด เราไม่ได้ทำให้มันเยอะเกินไป แต่พอเราทำต่อเนื่องแล้วโตขึ้นเรื่อยๆ มันก็เป็นไปตามแผนที่เราวางไปเอง เราไม่เคยแบบ กูจะมี 100 สาขา เปิดตั้งแต่สาขาแรก พอสาขาแรกเห็นโอกาส มีห้อง เราก็คิดว่ามีห้อง ก็เปิดขยายอีก เพราะว่าดูแล้วขายได้ เปิดปุ๊บ ผมกับแฟนแยกคนสาขาเลย ตั้งชื่อไปเรื่อยเปื่อย จนได้ 5 ชื่อ j.i.b, k.o.b ชีตาร์ j2k อินไซต์ ซึ่งที่ตั้งชื่อแบบนี้ เพราะเมื่อก่อน เหมือนการหลอกลูกค้า สมมุติว่า ร้านแรกขายแพง ลูกค้าเดินมาร้าน 2 เราก็จะส่งสัญญาณว่า ลูกค้าคนนั้นเคยมาที่แรกแล้วนะ เซ็ทไป 20,000 ดูเลย อาจจะลดได้นิดหน่อย ก็จะประมาณนี้ คือเป็นร้านเราเหมือนกัน แล้วคนที่ทำไอที เมื่อก่อนทำแบบนี้หมด จนมีพี่คนหนึ่ง ซึงตอนนั้นผมเปิดได้ 5 ร้านแล้ว เขาเป็นเจ้านายเก่าที่เก่งทางการตลาด เค้ามาเห็น แล้วก็บอกเราว่า มึงบ้ารึเปล่า ทำหลายชื่อแบบนี้ ทำชื่อเดียวไปเลย ให้ลูกค้าเห็นว่า ทุกๆ ที่ก็มี มันจะทำให้สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้ามากกว่า ดีกว่าไปหลอกลูกค้าว่า ร้านแรกไม่ซื้อ ไปซื้อร้าน 2 แล้วลูกค้าไปด่าให้ฟัง ซึ่งด่าร้านเราเอง เมื่อก่อนเป็นแบบนี้จริง พอเขาบอก เราก็ปิ๊งโอเคเลย เพราะมันน่าจะดี”
“เราก็เริ่มสร้างแบรนด์ เพราะตอนนั้น เรามีสาขารองจากอีกเจ้าหนึ่ง นอกนั้นใช้คนละชื่อหมดเลย พอเจ้านายเห็นและแนะนำเรา เราก็เปลี่ยนตามที่เขาบอกทุกร้าน พอเปลี่ยน มันก็มีผลดีคือ เฮ้ย! เป็นเจ้าของเดียวกัน เคลมสะดวก ซื้อร้านอื่นไม่โอเค ซื้อร้านนี้ก็ได้ หรือ ราคาเท่ากันทุกร้าน ส่งเคลมได้ทุกร้าน และที่สำคัญคือ สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า วันนี้ลูกค้าเห็นป้ายเราแบบงงๆ ก็ซื้อของกลับไปแบบงงๆ ทำไมมันเยอะจังวะ คือพอมันมีเยอะมันทำให้ แบรนด์นี้มันโอเค บางคนคิดไปไกลอีกว่า เพราะมันเป็นแฟรนไชส์ แต่ละร้าน คนละเจ้าของ ซึ่งของเราเป็นของเราเองทั้งหมด แล้วตรงนี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้มันโตเร็วขึ้น เรื่องราคาเท่ากัน เรื่องการตกแต่งที่สไตล์เหมือนกัน ป้ายหน้าร้านเหมือนกันหมด ยอดมันก็โตมาเรื่อยๆ ขายไปขายมาผ่านไปแป๊บเดียวเอง มันก็ตอบโจทย์ทุกอย่างที่อยากได้อยากมี คือรวยโดยไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ตัวเลย จากที่ไม่มีอะไร แล้วพอเรารวยในวันหนึ่ง ผมว่าทุกคนเป็นอย่างผม ก็จะคิดแบบนี้ เฮ้ย กูรวยรึยังวะ เรามีอย่างงี้เรียกว่ารวยได้รึยัง แค่ไหนเรียกว่า คือเราตั้งเป้าหมายว่า ถ้ามีรายได้เดือนละแสน คงจะดีมากเลย แต่พอเราทำถึงแล้วมีโอกาส แล้วเราไปต่อ เป้าไม่เคยหยุดอยู่กับที่เลย เป้ามันไปเรื่อยๆ เลย”
“เมื่อถึงวันหนึ่ง เราไม่เคยดูเงินในกระเป๋าเลย ไม่เคยใช้เงินเลย ในช่วงแรกๆ คือมัวแต่ทำงานๆ ไม่เที่ยวไหนเลย 7 วันอยู่กับร้านทั้งหมด หายใจเข้าออกเป็นร้านเลย เพราะว่าเราเป็นหัวใจหลักในการขายด้วย ภรรยาก็ช่วยขาย แล้วก็สร้างทีมงานมาช่วยขาย แล้วมันมีเรื่องเงินเยอะ วันนึงขายได้เยอะ แล้วเราค่อนข้างกังวลว่า กลัวเด็กจะโกงอะไรแบบนี้ ในช่วง 4-5 ปี แรก ทุ่มเทกับร้าน โดยที่ไม่ได้ไปทำอะไรเลย จนเรามองแล้วเริ่มโตขึ้น ผมก็เริ่มสร้างตัวแทนแทนผม ให้มีคนขายแทน ช่วยจัดซื้อให้ เราก็ถอยมานั่งดูและแค่หาทำเล เพราะเราเริ่มขายดีแล้ว แล้วใครจะไปดู แล้วเราก็ไปเริ่มลงทุนเปิดสาขา ถ้าให้คนอื่นดู ก็ชิบหายเลยนะ มันดูพลาดเราก็ตาย เพราะฉะนั้นการเลือกทำเลเราต้องเลือกเอง ซึ่งถ้ามันผิดเราก็สามารถโทษตัวเองได้ว่ามันผิด แต่ถ้าเราให้พนักงานไปดูแล้วมันผิดพลาดขึ้นมา เรียบร้อย ฉะนั้น ทำเลค่อนข้างสำคัญ เราต้องเลือกทำเลที่ดีเท่านั้น”
• คือกล้าพูดได้เลยว่า J.I.B. Computer Group คือแบรนด์แถวหน้าที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แบบนี้
ปัจจุบันเราเป็นอยู่แล้ว เราเป็นผู้จำหน่ายไอที ที่มียอดสูงสุด พูดถึงเฉพาะฝั่งที่เป็นคอมพิวเตอร์นะ โดยเฉพาะ PC ยอดประกอบเดือนละประมาณหมื่นเครื่อง ถือว่าเยอะมาก แต่เจ้าอื่นเอายอดอย่างอื่นมารวมด้วย ของเราค้าปลีก 100 เปอร์เซ็นต์ และก็เป็นคอมพิวเตอร์อย่างเดียว ไม่ได้มีอย่างอื่น อย่างอื่นน้อยมาก แต่เจ้าอื่นๆ จะมีทางอย่างอื่นๆ แบบ apple จะมารวมยอด แต่ของเราเฉพาะ PC เลย ที่ใช้ windows เพราะถ้านับเฉพาะคอมพิวเตอร์ เราเชื่อว่าเรายอดเยอะสุด
• รูปแบบกิจการในปัจจุบันนี้ เป็นยังไงบ้างครับ
ปัจจุบัน เรามีประมาณ 119 สาขา แต่การเปิดสาขาในเดี๋ยวนี้มันค่อนข้างรอบตัว เพราะ ค่าเช่ามันสูง และ เปิดในทำเลที่ตั้ง ที่มันโอเคจริงๆ แต่เปิดมั้ยก็ยังเปิดอยู่ ตอนนี้มี 45 จังหวัด ยอดขายก็อย่างที่บอก แต่อีกตัวที่นำเสนอคือ ออนไลน์ j.i.b. ออนไลน์ ขายบนเว็บ ตอนนี้เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ รายได้แต่ละเดือนก็อยู่ที่ ประมาณ 30 ล้านบาท มันอาจจะดูไม่เยอะ เมื่อเทียบกับเจ้าอื่นๆ แต่ว่าเราเป็นเฉพาะด้านไอที เราอยากทำด้านนี้ ให้เป็นที่ 1 ด้านออนไลน์ ในฝั่งของคอมพิวเตอร์ ซึ่งมันจะมีความยากกว่าตรงที่ว่า คนที่ขายต้องมีความรู้ บางทีลูกค้าที่เลือกซื้อเนี่ย จะเอาสเปคยังไง แรมเท่าไหร่ ความเร็วเท่าไหร่ ก็ต้องให้พนักงานขายมีความรู้กับลูกค้า ถึงแม้ว่าเป็นออนไลน์ก็จริง แต่ของเรา หลังจากลูกค้าซื้อแล้ว จะให้พนักงานขาย โทรไปหาลูกค้าทุกกรณี เพื่อตกลงว่า ลูกค้าซื้อสินค้าแบบไหน เพราะบางทีลูกค้าอาจจะซื้อผิดบ้าง เราก็จะมีการคุยกันเบื้องต้นก่อนว่า โอเคอย่างงี้นะ บางทีลูกค้าซื้อเครื่องประกอบ แต่บางทีมันก็ใส่ด้วยกันไม่ได้ เจ้าหน้าที่ก็ให้คำปรึกษาก่อน เช่น โน้ตบุ๊ค ซื้อไปไม่มีวินโดว์ ก็ต้องแจ้งว่าไม่มี จะซื้อเพิ่มมั้ย หรือ ทำเองได้หรือเปล่า ประมาณนี้ พอลูกค้าซื้อแล้ว เราก็จัดส่งไปให้ ซึ่งในกรุงเทพ เราทำได้ ภายใน 6 ชั่วโมง ซึ่งในเวลาดังกล่าว เราจะส่งให้ได้ทั้งหมดต่อกรณี คือ ภายในวันนั้น ถ้าปริมณฑล จะเป็นวันถัดไปส่งถึง เราเน้นส่งถึง ส่งไว เราเน้นถึงจุดแข็ง ออนไลน์ และการชำระเงินได้ทุกรูปแบบ ใช้บัตรเครดิต COD หรือ จ่ายเงินหน้าบ้าน หรือ รูดบัตรหน้าบ้าน เฉพาะในเขต กทม. หรือโอนเงินตามเคาท์เตอร์ ซึ่งเป็นสเต็ปบายสเต็ปเลย
• จากที่เราสู้มาตลอด ได้แนวคิดมากมาย อยากจะให้คุณยกมาซักอย่างนึงที่ทำให้เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ได้
ผมว่าเรื่องที่สำคัญที่สุด คือเรื่องแรงบันดาลใจ ถ้ามีสิ่งนี้ มันจะมีอย่างอื่นตามมา สำหรับผมหลักเลยคืออยากให้แม่สบาย ตอนเด็กๆ เราเห็นทำงานแล้วร้องไห้ เพราะสงสาร ทำงานเหมือนผู้ชาย เราก็เริ่มคิดแล้ว จนทำให้ทุกอย่างตามมา เพราะทุกอย่างที่เราทำ เราทำเพื่อเขา พอเราเหนื่อยหรือท้อ เราก็จะคิดถึงเขาตลอดเวลา เราต้องทำให้เค้านะ ผมว่ามันสำคัญมาก มันทำให้เราสู้เพื่อใครคนหนึ่งได้ ที่เหลือก็หลักการทำงานทั่วไป ทั้งเรื่องการวางแผน แล้วก็ไม่ต้องไปคิดใหญ่โต ให้ทำแบบทีละนิดละน้อย บางคนบอกว่าเร็ว แต่จริงๆ 14 ปี มันนานมากนะสำหรับผม เราถือว่าเป็นร้านสุดท้ายที่เป็นร้านใหญ่ หลังจากผมก็ไม่เห็นใครเลย เพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ Margin ต่ำ ต้องบริหารให้ดีและดีมากๆ ถึงจะมีกำไร
ฉะนั้น จะทำให้รวยมันยาก ยกเว้นที่จะเป็นรายใหญ่จริงๆ หลายปีที่ผ่านมาเราเน้นเรื่องบริการ ถึงแม้จะไม่ได้ดีที่สุดที่ต้องการแต่เราเชื่อว่า เราดีในแง่มุมบริการ เราอยากจะให้เราเป็นเด่นในเรื่องลูกค้า ถ้าอยากจะซื้อของเราก่อน แต่จริงๆ เราก็อยากทำอย่างอื่น เช่นมือถือ เมื่อ 2-3 ปีก่อนก็อยากจะเปิดสาขามือถือให้ได้ 20-30 สาขาเหมือนกันนะ แต่พอทำไป 2-3 สาขา ก็จอด เพราะรู้แล้วว่าไม่ไหว มันไม่ใช่ทาง ไม่ถนัด แล้วมีเจ้าใหญ่อยู่แล้ว แบบ รุ่นนี้ขายดี เจ้าใหญ่เอาไปหมด จะตกมาที่เรา 10 กว่าตัว จะไปขายยังไง ได้ 10 ตัว วันเดียวหมดมันดูแล้วไม่ใช่ หรืออย่างสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เรามีวางบางมุม บางร้าน ที่ไม่มีคู่แข่งมากนัก แล้วเรามาทำในสิ่งที่เราถนัด คือ คอมพิวเตอร์ ฉะนั้น ถ้าเรามีร้านที่ดีทุกอย่าง เราก็พยายามทำเรื่องบริการให้ดีขึ้นเรื่อยๆ มีตัววัดที่ว่ามันดีขึ้น เหมือนกับเราปิดช่องคนอื่นไปด้วยอัตโนมัติ ใครจะมาทำก็เหนื่อยหน่อย ผมว่าความเขี้ยวในธุรกิจ เราไม่ได้ปิดนะ แต่เหมือนกับเราต้องพัฒนายิ่งๆ ขึ้นไปให้มันดีขึ้น
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ศิวกร เสนสอน