หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง จังหวัดภูเก็ต เป็นสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาคุณ มีผู้คนเคารพนับถือไม่แต่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังแพร่ไปถึงมาเลเซียและปีนังด้วย ทั้งนี้ความเลื่อมใสศรัทธาท่านก็เนื่องมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ๒๔๑๙
ในยุคนั้นมีการทำเหมืองแร่ดีบุกกันมากทางภาคใต้ของไทยและมลายู มีการขนแรงงานจากเมืองจีนมามาก บางเหมืองใช้แรงงานเป็นพันคน ซึ่งยากต่อการควบคุม จึงเกิดอั้งยี่ขึ้นควบคุมกุลีเหมือง ฝ่ายทางราชการก็เห็นเป็นเรื่องดีที่มีคนมาช่วยควบคุมกุลี ซึ่งยากจะสื่อสารกันทางภาษา
ใน พ.ศ. ๒๔๑๙ เกิดราคาดีบุกตกต่ำยับเยิน บรรดาเหมืองไม่มีเงินมาจ่ายค่าแรงกรรมกรตอนตรุษจีน เหมืองในจังหวัดระนองเกิดโต้เถียงกันจนถึงขั้นวิวาท พวกกรรมกรรุมฆ่านายเหมืองตาย เมื่อกลัวความผิดเลยพากันหนีโดยมีอาวุธไปพร้อม พอเจอด่านก็ต่อสู้ฆ่าฟันเจ้าหน้าที่ด่านไปอีกหลายคน กรรมกรเหมืองราว ๕๐๐-๖๐๐ คน อาละวาดไล่ฆ่าฟันผู้คนและเผาบ้านเรือนไปทั่วเมืองระนอง
อีกพวกหนีทางเรือไปภูเก็ต เข้าพึ่งกรรมกรเหมืองที่นั่นซึ่งมีจำนวนหลายหมื่นคน ซึ่งล้วนแต่หัวอกเดียวกันที่ไม่ได้รับเงิน ทั้งยังมีความขุ่นเคืองทางการที่เข้าใจว่าลำเอียงเข้าข้างนายเหมือง เมื่อพวกกรรมกรจากระนองเล่าว่าเกือบจะยึดเมืองระนองได้แล้ว แต่มีอาวุธยุทธภัณฑ์ไม่พอจึงต้องหนีมา พวกหัวโจกจึงชักชวนให้รวมตัวกันตีเมืองภูเก็ตบ้าง ว่าแล้วก็กระจายกันปล้นเผาบ้านเรือนจลาจลไปทั่วเมือง ชาวบ้านต่างพากันหลบหนีเข้าป่า หลายรายหนีไปหลบในวัดฉลอง แต่พอได้ข่าวว่าพวกอั้งยี่กำลังมุ่งมาทางนั้นจึงพากันเข้านมัสการ “พ่อท่านแช่ม” ให้หนีไปด้วยกัน แต่หลวงพ่อแช่มบอกว่า
“ข้าอยู่วัดนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จนอายุถึงป่านนี้แล้ว ทั้งยังเป็นสมภารเจ้าอยู่ด้วย จะทิ้งวัดไปเสียอย่างใดได้ พวกสูจะหนีก็หนีเถิด แต่ข้าไม่ไปละ ถ้าจะต้องตายก็จะตายอยู่ในวัด อย่าเป็นห่วงข้าเลย”
เมื่อหลวงพ่อไม่ยอมหนี ชาวบ้านก็ไม่ยอมทิ้งท่าน จะอยู่ร่วมเป็นร่วมตายด้วย แต่ขออะไรไว้พอคุ้มตัวสักอย่าง หลวงพ่อจึงเอาผ้าขาวมาลงยันต์เป็นผ้าประเจียด ฉีกแจกชาวบ้านให้เอาไปโพกหัวคนละผืน พอมีกำลังใจชาวบ้านก็ออกไปชักชวนพวกที่หลบอยู่ใกล้วัดให้หาอาวุธที่พอจะหาได้มารวมตัวกันที่วัดฉลอง
ชาวบ้านเตรียมการซักซ้อมอยู่ ๒ วัน อั้งยี่ผยองก็ไล่ฆ่าฟันผู้คนมาถึงวัดฉลอง ลูกศิษย์หลวงพ่อแช่มแอบอยู่หลังกำแพงวัด พออั้งยี่เข้ามาในระยะปืนก็โผล่ออกมาระดมยิง ทำเอาอั้งยี่หงายท้องล้มตายเป็นอันมาก ต้องล่าถอยไป
อั้งยี่พากันโกรธแค้น “ไอ้พวกหัวขาว” ที่ทำให้พวกตนพ่ายแพ้อับอาย จึงระดมพลเพื่อมาแก้แค้น ส่วนชาวบ้านที่หลบอยู่ในป่าพอรู้ว่าพวกวัดฉลองตีอั้งยี่แตกพ่าย ก็มีกำลังใจออกมาสมทบด้วย หลวงพ่อแช่มบอกกับพวกที่มาชุมนุมอยู่ในวัดว่า
“ข้าเป็นพระสงฆ์ จะรบราฆ่าฟันใครไม่ได้ สูจะสู้รบก็คิดอ่านกันเองเถิด ข้าจะทำเครื่องคุณพระไว้ให้ป้องกันตัวเท่านั้น”
ศึกแก้แค้นครั้งใหม่นี้อั้งยี่ยกมาเป็นกองทัพ มีการถือริ้วธงและตีกลองเป็นสัญญาณข่มขวัญ แต่ศิษย์หลวงพ่อแช่มก็ฮึกเหิมด้วยผ้าประเจียดที่โพกหัว ทั้งยังมีพรรคพวกมารวมกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง จึงตั้งรับอยู่ในวัดโดยไม่หวั่นไหว พวกอั้งยี่ใช้กำลังที่มากกว่าเข้าล้อมระดมยิง ทั้งพุ่งหลาว ขว้างอีโต้เข้าใส่เป็นห่าฝน แต่น่าอัศจรรย์ที่ “พวกหัวขาว” ไม่มีใครได้รับอันตราย กลับสอยอั้งยี่ที่บุกเข้ามาหงายท้อง
อั้งยี่ล้อมอยู่จนเที่ยงก็บุกเข้าวัดฉลองไม่ได้ เกิดความหิวจึงวางอาวุธหันไปหุงข้าวต้มเพิ่มกำลัง ลูกศิษย์หลวงพ่อแช่มเห็นได้โอกาสเหมาะตอนอั้งยี่พุ้ยข้าวต้ม พากันออกนอกกำแพงเข้าจู่โจมตะลุมบอนอั้งยี่ จนต้องทิ้งตะเกียบและชามข้าวต้มวิ่งหนีตาย ทิ้งศพพวกไว้กลาดเกลื่อน
เมื่ออั้งยี่ก่อจลาจลอยู่ได้ไม่นาน ทางราชการก็ส่งทหารมาปราบจนราบคาบ คณะกรรมการเมืองภูเก็ตทำรายงานกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงถวายสมณศักดิ์หลวงพ่อแช่มขึ้นเป็น พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต และพระราชทานนามวัดฉลองเป็นวัดชัยธาราราม ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
วีรกรรมของบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อแช่มครั้งนี้เป็นที่เลื่องลือ ศรัทธาบารมีในหลวงพ่อแช่มจึงขจรขจายไปทั่ว เมื่อมีความเดือดร้อนใดๆ มักจะบนบานให้ท่านช่วย
ครั้งหนึ่งชาวประมง ๔-๕ คนออกเรือไปหาปลา ขณะที่อยู่กลางทะเลลึกก็เกิดพายุกระหน่ำจนเรือไม่อาจต้านทานได้ ทำท่าว่าจะไม่รอด ทุกคนต่างตกอยู่ในความกลัว จึงยกมือบนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย แต่พายุก็ไม่เบาลง ลูกเรือคนหนึ่งนึกถึงหลวงพ่อแช่มขึ้นได้ จึงพนมมืออธิษฐานให้ท่านช่วย และหลุดปากตอนเสียขวัญออกไปว่า ถ้ารอดตายกลับไปจะเอาทองไปปิดท่าน บัดดลพายุก็สงบลงทันที เมื่อความกลัวตายหมดไป ชาวประมงผู้นั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ไม่ใช่พระพุทธ จะเอาทองไปปิดท่านได้อย่างไร แต่ไหนๆก็ได้บนไปแล้ว หากไม่แก้บนจะเกิดผลร้าย จึงนำทองไปขอปิดท่าน
“ข้าไม่ใช่พระพุทธรูป จะมาทำนอกรีตปิดทองคนเป็นๆอย่างนี้ได้ยังไง” หลวงพ่อว่า
ชาวประมงก็อ้อนวอนขอให้ได้ทำตามที่ได้บนไว้ มิฉะนั้นจะเป็นผลร้ายแก่ตัว หลวงพ่อแช่มเห็นว่าถ้าไม่ให้เขาปิดตามที่บนไว้ ก็เกรงจะเป็นผลร้ายแก่คนที่ศรัทธาท่าน จึงยื่นขาให้ปิดที่หน้าแข้ง เรื่องนี้เลยเลื่องลือระบือกันไป ใครเจ็บไข้ได้ป่วยหรือมีเภทภัย ก็จะบนบานปิดทองหลวงพ่อแช่มกันทั้งนั้น
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมัยเมื่อเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ลงไปตรวจราชการที่มณฑลภูเก็ตเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๑ ก็ได้เขียนเล่าไว้ว่า
“เวลาฉันพักอยู่ที่เมืองภูเก็ต พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ เป็นที่สังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต อยู่ ณ วัดฉลองมาหา พอฉันแลเห็นก็เกิดพิศวง ด้วยที่หน้าแข้งของท่านมีรอยปิดทองคำเปลวเป็นแผ่นเล็กๆ ระกะไปหมด ราวกับพระพุทธรูปหรือเทวรูปโบราณที่คนบนบาน เมื่อพูดจาปราศรัยดูก็เป็นผู้มีกิริยาอัชฌาสัยเรียบร้อยอย่างผู้หลักผู้ใหญ่ เวลานั้นดูเหมือนจะอายุได้สัก ๖๐ ปี ฉันถามท่านว่า เหตุไฉนจึงปิดทองที่หน้าแข้ง ท่านตอบว่า เมื่ออาตมาภาพเข้ามาถึงในเมือง พวกชาวตลาดเขาขอปิด ฉันได้ฟังอย่างนั้นก็เกิดอยากรู้ว่าเหตุใดคนจึงปิดทองท่านพระครูวัดฉลองจึงสืบถามเรื่องประวัติของท่าน ได้ความตามที่ท่านเล่าให้ฟังเองบ้าง ข้าราชการเมืองภูเก็ตที่เขารู้เห็นเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องประหลาด....”
ปิดทองที่หน้าแข้งหลวงพ่อแช่มก็นับว่าประหลาดอยู่แล้ว ยังมีคนอุตริทำวิตถารลามกขึ้นไปอีก
เล่ากันว่ามีเด็กสาวคนหนึ่ง ตามปกติก็พูดจาหยาบโลนอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งเกิดปวดท้องขึ้นมาอย่างรุนแรง กินยาเข้าไปหลายขนานก็ไม่หาย พอปวดหนักขึ้นมาจึงเอ่ยปากร้องขึ้นว่า ถ้าหายปวดจะเอาทองไปปิดที่ของลับหลวงพ่อวัดฉลอง พอหลุดปากออกมาอาการปวดก็หายไปจริงๆ แต่รายนี้พูดแล้วพูดเลยไม่ได้ถือเป็นเรื่องจริงจังอะไร จึงไม่ได้ทำตามที่พูดไว้
ต่อมาเด็กสาวคนนั้นก็เกิดปวดท้องมีอาการเหมือนเดิมอีก พ่อแม่สงสัยว่าลูกสาวไปบนบานอะไรไว้หรือเปล่าจึงป่วยเรื้อรังหาสาเหตุไม่ได้แบบนี้ ลูกสาวก็เล่าเรื่องที่หลุดปากไปตอนปวดท้องครั้งก่อน พ่อแม่ตกใจว่าปวดเพราะไม่แก้บนแน่ จึงรีบไปกราบหลวงพ่อแช่มเล่าเรื่องบนบานของลูกสาวให้ฟัง
“ลูกสาวแกมันลามกแบบนี้ ใครจะไปยอมให้มันแก้บนได้” หลวงพ่อว่า
พ่อแม่กลัวว่าลูกสาวจะต้องปวดท้องจนตาย จึงช่วยกันอ้อนวอนขอให้ลูกสาวได้แก้บน ในที่สุดหลวงพ่อผู้เปี่ยมด้วยเมตตาก็ไม่อาจขัดศรัทธาของผู้เลื่อมใสได้ แต่ก็ขอให้ใช้แค่วิธีอุบาย โดยหลวงพ่อเอาไม้เท้าที่ท่านถืออยู่เป็นประจำสอดเข้าไปใต้ที่นั่ง โผล่ปลายออกมาให้เด็กสาวลามกปิดทองแก้บน ซึ่งก็ได้ผลเหมือนของแท้ ปรากฏว่าเด็กสาวคนนั้นก็หายจากอาการปวดท้องทันที
แม้การบนปิดทองหลวงพ่อแช่มจะเป็นความศรัทธาที่แพร่หลาย และหลวงพ่อเองก็ต้องยอมให้คนที่เลื่อมใสศรัทธาท่านปิดทองแทนพระพุทธ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีรายใดที่วิตถารบนแบบเด็กสาวคนนั้นอีก