เมื่อวันก่อนเล่าเรื่อง “ผีเข้าเฝ้า ร.๖” ปรากฏว่า แฟนอ่านกันตรึม เลยนึกถึงเรื่องผีและวิญญาณในวังอีกเรื่องหนึ่งที่เล่ากันมา เป็นเรื่องผีที่ฮิตมากเรื่องหนึ่งในยุคก่อน
บรรดาปราสาทพระราชมณเฑียรที่สร้างมาพร้อมกับกรุงรัตนโกสินทร์นั้น นอกจากจะมีความใหญ่โตโอฬารแล้ว ยังมีความเก่าดูน่าวังเวง ทั้งยังไม่ค่อยมีผู้คน บรรยากาศจึงชวนให้นึกถึงเรื่องผีและวิญญาณ ชาววังฝ่ายหน้าฝ่ายในจึงมีเรื่องประเภทนี้เล่ากันมาก และเรื่องที่ซุบซิบกันมากกว่าทุกเรื่องก็คือ เรื่องพระวิญญาณ ร.๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีผู้อ้างว่าเห็นอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะพวกที่อยู่เวรยามในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่งชั้นบนเป็นที่เก็บพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี และเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปขนาดใหญ่ของรัชกาลต่างๆ ซึ่งเป็นสถานที่โอ่โถงรโหฐานและวังเวงมากแห่งหนึ่ง
ทุกคนที่อ้างว่าเห็นเล่าตรงกันว่า ทรงพระภูษาแดงลอยชายปราศจากฉลองพระองค์ แค่เห็นด้านหลังก็รู้ว่าเป็นองค์พระนั่งเกล้าฯ เพราะอ้วนใหญ่กว่าทุกรัชกาล คนที่อยู่เวรยามเห็นก็ไม่กล้าร้อง เพราะพระเจ้าอยู่หัวบรรทมอยู่ไม่ห่างไปนัก กลัวจะถูกเฆี่ยนหลังลาย ได้แต่ตัวสั่นงันงกรีบก้มกราบด้วยความกลัว
เรื่องหนึ่งเล่ากันว่า เหตุเกิดตอนกลางวันขณะที่พระอาทิตย์ยังไม่สิ้นแสง เวลาราว ๕ โมงเย็น พวกฝ่ายในได้เชิญเสด็จ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ หรือ “ทูลกระหม่อมเล็ก” ไปทรงเล่นตามประสาเด็กกับพระโอรสของเจ้านายต่างกรมอีก ๒-๓ พระองค์ที่มีชันษา ๕-๖ พรรษาไล่เลี่ยกัน ในห้องโถงชั้นล่างของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เพราะเป็นห้องที่โล่งไม่มีเครื่องตกแต่ง เพื่อให้เจ้านายพระองค์น้อยกระโดดเต้นกันได้สะดวก
ในขณะที่เจ้านายพระองค์น้อยกำลังทรงเล่นซ่อนหากันอยู่ โดยทูลกระหม่อมเล็กเป็นฝ่ายหา ก็ทรงร้องโวยวายขึ้นมาว่า
“ใครนี่...ใครที่อยู่ข้างนอกเข้ามานี่หน่อยซิ”
พวกมหาดเล็กก็วิ่งกันเข้าไปด้วยความแปลกใจ ทรงรับสั่งอย่างไม่พอพระทัยว่า
“พิลึกแท้ๆ ซุ่มซ่ามเข้ามาได้ยังไง...เร็วไปจับตัวมาให้ฉัน”
ทรงชี้พระหัตถ์ไปทางห้องมุขตะวันออกที่เป็นห้องรับรองแขกเมือง
“ใคร รูปร่างเป็นยังไงพระเจ้าข้า” มหาดเล็กคนหนึ่งทูลถาม
“อ้วนๆ ตัวใหญ่” ทรงยกพระหัตถ์ทำกิริยาประกอบ “แก่แล้ว นุ่งผ้าแดงแปร๊ดเลย เดินหายเข้าไปทางนี้แหละ”
มหาดเล็กได้ฟังก็สังหรณ์ใจกันแล้ว และ เมื่อเดินค้นหาก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ถามยามรักษาการณ์ทั้ง ๒ ด้านก็ว่าไม่เห็นใครผ่านเข้าไป แต่เมื่อทูลกระหม่อมเล็กทรงพระดำเนินไปถึงพระบรมรูปรัชกาลต่างๆ ทรงหยุดเพ่งพินิจพระบรมรูปรัชกาลที่ ๓ อยู่ชั่วครู่ ก็ทรงชี้พระหัตถ์ไปที่พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รับสั่งอย่างเด็กๆ ที่ยังไร้เดียงสาว่า
“นี่แหละ...นี่แหละ...อีตาคนนี้นี่แหละ”
เท่านั้นเอง เหล่ามหาดเล็กก็ขนลุกซู่ รีบอุ้มทูลกระหม่อมเล็กกลับไปส่งให้ฝ่ายในทันที
เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระพันปีหลวงทรงทราบ จึงทรงรำพึงว่า พวกเด็กๆไปวิ่งเล่นกันอึกทึกครึกโครมเป็นที่รบกวนพระราชหฤทัย หรือทรงระลึกถึงลูกๆหลานๆ จึงปรากฏพระองค์ให้เห็น ทรงจัดพวงมาลัยและธูปเทียนให้ข้าหลวงไปขอพระราชทานอภัยอย่างเงียบๆ โดยไม่แพร่งพรายให้เอิกเกริก พร้อมรับสั่งอย่างเฉียบขาดว่า
“หากอีคนไหนนำเรื่องนี้ไปพูด จะถูกเฆี่ยนหลังขาดเชียว”
เรื่องนี้จึงถูกปกปิดเป็นเรื่องลับ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีคนซุบซิบ นานๆเข้าก็ซุบซิบดังขึ้น จนกาลเวลาผ่านไปหลายปี จึงเป็นเรื่องที่เล่ากันอย่างเปิดเผยของทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน
นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับผีและวิญญาณ ถ้าจะพูดกันอย่างสำนวนทุกวันนี้ ก็ต้องบอกว่า “ไม่เชื่อ ก็อย่าลบหลู่ละกัน”