xs
xsm
sm
md
lg

เปิดตัวตน...“ปราง ศิรดา” แอดมิชชันอันดับหนึ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ทุกๆ อาชีพเป็นอาชีพที่มีเกียรติ แล้วก็เป็นอาชีพที่มีความจำเป็นต่อสังคมเพราะว่าทุกคนก็เป็นเหมือนกับเฟืองตัวเล็กๆ โดยเฟืองทุกตัวเหล่านี้มันก็จะประกอบกันแล้วก็ทำให้กลไกในสังคมทุกอย่างดำเนินไปข้างหน้าได้ ไม่ว่าจะเลือกอาชีพอะไร ทุกอาชีพมีส่วนช่วยสังคมหมด ดังนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร ถ้าเราชอบเราก็จะทำได้ดี พอเราทำได้ดีมันก็จะดีต่อตัวเรา ดีต่อสังคม”

นี่คือคำกล่าวของเด็กอายุ 18 ปีคนหนึ่งเมื่อเราเอ่ยปากถึงสิ่งที่เธอเลือกเรียน
 
หลังจากที่ผลคะแนนแอดมิชชันปี 2558 ถูกประกาศเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา รายชื่อน้องๆ ที่ผ่านการคัดเลือกด้วยคะแนนสูงเป็นอันดับต้นๆ ก็ถูกเปิดเผยขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือสาวน้อยหน้าตาน่ารักคนหนึ่งจากรั้วโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพฯ ที่สามารถทำคะแนนสอบได้อันดับหนึ่งของประเทศ และยังเป็นคะแนนสูงสุดของคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกด้วย

ปราง-ศิรดา ไตรตรึงษ์ทัศนา
คือบุคคลที่เรากำลังกล่าวถึง


นอกจากนี้แล้วโลกออนไลน์ยังได้กระหน่ำแชร์ภาพเลกเชอร์วิชาชีวะของเธออีกด้วย ซึ่งหลายคนดูแล้วก็ต้องทึ่งในความมีระเบียบ อ่านง่าย ที่สำคัญมีสีสันสวยงามสะดุดตายิ่งนัก

และการไปพบปะพูดคุยกับเธอครั้งนี้ นอกจากจะได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับความสามารถในการเรียนของเธอแล้ว ทว่ายังจะได้รู้จักตัวตน ความคิด ความอ่านในเรื่องต่างๆ ของเธออีกด้วยว่าแล้วเราไปทำความรู้จัก พูดคุยกับเฟืองตัวเล็กๆ เฟืองที่เป็นกลไกสำคัญและเป็นอนาคตของชาติคนนี้กันเลยดีกว่า


 ก่อนอื่นต้องย้อนถามถึงวินาทีที่รู้ว่าตัวเองสอบได้คะแนนแอดมิชชันปี 2558 อันดับหนึ่งของประเทศ แถมยังเป็นคะแนนสูงสุดของคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกด้วย ตรงนี้รู้สึกอย่างไรบ้างคะ

ปรางรู้สึกดีใจ จริงๆ ดีใจตั้งแต่ที่ติดแล้วนะคะเพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาที่รอคอยอย่างยาวนานมาก รอตั้งแต่สอบเสร็จตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้วเพิ่งมาประกาศผลเดือนมิถุนายน ตรงนี้ปรางแค่ติดก็ดีใจแล้วค่ะ (ยิ้ม)

• แล้วทำไมถึงเลือกแอดมิชชันคณะนิเทศศาสตร์คะ

ต้องบอกก่อนว่าปรางเรียนวิทย์-คณิตมานะคะ แต่ปรางคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องเรียนเนื้อหาต่อไปทางสายวิทย์ก็ได้ เพราะว่ามีเพื่อนปรางอีกหลายคนเลยที่ถึงจะเรียนวิทย์-คณิตแต่เขาก็ผันตัวไปเรียนสายศิลป์เหมือนกัน ปรางจะบอกว่าบางทีคนที่เลือกสายวิทย์-คณิตมาเป็นเพราะว่าอาจจะยังหาตัวเองไม่เจอและอีกอย่างหนึ่งคือเขาอยากเลือกทางที่ไปได้กว้างที่สุดไว้ก่อนอะไรทำนองนี้ค่ะ (ยิ้ม)

ปรางเป็นคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ชอบการทำสื่อในรูปแบบต่างๆ อยากที่จะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกไปให้คนดูผ่านสื่อที่มีรูปแบบที่น่าสนใจ แต่ตอนเรียนสายวิทย์-คณิตปรางก็รู้สึกว่าตัวเองชอบนะคะ ถึงให้ย้อนเวลากลับไปยังไงปรางเองก็ยังคงจะเลือกเรียนสายวิทย์อยู่ ปรางเป็นคนที่ชอบวิชาวิทยาศาสตร์เพราะวิทยาศาสตร์มันเป็นศาสตร์ที่บอกเราเกี่ยวกับความเป็นจริงของโลกใบนี้ มันเหมือนกับเอาความจริงมาเล่าสู่กันฟังว่าเบื้องหลังสิ่งที่เราเห็น เบื้องหลังสิ่งที่เรารู้ความจริงแล้วมันมีกลไกยังไงบ้าง มีข้อเท็จจริงยังไงบ้าง

• ตอนที่จะแอดมิชชันเรามุ่งหวังว่าต้องคณะนิเทศศาสตร์เท่านั้นหรือเปล่าคะ


ก่อนที่ปรางจะมาลงเอยที่คณะนิเทศศาสตร์ ปรางก็เคยคิดเหมือนกันว่าอยากจะเรียนหมอตามคุณพ่อ คุณแม่ดีไหม สุดท้ายก็มารู้สึกว่ามันไม่ใช่แนว ก็มองว่าอยากที่จะไปเรียนจิตวิทยาหรือไม่ก็เรียนเศรษฐศาสตร์ แต่พอได้ไป Open House ที่คณะแล้วมันมีรายละเอียดนิดหนึ่งที่ยังไม่ถูกใจเลยต้องกลับมาลงเอยที่คณะนิเทศศาสตร์แทน

จะว่าไปแล้วคณะนิเทศศาสตร์ไม่ได้เป็นความใฝ่ฝันของปรางมาตั้งแต่เด็กๆ นะคะเพราะตอนเด็กๆ ปรางยังไม่เคยคิดเลยว่าจะทำอะไร จะมีแค่ตอนประถมที่มีแว้บมาช่วงหนึ่งว่าเราไม่อยากเป็นหมอฟันเพราะคุณครูเอาภาพสไลด์ฟันที่น่ากลัวมากขึ้นบนจอ ตอนเด็กๆ เลยไม่อยากเป็นหมอฟันเพราะกลัว (หัวเราะ) พอโตขึ้นมาเริ่มรู้จักการ Open House ของมหาวิทยาลัยก็ลองไปดูเลยมีความคิดที่อยากเรียนเกี่ยวกับจิตวิทยา เศรษฐศาสตร์อะไรทำนองนี้ค่ะ แล้วถึงค่อยมาอยากจะเรียนนิเทศศาสตร์จริงจังก็น่าจะเป็นช่วงมัธยมปีที่ 5 ปีที่ 6 แล้วค่ะ

จริงๆ ปรางชอบเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาคนนะคะ แต่ปรางคิดว่าถ้าปรางจบไปแล้วงานที่ทำมันอาจจะไม่ถูกใจปรางขนาดนั้น ปรางอาจจะเครียดหรือเจอคนมาระบายให้เราฟังหรือเปล่าแต่มันก็สนุกที่จะได้เรียนรู้จิตใจคนอื่น ส่วนเศรษฐศาสตร์ปรางก็แอบไม่ชอบวิชาเลข เพราะวิชาเลขมันยิ่งเรียนยิ่งยาก ยิ่งเรียนยิ่งงง แต่ที่ปรางเลือกเรียนนิเทศศาสตร์ก็ไม่ได้ว่าจะหนีเลขนะคะเพราะปรางว่าเรียนคณะไหนเขาก็บังคับให้เรียนเลขอยู่ดี (หัวเราะ)

• สอบได้ที่หนึ่งทั้งของประเทศและคณะขนาดนี้ มีไปติวที่ไหนมาบ้างหรือเปล่า


มีเหมือนกันนะคะเพราะมันเป็นช่วงเวลามัธยมปลายก็จะมีไปเรียนกับเพื่อนเหมือนกับมันเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่ได้เรียนด้วยกัน สุดท้ายแล้วพอเรียน ดันเปลี่ยนเกณฑ์ซึ่งปรางก็ไม่ได้ใช้ (หัวเราะ)

• แล้วทางคุณพ่อ คุณแม่ว่าอย่างไรบ้างคะที่น้องปรางตัดสินใจเลือกคณะนี้


คุณพ่อ คุณแม่ไม่ได้ว่าอะไรนะคะเพราะเราผ่านการพูดคุยกันมาแล้วว่าเราจะเรียนคณะนี้ดีไหม พอได้พูดคุยกันมาเรื่อยๆ เราก็ได้ปรับความเข้าใจ ซึ่งสุดท้ายท่านก็ดีใจที่เราจะได้เรียนในสิ่งที่เราชอบ

ที่บ้านปรางจะไม่ได้เป๊ะมาก คุณพ่อ คุณแม่จะตั้งกรอบแบบกว้างมากๆ พอกรอบมันกว้างตัวเราเองด้วยซ้ำที่เป็นคนตั้งกรอบตัวเราเองให้มันแคบลงมาอีก เพื่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง คุณพ่อ คุณแม่ก็จะคอยชี้นำแล้วก็บอกว่าอะไรคือความถูกต้อง ซึ่งเราก็กำหนดเอาเองว่าฉันจะทำอะไรมากกว่าค่ะ

• ถ้าจะว่าไปแล้ว จริงๆ น้องปรางเป็นคนที่เรียนเก่งมาตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้วหรือเพราะว่าเราไปติวเลยทำให้แอดมิชชันติดคณะที่ตัวเองชอบ


ตอนเด็กๆ ปรางจะเน้นการอ่านหนังสือกับคุณพ่อ คุณแม่ ไม่ได้เรียนพิเศษเลยค่ะ แต่จะมีก็เมื่อตอนมัธยมปลายที่เพิ่งลองไปเรียนพิเศษดู

ตอนเด็กๆ คุณพ่อ คุณแม่ปรางจะปลูกฝังเรื่องความรับผิดชอบ ปลูกฝังให้รักการอ่าน คุณแม่จะอ่านหนังสือกับปรางมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน หนังสือนิทาน พอโตขึ้นมาปรางก็จะเป็นคนที่รักการอ่านมาก จะชอบอ่านวรรณกรรม อ่านนิยายอะไรแบบนี้ด้วย

คุณพ่อ คุณแม่จะปลูกฝังในเรื่องของการรับผิดชอบเหมือนกับเราต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของเราซึ่งก็คือการเรียน ขอให้เราทำเต็มที่ไม่ว่าคะแนนจะได้เท่าไหร่ก็ตามแต่ก็ขอทำให้เต็มที่ พอเหมือนกับว่าตอนเด็กๆ เราถูกคุณแม่ให้อ่านหนังสือก่อนสอบ ช่วยจัดตารางเวลาให้เราอ่านหนังสือ พอเราทำคะแนนได้ดีมันก็จะติดเป็นนิสัยว่าถ้าเราอ่านหนังสือคะแนนจะออกมาดีนะ (ยิ้ม) คุณแม่ก็จะเริ่มปล่อยให้เรารับผิดชอบด้วยตัวเองเราก็เลยติดนิสัยตรงนั้นมาจนโต

• เก่งแบบนี้ไม่ทราบว่าได้เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่คะ

ได้ 4.00 มาตลอดเลยค่ะ (ยิ้ม)

• เห็นว่านอกจากจะเรียนเก่งแล้วยังชื่นชอบศิลปะอีกด้วย ตรงนี้หลายคนคงได้เห็นจากเลกเชอร์ของน้องปรางไปแล้วด้วย

ตรงนี้ปรางไม่ได้สังเกตตัวเองเลยนะคะจนกระทั่งมาช่วงนี้แล้วได้มองย้อนกลับไปว่าศิลปะได้เข้ามาในชีวิตปรางตอนไหน เพราะภาพแรกๆ ที่ปรางเห็นในหัวตัวเองก็คือว่าตอนเด็กๆ จะมีวิชาศิลปะที่จะมีเด็กตัวเล็กๆ มารวมตัวกันแล้วก็วาดรูประบายสี พอตอนสอบปรางจำได้ว่าคุณแม่ซื้อสีชอล์กให้กล่องหนึ่งซึ่งปรางจำได้ว่าเวลาสอบตอนนั้นจะมี 50 นาที กระดาษที่ทำข้อสอบใหญ่มากแค่ไหนแต่เราก็ไม่หวั่น ซึ่งบางคนอาจจะวาดรูปด้วยดินสอแล้วก็ส่งแต่เราคือไม่เพราะจะเต็มที่มาก

ตอนเด็กๆ ปรางมีโอกาสได้ไปแข่งวาดรูปมาบ้าง มันเลยอาจจะเป็นความชอบที่ว่าตอนเด็กๆ เราทำได้ดีเราก็เลยชอบ แล้วก็เริ่มชอบมาจนถึงตอนนี้
จริงๆ ปรางไม่ได้มองตัวเองแบบชัดๆ ว่าตัวเองเก่งศิลปะ แค่รู้สึกว่าชอบ มันเป็นส่วนหนึ่ง โตขึ้นปรางก็มีโอกาสได้ร่วมชมรมถ่ายภาพบ้าง ชมรมวาดรูปลงบนผ้าแคนวาสบ้าง เป็นชมรมร่วมกับเพื่อนๆ ประมาณนี้ค่ะ

อย่างเลกเชอร์ปรางก็มีสีสัน การจัดวางองค์ประกอบ ตอนนั้นที่ทำปรางไม่ได้คิดถึงเรื่องการจำหรืองานศิลปะอะไรนะคะ คิดแต่ว่าอยากทำออกมาให้มันสวยงาม ทำให้เต็มที่เพราะส่วนตัวปรางจะเป็นคนทำอะไรก็จะทำให้มันเต็มที่อยู่แล้วยิ่งเลกเชอร์ชุดนี้ปรางก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าปรางทำ ปรางจะได้ใช้ไปอีก 3 ปี ถ้าเราทำให้มันเต็มที่ สวยงามเต็มที่ ตอนหลังมันก็จะน่าอ่านซึ่งมันก็จะอยู่กับเราไปอีกนาน

• เลกเชอร์แบบนี้มันช่วยในการจำมากขึ้นหรือเปล่าคะ

ปกติเวลาที่ปรางอ่านหนังสือหรือเตรียมตัวสอบไฟนอล สอบมิดเทอมปรางก็จะอ่าน พออ่านเสร็จปุ๊บก็จะมีการขีดเส้นใต้ ขีดไฮไลต์ประเด็นสำคัญๆ ไว้ ถ้าเกิดมีเวลาเหลือ ปรางก็จะดึงส่วนที่สำคัญ ดึงส่วนที่เป็นประเด็น คิดว่าอาจารย์น่าจะออกสอบหรือไม่ก็สิ่งที่เป็นคอนเซ็ปต์ของเรื่องนั้นๆ อาจจะเป็นสูตรวิชาฟิสิกส์ สูตรวิชาคณิตศาสตร์ ก็จะแยกเอามาเขียงในกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งพอจะเข้าห้องสอบเราก็สามารถเอามาอ่านทบทวนได้ นั่งในรถก็อ่านได้ ทั้งๆ ที่หนังสืออาจจะมีถึง 50 หน้าแต่เราสามารถเอามาย่ออ่านและเข้าใจได้ในเพียงหน้าเดียว (ยิ้ม)

ปรางว่าทำตรงนี้มันง่ายต่อการอ่านนะคะ มันทำให้เรารู้สึกอยากอ่านเพราะว่าถ้าเราทำออกมาแล้วมันดูธรรมดาๆ เราก็ไม่อยากอ่าน แน่นอนว่าไม่อ่านยังไงเราก็จำไม่ได้แต่พอทำแบบนี้ปุ๊บมันจะแบ่งองค์ประกอบทุกอย่างชัดเจนมากว่าอะไรเป็นอะไรทำให้พอเราดูมันก็เลยง่ายต่อการอ่าน อ่านง่าย แล้วเราก็เข้าใจมากยิ่งขึ้น

• เวลาเลกเชอร์เรามีหลักการเลือกโทนสีเองด้วยใช่ไหม

หลักการการเลือกสีของปรางจะเป็นประมาณว่า สมมติว่ามันมีวัตถุนี้ชื่อแบบนี้แล้วรู้สึกว่าพอพูดคำนี้เรานึกถึงสีอะไรปรางก็จะใช้สีนั้นเพราะมันเป็นเหมือนความรู้สึกของเรา อย่างเช่น ถ้าปรางพูดคำว่าคณิตศาสตร์สำหรับปรางมันคือสีเขียว ถ้าพูดว่าสังคมมันคือสีเหลือง แต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน อีกอย่างถ้าอะไรมันอยู่ข้างๆ กันแล้วคู่สีตรงนี้มันสวยปรางก็จะเลือกตรงนั้นเพื่อความสวยงามด้วย

• เพราะชอบศิลปะ ชอบอะไรที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ ตรงนี้เลยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ด้วยหรือเปล่าคะ

ใช่ค่ะ (ยิ้ม) ปรางว่าศิลปะมันคือความรู้สึกในหัวใจนะคะ มันเป็นอะไรที่อธิบายไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่สิ่งสวยงาม มันอาจจะมีความเจ็บปวดหรืออะไรที่มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก แต่นอกจากที่เราจะเรียนวิชาศิลปะแล้ว เราก็ได้เรียนวิชาอื่นที่เป็นศิลปะด้วยอย่างเช่นการจดในห้องเรียน ซึ่งเราก็จะมีการออกแบบตัวอักษรว่าจะวางองค์ประกอบยังไง มันค่อยๆ มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราโดยที่เราไม่ได้สังเกตว่าสิ่งที่ทำอยู่มันคือศิลปะแต่มันกับอยู่ในชีวิตเราไปแล้ว

ส่วนตัวแล้วปรางชอบนิเทศศาสตร์ ปรางชอบสื่อ อีกอย่างมันเป็นเรื่องของการสร้างความสุข สร้างแนวความคิด แง่คิดดีๆ ให้กับคนอื่นผ่านความคิดสร้างสรรค์ได้

 น้องปรางทำอะไรก็จะทำให้เต็มที่และดูเหมือนว่าทำอะไรก็จะเก่งไปเสียหมด ทั้งเรื่องเรียน เรื่องที่ชื่นชอบอย่างศิลปะ ตรงนี้มีเคล็ดลับอะไรบ้างไหมคะ

ปรางมองว่าความเก่งมันมีหลายเรื่อง หลากหลายรูปแบบนะคะ ถ้าเกิดว่าพูดถึงเรื่องเรียนว่าทำยังไงให้คะแนนออกมาดีตรงนี้ส่วนหนึ่งปรางคิดว่าเราต้องมีความรับผิดชอบและต้องทำให้เต็มที่ ถ้าเราทำอย่างเต็มที่ ตั้งใจสอบอย่างเต็มที่ ปรางว่าคะแนนที่ออกมามันก็ต้องเป็นคะแนนที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ มันไม่มีเวอร์ชันที่ดีกว่านั้นอีกแล้วซึ่งพอเรามองย้อนกลับไปเราก็ไม่รู้สึกเสียใจว่าเอ๊ะทำไมฉันถึงทำมันไม่เต็มที่ แต่กลับกับถ้าเราทำเต็มที่แล้วไม่ว่าคะแนนออกมาเท่าไหร่เราก็จะรู้สึกภาคภูมิใจกับคะแนนตรงนั้นด้วย

ส่วนเรื่องอื่นๆ ปรางคิดว่ามันเป็นเรื่องที่คุณพ่อ คุณแม่ที่ท่านช่วยเลี้ยงดูปรางมาอย่างดีตั้งแต่เด็กๆ ตอนที่ปรางยังไม่สามารถเลือกนู่นเลือกนี่ได้ คุณพ่อ คุณแม่ก็จะเป็นคนเลือกสรรสิ่งดีๆ ให้กับเรา (ยิ้ม)

• แล้วแบบนี้มองว่าคนเก่งต้องมีคุณสมบัติแบบไหนคะ

ปรางมองว่าคนเก่งมีหลายรูปแบบ บางคนเก่งวาดรูป บางคนเก่งร้องเพลง บางคนเก่งกีฬา ปรางว่าเลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบและทำมันให้ดีที่สุดมันก็จะทำให้เรากลายเป็นคนเก่งขึ้นมาค่ะ หลายๆ อย่างมันเป็นความชอบ ส่วนความเก่งมันมาจากคนอื่นมอง คนอื่นนิยามว่าเราเก่งแต่แท้จริงแล้วมันคือสิ่งที่เราชอบ พอทำไปทำมาเราเลยสามารถทำมันได้ดี

• ถ้ามีคนถามว่าเราเป็นถึงลูกคุณหมอ ทำไมถึงไม่เป็นหมอตรงนี้จะตอบเขาไปว่าอย่างไรคะ

ปรางคิดว่าเป็นลูกหมอก็ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอเพราะว่าจริงๆ หลายๆ คนที่เป็นเพื่อนคุณพ่อคุณแม่ซึ่งเขาก็มีลูกที่ไม่ได้เป็นหมอเหมือนกัน เพราะแต่ละคนจะมีสไตล์มีความชอบของตัวเอง เพราะเราต้องอยู่กับอาชีพที่เราเลือกไปอีกหลายสิบปี ก็อยากจะให้เลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบมากกว่า

ปรางคิดว่าทุกๆ อาชีพเป็นอาชีพที่มีเกียรติแล้วก็เป็นอาชีพที่มีความจำเป็นต่อสังคมเพราะว่าทุกคนก็เป็นเหมือนกับเฟืองตัวเล็กๆ โดยเฟืองทุกตัวเหล่านี้มันก็จะประกอบกันแล้วก็ทำให้กลไกในสังคมทุกอย่างดำเนินไปข้างหน้าได้ ไม่ว่าจะเลือกอาชีพอะไรทุกอาชีพมีส่วนช่วยสังคมหมด ดังนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไรถ้าเราชอบเราก็จะทำได้ดี พอเราทำได้ดีมันก็จะดีต่อตัวเรา ดีต่อสังคม อย่างทางด้านสายนิเทศศาสตร์ก็เป็นตัวหนึ่งเช่นกันที่จะช่วยชักจูงผู้คนให้เดินทางไปในทางที่ดี (ยิ้ม)

• เห็นว่าจะเลือกเรียนในสาขาภาพยนตร์-โฆษณาด้วย

ใช่ค่ะ (ยิ้ม) ในเรื่องของภาพยนตร์ปรางรู้สึกทึ่งที่เหมือนกับว่าเขาสามารถเอาเรื่องราวมาถ่ายทอด ซึ่งบางเรื่องเราดูจบแล้วเราได้แรงบันดาลใจ เราได้แรงฮึดขึ้นมาอาจจะมีอารมณ์ร่วมที่รุนแรงมากขึ้น ปรางรู้สึกทึ่งอีกว่าจริงๆ มันก็เป็นเรื่องราวธรรมดาที่เป็นจินตนาการของคนๆ หนึ่งแต่มันสามารถเอามาถ่ายทอดในรูปแบบที่น่าสนใจมากๆ (เสียงสูง) จนคนดูรู้สึกประทับใจได้ว่าเขาทำได้อย่างไร อีกอย่างในเรื่องของมุมกล้อง เรื่องของเสียง เอฟเฟกต์ การตัดต่อมันเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง

ส่วนในเรื่องของสาขาโฆษณา ปรางรู้สึกประทับใจที่ครีเอทีฟเขาสามารถเอาเรื่องราวมาทำเพียงเวลาสั้นๆ เพียงนาทีกว่าๆ ก็สามารถทำให้คนดูเข้าใจและสามารถจดจำได้ บางโฆษณาคนสามารถเอาไปพูดหยอกล้อ จำสโลแกนแล้วพูดติดปากกันทั้งวันทั้งคืน จำกันเป็นปีๆ ได้ยังไงซึ่งมันเป็นแค่นาทีครึ่งเอง มันรวบรัด กระชับ กะทัดรัด และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์

• อยากเรียนสาขาภาพยนตร์แล้วชอบดูภาพยนตร์บ้างไหมคะ แล้วชอบเรื่องไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า

ปรางรู้สึกว่าภาพยนตร์ที่ชอบของคนเราก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ประมาณว่าดูเรื่องใหม่เรื่องเก่าก็จะลืมชื่อไปบ้าง แต่เรื่องที่ชอบอาจจะเป็นเฉพาะตอนนี้ก็จะมีภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่อง The Avengers ภาค 1 ค่ะ ปรางรู้สึกประทับใจเรื่องนี้มากๆ เพราะว่าโครงการตรงนี้ของมาร์เวลมากเพราะว่ามาร์เวลเขาค่อยๆ มีการบิ้วอัพตัวละครมาอย่างดี ซึ่งใน Avenger เขามีตัวละครหลากหลายมากซึ่งเวลาสองชั่วโมงมันไม่สามารถทำให้คาแรกเตอร์ต่างๆ มีความแข็งแรงขนาดนั้น เขาก็เลยมีการปูเรื่องว่าจะต้องมีหนังย่อยนะ หนังย่อยจะต้องมาช่วยส่งเสริมและทำให้คาแรกเตอร์ของตัวละครแต่ละตัวเป็นที่ชื่นชอบและจดจำ ซึ่งพอนำมารวมกันแต่ละตัวเขาก็จะไม่มีตัวไหนเด่นกว่าตัวใดตัวหนึ่ง ทุกตัวมีความสำคัญ มีหน้าที่ของตัวเอง

อีกอย่างในเรื่องของเอฟเฟกต์ มุมกล้อง แนวความคิดต่างๆ มันสนุกสนานและก็น่าประทับใจค่ะ (ยิ้ม)

• เหมือนเราจะเป็นคนที่ดูภาพยนตร์และเก็บรายละเอียดทุกอย่างหมดเลย

ใช่ค่ะปรางจะชอบดูและเก็บรายละเอียดหลายๆ อย่าง แรกๆ ก็ยอมรับว่าดูเพราะความบันเทิงเหมือนกันนะคะ แต่ว่าหลังๆ พอมาดูก็เริ่มรู้สึกมันมีอะไรที่น่าค้นหาที่ไม่ได้จะเน้นดูเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว

ส่วนตัวปรางชอบหนังทุกแนวเลยเลยนะคะ เว้นก็แต่หนังผีที่จะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะดูแล้วชอบฝันร้าย (หัวเราะ)

• มีเป้าหมายหรืออะไรในอนาคตต่อไปบ้างไหมคะ

ปรางอยากให้อนาคตของปรางเป็นเหมือนกับการผจญภัย ชีวิตปรางตอนนี้มันก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัย ได้เรียนสาขานิเทศศาสตร์ที่ซึ่งคนรอบๆ ตัวปรางก็ไม่มีใครรู้จัก มันเป็นเส้นทางที่ลึกลับซับซ้อน มันเป็นเส้นทางที่เหมือนกับเราจะต้องร่วมผจญภัยไปด้วยกัน พอปรางเริ่มการผจญภัยแรกต่อมามันก็ต้องมีการผจญภัยที่สองว่าปรางเรียนจบแล้วปรางอย่างทำอาชีพอะไร ซึ่งปรางมองว่าอาชีพมันอาจจะไม่ได้ตายตัวซึ่งการเรียนนิเทศศาสตร์มันอาจจะไม่ได้ทำอาชีพเดียวไปตลอดชีวิต เราอาจจะได้เป็นผู้กำกับ แล้วเปลี่ยนมาขายกาแฟ ไปๆ มาๆ ไปสอนโยคะก็ได้ มันก็คงจะเป็นการผจญภัยที่สนุกดีเหมือนกัน (ยิ้ม)

• อยากฝากคำแนะนำถึงน้องรุ่นต่อๆ ไปที่เขาต้องผ่านการแอดมิชชันว่าอย่างไรบ้าง

ปรางอยากให้น้องๆ ค้นหาตัวเองให้ได้แล้วไม่ว่าน้องๆ จะอยู่ชั้นมัธยมไหน ซึ่งมัธยมปีที่ 6 ก็ทำได้ อย่างบางคนเขามีการตัดสินใจที่แน่วแน่แต่พอสุดท้ายพอถึงเวลาที่ต้องเลือกมันมีการเปลี่ยนใจ มันไม่มีอะไรแน่นอนจนกระทั่งถึงทางแยกที่เราจะต้องเริ่มเดินออกไป มันสามารถเปลี่ยนใจได้ตลอดเวลา มันไม่มีคำว่าสายเกินไป น้องคนหนึ่งอาจจะเตรียมตัวมาเพื่อคณะหนึ่งแต่เพิ่งมาค้นพบว่าตัวเองชอบอีกคณะหนึ่งแต่ไม่กล้าเปลี่ยนใจ เพราะกลัวว่าสิ่งที่เตรียมมาจะเสียไปเปล่าๆ และจะเตรียมตัวเพื่อสิ่งที่เลือกใหม่ทันไหม คือปรางคิดว่ามันไม่มีอะไรสายเกินไปสำหรับคนที่พยายาม ความที่เรารัก ความที่เราชอบจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้เราไปถึงจุดนั้นได้

น้องๆ ที่อาจจะอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 6 แล้วใกล้เข้ามหาวิทยาลัย ปรางจะบอกว่าให้เริ่มอ่านหนังสือได้แล้ว ช่วยๆ กันเรียน แล้วก็ลองดูเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยว่าเกณฑ์ประมาณไหน ดูว่าต้องได้คะแนนเท่าไหร่ ต้องสอบวิชาอะไรบ้าง ซึ่งเราไม่ต้องเตรียมตัวไปเป็นสิบวิชาเพราะบางอย่างใช้แค่ไม่กี่วิชาเอง แล้วก็ดูมหาวิทยาลัยไหนที่เราชอบ ไม่ได้ดูตรงชื่อเสียง ให้ดูที่การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยที่เข้ากับตัวเรามากที่สุด

มีอีกอย่างหนึ่งปรางอยากให้น้องๆ ถนอมเวลากับเพื่อนๆ ไว้เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้แล้ว ถ่ายรูปเก็บไว้เยอะๆ นะคะ ที่สำคัญอย่าลืมคุยกับคุณพ่อ คุณแม่อาจจะคุยเรื่องอื่นก็ได้ ส่วนเรื่องเรียนก็สำคัญที่เราต้องปรับความเข้าใจกันไว้ ไม่ใช่ว่าจู่ๆ วันหนึ่งน้องไปหักมุมเลย น้องต้องค่อยๆ พูดกับท่านให้ท่านเข้าใจ

• ท้ายนี้ในฐานะที่เลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ เราคิดอย่างไรกับสื่อในประเทศไทยบ้างคะ

ปรางคิดว่าสื่อในสมัยนี้ค่อนข้างปรับปรุงแล้วนะคะ มันจะมียุคหนึ่งที่ทุกคนออกมาโวยวายสื่อบันเทิง อย่างเช่น งานละครว่าน้ำเน่า เอะอะก็ตบ แต่ว่าสมัยนี้ปรางว่ามันค่อนข้างที่จะพัฒนาขึ้นแล้ว อย่างละครบางเรื่องมีเศรษฐกิจพอเพียง มีธรรมะเข้ามาสอดแทรก ตอนนี้ปรางมองว่าสื่อไทยค่อนข้างมาถูกทางแล้วนะคะ ถึงแม้บางครั้งอาจจะมีดราม่ามาผสมบ้างเพราะว่าคนไทยบางส่วนอาจจะยังเสพติดดราม่าอยู่ แต่นอกเหนือจากนั้นมันยังมีคำสอนดีๆ มันกำลังค่อยๆ เข้ามาในละครมากขึ้นเรื่อยๆ

ปรางว่าสื่อมีทั้งจุดดี จุดด้อย อย่างจุดดีสื่อสามารถสร้างแรงบันดาลใจ สร้างอะไรดีๆ ให้กับเราได้ เพราะแน่นอนว่าสื่อไทยมันต้องอยู่ใกล้ชิดกับคนไทยมากกว่าสื่อต่างประเทศอยู่แล้ว พอมีการสอนเข้าไปอย่างในละครบางทีเราดูจนเพลิน และมารู้ทีหลังว่าเขาสอดแทรกเข้าไปให้เราเรียบร้อยแล้ว

ส่วนจุดด้อยอาจจะมีการนำเสนอสิ่งที่ใช้ความรุนแรงเป็นตัวอย่างให้กับเยาวชนอยู่บ้าง อย่างมีช่วงหนึ่งมีหนังที่มีตัวละครผูกคอตาย แล้วมันก็มีกระแสฟีเวอร์มาว่ามีคนผูกคอตายเยอะมาก ปรางว่าคำเตือนอาจจะต้องตัวใหญ่กว่านี้ มีการนำเสนอว่าอย่าทำนะมันเป็นสิ่งไม่ดีนะเพราะอะไร (ยิ้ม)

ถ้าในอนาคตเรียนจบไปแล้วได้ทำงานสื่อ ปรางคงจะทำหนัง ทำละครให้มีความแหวกแนวไปเลยแล้วก็จะเสริมสร้างข้อคิด แง่คิดต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสังคมค่ะ (ยิ้ม)

My Lifestyle

นิสัยส่วนตัวไม่ใช่คนเครียด

หลายคนมองว่าคุณพ่อ คุณแม่เป็นหมอ เรียนก็เก่ง ภาพลักษณ์คนอาจจะมองว่าเราเป็นคนเครียดหรือเปล่า วันๆ เราอยู่กับความเครียด อยู่แค่กับตำราหรือเปล่า จริงๆ จะบอกว่าไม่เลยนะคะเพราะปรางก็เป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วไปเลย แล้วปรางก็อยู่ในสังคมเพื่อนที่ค่อนข้างเฮฮา เราก็จะเฮฮา ไปกินข้าว ไปร้องคาราโอเกะกัน นั่งดูหนังด้วยกัน ไม่ได้เครียด ไม่ได้จมอยู่กับตำรา

งานอดิเรก

วันว่างๆ อย่างบางทีว่าช่วงนั้นยุ่งวุ่นวายมาตลอด ถ้าปรางว่างปรางก็อยากที่จะอยู่กับตัวเองคนเดียวเพื่อชาร์จพลัง เป็นอารมณ์หนึ่งที่ไม่อยากไปเจอเพื่อน อาจจะมีดูหนัง อ่านวรรณกรรม ดูซีรีส์ เล่นอินเทอร์เน็ตไปเรื่อยเปื่อย

หนังสือเล่มโปรดคือ Harry Potter

ปรางชอบอ่านหนังสือแนวหลุดโลก แนวจินตนาการไปเลยอย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ทั้งเซตอ่านมา 8 รอบแล้ว อ่านไปอ่านมาเพราะหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกๆ ที่คุณแม่อ่านให้ฟังด้วยตั้งแต่ตอนเด็กๆ ตอนที่ปรางอ่านหนังสือยังไม่เป็น พอเราย้อนกลับมาอ่านครั้งที่สองสาม ครั้งแรกมันก็คือความสนุกแต่หลังๆ มันอ่านแบบอบอุ่นใจเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่อยู่กับคนยุคปราง พออ่านแล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน มันอบอุ่นใจ เหมือนหนังสือเป็นบ้านของเรา

การแต่งกายสบายๆ ไม่เนี้ยบ

ปรางไม่ได้แต่งตัวเนี้ยบอะไรขนาดนั้นนะคะ และก็ไม่ได้เป็นคนแต่งตัวจัดอะไร อย่างบางทีไปเที่ยวกับเพื่อนก็จะใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นธรรมดาๆ เลยค่ะ

สิ่งที่เป็นตัวตนปราง ศิรดาที่สุด

1. Harry Potter
เพราะมันแสดงถึงจินตนาการ มันเปิดโลกจินตนาการของปราง คือส่วนตัวปรางคิดว่าตัวเองมีเวทมนตร์ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ คิดว่านกฮูกจะมาหาที่บ้านแล้วเอาจดหมายมาให้แล้วปรางจะได้ไปเรียนฮอร์กวอตอะไรทำนองนี้ หลายคนก็จะมองว่าเราติงต๊องหรือเปล่าตรงนี้ก็จะตอบไปว่าไม่ แค่มีความคิดสร้างสรรค์เองนะอะไรทำนองนี้ (ยิ้ม)

2. กล้อง
เวลาที่ปรางไปเที่ยวกับเพื่อน เพื่อนก็จะไม่มีใครเอากล้องไปเลยเพราะเชื่อมั่นมากว่าเราต้องมีกล้องแน่นอน เป็นคนเดียวที่ถ่ายรูปในกลุ่มและก็ถ่ายรูปเพื่อน รูปครอบครัว (หัวเราะ)

สิ่งที่ยี้ที่สุด

1. แมลง
ปรางไม่ชอบแมลงมากๆ ซึ่งปรางโอเคกับจิ้งจกนะ แต่แมลงเป็นอะไรที่มันมีขายั้วเยี้ย แล้วมันก็บินได้อีกต่างหากซึ่งเราไม่โอเค จิ้งจกมันน่ารักมากนะ ปรางชอบจับ ชอบเล่นกับมัน (หัวเราะ)

2. วิชาเคมี
ปรางไม่ชอบวิชาเคมีเพราะว่าปรางรู้สึกว่ามันยาก ยากมากๆ เลย มันเป็นอะไรที่ยิ่งเรียนยิ่งงง ปรางรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่ออธิบาย แต่ถ้าเป็นวิชาชีวะที่ปรางชอบมันจะเป็นอะไรที่เป็นตัวของมันเองอยู่แล้วมันไม่ได้ถูกประดิษฐ์อะไรมากขนาดนั้น (อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะคะ)

3. สละ (ผลไม้)
เวลาคุณแม่ซื้อมาที่บ้านจะเป็นกลิ่นที่โหยหวนมาก กลิ่นแรงมาก ปรางชอบกินทุกอย่าง ผลไม้จะทานได้หมด ทุเรียนยังโอเคกว่าเลยค่ะ (หัวเราะ)

10 อันดับภาพยนตร์ที่ปราง ศิรดา ชอบมากที่สุด

1. The Avengers

ปรางชอบซูเปอร์ฮีโร่ อีกอย่างหนังเรื่องนี้ค่อนข้างครบรส มีหลายรสชาติที่ผสมกันอย่างลงตัว ชอบการปูเรื่องที่ค่อนข้างต่อเนื่อง

2. Harry Potter 2

ปรางชอบอ่านหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ทุกภาคแต่พอมาเป็นหนังมันจะแตกต่างออกไป ปรางชอบภาคนี้เพราะมันเป็นอะไรที่ค่อยๆ ไขคดี มันมีเหตุผล มีที่มาที่ไป

3. Star Trek ภาค 2

ปรางชอบเรื่องนี้มาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว อีกอย่างมันสนุกและแสดงถึงมิตรภาพ ความเสียสละ

4. The imitation game

ปรางชอบเรื่องราวไม่ว่าจะเป็นหนังหรือความเป็นจริงเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง ปรางว่ามันมีเงื่อนงำ มีอะไรที่น่าสนใจหลายๆ อย่าง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่การต่อสู้แต่ยังมีฉากที่จบแบบหักมุมให้เราได้คิดอีกด้วย

5. Gravity

เรื่องนี้เป็นหนังที่มีคนเล่นไม่กี่คนแต่สามารถสร้างความฮือฮาและประทับใจได้มากๆ ค่ะ

6. Captain America 1

ปรางชอบเพราะว่าชอบฉากจบที่กัปตันตื่นขึ้นมาแล้วไม่ได้ไปเต้นรำกับแฟนของเขาซึ่งแฟนของเขาเสียชีวิตไปแล้ว ตรงนั้นเป็นอะไรที่หักมุมและเจ็บปวดหัวใจที่สุดแล้ว (ยิ้ม)

7. Interstellar

ด้วยความที่ปรางจบมัธยมปีที่ 6 พอดี ก่อนที่หนังจะออกมา ปรางเลยได้เรียนวิชาฟิสิกส์ในเรื่องของเวลาว่าเวลามันไม่ตรงกัน บางที่เร็วกว่าอีกที่ซึ่งปรางอินกับหนังเรื่องนี้มากๆ และก็ประทับใจที่มันสร้างได้ตรงกับหลักวิทยาศาสตร์มากๆ

8. Cloud Atlas

เรื่องนี้ชอบเพราะเป็นหนังที่ไม่เหมือนใครดีค่ะ มันสนุกในตัวของมันเอง มีเทคนิคหลากหลายดีค่ะ

9. Jumper

ปรางชอบเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องแรกที่ค่อนข้างหลุดโลก เป็นตัวจุดประกายที่อยากทำให้เราไปเที่ยวรอบโลก มันเปิดโลกจินตนาการของเราค่ะ

10. Maleficent

เรื่องนี้ปรางชอบตั้งแต่มีโปสเตอร์หนังแล้ว คุณแม่แองเจลิน่า โจลีอลังการมาก คือชอบแล้วคาดหวังกับหนังซึ่งเราไปดูก็ไม่ผิดหวังกลับมานะคะ ตรงที่ไม่ผิดหวังเพราะหลายคนไปดูหนังที่สร้างจากนิทานคนจะคิดว่ามันจะจบเหมือนกับในนิทานเป๊ะๆ แต่เรื่องนี้มันมีหักมุมซึ่งเป็นการหักมุมที่สวยงามและสอดแทรกอะไรดีๆ ไว้ให้เราเยอะว่าจริงๆ ตอนจบมันไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหญิงและเจ้าชายแต่ว่ามันอาจจะเป็นความรักแบบอื่นก็ได้






Profile
ชื่อ : ศิรดา ไตรตรึงษ์ทัศนา
ชื่อเล่น : ปราง
วันเกิด : 8 กุมภาพันธ์ 2540
อายุ : 18 ปี

 

เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : ศิวกร เสนสอน

กำลังโหลดความคิดเห็น