นอกจากจะแจ้งเกิดแบบได้ใจแฟนๆ อย่างไร้ข้อกังขาบนเวทีประชัน “ตัวจริง-เสียงจริง” "สงกรานต์-รังสรรค์ ปัญญาเรือน" หนุ่มหนวดงามเสียงทรงพลังผู้นี้ ยังเป็นเจ้าของซิงเกิ้ลเพลง “คงไม่ทัน” 100 ล้านวิว

ซึ่งที่กล่าวมานี้ยังไม่นับรวมผลงานคัฟเวอร์เพลง “ใจนักเลง” ประกอบภาพยนตร์ “รักหมดแก้ว” ที่ตอกย้ำให้นึกถึงวาทะสุดกระชากใจที่ตราตรึงใครหลายๆ คนมิลืมเลือนอย่าง “...ตอนผมมีเงินอยู่ 5 บาท เขาก็อยู่ข้างๆ ผม ผมมีเงิน 20 บาท เขาก็อยู่ข้างๆ ผม ตอนนี้ผมมีเงินล้าน เขาก็ยังจะอยู่ข้างผม”
นี่จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่เราจะมองข้ามผู้ชายคนนี้ไปได้
ไม่กี่วัน หลังจากเดอะ วอยซ์ ซีซั่นล่าสุด ปิดฉากลง ท่ามกลางเสียงอึงคะนึงของความคิดเห็นเกี่ยวกับการเป็น “เสียงจริง ตัวจริง” จริงหรือไม่ เราหอบหิ้วคำถามจำนวนหนึ่งเดินเข้าไปหานัมเบอร์วันของเดอะ วอยซ์ ซีซั่นสอง คนนี้ สนทนาเรื่องราวต่างๆ ไล่ตั้งแต่ความหมายของการเป็นตัวจริงเสียงจริง ไปจนกระทั่ง “รักจริง” ซึ่งเป็นเรื่องราวประทับใจของใครหลายคน มาจนกระทั่งทุกวันนี้

การเป็นที่หนึ่ง
ไม่ใช่คำตอบของทุกเรื่อง
"เรื่องอย่างนี้ต้องไปถามคนที่เขาโหวต..." นักร้องหนุ่มหนวดงาม ดีกรีอดีตแชมป์รุ่นพี่แห่งเวทีเดอะ วอยซ์ โพล่งคำกล่าวแรกขึ้นกลางวงสนทนา เพราะปฏิเสธไม่ได้ ช่วงหลังๆ มานี้นับตั้งแต่รุ่นสองของการแข่งขัน เชื่อว่าใครต่อใครทั้งในโลกจริงและโลกออนไลน์ ต่างรู้ทั่วกันดีถึงกรณีกระแสดราม่า เพราะสงสัยในการเป็น "เสียงจริง"
"เพราะรอบสุดท้ายอยู่ที่ผลโหวต คุณมีคำถามอะไรอ่ะ นึกออกป่ะ" นักร้องหนุ่มโยนคำถามตรงไปตรงมาให้คิด ก่อนกล่าวต่อ "คือไม่ว่าจะปีผม ปีก่อนหน้า หรือว่าปีนี้ สี่คนที่เข้ารอบสุดท้ายมา จะเป็นใครก็ได้ที่จะได้แชมป์ ทุกคนมีความสามารถที่จะเป็นได้หมด ถ้าปีนี้ไม่ใช่หนุ่ม แต่เป็นอิมเมจ หรืออย่างถ้าผมไม่ได้ พี่นัท อาจารย์กฤษ์ หรือแตงโมได้ คุณจะมีข้อสงสัยมีคำถามหรือเปล่า”
"แต่ที่มีข้อสงสัยกัน ผมว่าเพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติของคน คือคนเราไม่เหมือนกัน มีใครเหมือนใครที่ไหน มุมมองเราต่างกันอยู่แล้ว ก็เหมือนเราทำกับข้าวให้คนทานสิบคน คิดหรือว่าเขาจะพูดถึงรสชาติเหมือนกันหมด"
"แล้วทำไมปีที่คุณแข่ง ถึงไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้" เราแหย่กลับ เพราะอยากรู้ความคิดของคนที่ได้ใบแจ้งเกิดบนเวทีนี้
"ปีผมก็มี...ผมก็โดนเรื่องดราม่าขายลูกชิ้นเหมือนกันตอนนั้น ก็ผมขายจริงๆ จะให้ผมบอกว่าผมรวย อยู่ที่บ้านขับปอร์เช่หรือ"
"ซึ่งก็แล้วแต่ใครจะคิดนะครับ อย่างที่บอกคนเราไม่เหมือนกัน ผมถึงได้พูดว่าให้ไปถามคนโหวตไง เพราะเรื่องอย่างนี้มันไม่ใช่เพราะมีอะไรมาช่วย ผมไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ได้เพราะโชคช่วย ผมว่าเป็นเพราะคนที่โหวต ผมก็ต้องขอบคุณที่เขาชื่นชม ชื่นชอบ ทั้งๆ ที่ผมเองก็คิดเสมอว่าเราไม่ได้ร้องเพลงเพราะ ทุกวันนี้ก็ยังต้องปรับ ต้องพัฒนา ไปเรื่อยๆ คือการที่เราเป็นที่หนึ่ง ไม่ใช่คำตอบของทุกเรื่อง ไม่ได้แปลว่าเราร้องเพลงเก่งที่สุดแล้ว
"ถ้าถามว่าผมเป็นเสียงจริงมั้ย...ก็ไม่ เพราะมันก็ย้อนไปเรื่องเดิม เรื่องอาหารที่เราทำ เรื่องต้องไปถามคนฟัง ผมไม่สามารถตอบเองได้" นักร้องหนุ่มเผย พลางยืนกรานกระต่ายขาเดียวถึงคำตอบที่ออกมาจากมิตรรักแฟนเพลงไม่ว่ากรณีใด แม้ว่าวินาทีที่เป็นแชมป์รายการหรือว่าหลังจากมีผลงานการันตรีด้วยยอดวิว 100 ล้านคนดู ในซิงเกิ้ลเปิดตัว "คงไม่ทัน" จะยังไม่พ้นข้ามปี

“แต่ถ้าถามว่าส่วนตัวรู้สึกอย่างไร" นักร้องหนุ่มหัวเราะร่วน ก่อนว่าต่อ "นี่ถ้าถามอย่างนี้ตอบได้ อันนี้ผมดีใจมากๆ ผมรู้สึกว่าเราไม่เคยมีโอกาสอย่างนี้ แต่พอวันนี้เราทำได้ แล้วผลตอบรับดี ผมก็ต้องขอบคุณทุกคน"
"โอโห้...ความรู้สึกตอนนั้นคือ ฟินแล้ว เพราะเราไม่คิดว่ามันจะมาไกลขนาดนี้ ตอนแรกๆ ที่ขึ้นล้านวิว โอ้ยล้านแล้วโว้ยยย...แล้วก็ผ่านมาสามสิบล้าน หกสิบล้าน ถึงจุดนี้ ได้เท่าไหร่ ผมก็ไม่ลุ้นแล้ว พอแล้ว เพราะคนไทยมีกี่คนทั่วประเทศ”
"คือคนเขียนเพลงคนหนึ่ง ทำเพลงคนหนึ่ง ลองคิดดูสิ คนตั้งใจทำแล้วมีคนฟังเพลงเราขนาดนี้ มันเยอะมากแล้วนะ" นักร้องหนุ่มเว้นวรรคเล็กน้อย แซมรอยยิ้มบางๆ กลางใบหน้าอีกครั้ง ซึ่งอาจจะเพราะด้วยบุคลิกซื่อๆ และตรงไปตรงมา ที่ไม่ก็บอกว่าไม่ ดีก็ว่าดี
"แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมนะ ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งหรือเจ๋ง ไม่มีหรอกความคิดอย่างนั้น คือผมขอถามย้อน ถ้าผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเพลงหน้ามียอดวิวแค่ 10 ล้านคนดูอย่างนี้ แล้วผมจะตอบว่าอะไร ฟลุ๊คอย่างนั้นเหรอ ผมว่ามันไม่ฟลุ๊ค ผมแค่ตั้งใจทำทุกอย่าง ผมแค่ทำสุดฝีมือ แต่ถ้าถามผมว่าคนฟังเขารู้สึกอย่างไร ผมตอบไม่ได้ ต้องไปถามคนฟัง
"ถ้าคำว่า 'เสียงจริง' 'ตัวจริง' หรือว่านัมเบอร์วันที่หนึ่งของประเทศของการร้องเพลง มันหมายความว่าอะไร ถ้าที่หนึ่งของประเทศคือคนที่ร้องเพลงเพราะที่สุด คือคนที่เก่งที่สุดของประเทศ ผมไม่ใช่
"แต่ถ้าตัวจริงเสียงจริงคือคนที่มีอะไรเป็นของตัวเอง แล้วหลายๆ คนชื่นชอบในสิ่งที่เขาเป็น โดยที่เขาไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร นั่นแหล่ะคือตัวจริงสำหรับผม ถ้าหลายคนชื่นชอบในสิ่งที่ผมเป็น ผมก็คือใช่สำหรับเขา แต่ผมคิดว่าผมยังไม่ถึงคำนี้ แต่มันกำลังจะเริ่ม"
และคำว่ากำลังจะ "เริ่ม" ที่ว่านี้คือ ซิงเกิ้ลถัดไปที่กำลังจะถูกปล่อยออกมาให้ได้ฟังในชุดอัลบั้มเต็มปีหน้าที่จะถึง นั่นจึงถือเป็นบทพิสูจน์ก้าวที่สองของชายที่ว่าเป็นหนึ่งใน "ตัวจริง เสียงจริง" ที่ชื่อว่าสงกรานต์...

เส้นทางคนจริง
ไม่มีสิ่งไหนฟลุ๊ค
"จริงๆ ผมคิดว่าผมเป็นคนกีตาร์เสมอ เพราะผมเริ่มหัดเล่นกีตาร์ก่อนร้องเพลง" นักร้องหนุ่มเล่าย้อนถึงความหลัง ก่อนความรักในการเป็นนักร้องจะค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่อณูชีวิตทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
"คือผมจำได้เลยว่าตอนนั้นอายุ 13 เริ่มหัดเล่นกีตาร์ครั้งแรก เพราะเห็นเพื่อนเล่นแล้วเกิดความสงสัย ทำไมมันรู้ได้ไงว่าสายทั้ง 6 สายต้องกดจุดนี้ๆ ถึงจะออกมาเป็นเสียงอย่างนั้น (หัวเราะ)
"พอเกิดคำถามก็เลยไปแอบซื้อกีตาร์มาไว้ที่บ้าน (รุ่น Yamaha F310 ปัจจุบันยังใช้งานอยู่) แล้วด้วยความที่เราตอนนั้นพูดได้เลยว่า อีโก้ (ยิ้ม) อีโก้จริงๆ เราก็ไม่ถามเพื่อน ก็แอบจำเวลาที่เพื่อนเปิดหนังสือเพลงเล่น เราก็จำทีละคอร์ดสองคอร์ด คอร์ดเอ ได้มาวันนี้ ก็กลับไปบ้านจับอยู่คอร์ดเดียวทั้งคืน อีกวันก็คอร์ดซี ก็จับอยู่ทั้งคืน วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ทำอย่างนี้อยู่ทุกวัน สองถึงสามอาทิตย์
"ทีนี้ พอได้เราก็หยิบกีตาร์ไปโรงเรียนเลยดีดโชว์เลย เพื่อนก็เฮ้ยยย...มึงเล่นได้ไงวะ เราก็รู้สึกว่าเท่ขึ้นมาเลย เพราะเราอยากเล่นเพื่อความเท่อยู่แล้วไง เราไม่ได้เพื่อโชว์หญิง แค่รู้สึกว่ามันเท่เฉยๆ เราสามารถเล่น สามารถจำโน้ตกีตาร์ที่มีหกสายได้อย่างนั้น”
"เรื่องราวมันก็เริ่มต้นจากตรงนั้น คือเหตุผลผมมีแค่นั้นเอง เหตุผลมันไม่ต้องเยอะหรอกเวลาเราทำอะไร" นัมเบอร์วันแห่งเดอะ วอยซ์ สมัยสอง กล่าวถึงอดีตอย่างรวบรัด จากการเล่นกีตาร์ได้สี่คอร์ดตลอดคืน ไต่ระดับเป็นสเกลเมเจอร์ต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ใช้เวลาร่วม 3-4 ปี แต่ก็หามีวี่แววการเป็นมืออาชีพแต่อย่างใดในตอนนั้น จนกระทั่งได้พบกับมือโปรระดับอาจารย์ ซึ่งก็คือ 'น้า' แท้ๆ ถ่ายทอดเชิงสำเนียงละตินหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ 'กีตาร์คลาสสิก'
"ตอนนั้นก็ยังไม่ได้จริงจัง ก็พอน้ามาลำปาง เราเห็นเขาเล่นกีตาร์คลาสสิก เราตะลึงเลย เหมือนหลุดไปอีกโลก มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เป็นอะไรที่อะเมซิ่งมากๆ เพราะเราคิดว่าเราเล่นแค่นี้ เราเท่แล้ว แต่ไม่ครับ จบเลย”
"พอเราได้มาหัดเล่นกีตาร์คลาสสิกจริงๆ มันกลายเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราเลย"

เล่าถึงตรงนี้ ความหลังอีกหลากหลายเรื่องราวก็กลับมาแวววาวในความนึกคิด อย่างที่หลายคนพอจะรู้ ชีวิตในอดีตของนักร้องคนนี้ ช่วงเวลาหนึ่งนั้น ถึงขั้นต้องรับจ้างเด็ดดึงต้นหญ้าวัชพืชของบ้านใกล้เรือนเคียง เพียงเพื่อแลกเงิน 200 บาท จุ้นเจือค่าบ้านและตัวเอง
"เชื่อไหม...ชีวิตมันเหมือนละคร” เจ้าของเสียงเพลง “คงไม่ทัน” น้ำเสียงแผ่วลง เมื่อเล่าถึงตรงนี้
“ครอบครัวผม มีแม่ ยาย แล้วก็ผม ทั้งหมดสามคน ไม่มีใครสามารถดูแลซึ่งกันและกันได้ และถ้าวันนั้น เพื่อนผมที่เป็นนักร้องไม่มา ผมก็ไม่รู้ว่าวันนี้ผมจะมีโอกาสร้องเพลงหรือเปล่า คือมันเริ่มต้นมาจากการที่ผมได้มีโอกาสเล่นดนตรีกลางคืน เพื่อนผมร้อง เพราะผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นนักร้อง ผมคือคนกีตาร์อย่างที่บอก ผมจะไปร้องเพลงทำไม แต่มันก็เหมือนเป็นพรหมลิขิต อาจจะเป็นฟ้าก็ได้ที่สั่งให้เราเดินทางนี้ หรืออะไรหลายๆ อย่าง เพราะก่อนหน้าที่ผมจะมาร้องเพลง ผมทำวงกับเพื่อนแล้วก็เกี่ยงกันใครจะร้องนำ
"ทีนี้ พอเพื่อนผมไม่มา ผมก็จำเป็นต้องร้อง เจ้าของร้านเดินมาตบไหล่ให้เราเล่นแล้วก็ร้อง พอร้องปุ๊บ เขาเห็นคนไม่หนีไปไหน ลูกค้ายังอยู่ในสถานการณ์ปกติ ยังแบบ... “เอ้าชนๆ” (หัวเราะ) คือไม่ใช่ว่าเราร้องเพราะ ร้องดีหรอกนะ แค่ลูกค้าไม่เช็คบิลหนีก็พอแล้วสำหรับเขาเจ้าของร้าน หลังจากนั้นเขาก็ให้ผมร้องเรื่อยมา ผมจะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะถ้าเขาบอกว่าถ้ามึงไม่ร้อง มึงออก อันนี้จะหนัก เพราะเราต้องการใช้เงิน"
100 บาท ต่อชั่วโมง ไม่ใช่ว่าเยอะแยะมากมาย นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เขาเลือกที่จะทำและทำเพิ่มอีกหลายต่อหลายอย่าง เพื่อให้พอประทังปากท้องและชีวิต
"เพราะเรารู้ว่ายังไงมันก็ไม่พอ (ยิ้ม) คือพอหลังจากร้านแรกให้เรา 100 บาท เรามีโอกาสไปร้านที่สองเขาให้ 120 บาท ก็ทำไปเรื่อยๆ ช่วงสองสามเดือนแรกไม่ไหว ผมก็ไปเป็นพนักงานขายรองเท้าตามห้าง ไปทำขนมรังผึ้ง แอบขายตามห้างตอนบ่าย ตกเย็นก็ไปร้องเพลง ก็ทำอยู่อย่างนี้ แล้วหลังจากนั้น พี่ที่ร้านเขาอาจเห็นว่าเราต้องใช้เงิน เขาจึงให้เพิ่ม 70 บาทเป็นค่ายกโต๊ะเปิดร้าน แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เราก็เลยไปขอเพิ่มเป็นเด็กเสิร์ฟด้วยเลย
"คือผมยังจำวันนั้นได้ ผมต้องตื่นสักบ่ายสองโมง บ่ายสามโมงเพื่อจะได้ไม่หิว แล้วไปจัดโต๊ะกินข้าวที่ร้าน เสร็จแล้วกลับมาอาบน้ำแต่งตัวไปเสิร์ฟ พอสี่ทุ่มปุ๊บ ขึ้นเล่นดนตรีพอห้าทุ่มลงมาเช็คบิล"
"วันไหนคนล้างจานไม่มา ผมก็รับล้างแทนหมด" สงกรานต์ไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ชีวิตเป็นฉากๆ ที่จริงยิ่งกว่านิยายดราม่าเล่มละห้าบาท...
"เพราะผมบอกตัวเองเสมอว่า ชีวิตผม ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมา ผมไม่มีเสียง ผมก็จะเป็นคนเขียนเพลง ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมา มือผมขาด ผมก็จะขายเครื่องดนตรีหรือเป็นช่างซาวด์ คือทำอะไรก็ได้ให้เกี่ยวกับดนตรี"
"คือคนเราต้นทุนไม่เท่ากัน อย่างด้วยมุมมองหรือการผ่านโลกคนละใบ ผมก็ไม่เข้าใจบางคนบ้านฐานะดี แต่กลับออกมารับจ้างทำโน่นทำนี่ เพราะคิดว่ามันย่ำอยู่กับที่ เราคิดเลย ถ้าเป็นผม ผมต่อยอดสร้างฐานที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ คือถ้าผมมีนะ แต่นี่ผมคนไม่มีอะไรเลย"
ถ้าถามถึงเหตุผลแห่งการดิ้นรนต่อสู้ คนหนุ่มผู้ยังมีอนาคตไกล ให้ตอบสั้นๆ อย่างรวดเร็วโดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด “แม่กับยายไงครับ...”
“แม่กับยายเป็นแรงผลัก เพราะตอนนั้นแม่ก็ช่วยเราไม่ได้ เราก็ช่วยแม่ไม่ได้ ฉะนั้นถึงแม้ว่าจะเหนื่อย แต่ก็ยินดีที่จะทำ คือผมอาจจะเป็นคนที่ทำอะไรทำจริงก็ได้ เพราะถ้าผมคิดจะทำผมทำเลย ไม่รออะไรทั้งนั้น
“แล้วก็ไม่อายที่จะทำด้วย อย่างหลังๆ ตอนมาขายลูกชิ้นแทนเป็นเด็กเสิร์ฟ เพราะผมไปเช่าคอมพ์ฯ เล่นเน็ตร้านพี่ที่รู้จักกัน แล้วสังเกตเห็นคนเล่นเกม เดี๋ยวเดินออกไปซื้อขนม หรือไม่ก็สั่งข้าว เราก็ปิ๊งไอเดียทันที เลยบอกพี่ที่ร้านผมของขายลูกชิ้นหน้าร้านพี่ได้ไหม เขาบอกได้ เราก็ลองทำแค่นั้น คือเราแค่รู้สึกว่าไอ้นี้มันทำได้นี่หว่า แล้วอีกอย่าง เราไม่มีอะไรจะเสียแล้ว”

จากวันเป็นคืน ผ่านแรมเดือน เปลี่ยนเป็นขวบปี และหลาย...หลายปี ที่วงจรนักดนตรีชื่อ "สงกรานต์” (นักร้องนำ วง The Bantam ในตอนนั้น) ซึ่งแม้อันที่จริงน่าจะโด่งดังแค่ในระดับจังหวัดและไม่ค่อยมีคนรู้จักนัก แต่ทว่าผลงานของพวกเขาทั้ง 4 กลับติดหนึ่งในแปดอันดับบนชาร์ตเพลงฮิต ของคลื่นเพลงอินดี้แห่งยุค "แฟตเรดิโอ" และนั่นจึงเป็นที่มาของการส่งตัวแทนนายลูกชิ้นทอดกับเพลง 'เจ้าตาก' สู่เวทีเดอะ วอยซ์ จนโค้ชแสตมป์ (อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) เห็นแววจรัสแสงของดาวดวงนี้
“ผมยังยืนทอดลูกชิ้นปิ้งอยู่เลยตอนที่เพื่อนเอาใบสมัครประกวดมาให้” อดีตพ่อค้าขายลูกชิ้นเผย...
“เพื่อนก็อยากให้เราไปลองๆ เราก็ลองก็ได้วะ (ยิ้ม) ประมาณนั้น แต่ทว่าก่อนผมจะไป เราก็มานั่งคุยกัน เพราะนอกจากจะไปลองเล่นๆ เฉยๆ เราตั้งเป้าหมายไว้สักหน่อยก็ยังดี คือเรามีวงของเรา ฉะนั้น เป้าหมายคือเราไปออกทีวี คนจะได้รู้จักวงเราเยอะขึ้น
“แต่ทำไปทำมามันไม่ใช่ เราก็ไม่รู้ว่าจะมีคนกดเข้าร่วมทีมด้วย คือมันเกินความคาดหวังมากๆ พอเข้ามาเรื่อยๆ เราไม่ได้แค่ออกทีวีแล้ว มันเห็นลู่ทาง มีคอนเน็กชั่น มีชื่อ เพื่อนเราที่อยู่ด้วยกันก็ดีขึ้น และที่ยิ่งไปกว่านั้นเลยคือ เราช่วยแม่ช่วยยายได้แล้ว”
“แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว กับเวลากว่าเจ็ดแปดปีที่ทำมา” สงกรานต์เผยความรู้สึก
“โอเคไม่เป็นไร แม้เราจะไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่นเขา แม้ช่วงวัยรุ่น เราจะไม่ได้เที่ยวสังสรรค์ แต่ก็ไม่เสียดาย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มหาวิทยาลัยชีวิตสอนผม มันทำให้ผมเป็นผมทุกวันนี้ มันเป็นภูมิต้านทานชั้นดี เป็นบทเรียนที่ดี คือมันเป็นเรื่องของความคิด
“เพราะเราไม่เหมือนคนอื่นเขา เพราะเราไม่ได้แบกชีวิตเราไว้คนเดียว เวลาเราทำงานหรือทำอะไร เราจึงต้องคิดให้เยอะกว่าคนอื่น ไม่เว้นกระทั่งตอนนี้”

วันวานเป็นเช่นใด
วันนี้ก็เช่นเดิม...ความรัก
“ไม่เว้นกระทั่งตอนนี้” จากคำกล่าวสุดท้ายในบรรทัดที่ผ่าน ซึ่งสื่อสารถึงการที่ไม่มีอะไรซึ่งทำไม่ได้ เพราะแม้แต่ในเรื่อง 'ความรัก' ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน แม้บทเพลง “คงไม่ทัน” ที่ทะลุล้านวิวในยูทูปจะบอกเล่าเรื่องราวการลาจาก แต่ทว่าความรักในชีวิตจริงของเขา ยังคงผูกพันรักใคร่ไม่เปลี่ยนแปร ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้
หากย้อนกลับไปเมื่อราวปลายปีที่แล้วหลังจากได้แชมป์การประกวดสดๆ ร้อนๆ จนถึงตอนนี้ที่กำลังจะมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก “รักหมดแก้ว” สำหรับคำพูดของเขา “ตอนผมมีเงินอยู่ 5 บาท เขาก็อยู่ข้างๆ ผม ผมมีเงิน 20 บาท เขาก็อยู่ข้างๆ ผม ตอนนี้ผมมีเงินล้าน เขาก็ยังจะอยู่ข้างผม” ที่สงกรานต์เคยให้สัมภาษณ์ถึงแฟนสาวที่คบหาดูใจ คงยังอยู่ในความทรงจำของใครหลายคนที่ประทับใจในตัวตนของนักร้องหนุ่มคนนี้
ชื่อเสียง เงินทอง ที่ไหลล่องเข้ามาในชีวิตไม่ขาดสาย คล้ายมิอาจสั่นคลอนรักนั้นได้เลย และรักนี้ดูเหมือนไม่มีวัน “หมดแก้ว”...
“เห็นผมทิ้งเขาหรือยัง” นักร้องหนุ่มหนวดงามกล่าวคำตอบขึ้นอย่างตรงๆ “ทุกวันนี้ก็ยังคบอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลง คือถามว่าเรามีชื่อเสียงเงินทอง ชีวิตเราเปลี่ยนไปไหม มันก็เปลี่ยน แต่เปลี่ยนในที่นี้คือ ไม่ได้หมายถึงชีวิตที่หรูหรา ในทางกลับกัน เราเปลี่ยนตรงที่เราต้องระวังตัวมากขึ้น จากเมื่อการที่ยังไงก็ได้ ช่างมัน ไม่ว่าจะคำพูดคำจา การวางตัว แต่จิตใจทุกอย่าง ผมก็เหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน”
“ทุกวันนี้ก็ชอบกินลูกชินทอดชิ้นละบาทอยู่เหมือนเดิม บางทีขับรถผ่านหน้าโรงเรียน ก็แวะจอดซื้อ ข้าวผัดกะเพราก็ยังชอบกิน”
แน่นอนว่าเมื่อชีวิตพลิกจากหน้ามือเป็นยิ่งกว่าหลังมือ จากดินสู่ดาวที่แสงแพรวพราวจับอยู่ในรัศมีตัวตนย่อมจะนำมาซึ่ง 'บริวาร' ที่รายล้อมห้อมหน้าห้อมหลัง สงกรานต์ในวันนี้ก็บอกกับเราว่า “เหมือนกัน”
“เป็นยุ้ย ญาติเยอะ ขึ้นมาเฉยๆ (ยิ้ม) เราก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่ไม่ใช่อะไรๆ ก็ช่วยหมด อะไรที่ไม่ใช่เรื่อง ก็ไม่ช่วย” นักร้องหนุ่มว่าหนักแน่น ก่อนจะอธิบายเสริม เมื่อเราถามถึงการเลือกช่วยที่อาจจะนำมาซึ่งคำครหา “ลืมตัว” จากบรรดาญาติๆ พี่น้อง
“ลืมเรื่องอะไร...” นักร้องหนุ่มโยนเสียงยาว “แล้วตอนที่ผมลำบากคุณไปอยู่ไหนมา มันไม่มีหรอก คือคำว่าญาติทุกวันนี้ก็เป็นญาติปกติ ช่วยได้เท่าที่ช่วย นอกจากยาย แม่ ก็มีพี่เจ้าของร้านที่เอ็นดูผมช่วยเหลือผม แล้วก็เพื่อนๆ อีกสี่คนในวง นั้นแหละคือครอบครัว”
“อะไรที่ทำให้เราไม่เปลี่ยน หรือว่าหลงระเริง และยังมั่นคงทั้งในเรื่องความรักและเรื่องชีวิต” เราถามอีกครั้ง เพื่อหยั่งมุมมองความคิด
“เอาเรื่องชีวิตก่อนนะ คือมันก็เหมือนสุภาษิต “อาบน้ำร้อนมาก่อน” ที่ผู้ใหญ่เขาชอบพูดสอนเสมอ ชีวิตผมเด็กๆ ก็เลยคำว่าเกเรไปเยอะเลย เรื่องเหล้า ยา ปลาปิ้ง ถ้าจะเลือกก็เลือกได้ แต่ผมไม่ ดังนั้น พอผ่านอะไรอย่างนี้มาแล้ว มันก็ไม่มีอะไรทำให้เราหลงระเริงได้ ส่วนเรื่องความรัก ผู้หญิง แน่นอนว่ามันมีเข้ามาเยอะ หลังจากมีชื่อเสียง มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็ยอมรับว่ามีบ้างที่แว้บเข้ามาในความคิด แต่ท้ายที่สุด วันนี้ผมทิ้งเขาหรือยัง ก็ยัง อันนี้ตอบอย่างลูกผู้ชายคนตรงๆ คุยกัน คือจะให้ผมทิ้งเขาได้อย่างไร ให้ตายเถอะ เขารักผม ผมรักเขา แค่นี้ไม่พอหรือ”

เหตุและผลเริ่มต้นที่ทำให้คนรักชอบกัน มีร้อยแปดพันอย่าง เช่นเดียวกับเหตุและผลที่ทำให้คนสองคนยืนคู่อยู่ข้างท่ามกลางเงื่อนไขชีวิต ไม่หน่ายหนีแม้ในวันที่ยากที่สุด...
“คือตอนแรก ผมก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรนะ ผมไม่รู้จริงๆ ตอนนั้นก็คิด “กูลำบาก มึงยังจะอยู่กับกูอีกหรือ มึงจะเอาอะไรจากกูวะเนี่ย” (หัวเราะ) เพราะเรายังไม่รู้อนาคตตัวเองเลยว่าจะดีหรือเปล่าด้วย แต่แววมันค่อนไปทางไม่ดีแน่ๆ แต่เขาก็ไม่ไปไหน
“เราประทับใจเขาตรงนี้ ผมถึงบอกตอนผมมี 5 บาท เขาก็อยู่ข้างผม ผมมี 10 บาท เขาก็อยู่ข้างผม แต่ตอนนี้ผมมีเงินล้าน ผมจะอยู่ข้างเขาบ้างมันผิดหรือ
“หลายๆ คนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมๆ หรือหาว่าผมพูดไปเรื่อยหรือเปล่า ก็แล้วแต่ ก็ถ้าไม่เป็นผม คุณไม่รู้หรอก เพราะสุดท้ายเขาคือคนที่ดูแลผม อยู่ข้างผม ผมขอเหตุผลสักข้อที่ผมจะทิ้งเขาไปหน่อยซิว่ามีไหม”
“ก็สุดแก้วจริงๆ” นักร้องหนุ่มหัวเราะรวนให้กับนิยามความรักของเขาประหนึ่ง “รักหมดแก้ว” ชื่อภาพยนตร์เรื่องแรกที่ร่วมแสดงและกำลังจะเข้าโรงฉาย 25 ธันวาคมก่อนสิ้นปีนี้
“อันนี้ในมุมมองผมคนเดียวนะ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร แต่ผมเป็นคนสุดโต่งอยู่แล้ว ถามว่าดีไหม มันก็ดี เพราะเราจะได้แสดงความเป็นตัวตนของเราตั้งแต่ต้น รับได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ก็คนละเส้นทาง เอาให้สุดเอาให้หมด หมดแล้วไม่ต้องเติมหรือว่าลดอะไร ก็ถ้ามันพอดีอยู่แล้วในหนึ่งแก้ว มันก็ไม่ต้องคิดว่าต้องดีกว่านี้ ต้องลดกว่านี้ ก็เท่านี้ไง พอไหม รักก็รัก จบตั้งแต่คำนี้แล้ว
“แต่ก็อย่าลืมเผื่อใจ เคยได้ยินคำนี้ไหม ถ้าคุณต้องการได้ผลตอบแทน 100 ต้องทำ 1,000 นั่นแหล่ะ คือไม่ว่าเวลาจะทำอะไรก็ตาม ทำให้มันเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราต้องมีอีก100-200 เปอร์เซ็นต์เผื่อไว้
“คือไม่ได้หมายความว่าเรากั๊กนะ แต่คำว่า 100 เปอร์เซ็นต์มันเป็นตัวแทนของคำว่าเต็มที่ทุกสิ่งอย่างอยู่แล้ว แต่ที่อยากจะบอกก็คือ เราก็ต้องมีอีก 200 เปอร์เซ็นต์ในนี้ (ชี้ไปที่หัวใจ) เพราะมันยังต้องหล่อเลี้ยงชีวิตเรา ชีวิตคนที่เรารักอีก”





เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
ซึ่งที่กล่าวมานี้ยังไม่นับรวมผลงานคัฟเวอร์เพลง “ใจนักเลง” ประกอบภาพยนตร์ “รักหมดแก้ว” ที่ตอกย้ำให้นึกถึงวาทะสุดกระชากใจที่ตราตรึงใครหลายๆ คนมิลืมเลือนอย่าง “...ตอนผมมีเงินอยู่ 5 บาท เขาก็อยู่ข้างๆ ผม ผมมีเงิน 20 บาท เขาก็อยู่ข้างๆ ผม ตอนนี้ผมมีเงินล้าน เขาก็ยังจะอยู่ข้างผม”
นี่จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่เราจะมองข้ามผู้ชายคนนี้ไปได้
ไม่กี่วัน หลังจากเดอะ วอยซ์ ซีซั่นล่าสุด ปิดฉากลง ท่ามกลางเสียงอึงคะนึงของความคิดเห็นเกี่ยวกับการเป็น “เสียงจริง ตัวจริง” จริงหรือไม่ เราหอบหิ้วคำถามจำนวนหนึ่งเดินเข้าไปหานัมเบอร์วันของเดอะ วอยซ์ ซีซั่นสอง คนนี้ สนทนาเรื่องราวต่างๆ ไล่ตั้งแต่ความหมายของการเป็นตัวจริงเสียงจริง ไปจนกระทั่ง “รักจริง” ซึ่งเป็นเรื่องราวประทับใจของใครหลายคน มาจนกระทั่งทุกวันนี้
การเป็นที่หนึ่ง
ไม่ใช่คำตอบของทุกเรื่อง
"เรื่องอย่างนี้ต้องไปถามคนที่เขาโหวต..." นักร้องหนุ่มหนวดงาม ดีกรีอดีตแชมป์รุ่นพี่แห่งเวทีเดอะ วอยซ์ โพล่งคำกล่าวแรกขึ้นกลางวงสนทนา เพราะปฏิเสธไม่ได้ ช่วงหลังๆ มานี้นับตั้งแต่รุ่นสองของการแข่งขัน เชื่อว่าใครต่อใครทั้งในโลกจริงและโลกออนไลน์ ต่างรู้ทั่วกันดีถึงกรณีกระแสดราม่า เพราะสงสัยในการเป็น "เสียงจริง"
"เพราะรอบสุดท้ายอยู่ที่ผลโหวต คุณมีคำถามอะไรอ่ะ นึกออกป่ะ" นักร้องหนุ่มโยนคำถามตรงไปตรงมาให้คิด ก่อนกล่าวต่อ "คือไม่ว่าจะปีผม ปีก่อนหน้า หรือว่าปีนี้ สี่คนที่เข้ารอบสุดท้ายมา จะเป็นใครก็ได้ที่จะได้แชมป์ ทุกคนมีความสามารถที่จะเป็นได้หมด ถ้าปีนี้ไม่ใช่หนุ่ม แต่เป็นอิมเมจ หรืออย่างถ้าผมไม่ได้ พี่นัท อาจารย์กฤษ์ หรือแตงโมได้ คุณจะมีข้อสงสัยมีคำถามหรือเปล่า”
"แต่ที่มีข้อสงสัยกัน ผมว่าเพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติของคน คือคนเราไม่เหมือนกัน มีใครเหมือนใครที่ไหน มุมมองเราต่างกันอยู่แล้ว ก็เหมือนเราทำกับข้าวให้คนทานสิบคน คิดหรือว่าเขาจะพูดถึงรสชาติเหมือนกันหมด"
"แล้วทำไมปีที่คุณแข่ง ถึงไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้" เราแหย่กลับ เพราะอยากรู้ความคิดของคนที่ได้ใบแจ้งเกิดบนเวทีนี้
"ปีผมก็มี...ผมก็โดนเรื่องดราม่าขายลูกชิ้นเหมือนกันตอนนั้น ก็ผมขายจริงๆ จะให้ผมบอกว่าผมรวย อยู่ที่บ้านขับปอร์เช่หรือ"
"ซึ่งก็แล้วแต่ใครจะคิดนะครับ อย่างที่บอกคนเราไม่เหมือนกัน ผมถึงได้พูดว่าให้ไปถามคนโหวตไง เพราะเรื่องอย่างนี้มันไม่ใช่เพราะมีอะไรมาช่วย ผมไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ได้เพราะโชคช่วย ผมว่าเป็นเพราะคนที่โหวต ผมก็ต้องขอบคุณที่เขาชื่นชม ชื่นชอบ ทั้งๆ ที่ผมเองก็คิดเสมอว่าเราไม่ได้ร้องเพลงเพราะ ทุกวันนี้ก็ยังต้องปรับ ต้องพัฒนา ไปเรื่อยๆ คือการที่เราเป็นที่หนึ่ง ไม่ใช่คำตอบของทุกเรื่อง ไม่ได้แปลว่าเราร้องเพลงเก่งที่สุดแล้ว
"ถ้าถามว่าผมเป็นเสียงจริงมั้ย...ก็ไม่ เพราะมันก็ย้อนไปเรื่องเดิม เรื่องอาหารที่เราทำ เรื่องต้องไปถามคนฟัง ผมไม่สามารถตอบเองได้" นักร้องหนุ่มเผย พลางยืนกรานกระต่ายขาเดียวถึงคำตอบที่ออกมาจากมิตรรักแฟนเพลงไม่ว่ากรณีใด แม้ว่าวินาทีที่เป็นแชมป์รายการหรือว่าหลังจากมีผลงานการันตรีด้วยยอดวิว 100 ล้านคนดู ในซิงเกิ้ลเปิดตัว "คงไม่ทัน" จะยังไม่พ้นข้ามปี
“แต่ถ้าถามว่าส่วนตัวรู้สึกอย่างไร" นักร้องหนุ่มหัวเราะร่วน ก่อนว่าต่อ "นี่ถ้าถามอย่างนี้ตอบได้ อันนี้ผมดีใจมากๆ ผมรู้สึกว่าเราไม่เคยมีโอกาสอย่างนี้ แต่พอวันนี้เราทำได้ แล้วผลตอบรับดี ผมก็ต้องขอบคุณทุกคน"
"โอโห้...ความรู้สึกตอนนั้นคือ ฟินแล้ว เพราะเราไม่คิดว่ามันจะมาไกลขนาดนี้ ตอนแรกๆ ที่ขึ้นล้านวิว โอ้ยล้านแล้วโว้ยยย...แล้วก็ผ่านมาสามสิบล้าน หกสิบล้าน ถึงจุดนี้ ได้เท่าไหร่ ผมก็ไม่ลุ้นแล้ว พอแล้ว เพราะคนไทยมีกี่คนทั่วประเทศ”
"คือคนเขียนเพลงคนหนึ่ง ทำเพลงคนหนึ่ง ลองคิดดูสิ คนตั้งใจทำแล้วมีคนฟังเพลงเราขนาดนี้ มันเยอะมากแล้วนะ" นักร้องหนุ่มเว้นวรรคเล็กน้อย แซมรอยยิ้มบางๆ กลางใบหน้าอีกครั้ง ซึ่งอาจจะเพราะด้วยบุคลิกซื่อๆ และตรงไปตรงมา ที่ไม่ก็บอกว่าไม่ ดีก็ว่าดี
"แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมนะ ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งหรือเจ๋ง ไม่มีหรอกความคิดอย่างนั้น คือผมขอถามย้อน ถ้าผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเพลงหน้ามียอดวิวแค่ 10 ล้านคนดูอย่างนี้ แล้วผมจะตอบว่าอะไร ฟลุ๊คอย่างนั้นเหรอ ผมว่ามันไม่ฟลุ๊ค ผมแค่ตั้งใจทำทุกอย่าง ผมแค่ทำสุดฝีมือ แต่ถ้าถามผมว่าคนฟังเขารู้สึกอย่างไร ผมตอบไม่ได้ ต้องไปถามคนฟัง
"ถ้าคำว่า 'เสียงจริง' 'ตัวจริง' หรือว่านัมเบอร์วันที่หนึ่งของประเทศของการร้องเพลง มันหมายความว่าอะไร ถ้าที่หนึ่งของประเทศคือคนที่ร้องเพลงเพราะที่สุด คือคนที่เก่งที่สุดของประเทศ ผมไม่ใช่
"แต่ถ้าตัวจริงเสียงจริงคือคนที่มีอะไรเป็นของตัวเอง แล้วหลายๆ คนชื่นชอบในสิ่งที่เขาเป็น โดยที่เขาไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร นั่นแหล่ะคือตัวจริงสำหรับผม ถ้าหลายคนชื่นชอบในสิ่งที่ผมเป็น ผมก็คือใช่สำหรับเขา แต่ผมคิดว่าผมยังไม่ถึงคำนี้ แต่มันกำลังจะเริ่ม"
และคำว่ากำลังจะ "เริ่ม" ที่ว่านี้คือ ซิงเกิ้ลถัดไปที่กำลังจะถูกปล่อยออกมาให้ได้ฟังในชุดอัลบั้มเต็มปีหน้าที่จะถึง นั่นจึงถือเป็นบทพิสูจน์ก้าวที่สองของชายที่ว่าเป็นหนึ่งใน "ตัวจริง เสียงจริง" ที่ชื่อว่าสงกรานต์...
เส้นทางคนจริง
ไม่มีสิ่งไหนฟลุ๊ค
"จริงๆ ผมคิดว่าผมเป็นคนกีตาร์เสมอ เพราะผมเริ่มหัดเล่นกีตาร์ก่อนร้องเพลง" นักร้องหนุ่มเล่าย้อนถึงความหลัง ก่อนความรักในการเป็นนักร้องจะค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่อณูชีวิตทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
"คือผมจำได้เลยว่าตอนนั้นอายุ 13 เริ่มหัดเล่นกีตาร์ครั้งแรก เพราะเห็นเพื่อนเล่นแล้วเกิดความสงสัย ทำไมมันรู้ได้ไงว่าสายทั้ง 6 สายต้องกดจุดนี้ๆ ถึงจะออกมาเป็นเสียงอย่างนั้น (หัวเราะ)
"พอเกิดคำถามก็เลยไปแอบซื้อกีตาร์มาไว้ที่บ้าน (รุ่น Yamaha F310 ปัจจุบันยังใช้งานอยู่) แล้วด้วยความที่เราตอนนั้นพูดได้เลยว่า อีโก้ (ยิ้ม) อีโก้จริงๆ เราก็ไม่ถามเพื่อน ก็แอบจำเวลาที่เพื่อนเปิดหนังสือเพลงเล่น เราก็จำทีละคอร์ดสองคอร์ด คอร์ดเอ ได้มาวันนี้ ก็กลับไปบ้านจับอยู่คอร์ดเดียวทั้งคืน อีกวันก็คอร์ดซี ก็จับอยู่ทั้งคืน วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ทำอย่างนี้อยู่ทุกวัน สองถึงสามอาทิตย์
"ทีนี้ พอได้เราก็หยิบกีตาร์ไปโรงเรียนเลยดีดโชว์เลย เพื่อนก็เฮ้ยยย...มึงเล่นได้ไงวะ เราก็รู้สึกว่าเท่ขึ้นมาเลย เพราะเราอยากเล่นเพื่อความเท่อยู่แล้วไง เราไม่ได้เพื่อโชว์หญิง แค่รู้สึกว่ามันเท่เฉยๆ เราสามารถเล่น สามารถจำโน้ตกีตาร์ที่มีหกสายได้อย่างนั้น”
"เรื่องราวมันก็เริ่มต้นจากตรงนั้น คือเหตุผลผมมีแค่นั้นเอง เหตุผลมันไม่ต้องเยอะหรอกเวลาเราทำอะไร" นัมเบอร์วันแห่งเดอะ วอยซ์ สมัยสอง กล่าวถึงอดีตอย่างรวบรัด จากการเล่นกีตาร์ได้สี่คอร์ดตลอดคืน ไต่ระดับเป็นสเกลเมเจอร์ต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ใช้เวลาร่วม 3-4 ปี แต่ก็หามีวี่แววการเป็นมืออาชีพแต่อย่างใดในตอนนั้น จนกระทั่งได้พบกับมือโปรระดับอาจารย์ ซึ่งก็คือ 'น้า' แท้ๆ ถ่ายทอดเชิงสำเนียงละตินหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ 'กีตาร์คลาสสิก'
"ตอนนั้นก็ยังไม่ได้จริงจัง ก็พอน้ามาลำปาง เราเห็นเขาเล่นกีตาร์คลาสสิก เราตะลึงเลย เหมือนหลุดไปอีกโลก มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เป็นอะไรที่อะเมซิ่งมากๆ เพราะเราคิดว่าเราเล่นแค่นี้ เราเท่แล้ว แต่ไม่ครับ จบเลย”
"พอเราได้มาหัดเล่นกีตาร์คลาสสิกจริงๆ มันกลายเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราเลย"
เล่าถึงตรงนี้ ความหลังอีกหลากหลายเรื่องราวก็กลับมาแวววาวในความนึกคิด อย่างที่หลายคนพอจะรู้ ชีวิตในอดีตของนักร้องคนนี้ ช่วงเวลาหนึ่งนั้น ถึงขั้นต้องรับจ้างเด็ดดึงต้นหญ้าวัชพืชของบ้านใกล้เรือนเคียง เพียงเพื่อแลกเงิน 200 บาท จุ้นเจือค่าบ้านและตัวเอง
"เชื่อไหม...ชีวิตมันเหมือนละคร” เจ้าของเสียงเพลง “คงไม่ทัน” น้ำเสียงแผ่วลง เมื่อเล่าถึงตรงนี้
“ครอบครัวผม มีแม่ ยาย แล้วก็ผม ทั้งหมดสามคน ไม่มีใครสามารถดูแลซึ่งกันและกันได้ และถ้าวันนั้น เพื่อนผมที่เป็นนักร้องไม่มา ผมก็ไม่รู้ว่าวันนี้ผมจะมีโอกาสร้องเพลงหรือเปล่า คือมันเริ่มต้นมาจากการที่ผมได้มีโอกาสเล่นดนตรีกลางคืน เพื่อนผมร้อง เพราะผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นนักร้อง ผมคือคนกีตาร์อย่างที่บอก ผมจะไปร้องเพลงทำไม แต่มันก็เหมือนเป็นพรหมลิขิต อาจจะเป็นฟ้าก็ได้ที่สั่งให้เราเดินทางนี้ หรืออะไรหลายๆ อย่าง เพราะก่อนหน้าที่ผมจะมาร้องเพลง ผมทำวงกับเพื่อนแล้วก็เกี่ยงกันใครจะร้องนำ
"ทีนี้ พอเพื่อนผมไม่มา ผมก็จำเป็นต้องร้อง เจ้าของร้านเดินมาตบไหล่ให้เราเล่นแล้วก็ร้อง พอร้องปุ๊บ เขาเห็นคนไม่หนีไปไหน ลูกค้ายังอยู่ในสถานการณ์ปกติ ยังแบบ... “เอ้าชนๆ” (หัวเราะ) คือไม่ใช่ว่าเราร้องเพราะ ร้องดีหรอกนะ แค่ลูกค้าไม่เช็คบิลหนีก็พอแล้วสำหรับเขาเจ้าของร้าน หลังจากนั้นเขาก็ให้ผมร้องเรื่อยมา ผมจะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะถ้าเขาบอกว่าถ้ามึงไม่ร้อง มึงออก อันนี้จะหนัก เพราะเราต้องการใช้เงิน"
100 บาท ต่อชั่วโมง ไม่ใช่ว่าเยอะแยะมากมาย นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เขาเลือกที่จะทำและทำเพิ่มอีกหลายต่อหลายอย่าง เพื่อให้พอประทังปากท้องและชีวิต
"เพราะเรารู้ว่ายังไงมันก็ไม่พอ (ยิ้ม) คือพอหลังจากร้านแรกให้เรา 100 บาท เรามีโอกาสไปร้านที่สองเขาให้ 120 บาท ก็ทำไปเรื่อยๆ ช่วงสองสามเดือนแรกไม่ไหว ผมก็ไปเป็นพนักงานขายรองเท้าตามห้าง ไปทำขนมรังผึ้ง แอบขายตามห้างตอนบ่าย ตกเย็นก็ไปร้องเพลง ก็ทำอยู่อย่างนี้ แล้วหลังจากนั้น พี่ที่ร้านเขาอาจเห็นว่าเราต้องใช้เงิน เขาจึงให้เพิ่ม 70 บาทเป็นค่ายกโต๊ะเปิดร้าน แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เราก็เลยไปขอเพิ่มเป็นเด็กเสิร์ฟด้วยเลย
"คือผมยังจำวันนั้นได้ ผมต้องตื่นสักบ่ายสองโมง บ่ายสามโมงเพื่อจะได้ไม่หิว แล้วไปจัดโต๊ะกินข้าวที่ร้าน เสร็จแล้วกลับมาอาบน้ำแต่งตัวไปเสิร์ฟ พอสี่ทุ่มปุ๊บ ขึ้นเล่นดนตรีพอห้าทุ่มลงมาเช็คบิล"
"วันไหนคนล้างจานไม่มา ผมก็รับล้างแทนหมด" สงกรานต์ไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ชีวิตเป็นฉากๆ ที่จริงยิ่งกว่านิยายดราม่าเล่มละห้าบาท...
"เพราะผมบอกตัวเองเสมอว่า ชีวิตผม ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมา ผมไม่มีเสียง ผมก็จะเป็นคนเขียนเพลง ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมา มือผมขาด ผมก็จะขายเครื่องดนตรีหรือเป็นช่างซาวด์ คือทำอะไรก็ได้ให้เกี่ยวกับดนตรี"
"คือคนเราต้นทุนไม่เท่ากัน อย่างด้วยมุมมองหรือการผ่านโลกคนละใบ ผมก็ไม่เข้าใจบางคนบ้านฐานะดี แต่กลับออกมารับจ้างทำโน่นทำนี่ เพราะคิดว่ามันย่ำอยู่กับที่ เราคิดเลย ถ้าเป็นผม ผมต่อยอดสร้างฐานที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ คือถ้าผมมีนะ แต่นี่ผมคนไม่มีอะไรเลย"
ถ้าถามถึงเหตุผลแห่งการดิ้นรนต่อสู้ คนหนุ่มผู้ยังมีอนาคตไกล ให้ตอบสั้นๆ อย่างรวดเร็วโดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด “แม่กับยายไงครับ...”
“แม่กับยายเป็นแรงผลัก เพราะตอนนั้นแม่ก็ช่วยเราไม่ได้ เราก็ช่วยแม่ไม่ได้ ฉะนั้นถึงแม้ว่าจะเหนื่อย แต่ก็ยินดีที่จะทำ คือผมอาจจะเป็นคนที่ทำอะไรทำจริงก็ได้ เพราะถ้าผมคิดจะทำผมทำเลย ไม่รออะไรทั้งนั้น
“แล้วก็ไม่อายที่จะทำด้วย อย่างหลังๆ ตอนมาขายลูกชิ้นแทนเป็นเด็กเสิร์ฟ เพราะผมไปเช่าคอมพ์ฯ เล่นเน็ตร้านพี่ที่รู้จักกัน แล้วสังเกตเห็นคนเล่นเกม เดี๋ยวเดินออกไปซื้อขนม หรือไม่ก็สั่งข้าว เราก็ปิ๊งไอเดียทันที เลยบอกพี่ที่ร้านผมของขายลูกชิ้นหน้าร้านพี่ได้ไหม เขาบอกได้ เราก็ลองทำแค่นั้น คือเราแค่รู้สึกว่าไอ้นี้มันทำได้นี่หว่า แล้วอีกอย่าง เราไม่มีอะไรจะเสียแล้ว”
จากวันเป็นคืน ผ่านแรมเดือน เปลี่ยนเป็นขวบปี และหลาย...หลายปี ที่วงจรนักดนตรีชื่อ "สงกรานต์” (นักร้องนำ วง The Bantam ในตอนนั้น) ซึ่งแม้อันที่จริงน่าจะโด่งดังแค่ในระดับจังหวัดและไม่ค่อยมีคนรู้จักนัก แต่ทว่าผลงานของพวกเขาทั้ง 4 กลับติดหนึ่งในแปดอันดับบนชาร์ตเพลงฮิต ของคลื่นเพลงอินดี้แห่งยุค "แฟตเรดิโอ" และนั่นจึงเป็นที่มาของการส่งตัวแทนนายลูกชิ้นทอดกับเพลง 'เจ้าตาก' สู่เวทีเดอะ วอยซ์ จนโค้ชแสตมป์ (อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) เห็นแววจรัสแสงของดาวดวงนี้
“ผมยังยืนทอดลูกชิ้นปิ้งอยู่เลยตอนที่เพื่อนเอาใบสมัครประกวดมาให้” อดีตพ่อค้าขายลูกชิ้นเผย...
“เพื่อนก็อยากให้เราไปลองๆ เราก็ลองก็ได้วะ (ยิ้ม) ประมาณนั้น แต่ทว่าก่อนผมจะไป เราก็มานั่งคุยกัน เพราะนอกจากจะไปลองเล่นๆ เฉยๆ เราตั้งเป้าหมายไว้สักหน่อยก็ยังดี คือเรามีวงของเรา ฉะนั้น เป้าหมายคือเราไปออกทีวี คนจะได้รู้จักวงเราเยอะขึ้น
“แต่ทำไปทำมามันไม่ใช่ เราก็ไม่รู้ว่าจะมีคนกดเข้าร่วมทีมด้วย คือมันเกินความคาดหวังมากๆ พอเข้ามาเรื่อยๆ เราไม่ได้แค่ออกทีวีแล้ว มันเห็นลู่ทาง มีคอนเน็กชั่น มีชื่อ เพื่อนเราที่อยู่ด้วยกันก็ดีขึ้น และที่ยิ่งไปกว่านั้นเลยคือ เราช่วยแม่ช่วยยายได้แล้ว”
“แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว กับเวลากว่าเจ็ดแปดปีที่ทำมา” สงกรานต์เผยความรู้สึก
“โอเคไม่เป็นไร แม้เราจะไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่นเขา แม้ช่วงวัยรุ่น เราจะไม่ได้เที่ยวสังสรรค์ แต่ก็ไม่เสียดาย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มหาวิทยาลัยชีวิตสอนผม มันทำให้ผมเป็นผมทุกวันนี้ มันเป็นภูมิต้านทานชั้นดี เป็นบทเรียนที่ดี คือมันเป็นเรื่องของความคิด
“เพราะเราไม่เหมือนคนอื่นเขา เพราะเราไม่ได้แบกชีวิตเราไว้คนเดียว เวลาเราทำงานหรือทำอะไร เราจึงต้องคิดให้เยอะกว่าคนอื่น ไม่เว้นกระทั่งตอนนี้”
วันวานเป็นเช่นใด
วันนี้ก็เช่นเดิม...ความรัก
“ไม่เว้นกระทั่งตอนนี้” จากคำกล่าวสุดท้ายในบรรทัดที่ผ่าน ซึ่งสื่อสารถึงการที่ไม่มีอะไรซึ่งทำไม่ได้ เพราะแม้แต่ในเรื่อง 'ความรัก' ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน แม้บทเพลง “คงไม่ทัน” ที่ทะลุล้านวิวในยูทูปจะบอกเล่าเรื่องราวการลาจาก แต่ทว่าความรักในชีวิตจริงของเขา ยังคงผูกพันรักใคร่ไม่เปลี่ยนแปร ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้
หากย้อนกลับไปเมื่อราวปลายปีที่แล้วหลังจากได้แชมป์การประกวดสดๆ ร้อนๆ จนถึงตอนนี้ที่กำลังจะมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก “รักหมดแก้ว” สำหรับคำพูดของเขา “ตอนผมมีเงินอยู่ 5 บาท เขาก็อยู่ข้างๆ ผม ผมมีเงิน 20 บาท เขาก็อยู่ข้างๆ ผม ตอนนี้ผมมีเงินล้าน เขาก็ยังจะอยู่ข้างผม” ที่สงกรานต์เคยให้สัมภาษณ์ถึงแฟนสาวที่คบหาดูใจ คงยังอยู่ในความทรงจำของใครหลายคนที่ประทับใจในตัวตนของนักร้องหนุ่มคนนี้
ชื่อเสียง เงินทอง ที่ไหลล่องเข้ามาในชีวิตไม่ขาดสาย คล้ายมิอาจสั่นคลอนรักนั้นได้เลย และรักนี้ดูเหมือนไม่มีวัน “หมดแก้ว”...
“เห็นผมทิ้งเขาหรือยัง” นักร้องหนุ่มหนวดงามกล่าวคำตอบขึ้นอย่างตรงๆ “ทุกวันนี้ก็ยังคบอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลง คือถามว่าเรามีชื่อเสียงเงินทอง ชีวิตเราเปลี่ยนไปไหม มันก็เปลี่ยน แต่เปลี่ยนในที่นี้คือ ไม่ได้หมายถึงชีวิตที่หรูหรา ในทางกลับกัน เราเปลี่ยนตรงที่เราต้องระวังตัวมากขึ้น จากเมื่อการที่ยังไงก็ได้ ช่างมัน ไม่ว่าจะคำพูดคำจา การวางตัว แต่จิตใจทุกอย่าง ผมก็เหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน”
“ทุกวันนี้ก็ชอบกินลูกชินทอดชิ้นละบาทอยู่เหมือนเดิม บางทีขับรถผ่านหน้าโรงเรียน ก็แวะจอดซื้อ ข้าวผัดกะเพราก็ยังชอบกิน”
แน่นอนว่าเมื่อชีวิตพลิกจากหน้ามือเป็นยิ่งกว่าหลังมือ จากดินสู่ดาวที่แสงแพรวพราวจับอยู่ในรัศมีตัวตนย่อมจะนำมาซึ่ง 'บริวาร' ที่รายล้อมห้อมหน้าห้อมหลัง สงกรานต์ในวันนี้ก็บอกกับเราว่า “เหมือนกัน”
“เป็นยุ้ย ญาติเยอะ ขึ้นมาเฉยๆ (ยิ้ม) เราก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่ไม่ใช่อะไรๆ ก็ช่วยหมด อะไรที่ไม่ใช่เรื่อง ก็ไม่ช่วย” นักร้องหนุ่มว่าหนักแน่น ก่อนจะอธิบายเสริม เมื่อเราถามถึงการเลือกช่วยที่อาจจะนำมาซึ่งคำครหา “ลืมตัว” จากบรรดาญาติๆ พี่น้อง
“ลืมเรื่องอะไร...” นักร้องหนุ่มโยนเสียงยาว “แล้วตอนที่ผมลำบากคุณไปอยู่ไหนมา มันไม่มีหรอก คือคำว่าญาติทุกวันนี้ก็เป็นญาติปกติ ช่วยได้เท่าที่ช่วย นอกจากยาย แม่ ก็มีพี่เจ้าของร้านที่เอ็นดูผมช่วยเหลือผม แล้วก็เพื่อนๆ อีกสี่คนในวง นั้นแหละคือครอบครัว”
“อะไรที่ทำให้เราไม่เปลี่ยน หรือว่าหลงระเริง และยังมั่นคงทั้งในเรื่องความรักและเรื่องชีวิต” เราถามอีกครั้ง เพื่อหยั่งมุมมองความคิด
“เอาเรื่องชีวิตก่อนนะ คือมันก็เหมือนสุภาษิต “อาบน้ำร้อนมาก่อน” ที่ผู้ใหญ่เขาชอบพูดสอนเสมอ ชีวิตผมเด็กๆ ก็เลยคำว่าเกเรไปเยอะเลย เรื่องเหล้า ยา ปลาปิ้ง ถ้าจะเลือกก็เลือกได้ แต่ผมไม่ ดังนั้น พอผ่านอะไรอย่างนี้มาแล้ว มันก็ไม่มีอะไรทำให้เราหลงระเริงได้ ส่วนเรื่องความรัก ผู้หญิง แน่นอนว่ามันมีเข้ามาเยอะ หลังจากมีชื่อเสียง มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็ยอมรับว่ามีบ้างที่แว้บเข้ามาในความคิด แต่ท้ายที่สุด วันนี้ผมทิ้งเขาหรือยัง ก็ยัง อันนี้ตอบอย่างลูกผู้ชายคนตรงๆ คุยกัน คือจะให้ผมทิ้งเขาได้อย่างไร ให้ตายเถอะ เขารักผม ผมรักเขา แค่นี้ไม่พอหรือ”
เหตุและผลเริ่มต้นที่ทำให้คนรักชอบกัน มีร้อยแปดพันอย่าง เช่นเดียวกับเหตุและผลที่ทำให้คนสองคนยืนคู่อยู่ข้างท่ามกลางเงื่อนไขชีวิต ไม่หน่ายหนีแม้ในวันที่ยากที่สุด...
“คือตอนแรก ผมก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรนะ ผมไม่รู้จริงๆ ตอนนั้นก็คิด “กูลำบาก มึงยังจะอยู่กับกูอีกหรือ มึงจะเอาอะไรจากกูวะเนี่ย” (หัวเราะ) เพราะเรายังไม่รู้อนาคตตัวเองเลยว่าจะดีหรือเปล่าด้วย แต่แววมันค่อนไปทางไม่ดีแน่ๆ แต่เขาก็ไม่ไปไหน
“เราประทับใจเขาตรงนี้ ผมถึงบอกตอนผมมี 5 บาท เขาก็อยู่ข้างผม ผมมี 10 บาท เขาก็อยู่ข้างผม แต่ตอนนี้ผมมีเงินล้าน ผมจะอยู่ข้างเขาบ้างมันผิดหรือ
“หลายๆ คนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมๆ หรือหาว่าผมพูดไปเรื่อยหรือเปล่า ก็แล้วแต่ ก็ถ้าไม่เป็นผม คุณไม่รู้หรอก เพราะสุดท้ายเขาคือคนที่ดูแลผม อยู่ข้างผม ผมขอเหตุผลสักข้อที่ผมจะทิ้งเขาไปหน่อยซิว่ามีไหม”
“ก็สุดแก้วจริงๆ” นักร้องหนุ่มหัวเราะรวนให้กับนิยามความรักของเขาประหนึ่ง “รักหมดแก้ว” ชื่อภาพยนตร์เรื่องแรกที่ร่วมแสดงและกำลังจะเข้าโรงฉาย 25 ธันวาคมก่อนสิ้นปีนี้
“อันนี้ในมุมมองผมคนเดียวนะ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร แต่ผมเป็นคนสุดโต่งอยู่แล้ว ถามว่าดีไหม มันก็ดี เพราะเราจะได้แสดงความเป็นตัวตนของเราตั้งแต่ต้น รับได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ก็คนละเส้นทาง เอาให้สุดเอาให้หมด หมดแล้วไม่ต้องเติมหรือว่าลดอะไร ก็ถ้ามันพอดีอยู่แล้วในหนึ่งแก้ว มันก็ไม่ต้องคิดว่าต้องดีกว่านี้ ต้องลดกว่านี้ ก็เท่านี้ไง พอไหม รักก็รัก จบตั้งแต่คำนี้แล้ว
“แต่ก็อย่าลืมเผื่อใจ เคยได้ยินคำนี้ไหม ถ้าคุณต้องการได้ผลตอบแทน 100 ต้องทำ 1,000 นั่นแหล่ะ คือไม่ว่าเวลาจะทำอะไรก็ตาม ทำให้มันเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราต้องมีอีก100-200 เปอร์เซ็นต์เผื่อไว้
“คือไม่ได้หมายความว่าเรากั๊กนะ แต่คำว่า 100 เปอร์เซ็นต์มันเป็นตัวแทนของคำว่าเต็มที่ทุกสิ่งอย่างอยู่แล้ว แต่ที่อยากจะบอกก็คือ เราก็ต้องมีอีก 200 เปอร์เซ็นต์ในนี้ (ชี้ไปที่หัวใจ) เพราะมันยังต้องหล่อเลี้ยงชีวิตเรา ชีวิตคนที่เรารักอีก”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร