xs
xsm
sm
md
lg

กำลังภายใน 4 ประการ ข้อคิดคติธรรมสำหรับปีใหม่ โดย “ว.วชิรเมธี”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง” ในมงคลสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสกถาสองวรรคนี้ไว้ในฐานะมงคลหนึ่งประการในบรรดามงคลทั้งหมด 38 ประการ อันมีความหมายว่า การได้พบกับสมณะนั้น นับเป็นมงคลอันสูงยิ่งประการหนึ่ง

ในวาระอันเป็นช่วงเวลาแห่งการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เชื่อว่าหลายๆ คนคงเดินทางไปกราบสักการะนมัสการพระสงฆ์องค์เจ้าเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต เราทีมงานหนังสือพิมพ์เอเอสทีวี มีโอกาสเข้ากราบนมัสการพระภิกษุผู้เป็นปราชญ์ด้านพุทธศาสน์และเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนคนไทย “พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี” หรือที่รู้จักกันในนาม “ว.วชิรเมธี” ผู้ก่อตั้งศูนย์วิปัสสนาและปฏิบัติธรรมไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย

ในโอกาสอันเป็นความเบิกบานแจ่มใสนี้ เราจึงกราบสักการะขอพรจากพระผู้เป็นดั่งที่พึ่งทางใจและทางความคิดให้กับศาสนิกมาตลอดระยะเวลามากกว่าสองทศวรรษ เพื่อขอคติธรรมแง่คิดสำหรับการดำเนินชีวิตใน พ.ศ.ต่อไป ซึ่งท่าน ว.วชิรเมธี ก็ได้เมตตาให้พรและข้อคิดดังต่อไปนี้

ในปีใหม่นี้ พระอาจารย์ก็ขอมอบพรแห่งชีวิตให้แก่ประชาชนคนไทย ด้วยพรที่ชื่อว่า “พลังภายใน 4 ประการ” เพราะพระอาจารย์มองเห็นว่าทุกวันนี้ สังคมไทยของเรานั้นเหมือนคนป่วย ที่อ่อนระโหยโรยแรงมาก ประทังชีวิตอยู่ได้ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือของหมอ ไม่มีกำลังภายในที่จะค้ำจุนชีวิต

ฉะนั้น สังคมไทยในเวลานี้จึงต้องการสิ่งที่เรียกว่า “กำลังภายใน” ซึ่งธรรมที่จะทำให้เรามีกำลังภายใน มี 4 ประการด้วยกัน หนึ่ง พลังปัญญา สอง พลังความเพียร สาม พลังความสุจริต และสี่ พลังความสามัคคี

1.พลังปัญญา

ขอให้พี่น้องเราชาวไทยนั้น ดำรงชีวิตด้วยการใช้เหตุใช้ผล คนที่ใช้เหตุใช้ผลในการดำรงชีวิต มองอะไรก็ตาม ไม่รวบรัดตัดตอน ไม่แยกส่วน แต่รู้จักมองแบบองค์รวม เมื่อมองแบบนั้นก็จะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มีองค์รวมที่เกิดจากองค์รวมมากมาย ทำให้เรามองสิ่งต่างๆ แบบเชื่อมโยง สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ในลักษณะ “สรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกัน”

คนที่มีเหตุมีผลจะกลายเป็นคนมีเหตุผล และนั่นจะทำให้เราไม่เป็นคนที่ตัดสินคนอื่นอย่างง่ายๆ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เราจะกลายเป็นคนที่ใช้ปัญญาเหนืออารมณ์ และโดยวิธีนี้ เราจะไม่ถูกใครมายุให้รำมาตำให้รั่ว ไม่มาปั่นหัวให้เกลียดชังซึ่งกันและกัน

2.พลังความเพียร

ขอให้ประชาชนคนไทยเรานั้น สร้างสรรค์พัฒนาประเทศชาติ บนรากฐานของความขยันหมั่นเพียร อย่าไปเน้นทรงเจ้าเข้าผี อย่าไปเชื่อคุณขลังขมังเวท อย่าไปฝากชะตากรรมไว้กับคุณวิเศษเวทไสย แต่ให้ฝากชะตากรรมของตนเองและของประเทศชาติไว้บนมันสมองและสองมือ ด้วยความพากเพียรของตัวเราทุกคน

วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ แปลว่า คนจะล่วงทุกข์ได้ก็เพราะความเพียร พระพุทธองค์ไม่เคยสอนว่า คนจะล่วงทุกข์ได้หรือแก้ปัญหาชีวิตได้เพราะการบนบานศาลกล่าว หรือเพราะเชื่อคุณวิเศษเวทไสย หรือฝากชะตากรรมไว้กับสิ่งเหนือสามัญวิสัย พระองค์บอกเราว่า ถ้าอยากได้อะไรดีๆ จงทำเหตุที่ดี นี่คือหลักการที่เป็นวิทยาศาสตร์มาก

สิ่งที่ดี ย่อมจะเกิดจากเหตุที่ดี เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ถ้าเราคนไทยนำมาใช้ ก็จะทำให้เรามีความสุขความเจริญ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย อยากให้เมืองไทยเจริญ สร้างเหตุสร้างปัจจัยที่ดี เท่านี้เมืองไทยก็จะเจริญ แต่ถ้าเราบริหารบ้านเมืองด้วยการฝากชะตากรรมไว้กับคุณขลังขมังเวท คุณวิเศษเวทไสย เชื่อดวงเชื่อดาวอย่างนี้ ประเทศไทยก็ไม่มีอนาคต

3.พลังความสุจริต

คอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เป็นเหตุผลในการทำปฏิวัติรัฐประหารทุกครั้ง ถ้าเราแก้เรื่องคอร์รัปชันไม่ได้ ประเทศไทยก็จะติดกับดักปฏิวัติรัฐประหาร รัฐบาลทุกชุดก็จะไม่มีเสถียรภาพ เราต้องทำความเข้าใจร่วมกันว่า ปัญหาใหญ่ของสังคมไทยคือมะเร็งร้ายที่ชื่อคอร์รัปชัน

ฉะนั้น เราจะต้องไม่คอร์รัปชันเอง ไม่ยอมรับการคอร์รัปชัน ไม่ส่งเสริมให้คนอื่นคอร์รัปชัน ไม่ร่วมมือกับคนคอร์รัปชัน ในทุกช่องทาง ในทุกรูปแบบ และอยากจะฝากไว้ว่า ถ้าเราแก้ปัญหาคอร์รัปชันได้ ในอนาคต ใครอยากดูเรื่องคอร์รัปชันในประเทศไทย ต้องไปหาดูในพิพิธภัณฑ์ อย่าให้คอร์รัปชันมาอยู่ในชีวิตจริงของพวกเรา

4.พลังความสามัคคี

ก็ขอเจริญพรเชิญชวนพี่น้องเราชาวไทย ให้รู้รักสามัคคี เพราะถ้าเรามองทะลุอุดมคติหรือความเห็นต่างทางการเมือง ทางลัทธินิกายที่เรายอมรับนับถือทั้งหมด เราก็จะเห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว เราทุกคนเป็นคนไทยเหมือนกัน เหนือกว่าความเป็นคนไทยเหมือนกัน ก็คือเราเป็นมนุษยชาติเหมือนกัน

ฉะนั้น ขอให้เรายอมรับที่จะสงวนจุดต่างและแสวงจุดร่วม รู้รักสามัคคี ทำได้อย่างนี้ เมืองไทยก็มีความสุข

ธรรมซึ่งเป็นดั่งกำลังภายใน 4 ประการไว้เป็นคติธรรมรับปีใหม่ สำหรับพี่น้องเราชาวไทยโดยทั่วกัน เทอญ”

****************************

คติธรรมสำหรับการใช้สื่อ

การใช้สื่อควรใช้ในเชิงสร้างสรรค์ สื่อที่แรงและเร็วทุกวันนี้ก็คือโซเชียลมีเดีย โซเชียลมีเดียนั้นถูกคิดค้นขึ้นด้วยภูมิปัญญาขั้นสูง

เราต้องใช้ภูมิปัญญาขั้นสูงในระดับเดียวกัน อย่าใช้สื่อซึ่งเป็นภูมิปัญญาขั้นสูง ด้วยภูมิปัญญาขั้นต่ำ เช่น มาใช้นินทากัน ใช้ปล่อยข่าวลือ ทำลายกัน ใช้เป็นช่องทางในการยุยงส่งเสริมให้คนไทยเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน เกลียดชังซึ่งกันและกัน หรือใช้เป็นช่องทางในการกล่าว Hate speech ขีดเขียนถ้อยคำหรือบทความซึ่งเป็นวาจาหยาบคายที่ทำให้คนไทยเข้าใจผิดและลุกขึ้นมาโกรธเกลียดชิงชังซึ่งกันและกัน

ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า ถ้าเธอมีปืน อย่างเก่งเธอก็ฆ่าคนตายเท่าจำนวนกระสุน แต่ถ้าเธอปล่อยความเข้าใจผิดๆ ไปสู่ประชาชน คนจะฆ่าซึ่งกันและกันนับจำนวนไม่ได้

เพราะฉะนั้น การใช้สื่อนั้นอยากให้ใช้อย่างระมัดระวัง อยากให้ใช้ด้วยปัญญาเชิงสร้างสรรค์ ถ้าไม่มั่นใจว่าจะใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ ควรถอยห่างออกมาจากการใช้สื่อ เพราะคุณสื่อสารอะไรออกไปก็ตาม เมื่อหลุดจากคุณแล้ว มันจะกลายเป็นสาธารณะ ยากมากที่จะกลับไปแก้ไขและเยียวยาได้

ฉะนั้นจึงอยากย้ำว่า ขอให้ใช้สื่อในเชิงสร้างสรรค์ ใช้อย่างมีวิจารณญาณ

ส่วนผู้ที่บริโภคสื่อ ก็ขอให้บริโภคอย่างมีสติ อย่าด่วนตัดสินอะไรง่ายๆ เพราะสิ่งสำคัญไม่อาจเห็นด้วยตา คำสำคัญไม่อาจฟังด้วยหู คนที่บริโภคสื่อก็อยากจะบอกว่า ก่อนเสนอความเห็นอะไรก็ตาม ขอให้แสวงหาความรู้ก่อนให้ความเห็น ขอให้วิจัยก่อนการวิจารณ์ ไม่ใช่เห็นอะไรก็วิจารณ์โพล่งออกไป บางคนทำตัวเป็นนักวิจารณ์โดยใช้ฐานข้อมูลในทวิตเตอร์เพียงประโยคเดียว บางคนเป็นถึงนักวิชาการใหญ่ แต่ไม่น่าเชื่อว่า ฐานข้อมูลสั้นๆ ซึ่งสอยมาจากอินเทอร์เน็ตเพียงประโยคเดียว วลีเดียว บรรทัดเดียว ก็เอามาอ้างอิงในงานวิจัย นี่แสดงให้เห็นถึงความป่วยไข้ทางปัญญา

ฉะนั้น จึงขอฝากนักคิดนักเขียนนักวิชาการด้วยว่า ก่อนให้ความเห็น จงหาความรู้ ก่อนวิจารณ์ จงทำการวิจัย เพื่อที่เราจะได้ผลิตงานทางปัญญาที่มีคุณภาพสู่สังคมไทยของเราได้จริงๆ
............................................................................................................

กำลังโหลดความคิดเห็น