xs
xsm
sm
md
lg

30+แล้วไง? ‘อีฟ พุทธธิดา’ ทายาทคนสวยของต้อย-เศรษฐา ศิระฉายา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

มีพ่อแม่คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิง ทำให้สาวคนนี้ชื่นชอบการร้องเพลงชนิดที่ว่าเจริญรอยตามพ่อมาแบบไม่มีผิดเพี้ยน แถมยังเป็นคนชอบทำงานมาก ไม่ว่าจะงานพิธีกร งานโฆษณา งานเพลง ละครเวที หรือแม้กระทั่งธุรกิจส่วนตัวก็เรียกได้ว่าหยิบจับมาหมดแล้วทั้งสิ้น

“อีฟ- พุทธธิดา ศิระฉายา” ลูกสาวคนเดียวของต้อย เศรษฐา นักร้องรุ่นเก๋าแห่งวงดนตรียุค 60s ดิอิมพอสซิเบิ้ล กับอรัญญา นามวงศ์ หรืออัญชลี ศิระฉายา นักแสดงรุ่นใหญ่มากผลงาน

ด้วยความที่ชื่นชอบเสียงเพลงมาตั้งแต่เด็ก ทำให้สาวคนนี้ก้าวเข้าสู่ถนนดนตรีจนได้ออกอัลบัมแนวอินดี้ในนามว่าไวท์ช็อก ไปเมื่อสิบปีก่อน ซึ่งล่าสุดเธอก็ได้กลับมาทำงานเพลงสะท้อนตัวตนผ่านมุมมองความเป็นตัวเองในซิงเกิลที่ว่า '30+ แล้วไง' กับทางค่ายเพลงสหภาพดนตรี ที่ดูแล้วเซ็กซี่
ทิ้งมาดคุณหนูแบบที่หลายคนคุ้นเคยไปอย่างปลิดทิ้ง

ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ในวัย 30 แต่อีฟก็ยืนยันว่า ตนเองนั้น 30 ยังแจ๋ว
ถามว่าแจ๋วอย่างไร เธอเท่านั้นจะให้คำตอบได้ชัดเจน...

  • ที่มาที่ไปเป็นอย่างไรคะกับการกลับมาออกงานเพลงอีกครั้ง หลังจากหายไปเป็นสิบปี

เมื่อสิบปีที่แล้ว อีฟทำงานเพลงชิ้นแรก แต่เป็นงานอินดี้ ใช้นามปากกาว่าไวท์ช็อก ตอนนั้นอีฟเป็นคนแต่งเพลงแล้วก็ร้องด้วยค่ะ ซึ่งจากโปรเจกต์นั้นจะมีแต่เสียง ไม่มีภาพ เพราะเรายังเด็กๆ อยู่ อีฟเลยรู้สึกว่าอยากให้คนเสพเพลงของเรามากกว่า ดีกว่าฟังเพราะว่าเราเป็นใคร เป็นลูกใคร แค่อยากให้คนฟังเพลงเฉยๆ ค่ะ

หลังจากนั้น พี่กฤษณ์ กฤษณาวารินทร์ ก็ชวนอีฟไปร้องเพลงคัฟเวอร์ เลยทำให้ตอนที่ไปร้องเพลงคัฟเวอร์ คนได้เห็นหน้า แล้วคนก็เลยเข้าใจว่าอีฟร้องเพลงคัฟเวอร์ หลังจากนั้นก็ได้ร้องเพลงคัฟเวอร์มาตลอดเลยในระยะเวลาเกือบ 7 ปี พอเรารู้สึกว่าถ้าเราต้องร้องเพลงคัฟเวอร์ไปเรื่อยๆ มันทำให้เราไม่มีตัวตนของเราสักเท่าไหร่ ประจวบกับที่งานเราเยอะขึ้น ทั้งงานพิธีกรด้วยอะไรด้วย เราก็เลยเลือกที่จะหยุด อีฟคิดว่าถ้าเราต้องร้องเพลงคัฟเวอร์ไปเรื่อยๆ อีฟหยุดร้องดีกว่า เพราะคิดว่าเราสามารถร้องเพลงที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นว่าต้องออกอัลบัมหรืออะไรก็ได้ ถ้ามันยังเป็นคัฟเวอร์อยู่

อีฟตั้งใจไว้ว่าถ้าจะทำเพลงอีกครั้ง อยากจะทำเพลงที่เป็นตัวเอง อธิบายตัวเอง ทั้งตัวเพลง ทั้งภาพลักษณ์ของเรา ซึ่งอีฟโชคดีที่ได้เจอพี่จุ๊บ-พุทธินันท์ ภิรมย์ภักดี ซึ่งทำค่ายเพลงสหภาพดนตรี พี่เขาก็เปรยกับเราเล่นๆ ว่าอยากลองทำดูไหม เรายังอยากร้องเพลงอยู่หรือเปล่า อีฟเลยตัดสินใจทำเพราะว่าผู้ใหญ่เขาอุตส่าห์ให้โอกาส เลยเกิดเป็นเพลงนี้ขึ้นมาค่ะ (ยิ้ม)

  • ชื่นชอบการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่า

ใช่ค่ะ ชอบมาตั้งแต่เด็ก อีฟชอบฟังเพลง แต่จริงๆ แล้ว ตอนแรกก็ไม่ค่อยมั่นใจหรอกว่าตัวเองอยากเป็นนักร้องหรือเปล่า แต่มีจุดหนึ่งตั้งแต่เราเริ่มเขียนเพลงครั้งแรก เราก็เซอร์ไพรส์ตัวเองว่า เฮ้ยเราเขียนเพลงได้นี่หว่า (หัวเราะ) ตอนเด็กๆ อีฟชอบทำอะไรแล้วก็เก็บไว้ เพราะอาย เหมือนกับว่ามันคงไม่ดี เราคงไม่ได้ทำได้ดีขนาดนั้น ก็จะไม่ได้เอามาอวดคนอื่นเท่าไหร่ แต่พอมีเพื่อนที่เขาได้ฟัง ได้ยิน เขาชอบ อีฟเลยรู้สึกว่าจริงๆ เราร้องเพลงได้นะ แล้วก็มีคนให้กำลังใจ ซึ่งตอนหลังมานี่ มีพรรคพวกพี่น้องทั้งหลายอย่างพี่เป็ก วงซีล เป็นคนแรกๆ เลยที่จุดประกายว่าเราทำได้ คอยส่งเสริมให้กำลังใจ อีฟก็เลยกลายเป็นคนสายเพลงไปซะอย่างนั้นเลย แล้วบวกกับสิ่งที่ตัวเองชอบฟังอยู่แล้วด้วย มันเป็นสิ่งที่เราชอบทำแล้วมีความสุข

  • ชอบร้องเพลงแบบนี้ จะเจริญรอยตามคุณพ่อ (ต้อย เศรษฐา) หรือเปล่าคะ

งานเพลงเป็นงานที่อีฟชอบมาก และคิดว่าเป็นศิลปะอย่างเดียวที่อีฟสามารถทำได้ดี เป็นงานศิลปะเดียวที่เราสามารถจะใส่ความเป็นตัวเองได้มากที่สุด ในฐานะศิลปิน เราต้องบอกว่าเราสามารถใส่ตัวเองลงไปได้มากเท่าไหร่ก็ได้ เราก็เลยอยากที่จะทำแบบนั้น ตอนเด็ก พ่อก็ปลูกฝังให้อีฟรักเสียงเพลง พ่อกับแม่อีฟจะบ้าฟังเพลง อาจจะคนละแนว พ่อฟังแนวนี้ แม่ฟังอีกแนว พี่ๆ ญาติๆ จะฟังแนวอื่น ด้วยความที่อีฟเป็นลูกหลานคนเดียว เลยทำให้มีคนช่วยเลี้ยงเยอะมาก แต่ละคนเขาก็จะฟังเพลงคนละแบบ เพราะฉะนั้น อีฟจึงมีโอกาสได้ฟังเพลงเยอะมาก

  • แล้วซิงเกิลล่าสุดนี้ คุณพ่อว่ายังไงบ้างคะ

เขาก็ชอบนะคะ บอกว่าสนุกดี ก็ไม่รู้ว่าเขาให้กำลังใจลูกหรือเปล่านะคะ (หัวเราะ) แต่เขาชื่นชมกับสิ่งที่เราทำค่ะ อีฟเคยถามพ่อนะว่าไม่คิดจะเขียนเพลงบ้างเหรอ อยากให้พ่อแต่งเพลงบ้าง นึกว่าเขาจะมีด้วยซ้ำไป เขาบอกว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาทำไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยทำ แต่อีฟก็เคยยุเขานะว่าจริงๆ พ่อก็น่าจะทำได้ เพราะไม่อย่างงั้น อีฟจะเอามาจากใครกัน พ่อจะบอกตลอดว่าร้องเพลงดีกว่าเพราะถนัดที่จะเป็นผู้ถ่ายทอดมากกว่า อีฟว่าลึกๆ เขาก็ภูมิใจกับเราเหมือนกันนะ เพราะเราสามารถทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำ

  • คุณพ่อได้สอนเทคนิคอะไรเกี่ยวกับการร้องเพลงบ้างไหมคะ

ไม่มีค่ะ (หัวเราะ) มีแต่พ่อไปเรียนร้องเพลงตามเรา คือพ่อจะไม่ค่อยสอนอะไร เพราะเขาให้เหตุผลว่า ที่เขาสอนไม่เป็นเพราะเขาไม่ได้เรียนมา แต่เวลาที่อีฟทำงานเพลง อีฟจะให้พ่อฟังว่าชอบไหม รู้สึกยังไงบ้าง พ่อก็จะอธิบายให้ฟัง ให้เราปรับแก้ พ่อจะมีวิธีการอธิบายโดยร้องให้เราฟังว่า ถ้าเป็นเขา เขาจะร้องแบบนี้นะ อะไรประมาณนี้ค่ะ (ยิ้ม)

  • จากซิงเกิล “30+ แล้วไง” เห็นว่ามีมุมเซ็กซี่ด้วย ทำไมถึงอยากนำเสนอออกมามุมนี้ เพราะนี่คือตัวตนอีกด้านของเราด้วยหรือเปล่า

(ยิ้ม) เป็นผู้หญิง ซึ่งผู้หญิงทุกคนมีมุมเซ็กซี่เป็นของตัวเองอยู่แล้ว บางคนนิยามคำว่าเซ็กซี่ก็คิดว่าตัวเองแต่งตัวจัดๆ แล้วเซ็กซี่ หรืออย่างบางคนไม่แต่งอะไรเลยแล้วเซ็กซี่ ผู้หญิงทุกคนมีมุมเซ็กซี่ของตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอย่างของอีฟมันอาจเป็นมุมที่คนไม่ค่อยได้เห็น ก็เหมือนที่อีฟบอกว่าอีฟก็เอามาอธิบายในความเป็นตัวเองให้มากขึ้นเท่านั้นเอง บวกกับความจริงที่ว่า พอคอนเซ็ปต์มันเป็น “30+ แล้วไง” นี่มันเป็นการแสดงความมั่นใจ

เพราะฉะนั้น การแสดงความเซ็กซี่แบบมั่นใจก็เป็นพาร์ตหนึ่งซึ่งเรานำเสนอได้ว่า เราก็ดูแลตัวเอง เรายังแข็งแรง เรายังดูเด็กได้ อยากให้ดูเด็ก เราก็แอ๊บได้นะ อยากมีวุฒิภาวะ เราก็ขยับไปได้ มันเป็นเพียงการพรีเซนต์เท่านั้นเองค่ะ ภาพมันก็เลยดูเหมือนเซ็กซี่จังเลย แต่ในมุมของอีฟ อีฟกลับรู้สึกว่าถ้าเป็นผู้หญิงด้วยกัน จะเข้าใจว่ามันก็คือมุมหนึ่งของผู้หญิงทุกคนนั่นแหละ

เชื่อไหมคะว่าตั้งแต่ซิงเกิลนี้ออกไป คนที่สนิทหรือคนที่รู้จัก ดูแล้วก็จะบอกว่า โอ๊ย นี่มันแกนิ (หัวเราะ) กับอีกคนที่เคยดูแต่ผลงานที่ผ่านมา เขาก็จะถามว่ารู้สึกยังไงบ้างที่ได้เปลี่ยนลุค เห็นไหมมันเป็นแบบนี้ อีฟก็ได้แต่บอกว่าไม่ได้เปลี่ยนค่ะ มันเป็นเรื่องปกติ ทุกคนก็จะถามว่าพ่อแม่รับได้เหรอ จริงๆ พ่อกับแม่ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยค่ะ เพราะว่าชีวิตจริงเป็นแบบนี้อยู่แล้ว

  • แต่บางที ด้วยโปรไฟล์หรือกระทั่งลุคของเรา ก็ทำให้หลายคนคิดว่าเราจะเหมือนคุณหนูอะไรแบบนั้น

อีฟเป็นคนที่ห่างไกลจากการเป็นคุณหนูมากเลย ถามใครก็ได้ เราเป็นคนมีมาตรฐานการใช้ชีวิต แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่ใช่แบบนั้น อีฟยังทำงานงกๆๆ เห็นไหม แต่คนจะรู้สึกด้วยความที่เห็นภาพไง ภาพอารมณ์พ่อหวง แม่ห่วงอะไรแบบนี้ แต่ในชีวิตจริงมีครอบครัวไหนบ้างที่พ่อแม่ไม่ห่วงลูก มันก็เหมือนกันทุกครอบครัวล่ะค่ะ

  • ไม่ใช่คุณหนู แล้วโดยตัวตนจริงๆ เป็นคนแบบไหนคะ

อีฟเป็นคนตลก มีความมั่นใจ เราแฮปปี้ เรามีความสุขกับตัวเอง พ่อแม่เขารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นยังไง คนที่ไม่รู้และไม่เคยเห็นต่างหากที่เขาเซอร์ไพรส์ นี่แหละถึงเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงกล้าทำ บางคนก็ถามนะคะว่า “ทำไมถึงกล้าทำแบบนี้” “พ่อแม่ยอมเหรอ” ซึ่งอีฟมองว่ามันเป็นความสนุกที่เราได้อธิบายตัวเองให้คนอื่นได้รู้จักเรามากขึ้น แล้วอีฟว่าคนที่รู้จักเรามากขึ้นผ่านชิ้นงานนี้ ก็รู้สึกแฮปปี้มากขึ้นกับตัวเอง อย่างเวลาไปไหน เขาก็จะพูดว่าไม่เคยรู้เลยว่าอีฟมีมุมแบบนี้ด้วย มันเหมือนกับว่าเราสัมผัสกันง่ายขึ้น คนรู้จักเรามากขึ้น (ยิ้ม)

  • นอกจากงานร้องเพลงแล้วตอนนี้ทำงานอะไรอีกบ้างคะ

ตอนนี้เป็นพิธีกร โปรดิวเซอร์ ผู้จัดละคร แล้วก็ทำธุรกิจส่วนตัว เสื้อผ้าของคนกับหมา อาหารเสริม เรียกว่าทำหลายอย่างมากค่ะ (หัวเราะ) ทำในหลายหมวดด้วย อย่างบางคนถ้าเป็นงานบันเทิงก็งานบันเทิงไปเลย แต่เราค่อนข้างทำงานในหลากหลายสาขาหน่อย

  • งานเยอะขนาดนี้ แสดงว่าเป็นคนที่ชื่นชอบการทำงานมากๆ

อย่าเรียกว่าชอบเลย เรียกว่าต้องทำดีกว่า (หัวเราะ) เราเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ดูแลดี เราค่อนข้างจะสบาย อีฟสตาร์ทช้าอยู่เหมือนกันค่ะ เพราะเสียเวลาเที่ยวเล่นหลังเรียนจบค่อนข้างนาน เรียกว่าเราเสียเวลาในการก้าวหน้าทางอาชีพพอสมควร แต่เราอาจจะไปได้ประสบการณ์หรือมุมมองชีวิตอีกแบบหนึ่งแทน

จริงๆ แล้วนาฬิกาปลุกที่ทำให้อีฟตื่นตัวมากที่สุดก็คงเป็นตอนที่คุณแม่ไม่สบายเพราะมันทำให้เรารู้เลยว่าเรามีความพร้อมหรือเปล่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาเราจะสามารถดูแลเขาอย่างที่เขาดูแลเราได้ไหม เราจะต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัวต่อไป เพราะว่าพ่อแม่มีแต่จะอายุมากขึ้นทุกวัน เป้าหมายในชีวิตอีฟตอนนี้ก็จึงมีเรื่องพ่อแม่ เพราะเราไม่ได้มีครอบครัว ถามว่าทำไมช่วงนี้ทำงานหนักขนาดนั้น เพื่อนๆ ซูเปอร์สตาร์ทั้งหลายยังด่าเลยว่าแกทำงานหนักกว่าฉันอีกนะ มันไม่มีเวลาให้คนอื่นจริงๆ (ยิ้ม)

  • ดูเป็นเพอร์เฟกต์เกิร์ล เป็นเวิร์กกิ้งวูแมน

ไม่ค่ะ (ตอบเร็ว และหัวเราะ) อีฟเป็นคนเพี้ยน เป็นคนปกติ เราไม่ใช่คนเพอร์เฟกต์ อีฟมองว่าทุกคนมีจุดดับของตัวเอง แต่เราอาจจะเป็นคนที่มีมาตรฐานในการใช้ชีวิตมากกว่า คือเป็นคนใช้ชีวิตมากนะ ทำงานก็ทำ แต่ถ้าไปเที่ยวนี่ก็ทิ้งเลยนะ ถ้าเวลาไปเที่ยว งานก็จะไม่แตะเลย แล้วก็จะปิดโทรศัพท์ทุกสิ่งอย่าง มีคนเคยบอกอีฟว่า ถ้าเราทำสิ่งเดิมๆ จนอายุ 70 ปี แล้วเราบอกว่านั่นคือการใช้ชีวิต มันไม่ใช่ มันไม่ได้เรียกว่าเราใช้ชีวิต เราแค่ไม่ตายอ่ะ การใช้ชีวิตของอีฟคือเราต้องเติมความตื่นเต้นให้ตัวเองบ้าง เราต้องเติมพลังให้ตัวเองโดยการทำสิ่งที่เรารักเราชอบ แล้วเราก็ต้องมีสิ่งที่เราต้องทำ และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ตัวเองแก่คนที่เรารัก คือเรามีวิธีใช้หรือเปล่า เคยคิดว่าวันหนึ่งถ้าเราต้องเป็นอะไรไปกะทันหัน แล้วเราหันกลับมามองว่า ชีวิตเราได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง เราจะไม่เสียดายเลย

เราก็ต้องยอม เพราะว่าเรายังมีกำลังในการทำอยู่ เราอาจจะทำแบบนี้ได้อีกห้าปี สิบปี มันก็ต้องมีช่วงที่เราต้องเฟดลง เราก็คิดว่า เออ ในเมื่อเรายังทำไหว เราก็ต้องทำ จริงๆ ถ้าเทียบกันแล้วพ่อแม่ก็ทำงานมาทั้งชีวิตเหมือนกัน เขาก็ยังทำอยู่เลย เราก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้แปลกอะไร เราก็ทำเหมือนที่พ่อแม่เราทำนั่นแหละ แต่เราก็มีเป้าหมายในแบบของเรา

อีฟเชื่อว่ามีคนเยอะแยะเลยที่เป็นเหมือนกับอีฟ ซึ่งอีฟไม่ได้อยากให้คนรู้สึกว่าเราเป็นมนุษย์พิเศษ เพราะจริงๆ แล้ว ในสังคมบ้านเราเป็นแบบอีฟเยอะ ทั้งต้องดูแลครอบครัว ดูแลตัวเอง มีความพร้อม มีความเก่ง มีความสามารถแล้วก็ดูแลตัวเองให้สวยได้ในเวลาเดียวกัน มันมีอีกเยอะเลยนะคะ แล้วสิ่งที่อีฟทำอยู่ เหมือนแค่อยากเป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มนี้ พูดจริงๆ นะว่าอีฟจะมีแฟนไม่มีแฟน แต่งงานไม่แต่งงาน อย่างน้อยที่เราเกิดมา ก็ไม่ได้หายใจทิ้งไปวันๆ (ยิ้ม)

  • มีวิธีคิดหรือหลักในการทำงานอย่างไรบ้างคะ

ถ้าวิถีในการทำงาน หรืออุปนิสัยที่เราใช้ในการทำงาน อีฟจะได้จากพ่อแม่ที่เขาคอยเป็นแบบอย่าง เราจะต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนตรงต่อเวลา ยืดหยุ่น คือยืดเขาบ้าง เมื่อถึงคราวของเรา เขาจะได้ยืดให้เราบ้าง อะลุ่มอล่วย ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ อีฟเป็นคนที่อารมณ์ค่อนข้างจะปรี๊ดปร๊าดนะ แต่เวลาทำงาน เรารู้ว่าอารมณ์มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา แต่ส่วนตัวอีฟจะมีความเฉียบขาด คนส่วนมากที่เขารู้สึกว่าอี๊ฟดุจังเลย เพราะไปเจอกับความเฉียบขาดมากกว่า

  • เขาว่ากันว่าผู้หญิงเก่งมักหาแฟนยาก กลัวบ้างไหม

อีฟว่าทุกเพศแหละ อีฟคิดว่ามันเป็นเรื่องที่หาคนดีมันไม่ได้ยาก แต่หาคนที่ใช่มันยาก ยิ่งเราโตขึ้นทุกวัน เรารู้ว่าชีวิตเราต้องการอะไร ถ้าเจออะไรที่ไม่ใช่ เราก็จะไม่ลังเลหรือกลัวที่จะถอยออกมา อีฟรู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันถูกนะ ถ้าเราเป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตดีอยู่แล้ว ไปเจออะไรที่มันไม่ใช่ ก็ไม่รู้ว่าเราจะไปเสียเวลาทำไม มันก็เหมือนว่าเราไปเจออะไรที่เราได้ลองแล้ว แต่มันไม่ใช่ เราก็ถอยออกมาดีกว่า ก็ให้เขาไปใช้ชีวิตของเขา เรามาใช้ชีวิตของเรา อันนี้พูดจากประสบการณ์เลย ซึ่งอีฟก็เคยเหมือนกันที่พยายามอะไรนานๆ อีฟได้เรียนรู้ว่าการพยายามนานๆ กับการพยายามสั้นๆ เนี่ยอะไรที่มันไม่ใช่ มันก็คือไม่ใช่ค่ะ

  • ท้ายนี้ ด้วยวัย 30 คิดว่าตัวเอง 30 ยังแจ๋ว เหมือนกับที่ได้ถ่ายทอดออกมาในซิงเกิล '30 แล้วไง' ไหมคะ

แจ๋ว (ตอบเร็ว) แจ๋วมากด้วย อีฟว่าเป็นวัยที่ดีที่สุดแล้วล่ะ ถ้าพูดกันจริงๆ ก็คือ ด้วยความพร้อม ด้วยหน้าที่การงาน ด้วยเป้าหมายในชีวิตที่เรามี หรือด้วยประสบการณ์ที่เราผ่านมา ไปจนถึงกำลังด้านความคิด ทั้งกำลังกาย กำลังใจ มันทำให้เรามีความพร้อม แล้วอีฟว่าชีวิตช่วงนี้ เราสามารถใช้มันได้คุ้มค่ามากที่สุดค่ะ (ยิ้ม)

5 สิ่งนี้อีฟปลื้มที่สุด

ชอบสีชมพู
“จริงๆ ถ้าบอกไปแล้วจะขำ เพราะเมื่อก่อนอีฟพยายามหาตัวเองตั้งแต่เด็กแล้วว่าตัวเองชอบสีอะไร เด็กๆ จะบอกเลยว่าเราไม่ชอบหรอกสีชมพู เพราะสีชมพูเป็นสีผู้หญิง แบบว่า แหยะ ไม่เก๋เลย ใครๆ ก็ชอบสีชมพู เราไม่ชอบอะไรทำนองนี้ (หัวเราะ) ซึ่งตอนเด็ก อีฟจะบอกว่าตัวเองชอบสีน้ำเงิน เราอยากเป็นผู้หญิงเท่ พอตอนนี้อายุ 30 ปีแล้ว เราไม่กลัวเลยที่จะยอมรับตัวเองว่าเราชอบสีชมพู โอเคป่ะ เป็นผู้หญิงชอบสีชมพู” (หัวเราะ)

“ดอกกุหลาบ”
“เรื่องดอกไม้ก็เหมือนกัน เด็กๆ บอกกับตัวเองว่าเราต้องชอบดอกเดซี่ เพราะดอกเดซี่เป็นดอกไม้ที่มีความบอบบาง แต่มีความแข็งแรงในตัวของมัน พยายามหาเหตุผลมาอธิบายมากมาย แต่ตอนนี้พูดได้เต็มปากว่าชอบดอกกุหลาบ เป็นคนบ้านๆ ง่ายๆ เลยค่ะ” (หัวเราะ)

Enjoy Eating
“อีฟมีความสุขกับเรื่องกิน เพราะเป็นคนชอบกินมาก กินได้หมดทุกอย่าง ไม่อร่อยก็กินได้ แต่ถ้าเลือกได้ ก็จะพยายามเลือกกิน”

เสน่ห์ปลายจวัก
“อีฟชอบทำอาหาร ถ้ามีเวลาหรืออยากเอาใจใครสักคน จะใช้วิธีเข้าครัวนี่แหละ (ยิ้ม) เพราะเป็นวิธีเดียวที่ทำเป็น การทำอาหารเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุขมาก มันเป็นวิธีการทำสมาธิของอีฟเพราะส่วนตัวแล้วอีฟเป็นคนทำสมาธิไม่เป็น นั่งสมาธิไม่ได้ นั่งแล้วก็หลับ ไม่สามารถทำได้ เคยลองทำมาแล้ว พยายามทำแล้วแต่ก็ทำไม่ได้”

'เดินทาง' บำบัดจิตใจ
“เป็นคนชอบเที่ยวมากอยากมีเวลาเที่ยวให้มากกว่านี้ การเดินทางเป็นวิธีบำบัดของอีฟเลย ซึ่งจริงๆ แล้วเหนื่อยกว่าเดิมด้วยนะ เราไปเที่ยวที กลับมาก็...เนื้อยเหนื่อย แต่อยากไปเพราะว่าเป็นโรคจิต อีฟไม่ได้เที่ยวแบบคนทั่วไป ไปชอปปิ้งหรืออะไร แต่อีฟชอบไปเที่ยวแบบทรมานทรกรรม ต้องลากสังขารไปตรงนั้นตรงนี้ (หัวเราะ) อีฟอยากเห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกให้ได้เยอะที่สุดก่อนที่จะตายค่ะ อีฟมองว่าโลกเรามีอะไรที่มหัศจรรย์ค่อนข้างเยอะ อยากมีโอกาสเดินทางไปเห็นสิ่งเหล่านี้ก่อนที่มันจะเสื่อมสลายไป”

...................................................................................................

3 สิ่งนี้ กลัวที่สุด

งู
“เป็นคนกลัวงูมาก มากๆๆๆ (เน้นย้ำ) มากถึงขนาดที่ว่าเห็นรูป เห็นอะไรไม่ได้เลย สมัยก่อนจะมีตึกอังกฤษตรางูอยู่พระรามเก้า เวลาจะขึ้นทางด่วน ทุกครั้งอีฟจะไม่ชิดซ้าย เพราะว่านอยด์ หลอน โลโก้ก็กลัว กลัวหมด กลัวทุกอย่างที่เกี่ยวกับงู บางทีที่ผ่านศาลเจ้าแม่งูจงอางที่พระรามสอง เคยตั้งใจเหมือนกันนะคะ ด้วยความที่กลัวจัด กลัวจนบางทีรู้สึกว่ามันอันตรายกับตัวเรา เพราะว่าเราเห็นแล้วจะสติแตกเลย เคยคิดจะเลี้ยวเข้าไปที่ศาลหลายครั้ง แต่ทำใจไม่ได้เพราะรู้ว่าเข้าไปก็ต้องมีตุ๊กตานู่นนี่นั่น (พูดแล้วขนลุก) เราต้องตายแน่ เพราะแค่คิดก็จะแย่แล้ว ทุกครั้งที่ขับผ่าน เลยใช้การอธิษฐานเอาค่ะ อยากจะเข้าไปอธิษฐานขอท่าน ขอให้เราไม่ต้องกลัวอีก ขอให้แคล้วคลาดกันตลอด หรือทุกครั้งที่ทำบุญ อีฟก็จะนึกถึงงูเป็นสิ่งแรกว่าขอให้อย่าเจอ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน” (หัวเราะ)

คนขี้โม้ ขี้คุย เห็นแก่ตัว
“ขี้โม้ ขี้คุยจะไม่ชอบ อีกประเภทคือคนเห็นแก่ตัว ซึ่งก็ไม่น่าจะมีใครชอบ อีฟเคยมีประสบการณ์กับคนพวกนี้บ้าง มาถึงก็พรีเซนต์ตัวเองว่าผมอย่างนั้น ชีวิตผมอย่างนี้อย่างนั้น เราก็จะรู้สึกว่าคุณอาจจะขับรถคันละเท่าไหร่ก็ตาม แต่คุณไม่เคยเห็นนกนางแอ่นบินออกจากโพรงเป็นหมื่นๆ ตัวแบบที่อีฟเคยเห็นมา อีฟจะบอกว่าถ้าคุณไม่เคยใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ คุณไม่ควรจะคุย ถ้าคุณไม่เคยใช้ชีวิตแทนคนเป็นร้อยคน หมื่นคน ล้านคนบนโลกให้ครบได้เนี่ย อย่ามาคุยเลย คุณไม่มีอะไรให้คุยหรอก น่าเบื่อคนแบบนี้ จริงๆ คนพวกนี้เขาอาจจะไม่ได้เป็นคนนิสัยไม่ดี แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับเรา”

ภัยธรรมชาติ
“เป็นคนกลัวภัยธรรมชาติ กลัวแผ่นดินไหว น้ำท่วม โลกแตกกลัวหมด” (หัวเราะ)



Profile
ชื่อ : พุทธธิดา ศิระฉายา
ชื่อเล่น : อี๊ฟ
วันเกิด : 4 มิถุนายน 2526
ผลงาน : ซิงเกิล 30 แล้วไง ดาวน์โหลดได้ที่ *492 222 กด 69, ละครเวที เรื่องขอให้เหมือนเดิมสุนทราภรณ์เดอะมิวสิเคิล, รายการสุขภาพแจ๋ว, ธุรกิจส่วนตัวต่างๆ
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : ปวริศร์ แพงราช

กำลังโหลดความคิดเห็น