xs
xsm
sm
md
lg

อ่านความคิด..เภา-รัฐพล ผู้ถูกมองว่า 'ปิดทองหลังพระ' บอดี้สแลม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เปิดใจ...หนึ่งขุนพลบอดี้สแลมยุคบุกเบิก “เภา-รัฐพล”
ที่หลายคนมองกันว่าเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองตัวสำคัญ
ที่ร่วมแผ้วถางเส้นทางและนำพาชื่อชั้นของบอดี้สแลมให้ลือเลื่องในยุคแรกเริ่ม
เขาอาจอยู่ไม่ถึงยุคแห่งการ “ออกไปแตะเส้นขอบฟ้า”
แต่บอกได้ว่า ถ้าคุณคิดจะสมาทานตนเองเป็นแฟนคลับของบอดี้สแลม
นี่คืออีกหนึ่งชื่อ ที่ไม่ควรละเลย!
.............................................................................
คงไม่จำเป็นต้องสืบสาวเล่าย้อนอันใดให้มากความ สำหรับข่าวคราวการยกเลิกคอนเสิร์ตของวงป็อปร็อกซึ่งถือว่าโด่งดังที่สุดวงหนึ่งของบ้านเราอย่างบอดี้สแลม ที่ตกเป็นข่าวอึกทึกเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า ซึ่งพาไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์แตกต่างหลากหลาย ทั้งเนื้อหาและความคิดเห็น ว่ากันไปต่างๆ นานา

กระทั่งการเดินทางมาของความคิดเห็นจากคนผู้หนึ่ง ซึ่งทำให้หลายต่อหลายคนหยุดปุ่มเมาส์ในมือที่กำลังลากอย่างเมามัน เพื่อพินิจคิดอ่านตามทัศนะของคนคนนั้นบนไทม์ไลน์...
“เภา-รัฐพล พรรณเชษฐ์” คือชายที่เรากำลังกล่าวถึงนี้

...หลายปีที่ผ่าน อดีตสมาชิกของบอดี้สแลมคนนี้ อาจหายหน้าหายตาไป และอยู่กับตัวเองเงียบๆ กับคนรัก กับลูก และกับธุรกิจที่หล่อเลี้ยงชีวิต กระนั้นก็ตาม เขาก็ยังเฝ้ามองความเป็นไปในวงการดนตรีอย่างคนที่มีดีเอ็นเอแห่งความรักชอบในเสียงเพลง อยู่ในสายเลือด

หลังจากความดุเดือดเผ็ดร้อนแห่งกระแสแคนเซิลคอนเสิร์ตของผองเพื่อนบอดี้สแลม เริ่มลดอุณหภูมิลง เราตรงเข้าไปผู้ชายคนนี้ ไถ่ถามเรื่องราวต่างๆ

“ขอบฟ้า” ของเขา ยังมีอยู่ไหมที่จะไปแตะ
ปัจจุบันของเขา หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับเรื่องใด
และที่จะละเลยไม่ได้โดยเด็ดขาด ก็คือ
เขารู้สึกนึกคิดแบบไหน?
ไม่ว่าจะต่อความเป็นไปของวงการเพลงยุคนี้
หรือกระทั่ง ต่อสหายเก่าเพื่อนซี้ อย่าง “บอดี้สแลม”....

• ย้อนไปตอนที่โพสต์ข้อความนั้นในเฟซบุ๊กขณะที่บอดี้สแลมยกเลิกคอนเสิร์ต ตอนนั้นมีการพิจารณายังไงถึงตัดสินใจบอกกล่าวไปแบบนั้น
 
คือเราได้อ่านจากหลายๆ ที่ แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมกับวงเท่าไหร่ เพราะว่าทุกฝ่ายก็พยายามทำและแก้ไขอย่างเต็มที่แล้ว แล้วก็มันมีจุดหนึ่งที่เราเขียนว่า ‘ถ้าเกิดทุกคนรู้สึกเจ็บปวดหรือแย่ขนาดนั้น แล้วไม่คิดเหรอว่าวงเขาจะไม่รู้สึก’ ง่ายๆ เลย ถ้าเกิดเป็นเราบ้าง มันก็คงไม่ต่างกัน อุตส่าห์ทำคอนเสิร์ตซะขนาดนี้แล้ว กลายเป็นว่าไปไม่ถึงจุดที่ฝัน คนที่อยู่ในวงก็คงรู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน

แต่มันกลายเป็นว่า คนที่โพสต์ข้อความในโลกออนไลน์ กลับพูดถึงเรื่องว่า ‘จะไปแคร์เค้าทำไม เค้าได้เงินตั้งเยอะแยะ รวยไม่รู้เท่าไหร่แล้ว’ หรือบางคนก็จะบอกว่า ‘พี่เภาไม่ต้องไปช่วยหรือสงสารเขาหรอก เงินในบัญชีมีเป็นร้อยล้านแล้ว’ คือมันเกี่ยวกันเหรอ ผมว่ามันเป็นคนละเรื่องกันเลยนะ คือเรื่องที่เขาประสบความสำเร็จก็เป็นอีกเรื่อง
 

• ถามว่า แล้วเราควรจะมองสถานการณ์ดังกล่าวด้วยมุมมองแบบไหนจริงๆ
 
ประเด็นแรก มองแบบพื้นๆ เลย คือ มันเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ มันไม่ได้เป็นเรื่องของขาลง เพราะว่าถ้าเกิดมองว่าเป็นขาลงแล้วทัวร์เลยล่ม ถามว่าแล้วใครจะทำได้ คือถ้าในมุมมองของเรา บอดี้สแลมก็เป็นวงที่ประสบความสำเร็จที่สุดแล้วในช่วงเวลานี้ ดังนั้น คงไม่แปลกใจ ถ้าเกิดเขาทำไม่ได้ คนอื่นก็ไม่น่าจะทำได้ด้วย

อีกอย่างผมคิดว่า เรื่องนี้มันได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนะ ทั้งสมาชิกในวง และคนที่เป็นแฟนเพลง เนื่องจากเขาก็จะได้รับพลังและความรู้สึกที่ดี เหมือนกับคนที่ไปดูคอนเสิร์ตทุกคอนเสิร์ต คือต่างคนต่างช่วยกัน ก็เลยรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมนะ สำหรับวง

• กรณีนี้ เหมือนกับว่า ตัวเรายังมีความห่วงใยกับวงอยู่
 
คือมันเป็นเพื่อนกันน่ะ แล้วบังเอิญ กรณีนี้มันเป็นเรื่องที่คนพูดเยอะ อย่างเวลาที่เราทำงานออนไลน์แล้ว บางทีในฟีดเฟซบุ๊กก็มีแต่พูดเรื่องนี้ มีทั้งคนชม คนว่า คนนู่นนี่นั่น แต่เราก็ไม่ได้ว่าไม่ดีนะ เพราะที่เราเขียนไว้ ก็เข้าใจแหละว่า ความเห็นของคนมันต้องเอามานั่งฟังบ้าง เพราะต่างคนต่างความเห็น จะให้เขามาคิดเหมือนเราทั้งหมดมันก็ไม่ได้ เราก็เข้าใจบางคนที่ซื้อบัตร 1,500 บาท แล้วอยู่ดีๆ ก็มาลด ซึ่งทางผู้จัดก็พยายามแก้ไข แต่มันกลายเป็นว่ามันพลาดตั้งแต่ตรงที่ลดราคาบัตร คนก็ออกมาว่า แล้วพอจะแก้ไขอีกที มันก็กลายเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุไปแล้ว ซึ่งมันอาจจะไม่ดีที่สุด แต่ความรู้สึกมันก็เจ็บปวดน้อยที่สุดนะ ถ้าอย่างงั้น จะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ดีที่สุด ผมว่าก็เหมือนกับย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น นั่นคือการคืนบัตร มันก็น่าจะดีที่สุด ประมาณนี้

กับเรื่องนี้ เราก็เข้าใจนะครับ เพราะเราก็เคยอยู่จุดนั้นมาก่อน แต่เรามองว่า งั้นมาฟังในมุมมองที่เรารู้สึกกับตัววงบ้างไหม ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่ไม่ต้องยกเลิกคอนเสิร์ต แต่มีการตีกันแล้วยกเลิก เราก็ยังเซ็งเลย เรารู้สึกว่า แล้วคนที่มารอฟังล่ะ บางคนเขียนจดหมายมาหานะว่ารู้แล้วว่าจะมาจังหวัดนี้ หรือบางคนก็เดินทางไกลมา คือตั้งความหวังมากๆ ว่าจะมาดู แต่ปรากฏว่ามาดูแล้วมีคนตีกัน เล่นไปได้สามเพลงก็ต้องเลิก เป็นเรายังเสียความรู้สึกเลย แล้วคนที่อุตส่าห์มาดูเราล่ะ มันคงต้องเศร้าเซ็งมากเลย เราก็มองในอีกมุมหนึ่งนะ ว่าวงก็เจ็บปวดเหมือนกัน คือลองมองมุมกลับ ทุกคนเสียใจหมด ดังนั้น มาช่วยกันให้กำลังใจดีกว่า คือเรื่องแบบนี้ ไม่มีใครไม่เสียใจนะ
 

• ย้อนกลับไปนิดหน่อย เพราะอะไรตอนนั้น คุณถึงตัดสินใจออกมาจากบอดี้สแลม ซึ่งถือว่ากำลังรุ่งเรืองมากๆ ในยุคนั้น
 
ถ้าให้พูดตามตรง ณ วันนั้น ทัศนคติก็ไม่ตรงกันจริงๆ ทั้งเรื่องแนวคิดและวิธีการเล่น ซึ่งพอกลับไปมอง ผมว่ามันก็ดีกว่า เพราะ ณ วันนี้ เราก็มีความสุขดี คือคนส่วนใหญ่ เค้ารู้สึกว่าสงสารเรา เราก็รู้สึกว่าทำไมต้องสงสารเราด้วยวะ คือเหมือนกับว่าเราเป็นฝ่ายอึดอัด เวลาที่ต้องไปเจอใคร และเจอคำถามว่าทำไมออกมาล่ะ ตอนนี้วงก็ดังมากเลยนะ คือจากที่ไม่คิด ก็กลายเป็นคิดเลย เพราะตอนแรกที่ออกมา ก็ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่กลายเป็นพอคนมาพูดมากๆ เราก็มีความคิดว่า กูตัดสินใจผิดขนาดนั้นเลยเหรอ ซึ่งผมว่ามันไม่ใช่เรื่องนั้น เพราะคนเรามีความสำเร็จหรือจุดมุ่งหมายที่ต่อให้เป็นสิ่งเดียวกันด้วยซ้ำ แต่ว่ามีทางเดินไปในหลายแบบ คือเราไม่จำเป็นต้องเดินในแบบเดียวกันก็ได้ อ้อมไปทางนี้ก่อน แล้วค่อยวนกลับมาก็ได้ มันมีหลายเส้นทาง

กระนั้นก็ดี แม้จะออกมาจากวงแล้ว แต่ทุกวันนี้ ก็คล้ายๆ ว่า คุณยังคอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ
 
รู้สึกเหมือนว่าเป็นแฟนเพลงคนหนึ่งครับ คอยฟัง เพราะเพลงของวงก็แทบจะได้ยินทุกวัน แล้วช่วงหลัง ผมก็ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับเพลงเท่าไหร่ ยังมองว่า จากที่ฟังมาในชุดล่าสุด (ดัม-มะ-ชา-ติ) มันก็มีมิติอยู่นะ ผมก็งงนะว่าทำไมถึงว่ากัน เพราะว่าอย่างที่ตอนเพลง ‘เรือเล็กควรออกจากฝั่ง’ออกมาใหม่ๆ ผมรู้สึกได้เลยนะว่าเพลงมันมีพลังดี พอเพลงต่อมา (ดัม-มะ-ชา-ติ) ก็รู้สึกว่าอาจจะยากขึ้นมาแล้ว แต่เราก็มองว่า เพลงในอัลบั้มมันต้องมีแบบนี้บ้าง ไม่งั้นคงเลี่ยนตาย

ผมมองว่า ชุดล่าสุด ถือเป็นพัฒนาการ การเติบโตของวง มันไม่ได้ถึงขนาดไม่อยากฟัง คือถ้าอยู่ในซีดี เราก็ไม่กดปุ่มข้ามแทร็กนะ เพราะมันก็ยังมีความเพราะอยู่ และเราก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเบื่อ มีกลิ่นใหม่ และเป็นความท้าทายของวง ถ้ามาฟังเพลงแบบ ‘สติ๊กเกอร์’ เป็นสิบเพลง เราว่ามันก็เลี่ยนนะ มันต้องมีเสริมอะไรแบบนี้บ้าง
 

ทุกวันนี้ รู้สึกยังไงบ้างกับความเป็น “บอดี้สแลม”
 
เอาง่ายๆ เลยว่า ถ้าบอดี้แสลมยังเล่นเพลงเหมือนตอนสองอัลบั้มแรกนะ เราก็เชื่อว่าเขาจะไม่มาถึงจุดนี้หรอก เพราะมันย่ำอยู่กับที่ จะมีเหรอที่ว่าวงดนตรีที่ไม่มีการพัฒนาเลย แล้วมันจะเป็นวงในตำนาน แล้วเล่นเพลงเหมือนเดิมตลอด ไม่มีการเติบโตขึ้นตามวัย หรือเนื้อหาไม่เข้มข้นขึ้น ไม่มีหรอก คือถ้าเขาอยู่จุดเดิม เขาก็คงมาไม่ถึงจุดนี้ ดังนั้น สิ่งที่เขาทำ ผมว่ามันเจ๋งและดีแล้วนะ

• รู้สึกไหมว่า จากข้อความดังกล่าวที่คุณโพสต์ไป มันช่วยลดกำแพงบางอย่างลง ในเรื่องความสัมพันธ์ เพราะหลังจากนั้นก็เห็นคุณโพสต์ภาพคู่กับตูน
 
จะบอกว่า เรารู้สึกดีมากเลยนะ คือก่อนหน้านี้ เหมือนกับว่าต่างคนต่างที่จะไม่กล้าที่จะคุยกันเต็มที่ แต่จริงๆ ก็มีคุยบ้างแหละ เราไม่ได้ทะเลาะกัน ยังไปเตะบอลกันปกติ แต่มันเหมือนว่ายังมีกำแพงบางๆ ที่กั้นอยู่ เช่น ตูนจะคิดยังไงกับเรานะ เราก็ไม่กล้าเต็มที่ คืออาจจะไม่เหมือนเมื่อก่อนร้อยเปอร์เซนต์ แต่พอหลังจากเหตุการณ์นี้ มันเหมือนกับปลดล็อกเลย ทำให้รู้สึกว่า อะไรที่มันค้างคาใจในอดีตมันหายไป ตอนนี้มันโล่งแล้ว แล้วมันก็เหมือนย้อนกลับไปในสมัยที่เป็นเด็กๆ เป็นช่วงวัยรุ่นที่ไม่ได้มานั่งคิดเรื่องงาน จะเป็นแบบมีอะไรก็มาคุยกัน มีเพลงอะไรก็มาแบ่งกันฟัง มันกลายเป็นแค่นั้นเลยง่ายๆ บวกกับเราก็โตเป็นผู้ใหญ่ซะจนแบบว่ามีลูกแล้ว (ยิ้ม) และมันก้าวข้ามจุดตรงนั้นมาหมดแล้ว ก็เลยรู้สึกดีที่ได้มาคุยเปิดใจกันอีกครั้ง

อย่างรูปที่ถ่ายกับตูน ก็ยืนยันได้ว่าโอเค มันเหมือนว่า เหมือนกับเราคบกับคนรักมาสิบปี จริงๆ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่คุยกันแล้ว เลยรู้สึกว่าเรื่องนี้ก็มีส่วนช่วยเหมือนกัน คือเมื่อก่อนก็คุยอยู่ แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา มันกลายเป็นว่า ไม่มีอะไรแล้ว โล่ง เคลียร์เลย

• ตอนนี้เห็นว่ามีธุรกิจร้านเสื้อผ้าด้วย เป็นอย่างไรบ้าง
 
โดยรวมก็ถือว่าดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ แต่ช่วงนี้อาจจะตกบ้างเพราะเศรษฐกิจ แต่ถ้าย้อนไปตั้งแต่ช่วงแรกๆ ก็ถือว่าดีมากและโชคดีครับ ที่เราเริ่มในรูปแบบนี้ มาตั้งแต่ช่วง 6-7 ปีก่อน ในตอนที่ระบบออนไลน์ไม่เฟื่องฟูขนาดนี้ บวกกับ ณ ขณะนั้นก็ถือว่าค่อนข้างที่จะเป็น เหมือนเป็นรายใหญ่ที่ขายในออนไลน์ แล้วคนส่วนใหญ่เขาก็จะรู้จักกัน เลยถือว่าโชคดีที่ถือว่าตอนนั้นก็ขายดี แต่พอหลังๆ มา ก็มีร้านที่เริ่มเปิดเยอะเต็มไปหมด

• คือเรากล้าพูดได้เลยว่าว่าเป็นเบอร์แรกที่ขายเสื้อผ้าในรูปแบบนี้
 
น่าจะประมาณนั้น ที่มีเว็บไซต์และการจัดการเป็นระบบ และมันเป็นระบบที่เป็นของเราเอง เนื่องจากเราเขียนขึ้นมาเองเลย ทั้งรายชื่อจอง รายชื่อพรีออเดอร์ มีการตัดสต็อกอัตโนมัติ คือแตกต่างจากเว็บอื่น ที่ยังเป็นสำเร็จรูปที่เป็นพวกนี้ ระบบของเราจะมีแบบรายชื่อจอง ถ้าคนนี้หายปุ๊บ ตัดสต็อกอัตโนมัติ แล้วคนนี้ได้แทน คือเราทำคือเพื่อตอบสนองให้มันตรงจุดจริงๆ เพราะ ลูกค้าออนไลน์ สมมุติมีลูกค้ามากดสั่งซื้อ 100 คน คนซื้อจริงๆ จะมีประมาณแค่ 50% ซึ่งถ้าเราไม่ทำระบบให้มันดีๆ สต็อกมันก็จะปั่นป่วน เราก็ถือว่าเป็นรายแรกๆ ที่ทำเป็นระบบ และชัดเจน

แต่ว่าเราก็ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ เพราะปัจจุบันนี้มีร้านเยอะมาก แล้ววัยรุ่นสมัยใหม่ เด็กวัยรุ่นที่ไฟแรงๆ ทำกันเยอะแยะไปหมดเลย แล้วก็เรื่องแฟชั่น มันต้องตามเทรนด์ อัปเดตใหม่สดตลอดเวลา คือวัยรุ่นก็มีปฎิกิริยาที่ตอบสนอง หรือมีไอเดียที่ใหม่กว่าเรา เอาง่ายๆ คือ ไม่หยุดน่ะ ต้องดูเว็บไซต์แล้วก็ต้องหาอะไรใหม่ๆ เพื่อตอบสนองลูกค้าต่อไป
 

• ฟังมาว่า การมีวีดีโอแนะนำสินค้าของร้าน ถือว่าเป็นจุดเด่นของร้านนี้เลยนะ
 
การทำวีดีโอแนะนำสินค้าของร้าน หรือการถ่ายรูป ทำอาร์ตเวิร์ก ทั้งหมดคือสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ เพราะมันเกี่ยวนะ เหมือนกับงานศิลปะทุกแขนง มันมีจุดบางจุดที่ใช้ด้วยกันได้หมด อย่างตอนที่ทำเพลง มันก็มีเรื่องของไอเดียที่ว่า ทำยังไงให้มันแตกต่าง ทำยังไงให้มันมีลูกเล่น การทำธุรกิจก็เช่นกัน

บางที การที่เราเคยทำเพลงหรือว่าทำอะไรมา มันทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์อยู่พอสมควร แล้วเราก็ไม่ชอบทำให้เหมือนกับตลาด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรามีรูปแบบของเรา พูดจริงๆ เราก็ต้องไปดูต่างประเทศอยู่ สมมุติว่า ตลาดที่เรากำลังแข่งขันอยู่มันเป็นแบบนี้ แต่ว่าเราก็ไม่ได้เป็นเหมือนตลาด โอเค เราอาจจะได้แรงบันดาลใจมาจากต่างประเทศหรือคนนั้นคนนี้ แต่ถึงที่สุด เราก็ต้องฉีกจากตลาดที่กำลังแข่งขันอยู่

เรื่องธุรกิจ ถือว่าเปลี่ยนชีวิตไปจุดหนึ่ง การมีลูกส่งผลอย่างไรบ้างต่อตัวคุณ
 
เปลี่ยนไปเยอะเลยครับ จากเมื่อก่อน ตอนเราเป็นวัยรุ่น เราจะมีความฝัน บางทีมันก็มีหลายความฝัน หลายจุดมุ่งหมายเต็มไปหมดเลย เพราะวัยรุ่นจะมีคิดอะไรเยอะๆ อย่างเช่น วันนี้ดูบอยแบนด์เกาหลี อยากเต้นเป็นเกาหลี หรือว่าวันนี้ เห็นวงเท่ๆ เล่นดนตรีสามชิ้นแล้วอยากเล่นกีต้าร์ อะไรแบบนี้ แต่พอมีลูก จุดมุ่งหมายมันมีอันเดียวเลยจริงๆ เพื่อลูก จุดมุ่งหมายมีแค่นั้นจริงๆ

คือตอนนี้ ต่อให้เราทำอะไรก็ตาม เราจะคิดก่อนว่า โอเคมั้ย ครอบครัวอยู่รอดมั้ย เราทำแล้วทำได้ดี ประสบความสำเร็จมั้ย มันจะได้เงินกลับมามั้ย เราจะเลี้ยงลูกได้มั้ย มันมีอยู่แค่นั้น ซึ่งมันดีนะครับ ผมว่ามันทำให้คนเรามีความหวัง คือการมีเขา มันไม่ใช่ภาระนะ เพียงแต่ว่าลูกเป็นคนที่ทำให้เรา กระตุ้นให้เรามีไฟที่จะทำอะไรก็ตาม ทุกอย่าง

• คิดว่าลูกของเรา มีดีเอ็นเออะไรที่เหมือนกับเราบ้าง
 
น้องไอติมจะเป็นคนดื้อเงียบและขี้อาย ไม่ค่อยกล้าเข้าสังคมมาก (ยิ้ม) เพราะตอนเราเป็นเด็ก ก็จะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่าเวลาที่ถามเขา คือเหมือนน้องจะรู้คำตอบ แต่จะไม่ยอมตอบคำตอบที่เราอยากให้เค้าตอบ เช่น อันนี้คือลูกแอปเปิ้ล เราถาม แต่เขาจะไม่ตอบว่าเป็นลูกแอปเปิ้ล คือจะตอบไปอีกอย่าง แล้วก็หัวเราะเยาะเรา (หัวเราะ) คือเราจับจุดได้ว่าเหมือนเรามากเลย จากนิสัยที่เราชอบแกล้ง แล้วก็มีความเป็นคนขวางๆ นิดๆ แต่ว่าชอบคิดอะไรให้มันต่างๆ ซึ่งแม้แต่ครูที่โรงเรียนก็ยังบอกเลยว่า เขาจะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง ชอบทำอะไรที่คนอื่นเค้าไม่ทำกัน ไม่ชอบทำอะไรที่ตามๆ เพื่อน

อย่างเช่นครูบอกให้ทำแบบนี้กันทุกคน เช่น เป็ดตัวนี้ มันต้องเป็นสีเหลือง แต่เขาก็ไม่ยอมให้มันเป็นสีเหลือง ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นสีนี้ แต่เค้าก็จะไม่ยอมระบายว่าเป็นสีเหลือง คือเหมือนว่าดื้อในแบบที่คิดต่าง แต่ก็มีฟังในเรื่องที่สำคัญ อย่างเช่น ถ้ากินอาหารแล้วทิ้งขว้างหรือโยนทิ้ง อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องคิดต่างแล้ว มันเป็นเรื่องของความไม่ถูกต้อง เพราะอาหาร กว่าจะหามาได้ เราก็จะสอนว่าหนูทิ้งอาหารแบบนี้ไม่ได้นะ แล้วเปิดสารคดีพวกเด็กเอธิโอเปียให้ดู และสอนเค้าว่า พวกเขาไม่มีอาหารกินนะ น่าสงสารขนาดไหน นอนแบบแมลงวันตอม ตัวผอมแห้ง แล้วหนูไปโยนทิ้งได้ยังไง

คือคิดต่าง มันก็มีกรอบของมัน ก็คือต้องให้อยู่ในกรอบ แต่ในสิ่งที่เขาคิดต่างได้ ก็อยากให้เค้าคิดต่าง ตรงนี้แหละที่เราคิดว่าค่อนข้างเหมือนเรามาก

• ฟังๆ ดู เหมือนจะเป็นแฟมิลี่แมนเลย
 
ก็มากขึ้นนะ (หัวเราะ) เพราะก่อนมีลูก ก็ไม่คิดว่าจะเป็นผู้ใหญ่ได้เท่านี้ จริงๆ เราเริ่มรู้สึกมันจากตอนที่เรากลับไปเจอเพื่อนๆ ที่ยังไม่มีลูก ไม่มีอะไร เรารู้สึกว่า ความคิดของเขาไม่เหมือนกับเราแล้ว อย่างล่าสุด เรารู้สึกผิดมากเลย ที่อยู่ดึกๆ รู้สึกว่า ถ้าเกิดกลับมาแล้ว นอนไม่พอ เช้ามาก็ไปส่งลูกไม่ได้ พอมีลูกแล้ว ก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นน่ะครับ ต่างจากเดิม คือเราก็ยังคุยกับเพื่อนรู้เรื่องนะ แต่ว่าในที่สุด มันเหมือนจะมีนาฬิกาเรือนหนึ่ง เป็นนาฬิกาสำหรับครอบครัวที่จะเตือนเราว่า เฮ้ย มันถึงเวลาที่เราจะต้องกลับมาหาที่บ้านแล้วนะ

ผมว่าคนมีลูกแล้วจะพูดกับคนมีลูกแล้วเข้าใจ จริงๆ นะ เพราะคนที่ยังไม่มีลูก เขาจะมองแค่ว่าเด็กเหมือนตุ๊กตา เหมือนเป็นอะไรที่น่ารัก น่าเล่นด้วย แต่ไม่ได้มองว่า ในระหว่างชีวิต จะดูแลเค้ายังไง มันทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นความสุขอีกแบบน่ะ คือตอนไม่มี มันก็มีความสุขนะ แต่เป็นความสุขอีกแบบ บางทีมันเทียบกันไม่ได้

• กลับไปที่เรื่องเพลงอีกรอบ ตอนนี้คุณมองวงการเพลงยุคปัจจุบันอย่างไรบ้าง
 
ถ้าให้มอง ก็คงคิดว่า มันเหมือนกับผ่านยุคอัลเทอร์เนทีฟ แล้วรอยุคใหม่ คือยุคนั้นเหมือนกับว่าทุกคนจะทำอะไรที่มันแตกต่าง ทุกคนพยายามแข่งกันเพื่อทำแนวดนตรีใหม่ แต่ว่า ณ เวลานี้ มันต่อสู้ด้วยการเล่นกับการร้อง สังเกตว่าตอนนี้นักร้องเขาจะแบบ...ร้องเพราะ มีแข่งขันประกวดทุกเวทีเลย คือตอนนี้มันจะเป็นการแข่งเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว แต่ไม่มีใครแข่งในเรื่องแนวดนตรี เพราะมันไปติดกับดักที่ว่า “ตอนนี้ไม่มีอะไรใหม่แล้ว” ซึ่งผมก็พูดตรงๆ ว่าโน้ตทุกตัว วิธีการทุกแบบ มันถูกใช้มาหมดแล้ว แต่อย่าบอกว่าไม่มีอะไรใหม่ เพราะว่าเราจับนู่นมาผสมนี่ได้อยู่

มันเหมือนยุคของ “เนอร์วานา” (วงดนตรีแนวกรันจ์ อัลเทอร์เนทีฟร็อก) ที่ก่อนหน้านั้น ไม่มีใครคิดแบบเนอร์วานา มีแต่คนคิดจะเป็นแบบ “มารูน ไฟว์” มีแต่คนคิดจะเป็นแบบวงที่ประสบความสำเร็จแล้ว ต่างๆ นานา ซึ่งกลายเป็นว่า ในยุคนี้ มิติมันน้อยไปหน่อย แล้ววงที่สามารถทำเพลงแบบคิดต่างได้ กลายเป็นวงที่เมนสตรีมไปแล้ว
 

• พูดให้ชัดขึ้นได้ไหมครับว่า วงการเพลงยุคนี้มันเป็นยังไงจริงๆ
 
(นิ่งคิด) ถ้าเกิดเป็นเรื่องของซาวนด์ เรื่องเทคนิค การมิกซ์ต่างๆ ผมว่าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะมากเลย หลังๆ มา ผมเห็นเขาแข่งกันเรื่องมิกซ์ด้วย มิกซ์กันให้เท่ๆ เอาไปให้ต่างประเทศมิกซ์กัน ก็เจ๋งดี มันเป็นอีกก้าวหนึ่งซึ่งทำให้รู้สึกว่า เดี๋ยวนี้โลกมันแคบอ่ะ อย่างเมื่อก่อน เวลาเราอ่านหนังสือแล้วเห็นวงดนตรีต่างประเทศแบบเจ๋งมากๆ โปรดิวเซอร์เมทัลลิก้า หรือคนที่มิกซ์ให้ โห มันเป็นอะไรที่เกินเอื้อมสำหรับคนไทยสมัยโน้น แต่สมัยนี้กลายเป็นว่า วงไทยก็ส่งไปให้ระดับโลกมิกซ์กัน สมัยก่อนรู้สึกว่าเกินเอื้อม แต่เดี๋ยวนี้ โลกมันใกล้กันนิดเดียว รู้สึกว่าเจ๋งในเรื่องพวกนี้ แต่ว่าถ้าในเรื่องการสร้างสรรค์งาน ผมก็เชื่อว่า ทุกยุคทุกสมัย มันก็มีเรื่องพวกนี้อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

หรือจริงๆ ผมว่าตอนนี้เขาไม่นึกถึงเรื่องนี้แล้วด้วยมั้งครับ เอาง่ายๆ คนที่ออกซีดีตอนนี้ เขาก็แทบไม่มานั่งนึกถึงยอดขายกันแล้ว กลายเป็นเรื่องที่ลืมไปแล้วเลย ถ้าจะทำเพลงสมัยนี้ ก็ต้องหวังยอดไลค์ หรือโชว์ ยอดวิวยูทูป หวังงานจ้าง อะไรแบบนี้หมดแล้ว ขนาดริงโทนก็ยังไม่หวังเลย และกลายเป็นว่าคนลืมเรื่องค่าซีดีไปแล้ว ไม่มีใครคิดแล้ว ส่วนการได้รางวัล ก็ถือว่าเป็นการคุ้มค่าของวงไป นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ว่าทำไม มันไม่มีวงไหนกล้าทำอะไรที่แปลกประหลาดมากๆ ก็เพราะอย่างงี้ไง เขาจะไปอยู่ได้ยังไง เพราะถ้าจะมาหวังแบบว่าเลี้ยงดูตัวเองจากการออกซีดี กลายเป็นเรื่องยากไปแล้ว ยกเว้นต้องเป็นระดับดังๆ จริงๆ

• มีนิยามหรือคำจำกัดความไหมสำหรับวงการเพลงในยุคนี้
 
เป็นคำถามที่ยากมาก (หัวเราะ) จริงๆ ผมไม่กล้าไปถึงขั้นนิยาม เพราะผมก็ไม่ได้เป็นมาสเตอร์อะไร แค่รู้สึกว่าเราอยากจะให้ทุกคนจุดไฟกันขึ้นมา อยากให้มันสว่างมากกว่า ผมเชื่อว่ายังมีวงเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังคอยจะเปิดทางสว่างให้อยู่ แต่แค่ยังไม่โผล่มา รอการค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่ อย่างเช่น เหมือนเมื่อตอนที่โมเดิร์นด็อกเกิดขึ้นมา เราอาจจะรอวงแบบนั้นอยู่ก็ได้ ถ้าให้เราวิเคราะห์ เราว่าวงเจ๋งๆ มากมายเกิดขึ้นนะ แต่ว่าทำไมมันยังทำแบบนั้นไม่ได้ มันอาจเกี่ยวกับยุคสมัยด้วยมั้ง ตอนนี้มันเป็นยุคออนไลน์ ทุกอย่างเต็มไปหมด มันเหมือนกับไม่มีอะไรโดดเด่น ต้องเอาไปประกอบฮอร์โมนส์ก่อนมั้ง (หัวเราะ) ให้เรานิยามพี่ก็ไม่กล้านะ แต่ว่าก็รออยู่ อ้อ เรามองว่า “โลโมโซนิก” (lomosonic) ก็ถือว่าเป็นความหวังของเมนสตรีมยุคใหม่นะ แล้ว 25 Hours ที่ทำให้คนแข่งขันเรื่องไอเดียมากขึ้น เพราะว่าเค้าเล่นแบบ...จากความรู้สึกจริงๆ การแสดงของเขา เราว่ามันน่าจับตามอง เพราะเขาเล่นเหมือนฝรั่งเลย
 

• ถ้าเปรียบวงการเพลง เหมือนกับคนป่วย ในความรู้สึกของคุณ คิดว่าเป็นยังไง
 
รอเวลาที่จะมีปาฎิหาริย์ ที่ทำให้คนหันมาแบบมีจุดประกาย เพราะว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนที่ยังกระเสือกกระสนทำอยู่ คือไม่ได้หวังว่าจะเป็นเพลงดังหรือว่าอะไร อยากทำในสิ่งที่มันเจ๋งจริงๆ ผมว่ายังมี แต่ว่าหลบซ่อนอยู่ ถ้าเป็นคนป่วย ก็คงรอเวลามั้ง รอเวลาที่จะมีปาฎิหาริย์ มีวงที่สามารถจุดประกาย เป็นวงที่ถูกจับตามองและเป็นกระแส แล้วคนจะแห่กันเข้ามาฟัง คนส่วนใหญ่ทั้งประเทศจะได้รับรู้ และสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ ที่เค้าอยากจะทำอะไรที่มันแตกต่าง
 

• แล้วโดยส่วนตัว ยังอยากจะกลับมาทำเพลงอีกไหม
 
จริงๆ ตอนนี้ก็ยังทำอยู่นะครับ แต่ว่าจะเป็นแบบสนุกๆ แล้ว ไม่ได้ซีเรียสอะไร คือไม่คาดหวัง พอคาดหวังแล้วมันเจ็บ (หัวเราะ) และยุคนี้มันก็เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ เราแค่อยากมาทำเรื่องสนุกๆ แค่นั้นพอแล้ว เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราชอบนะ คิดถึงกลารกลับมาบนเวที แต่มันก็แค่ให้เป็นเรื่องของความสนุกไป แต่ในชีวิตจริง เราก็ดำเนินต่อไป

คือเรามีเรื่องต้องให้ทำเยอะ อย่างที่บอกว่า จุดมุ่งหมายเราไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะเรามีลูก มีครอบครัว และมีธุรกิจที่ต้องดำเนินต่อไป มันยากที่จะกลับไป จริงๆ อย่างบอดี้สแลม เราก็เชื่อว่าเขาสมบูรณ์แล้วนะในแบบที่เขาเป็น ถ้าเกิดคิดถึงกันจริงๆ อยากให้คิดถึงสามคนในสองอัลบัมแรก ถือว่ามองกันคนละภาพดีกว่า ตอนนั้นวงมีเรา กับตอนนี้ที่วงมีห้าคน และก็จดจำภาพนั้นไว้ ผมว่ามันน่าจดจำมากกว่า เพราะว่าในที่สุด มันก็คนละแนว ทำให้คนรู้สึกว่า เราก็มีธีการเป็นของเรา วงก็มีจุดยืนเป็นของเค้าเอง

• คำถามสุดท้าย เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบ “ปิดทองหลังพระ” หรือเปล่า
 
เราไม่เคยรู้สึกว่าเราทำให้วงนี้ดังนะ แต่รู้สึกว่าวงนี้ทำให้มีทุกวันนี้ คือจริงๆ เราโชคดีขนาดไหนแล้วที่มาถึงจุดนี้ได้ ผมไม่ใช่คนประเภทว่าเป็นตัวนำ คือทุกอย่างต้องประกอบไปด้วยกัน แล้วตูนก็คือตัวนำและเป็นคนที่ทำให้ความสำเร็จนี้เกิดขึ้น เราก็แค่เหมือนฟันเฟืองตัวหนึ่ง เหมือนพอล สโคลส์ (หัวเราะ) เราขอบใจมากนะที่ทำให้คนรู้จักเรา ให้เราได้ยืนอยู่บนเวทีใหญ่ๆ เราต้องเป็นคนบอกอย่างนั้นมากกว่า

• เคยมีรู้สึกน้อยใจไหม แบบว่า บอดี้สแลมดังมาก แต่แฟนเพลงรุ่นหลังๆ ไม่รู้จักเราเลย
 
ไม่รู้สึกเลยครับ คือแค่คนจำได้ว่าเป็น “พี่เภา” นี่ ก็ดีใจจะแย่อยู่แล้ว และจริงๆ เรามองข้ามจุดนั้นไปนานแล้วล่ะ เพราะเราก็มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า คือการที่มีครอบครัว มีลูก เราไม่เคยซีเรียสเลย แล้วก็โดนแซวจนเป็นเรื่องโคตรขำไปแล้ว คือทุกครั้งที่ไปนู่นนี่ อย่างไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยม ทุกคนก็จะบอกว่า “เฮ้ย นี่มึงไม่รู้จักเหรอว่านี่ใครๆ” จนกลายเป็นว่ามึงพูดน่ะดีแล้ว ตอนแรกไม่อาย แต่ตอนนี้กูอายแล้ว (หัวเราะ) คือเราก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว จนกลายเป็นเรื่องฮาๆ ไป ต่อให้เราอยู่ในวง เราก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นศิลปินเลยนะ เราก็แค่เล่นดนตรี แล้วมันสนุก ก็แค่นั้นเอง





...................................................................................................................

เภา-รัฐพล พรรณเชษฐ์ เริ่มเข้าสู่วงการเพลง จากการเป็นหนึ่งในสมาชิกวงละอ่อน วงดนตรีที่ฟอร์มวงจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ที่ไปไกลถึงขั้นรับรางวัลชนะเลิศ จากการแข่งขันประกวดดนตรี 'ฮอตเวฟ มิวสิค อวอร์ด' ในปี พ.ศ. 2537 ก่อนที่ต่อมาได้ออกอัลบั้มครั้งแรกกับวงละอ่อน ในปี พ.ศ. 2539 ก่อนที่จะแยกย้ายกันในเวลาต่อมา

จนกระทั่ง เภาได้ร่วมกับ 2 สมาชิกในวงละอ่อน อย่าง ตูน-อาทิวราห์ คงมาลัย และ ปิ๊ด-ธนดล ช้างเสวก มาฟอร์มวงดนตรี ในนาม 'บอดี้แสลม' และร่วมวงในสองอัลบั้มแรก (Bodyslam (พ.ศ. 2545) และ Drive (พ.ศ. 2546)) และได้แยกตัวออกมาทำผลงานเดี่ยว ในนาม Present Perfect ใน พ.ศ. 2548 และมีซิงเกิลประปรายอีกเล็กน้อย

ปัจจุบัน รัฐพล ทำธุรกิจส่วนตัวประเภทเสื้อผ้าผู้หญิง ในเว็บไซต์ icyicyshop.com

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์
ขอบคุณภาพบางส่วนจาก Instagram : rattapao

กำลังโหลดความคิดเห็น