xs
xsm
sm
md
lg

จน-เครียด-กินเหล้า 'สายเชีย วงศ์วิโรจน์' ชายหน้าโหดผู้กระชากผม 'แบทแมน'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“เขาคือคนไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้เล่นหนังเมืองนอกเยอะที่สุด”
แนะนำกันแบบนี้ อาจมีคนงุนงงสงสัยกันไม่น้อย
และจำนวนไม่น้อย อาจรู้สึกว่ามันเป็นการแนะนำตัวที่น่าหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย
แต่ไม่มากก็น้อย นี่คือความจริง
แม้พูดกันตามเนื้อผ้า การปรากฏตัวของเขาในหนังเหล่านั้น อาจเป็นเช่นสายลมวูบหนึ่งซึ่งพัดผ่านเลนส์กล้อง แต่ก็อย่างที่ทุกคนย่อมจะรู้ มีดาราเอ็กซ์ตร้าหรือตัวประกอบจำนวนมากซึ่งมีบทบาทเพียงไม้ประดับเพื่อเติมเต็มเฟรมภาพ แต่สำหรับเขา ใบหน้าของเขากลับมีความโดดเด่นเป็นส่วนหนึ่งของเฟรม แม้จะเพียงชั่วขณะในฐานะ “สตันท์แมน” คนหนึ่งเท่านั้นก็ตามที
Tomb raider 2 เขาก็เล่นมาแล้ว Batman begins เขาก็เล่นมาแล้ว ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ เขาก็เล่นมาแล้ว หรือแม้แต่ Rambo 3 เขาคนนี้ก็มีสถานะเป็นส่วนหนึ่งของหนัง นั่นยังไม่นับรวม Rescue Dawn, Trade of Innocent, Only God Forgives, Vinyan, The Burma Conspiracy, Ninja: Shadow of a Tear หรือแม้กระทั่งหนังจีนที่ดังมากๆ อย่าง Lost in Thailand
ถามว่าเล่นหนังมาแล้วกี่เรื่อง? ในบางขณะสนทนา เขาพูด... “เราจำไม่ได้นะ คือผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ค่อยจำว่าตัวเองผ่านอะไรมาบ้าง ลืมไปหมด บางทีจำทุกอย่าง มันก็เจ็บปวด เราเลือกไม่จำเสียดีกว่า แต่ก็จะมีน้องๆ ช่วยจำให้ อย่างที่เห็นคลิปนั่นนี่ในยูทิวบ์ หรือในกระทู้ต่างๆ ตามเว็บ เราก็ไม่ได้ทำเอง มีน้องๆ ที่นับถือชอบพอกัน ทำให้ทั้งนั้น”
ถามว่าเขาเป็นใครมาจากไหน?
ภาพของชายหน้าดุ เกรียมกร้านเหมือนคนที่ผ่านการกรำงานหนัก และกรึ่มสุราหลายสิบดีกรี ในโฆษณายอดฮิต “จน เครียด กินเหล้า” น่าจะเป็นภาพจำเกี่ยวกับตัวเขาได้เป็นอย่างดี...
...เลดี้ส์ แอนด์ เจนเทิลเม็น
ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีผู้มีเกียรติทั้งหลาย
เราขอแนะนำ “สายเชีย วงศ์วิโรจน์” ตัวประกอบธรรมดาๆ คนหนึ่ง
ซึ่งไม่ธรรมดา!...

มีโอกาสได้เล่นหนังเมืองนอกมามากมาย รู้สึกว่าตนเองไม่ธรรมดาอย่างไรหรือเปล่า
 
ไม่นะครับ ธรรมดา (ตอบเร็ว) ผมไม่รู้สึกพิเศษกับอะไรสักเท่าไหร่ ไม่มีอะไรที่ดีที่สุด แย่ที่สุด ทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา และคิดว่ามันเป็นวิถีของเรามากกว่าครับ เหมือนกับว่าเราทำสิ่งหนึ่งไปเรื่อยๆ แล้วมันก็เป็นไปเองของมันโดยธรรมชาติ สิ่งที่เราทำมันเกิดจากการกระทำของเรา เขาเห็นฝีมือเรา เขาก็เอาไปแสดง แต่ก็รู้สึกเป็นเกียรติครับ อย่างพระเอกนางเอกเขาก็ให้เกียรติพวกเรา เพราะพวกเราเล่นแทนพวกเขาในบางฉากที่พวกเขาเล่นไม่ได้ ข้างหลังเป็นเรา ข้างหน้าเป็นเขา คนที่โดนอัดร่วงลงไปนั้นเป็นเรา (หัวเราะ)

มีอย่างน้อยครั้งสองครั้ง คุณได้ร่วมงานกับดาราดังอย่างคริสเตียน เบล มีอะไรอยากเล่าเป็นพิเศษไหม
 
ปกติครับ เราก็เป็นนักแสดงเหมือนกัน เขาก็ไม่ได้ทำตัวเป็นดาราดังอะไร แต่เขาจริงจังมากนะเวลาทำงาน ส่วนตัวเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก ยกเว้นตอนกินข้าวก็เซย์ฮัลโหลกัน เขาไม่ได้หยิ่ง ไม่ใช่ใครที่ต้องมีคนตามเลียไข่ เราเท่ากัน เราเป็นคนเหมือนกัน ไม่แตกต่างกันหรอก ตอนกินข้าวก็ถือถาดเข้าแถวรอกับข้าวเหมือนกัน ที่เมืองนอกเขาจะเข้าแถว ที่ผมเคยเจอก็อย่างเช่น แองเจลิน่า โจลี มายืนต่อแถวรอ ผู้กำกับก็ยืนรอ จริงๆ เราก็บอกให้เขาแซงได้นะ แต่เขาก็ไม่แซง ที่ฮ่องกงก็เหมือนกัน มันดูน่ารักดี ลูกพี่ผมคนหนึ่งซึ่งเคยกำกับหนังฮ่องกง เคยด่าคนในกองว่าทำไมดูแลแต่พระเอก ไม่ดูแลสตันท์แมนบ้าง คือเขารู้สึกว่าฝ่ายหลังเหนื่อยกว่าไง เพราะที่ฮ่องกง ถ้าไม่ใช่คิวที่เราจะถ่าย เราก็ไปช่วยเขาทำเบื้องหลังด้วย ไปช่วยเค้าเซตนู่นนี่
จุดเริ่มต้นนั้นอยู่ตรงไหนที่ทำให้คุณก้าวเข้ามาสู่เส้นทางสตันท์แมน

มันเป็นช่วงที่ผมเข้ากรุงเทพฯ มาทำงานก่อสร้าง โรงงานเหล็ก จนวันหนึ่ง อ่านหนังสือพิมพ์ เห็นประกาศรับสมัครตัวประกอบเล่นหนังเรื่อง “แรมโบ้ 3” เราเห็นค่าตัวประมาณ 800-1,200 บาท เราก็รู้สึกว่าทำไมเยอะจังวะ เพราะอย่างเราทำงานก่อสร้าง ได้ค่าแรงแค่วันละ 80-100 บาทเอง และเนื่องจากชีวิตช่วงนั้น เราอยู่ตัวคนเดียวด้วย ก็ไปเลย ตรงไปหาโมเดลลิ่งที่เขารับสมัคร ตอนแรกที่ไปนั้น เขามีคอร์สสอนการแสดง แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางเรา เผอิญโชคดีที่อีกมุมหนึ่งเขามีซ้อมคิวบู๊กันอยู่ เราก็เลยไปซ้อมกับเขา เพราะรู้สึกถนัดมากกว่า และเราก็พอเป็นมวยอยู่แล้ว

ความจริง ความรู้สึกในการอยากเป็นสตันท์แมน มันมีมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะครับ คือตอนเด็กๆ เป็นคนที่ดื้อมาก คิดดูว่าต้นไม้หน้าโรงเรียน เราก็กระโดดข้ามไปมา ไม่แตะพื้นเลย อย่างบางต้น ถ้าสูงมากก็กระโดดลงน้ำเลย และยังกระโดดสูงกว่าเพื่อนอีก เพื่อนๆ เขาก็เล่นกันแบบธรรมดา แต่ไอ้นี่ไม่ เราลากจักรยานขึ้นไปบนศาลากลางน้ำ แล้วก็ปั่นลงมา กะแบบสวยๆ ไง ที่ไหนได้ จุกใต้น้ำเลย (หัวเราะ) นอนฟังเสียงน้ำแล้วค่อยๆ ตะเกียกตะกายขึ้นมา
เหมือนหนังของบรูซ ลี เฉินหลง จะส่งอิทธิพลต่อชีวิตวัยเด็กช่วงนั้นเหมือนกัน

ใช่ๆ คือผมชอบต่อสู้แบบมวยจีน หมัดงู หมัดแมว หมัดเสือดาว มีทุกหมัด ถึงขนาดที่ว่า ฝนตกๆ ยังบังคับให้น้องไปสู้กับตัวเองเลย เล่นแบบในหนังด้วยนะ จนน้องร้องไห้น่ะ กลางสายฝนหรือกลางคืน ยังสู้กันอยู่เลย พอน้องร้องไห้มากๆ เข้า จึงค่อยเลิก หรืออย่างเล่นม้าส่งเมือง เราก็จะเป็นแบบม้าพยศหน่อย ถีบเพื่อนอย่างเดียว แต่สักพักเลิกเล่น เพราะว่าเจ็บเกิน (หัวเราะ)

เมื่อเป็นเช่นนี้ พอได้ไปเห็นเขาซ้อมคิวบู๊กันอยู่ จึงรู้เลยว่าใช่

ใช่ครับ เห็นเขาซ้อมต่อยตี ซ้ายทีขวาที เห็นแล้วมันชอบ คือวันที่ไปก็ไปแบบงงๆ ด้วยนะ แถมมีค่าสมัคร 150 บาทอีก สมัครแล้วก็ออกมานั่งข้างนอก ได้เจอเพื่อนที่เป็นตัวประกอบ ตกเย็นเราก็นั่งประชุมกันเพื่อมองหาช่องทาง ช่วงนั้นเราอยู่กันแถวๆ วัดเบญจมบพิตร อาศัยข้าวบิณฑบาตของหลวงพ่อ และฝึกพวกกระบี่กระบองคิวบู๊เพิ่ม จากนั้นก็เริ่มรับงาน ช่วงแรกๆ ก็จะเป็นพวกละครจักรๆ วงศ์ๆ สมัย อาแอ๊ด (สมบัติ เมทะนี) ได้ค่าตัว 150 บาท วิ่งไล่ฟันฉิบหายวายวอดเลย ถึงขนาดวิ่งชนหินย้อยในถ้ำจนหัก (หัวเราะ) บางทีก็ไปยืนในฉากหน้าเมืองบ้าง แบบทหารยืนหน้าเมืองทำตาขวางๆ ต่อมาถึงค่อยได้เล่นคิวบู๊ พวกฟันดาบ ได้เล่นกับดารา ฟันไปฟันมาจนเหลือสองนิ้ว บางช็อตก็จิ้มโดนตา ตายแม่งเลย (หัวเราะ)

ส่วนใหญ่ เราจะเป็นสตันท์เชิงรับ เช่น โดนยิงจากหอคอย และโดนฟันจนตกจากกำแพงเมือง หรือรับเอฟเฟกต์ คือรู้สึกว่าเป็นเกียรติมากที่ได้รับเอฟเฟกต์ (หัวเราะ) มีความรู้สึกภูมิใจแบบ คนบ้านนอกคนหนึ่งซึ่งเข้ามาอยู่ในวงการได้ มันก็สนุกสนานไปเรื่อย ต่อมา ได้มีโอกาสไปเล่นหนังฮ่องกงยุคผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ (หนังฮ่องกงที่โด่งดังมากๆ และส่งให้นักแสดงอย่างหลิวเต๋อหัวดังเป็นพลุแตก) ไปเป็นเดือนๆ เหมือนกัน แล้วมันก็มีงานต่อเนื่อง
ประสบการณ์ในช่วงไปเล่นหนังฮ่องกงยุคผู้หญิงข้าฯ นั้นเป็นอย่างไรบ้าง

ได้รู้เรื่องการเทสต์...การเทสต์ของพวกฮ่องกง เขาจะเทสต์กันตรงพื้นปูนเลย เข้าแถวแล้วกระโดดลงตรงพื้นปูนเลยล่ะ ประมาณว่าฝึกซ้อมเซฟตี้ตัวเองไปด้วย เล่นเสร็จก็เจ็บแหละ แต่มันทำให้เราได้เรียนรู้การเซฟตี้จากตรงนี้ได้เยอะมาก คือมันจะมีการเซฟส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งแตกต่างจากหนังไทยสมัยก่อน ที่มันจะไม่มี คือถ้าโดนก็โดนเลย อย่างถ้าไฟโดนตัว ก็ค่อยใช้ผ้าเปียกเช็ดเอา ไม่เหมือนกับทางฮ่องกงที่เขามีชุดป้องกันไฟพร้อม พวกเทคนิคใหม่ๆ อย่างตีลังกา ใช้สลิง เราก็ได้มาจากหนังฮ่องกง ผมเป็นยุคแรกๆ ที่นำวิธีการแบบนี้เข้ามา ครูสอนคิวบู๊เกือบทั้งหมดในปัจจุบัน ก็เป็นพรรคพวกกันนี่แหละ คือทุกวันนี้ น้องๆ ที่โตมาด้วยกัน เรียกป๋าหมดเลย ให้เกียรติยกย่องที่เรานำความรู้มาถ่ายทอดเป็นวิทยาทานให้พวกเขา
ร่วมงานกับเมืองนอกมาก็มาก พอจะเปรียบกับบ้านเราได้ไหม

ก็แตกต่าง โดยเฉพาะเรื่องระบบ เวลาของเมืองนอกเขาจะแม่น แต่ของเราไม่ชัวร์ สมมติว่าไปถ่ายเชียงใหม่ ถ้าเป็นของเมืองนอกเขาจะบอกชัดเจนเลยว่าเราจะบินไปถึงกี่โมง ถึงออฟฟิศกี่โมง พรุ่งนี้คุณตื่นหกโมงนะ รถมารับตอนเจ็ดโมง ถึงกองถ่ายแปดโมง จะมีบอกหมด อย่างดาราคนนั้น ช่วงเช้ามันไม่มีอะไร มึงค่อยไปตอนสายๆ ก็ได้ ไปถึงก็กินข้าวเที่ยงก่อนแล้วค่อยถ่ายตอนบ่าย มันจะเป็นแบบนั้น ไม่เอาเราไปนั่งเกะกะอยู่ในนั้น แต่เมืองไทยเราจะหอบไปทั้งครอบครัวเลย หอบไปนั่งเมาท์มอยอะไรไป พูดถึงว่าคนไทยก็อิสรเสรีดีเหมือนกัน (หัวเราะเบาๆ)

แต่ถึงอย่างนั้น ที่เมืองนอกเขาก็ยังมีข้อผิดพลาดเหมือนกันนะ อย่างผมไปออกกองที่เคนยาหนึ่งเดือน แต่ถ่ายจริงสามวัน ก็มัวแต่ไปซ้อมนี่แหละ ซ้อมช็อตโรยตัวลงมาจาก ฮ. ซ้อมเป็นเดือนเลยนะ ซ้อมจนขี้เกียจซ้อม คิดว่าทำได้หมดแล้ว แต่พอถึงตอนถ่ายจริง มันกลับผิดพลาด ตอน ฮ. จะลงมา ฝุ่นเต็มไปหมด มองไม่เห็นจุดลงเลย สุดท้ายก็ปล่อยให้เราไปลงตรงยอดหนามแทน (หัวเราะ) เราต้องถีบตัวออกจากหนามเลย เพื่อนอีกคนหนึ่งหัวทิ่ม

เป็นตัวประกอบนี่ ไม่ใช่หมูๆ เลยนะ ดูท่า

ตัวประกอบมันเป็นรสชาติของหนังเลย ไม่มีพวกเขาไม่ได้ มันทำให้คนแสดงมันเด่นดังขึ้นมาได้ โดยที่ยอมให้ตัวประกอบ มาประกอบให้ เพื่อที่จะให้ตัวหลักเขาเด่นขึ้นมา อารมณ์เหมือนพวกแบ็กสเตจหรือคอนวอยของวงดนตรี ถ้าไม่มี ก็ต้องไปยกเอง (หัวเราะ)
แต่บางที ตัวประกอบก็ขโมยซีนได้เหมือนกัน

เราก็เล่นไปตามบทครับ เขาบอกให้เราเป็นคนเดินผ่านแวบๆ แล้วเกาตูดหน่อยนึง เราก็ต้องเล่นอย่างนั้น สิ่งนี้บางทีก็อยู่ที่ผู้กำกับครับว่าจะให้เราโผล่ออกมาหรือเปล่า ไอ้นี่โผล่มาหน่อยเดียว เอาไปหนึ่งฮา ไหนๆ กูก็มาแล้ว กูต้องเอาหนึ่งฮา ให้กูเล่นน้อยนี่ กูเล่นเยอะๆ เลย จ้างกูร้อย กูเล่นล้านเลย ดูซิว่าจะคิดถึงกูมั้ย (หัวเราะ)
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจยังไม่รู้ความเป็นมาของสายเชีย ช่วยเล่าให้ฟังสักนิดว่าชีวิตเป็นมายังไงก่อนจะเข้าสู่เส้นทางสายตัวประกอบ

ชีวิตผมค่อนข้างวกวนหน่อยนะ พ่อผมเป็นคนโคราช แม่เป็นคนมหาสารคาม แล้วไปแต่งงานที่เชียงราย ผมเกิดที่เชียงราย พอเกิดมาก็อาศัยบ้านของป้าอยู่ และตอนเด็ก พ่อกับแม่ต้องเข้ากรุงเทพฯ ทำงานหาเงินส่งกลับบ้าน ทิ้งน้ำมันกากหมูไว้ให้ถังหนึ่ง ปลาทูเค็มอีกถังหนึ่ง ให้ผมอยู่กับน้องโดยมียายเป็นผู้ดูแล แต่ในเวลาต่อมาเมื่อผมเริ่มโต พ่อแม่ก็ย้ายหาที่ทำกินเพื่อจะให้ชีวิตดีขึ้น บางที พ่อผมเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ผมก็ไปทำด้วย

บอกตามตรง ผมทำมาแล้วแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ร้านก๋วยเตี๋ยว ขายของชำ หาซื้อลำไยมามัดขาย มัดละ 50 สตางค์บ้าง หนึ่งสลึงบ้าง ตระเวนซื้อมะละกอตามบ้านคน แล้วเอาไปขายต่อ ช่วงผมเรียน ป.5 ป.6 ครอบครัวเราเริ่มมีเงินซื้อที่นา ผมก็ไปทำนา พายเรือไปนา ประมาณ 15 กิโลเมตร ซึ่งถ้าเดินก็เกือบ 20 กิโลเมตร

บางช่วง ไม่มีเงินไปโรงเรียนก็ต้องรับจ้างขี่ควายไปส่งโรงฆ่าสัตว์ เหมือนขี่ม้าวิ่งไล่แบบพวกคาวบอยหรือนายฮ้อยเลย ตื่นตั้งแต่ตีห้า แล้วระยะทางมันก็มีแม่น้ำกั้นกลาง เราก็อาศัยเกาะหางควายไป ถึงที่หมายก็หกโมงเย็นพอดี จบงานปุ๊บ ก็นั่งรถสองแถวกลับบ้าน ได้ค่าแรงตัวละร้อยบาท
เราเคยลำบากมาสุดๆ ดังนั้น พอมาถึงจุดนี้เลยรู้สึกว่าไม่ค่อยเดือดร้อนกับอะไร เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่คนหลายๆ คนไม่ได้เรียนรู้ คุณเคยไปหาปลาข่อนมั้ยล่ะ (ปลาข่อน ปลาที่อยู่ในหนองน้ำตามทุ่งนา) หรือคุณเคยไปวิดปลาตามหนองน้ำมั้ยล่ะ คือไปวิดตั้งแต่เช้าจดเย็นยังไม่หมดเลย ระดับน้ำประมานอกอ่ะ หรือเคยเลื่อยไม้แบบกว้างๆ วันละแผ่นมั้ยล่ะ หรือตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่อไปตักน้ำ ถ้าตื่นสายก็อดกินแล้ว

วิถีชีวิตมันมาแบบนั้น เราเลยชินและเป็นธรรมดากับมัน อย่างเช้ามาก็ไปดักเบ็ดหาปลา (ดักเบ็ด : วางเบ็ด) ตามสไตล์เด็กดื้อ ไม่มีอะไรก็ไปยิงนกมาปิ้งย่างกินกับข้าว ทีนี้ พอมาเป็นสตันท์แมน เราถึงเข้าใจว่าเหตุผลที่เราโดนกระทำบ้าง ตายวันละ 6-7 รอบ (ในการเป็นตัวประกอบ) คือนึกย้อนไปว่า สงสัยมันเป็นผลกรรมมาจากบาปที่กูทำก่อนหน้านี้หรือเปล่า ฆ่าสัตว์ต่างๆ เป็นว่าเล่นเลย (ยิ้ม) เคยกินมาหมดแล้วอ่ะ แมลงต่างๆ กินหมดแล้ว แมงมุมที่สวยๆ ก็เคย แต่ปัจจุบันนี้ไม่กินแล้ว ไม่อยากฆ่าด้วย ที่เราฆ่าในตอนเด็ก มันก็เพราะความไม่รู้
ดูเหมือนชีวิตจะผ่านเรื่องยากๆ มาไม่น้อยเลย

มากครับ (ตอบทันที) ก็ถึงบอกครับว่าเราทุกข์ได้ เรายอมเจ็บได้ ขณะที่คนอื่นอาจรับไม่ได้ เรายอมรับมันแล้วก็สู้ต่อไป เราคิดได้ เราก็ไม่ทุกข์ เรารู้ทันมัน เดี๋ยวมันก็ผ่านไป พรุ่งนี้ก็วันใหม่แล้ว ไม่มี เราก็หา จริงๆ พอถึงตอนที่ไม่มี อยู่ไกลแค่ไหน กูก็จะไปเอามา อย่างเช่น ถ้าเราอยากกินอะไร ต่อให้อยู่ไกลหลายกิโล กูก็จะตามไปกินน่ะ แต่บางคนมันไม่ไปหรอก ใช้มันไป มันก็ไม่ไป แต่พอเราเอามาให้ มันดันกินด้วย แน่ะ!! มันมีเยอะด้วยนะ คนประเภทนี้น่ะ

เราไม่เคยอยู่เฉยๆ เพราะเรามีความเชื่อว่า ตราบใดที่เป็นมนุษย์ เราก็ต้องทำ จนกว่าจะหมดลมหายใจไปโน่นล่ะ แต่จริงๆ มันสนุกนะการเกิดเป็นคน เป็นบุญมากแล้วที่เกิดเป็นคน เพราะว่ามันยากไง ไม่ได้ยินที่พระท่านบอกหรือว่าการที่ได้เกิดเป็นคนมันยากเย็นแสนเข็ญ เปรียบเทียบก็เท่ากับเขาวัวและขนของวัวน่ะ เขากับขนมันต่างกันลิบลับ เขามีสองอัน แต่ขนมีเป็นล้านๆ เส้น คนอยากเกิดมันเท่ากับขน คนได้เกิดมันเท่ากับเขา มันยาก ดังนั้น พอได้เกิดมาก็ถือว่าเขากรุณาให้เราได้เกิดมา เพื่อได้ทำบุญ เพื่อให้ชดใช้นู่นนี่นั่น คือเกิดมาก็ดีแล้วแหละ แล้วดียิ่งขึ้นไปอีกที่ได้เกิดมาพบธรรมะของพระพุทธเจ้า

น่าแปลกใจเหมือนกันที่คนคนหนึ่งซึ่งดังมากๆ จากการเป็นตัวละครขี้เมาในโฆษณา “จน เครียด กินเหล้า” ตัวจริงจะดูธรรมะธัมโมแบบนี้

(ยิ้ม) ตอนเด็ก เราอยู่กับยาย ยายไหว้พระทุกวัน เราก็ไปเก็บดอกไม้ให้ยาย ยายก็สอนมา ปลูกฝังเรามา เวลาเราไปทะเลาะกับใคร ยายก็บอก ช่างเขาเถอะลูก ไม่ต้องไปทะเลาะกับใครหรอก ยายบอก เอาทุกข์มาไว้กับตัวเองให้หมด คนอื่นรับไม่ได้หรอก เอาทุกข์มาไว้
ชอบเข้าวัดเข้าวาด้วยหรือเปล่า

ไม่นะครับ และความจริง การศึกษาเรื่องธรรมะ มันอยู่ข้างในจิตของเรา เราคิดได้ เราใช้จิตเราคิด เราวางได้ หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราก็เหมือนกัน เราคิดได้ มันเป็นเรื่องจิตวิญญาณที่อยู่ข้างใน ส่วนวิธีการใช้ชีวิตก็ไม่มีอะไรยาก แค่รักษาศีลห้าก็พอ เราโชคดีที่เกิดมาพบพระพุทธเจ้า ท่านสอนวิธีการใช้ชีวิตไว้หมดแล้ว ไม่ต้องมองอะไรอื่นไกล พระพุทธศาสนาสอนไว้หมด ทุกข์แล้วทำยังไง แก้ด้วยอะไร ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หรืออย่างศีลห้า ตามจริงก็คือการไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย

การใช้ชีวิตของเรามันต้องมีสติอยู่ทุกเมื่อ ต้องรู้ทันทุกข์ คนเราเวลามีปัญหานู่นนี่นั่นก็บอกว่าทุกข์ แต่ถ้าเรารู้ทันว่ามันไม่ทุกข์ เราก็จะรู้สึกว่าไม่ทุกข์นะ ถ้าเราไม่รู้ไม่ทันมัน ก็จะทุกข์จริงๆ ลองบอกตัวเองสิว่าไม่ทุกข์ ปัญหาแก้ไขได้ เพราะมนุษย์มันไม่ยอมให้ตัวเองตายอยู่แล้ว ไม่ยอมให้ตัวเองอดอยู่แล้ว ดิ้นรนเอาจนได้แหละ ไม่มีก็ยืมสิ ง่ายๆ หรือถ้าเรารู้สึกว่าสิ่งไหนเรายังทำได้ไม่ดีพอ ก็ไม่เป็นไร ครั้งต่อไปยังมีอยู่ ไม่ได้ตายวันนี้ซะหน่อย ยังมีโอกาสได้แก้ตัวเสมอ และหมั่นเพียรศึกษาเรียนรู้
ดูซีเรียสจริงจัง แตกต่างจากภาพฮาๆ ในโฆษณาจน เครียด กินเหล้า มากๆ

พวกสูก็จงฮากันต่อไป (หัวเราะ) แต่เดี๋ยวก่อนนะ ยังไม่เย็นเลย รอเย็นๆ กว่านี้หน่อยค่อยเครียด (หัวเราะอีกรอบ) ถ้ามีคนมาแซวเรา เราก็เล่นกับเค้าไป ก็ต้องบุกกันบ้าง บางทีเขาบุกมา เราเขินอาย ก็ต้องสวนกลับบ้าง ธรรมดา
แล้วตัวจริง ขี้เมาหรือว่ากินเหล้าแบบนั้นหรือเปล่า

อันนี้มีคนถามบ่อยเลย เราก็ตอบกลับไป ไม่กินเว้ย แต่กูกินเบียร์ (หัวเราะ) คือกินก็กินได้ แต่กินแล้วต้องรู้ ถ้ากินแล้วไม่ไหวหรือทะเลาะกันก็ไม่เอา อย่างเรากินก็ไม่เคยทะเลาะกับใครนะ เราดื่มเพื่อการสังสรรค์ วันศุกร์วันเสาร์ ไปบ้านนู้นบ้านนี้ ทำกับข้าวให้เด็กบ้านใกล้ๆ กิน ทำกับแกล้มบ้าง ไม่ใช่ว่ากินเหล้าแล้วไม่นึกถึงเด็กๆ เลย เราก็ทำอาหารให้เด็กๆ มากินกัน ขนมจีนน้ำยาบ้าง แกงเขียวหวานบ้าง เด็กมันก็จะไม่มากวนเรา (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น ต้องนึกถึงเขาด้วย ไม่ใช่นึกถึงแต่ตัวเอง แต่ผมไม่เที่ยวกลางคืนนะ ถ้ากินก็กินใกล้ๆ บ้าน ข้างๆ บ้าน กินแบบเพื่อนฝูงกันเอง
นึกว่าเป็นพรีเซนเตอร์แล้วจะกินเหล้าไม่ได้

ก็กินได้ครับ แต่ตามจริงไม่ได้กินเหล้ามาตั้งแต่เล่นโฆษณาชิ้นนั้นแล้วล่ะ เพราะหลายเหตุผล อย่างเราเห็นคนใกล้ชิดบางคน แม่งชอบเมาแบบน่าเกลียดด้วยแหละ ทำให้เราเบื่อหน่าย ไม่อยากจะเมาแบบนั้น การเมาเหล้านี่ทำให้ศีลห้ามันไปหมดได้เลย เมาแล้วสามารถโกหกได้ ขโมยได้ เป็นชู้กับคนอื่นได้ สติสัมปชัญญะมันเสียหาย มันเป็นอย่างนั้น เราเลยไม่อยากกิน

ต่อเนื่องมาจากโฆษณา ตอนนี้เห็นว่ากำลังทำเพลง “จน เครียด กินเหล้า” อยู่ด้วย

ย้อนไปสักนิดนึง ความจริงโฆษณาตัวนี้เป็นโฆษณาธรรมะนะครับ บอกว่าคนเรายากจน มันก็เครียด ลูกกูจะกินอะไรวะ หาที่ไหน แต่ถ้าเครียดแล้วกินเหล้า มันจะไม่จบ เราอยากจะบอกว่า ถ้าจนและเครียด คุณต้องคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาสิ ถ้ายังเอาเหล้ามากิน ก็จะสร้างปัญหาอีก ใช่มั้ยล่ะ สู้เอาเงินที่ไปซื้อเหล้าขวดนั้น ไปซื้อปลากระป๋องให้ลูกเมียกินดีกว่าไหม คือใช้ปัญญาหน่อย

ส่วนตอนนี้ผมมีโครงการรณรงค์ชวนน้องเลิกเหล้า เลิกจน เก็บออม ที่คิดมาจากเพลงของเรา เราอยากให้คนที่ได้ดูมิวสิกของเราแล้วรู้สึกว่าเกลียดเหล้าจังเลย กินแล้วเป็นอย่างนี้เหรอ เมาแล้วก็ไปนอนใต้โต๊ะ เสื้อผ้าก็ไม่ใส่ สักพักก็คลานมาแย่งข้าวหมากิน จะไปหาผู้หญิง เขาก็ถีบหน้าเรา เด็กๆ เขาก็ไม่อยากนับถือ ประมาณนี้ แต่จริงๆ ภาพในมิวสิกมันอาจไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดหรอก เราก็เพียงอยากจะบอกว่าคนที่มีหน้าที่การงาน รู้จักใช้ชีวิต ก็ดื่มได้ ไม่ใช่ดื่มไม่ได้ แต่ดื่มให้เป็น ดื่มอย่างมีสติ ทำไมโลกนี้ถึงมี “จี้กง” ล่ะ จี้กงยังเป็นเซียนเมาเลย เป็นเซียนเมา แต่เมาแบบมีสติ มีธรรมะ มีคุณธรรมอยู่ในใจ ไม่ใช่เมาแบบขาดสติจนทำให้ตัวเองเสื่อม ครอบครัวลำบาก
ถึงจุดนี้แล้ว ผ่านความทุกข์มาก็มาก ผ่านช่วงเวลายากๆ มาก็เยอะ อะไรคือความสุขของลูกผู้ชายชื่อสายเชีย

การเห็นคนที่เรารักมีความสุข (ตอบเร็ว) จะสุขมากสุขน้อยก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้มี เพราะเราก็มีชีวิตอยู่แค่สักพักหนึ่งแล้วก็ต้องตายจากไป ไม่มีใครอยู่ได้ค้ำฟ้า
ถามแบบพาซื่อ อะไรคือปรัชญาชีวิตของ 'ตัวประกอบ' ชื่อสายเชีย

มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วจะทำมันออกมาได้ดี ให้มันแฮปปี้กับสิ่งที่ทำ บางทีสิ่งเล็กๆ ของเขา แต่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา
แล้วถ้าใครสักคนอยากจะเป็นตัวประกอบเด่นๆ เช่นสายเชียบ้าง เขาคนนั้นควรจะทำอย่างไร

ก็พยายามฟัง เราต้องเป็นคนฟัง เราจะได้เยอะ เป็นคนพูดมากไม่ค่อยได้อะไรหรอก ฟังให้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ จงถาม จงทำให้เข้าใจก่อน บางคนอาย กลัวโง่ เราบอกเลยว่าอย่าอายที่จะโง่ อย่าอายเพราะความจน บางคนกลัวจน จนไม่ได้ จมไม่ลง

ถ้าครั้งนี้คุณโง่ ไม่เป็นไร ครั้งต่อไปมันจะฉลาด ต้องเรียนรู้ก่อน บางทีความรู้ก็อยู่ใกล้ๆ ตัวเรา กับเพื่อนกับฝูงนี่แหละ มันจะเกิดการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน บางที การดีใจหรือกังวลมาก ก็เสียการ จงคุมอารมณ์ให้พอดีๆ อยู่ในสติ คือเมื่อก่อนผมรู้สึกประหม่านะ ตอนไปเข้าฉากแรกๆ มีรู้สึกนะว่าเหงื่อมาจากไหนวะ ต่อมาค่อยเริ่มชิน เรารู้สึกว่าทุกคนเป็นคนเหมือนเราน่ะ ให้รู้สึกว่าเขาทำได้ เราก็ทำได้ ไม่ได้มองว่าใครสูงส่งหรือต่ำต้อย พวกเราเท่ากันหมด ผมคิดว่าเราเท่ากันหมด




จากภาพยนตร์เรื่อง Lost in Thailand
จากภาพยนตร์เรื่อง Rescue Dawn ซึ่งได้แสดงกับคริสเตียน เบล ดาราผู้โด่งดังจากบทแบทแมน
จากภาพยนตร์เรื่อง Tomb Raider 2
สัมภาษณ์ : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช, รัชพล ธนศุทธิสกุล
เรียบเรียง : อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช
กำลังโหลดความคิดเห็น