คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.โปรดเกล้าฯ 200 สนช.แล้ว พบทหารอื้อ ด้านสมาคมพิทักษ์ รธน.ชี้รายชื่อไม่หลากหลาย ส่อขัด รธน.เตรียมยื่นศาลฯ วินิจฉัย!
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 จำนวน 200 คน ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามคำแนะนำของ คสช. เป็นที่น่าสังเกตว่า รายชื่อ สนช.ที่ออกมา มีข้าราชการทหารทั้งในและนอกราชการมากถึง 105 คน โดยแบ่งออกเป็นกองทัพบก 67 คน ,กองทัพอากาศ 19 คน ,และกองทัพเรือ 19 คน ขณะที่ข้าราชการตำรวจทั้งในและนอกราชการมี 10 คน ที่เหลือเป็นพลเรือน 85 คน ซึ่งมีทั้งอดีตสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ,นักวิชาการ และนักธุรกิจ
ทั้งนี้ ในส่วนของทหารทั้งในและนอกราชการ พบว่า มาจากนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มากถึง 15 คน ขณะที่นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 13 มี 14 คน นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 15 มี 12 คน โดย 1 ในนั้นคือ พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากนี้ยังมีทหารสายบูรพาพยัคฆ์และวงศ์เทวัญจำนวนหนึ่ง
ขณะเดียวกันยังพบว่าเครือญาติและคนสนิทของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษา คสช.และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.ด้วยหลายคน ได้แก่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ที่เคยถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดทั้งทางอาญาและวินัยร้ายแรงกรณีสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ได้มีคำสั่งยกโทษปลด พล.ต.อ.พัชรวาท ออกจากราชการเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าทำตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ทั้งที่ศาลฯ แค่สั่งให้นายกรัฐมนตรีรีบตัดสินใจเท่านั้นว่าจะดำเนินการอย่างไร จะโต้แย้งหรือจะทำตามมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ที่มีมติให้ยกเลิกคำสั่งปลด พล.ต.อ.พัชรวาทออกจากราชการ ขณะที่น้องชายอีกคนของ พล.อ.ประวิตร ก็ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.ด้วย คือ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ อดีต ส.ว.สรรหา รวมทั้งคนสนิทของ พล.อ.ประวิตร อีกหลายคน ก็ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช. ได้แก่ พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ,พล.อ.นพดล อินทปัญญา ที่ปรึกษา คสช. ,พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ อดีต ส.ว.สรรหา เป็นต้น
ในส่วนของตำรวจที่ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.ได้แก่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ,พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.,พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ชัชวาล สุขสมจิตร์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ,พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นต้น
สำหรับอดีต ส.ว. ที่ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.ในครั้งนี้ ได้แก่ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ,นายตวง อันทะไชย ,พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ,นายสมชาย แสวงการ , นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ว่าที่ประธานวุฒิสภาก่อนวุฒิสภาถูกยุบโดยคำสั่งของ คสช. , พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อดีตประธานวุฒิสภา
ส่วนภาคธุรกิจที่ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.ได้แก่ นางกอบกาญจน์ สุริยสัตย์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหารบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ,นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด(มหาชน) ,นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานกรรมการกลุ่มน้ำตาลมิตรผล และนางสุวรรณี สิริเวชชะพันธ์ กรรมการบริหารบริษัท คอลเกต ปาล์มโอลีฟ(ประเทศไทย) จำกัด
สำหรับอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช. พบว่า มี 9 แห่ง ประกอบด้วย อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ,อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ,อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(มศว) ,อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ,อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ,อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น
สำหรับ สนช.ที่อายุมากสุดใน สนช.ชุดนี้ คือ นายสมพร เทพสิทธา อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อายุ 89 ปี ส่วนบุคคลที่คาดว่าอาจได้นั่งตำแหน่งประธาน สนช.ก็คือ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและที่ปรึกษาหัวหน้า คสช. ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พ.ร.ฎ.เรียกประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.
เป็นที่น่าสังเกตว่า เริ่มพบผู้ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.บางคนขาดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่ง สนช.แล้วอย่างน้อย 2 คน คือ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 เพราะมีตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารพรรคและรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 8(1) ระบุคุณสมบัติของ สนช.ต้องไม่เคยดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองในระยะเวลา 3 ปีก่อนได้รับแต่งตั้ง ส่วนอีกคนที่คุณสมบัติมีปัญหา คือ นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี เนื่องจาก พ.ร.บ. การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 7(10) ระบุว่า จุฬาราชมนตรีต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้นหากนายอาศิสจะดำรงตำแหน่ง สนช. ต้องลาออกจากตำแหน่งจุฬาราชมนตรี
ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายอาศิส ได้ทำหนังสือแจ้ง คสช. ไม่ขอรับตำแหน่ง สนช.เมื่อวันที่ 1 ส.ค. โดยให้เหตุผลว่า เป็นเรื่องของความเหมาะสมต่อสถานะของผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามในราชอาณาจักร พร้อมเผยว่า ที่ผ่านมาไม่มีใครทาบทามหรือบอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะเสนอชื่อเป็น สนช. มิเช่นนั้นคงกล่าวปฏิเสธไปแล้วตั้งแต่ก่อนประกาศรายชื่อ
ขณะที่ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร พูดถึงกรณีที่เข้าข่ายขาดคุณสมบัติการเป็น สนช.ว่า หลังจากปรึกษาฝ่ายกฎหมายและบุคคลที่เกี่ยวข้องแล้ว พบว่าตนมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวจริง ดังนั้นจะเดินทางไปยื่นหนังสือลาออกจาก สนช.ในวันที่ 4 ส.ค.นี้ ที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 ส.ค. โดยกล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า รายชื่อ 200 สนช. ส่วนใหญ่เป็นทหารว่า อย่าไปดูบุคคลนี้บุคคลนั้น ไม่มีใครดีที่สุด ไม่ดีที่สุด เอาดีมากกว่าไม่ดี ขอให้ดูผลงานที่เกิดขึ้น อย่าตำหนิกันมากนัก พร้อมยืนยันว่า “สนช.ที่กำหนดมา 200 คน ไม่ใช่ระบบโควต้า ผมไม่อยากให้ใช้คำว่าโควต้า เป็นการให้ทุกพวก ทุกฝ่ายเสนอชื่อมา ถ้าไม่บอกว่าเสนอมา 10 คน 20 คนมาคัดเลือกกัน ก็จะเสนอมาเป็นพันคน”
อย่างไรก็ตาม ผลจากการที่รายชื่อ สนช.เป็นทหารจำนวนมากและอาจดูไม่หลากหลายเท่าที่ควร ทำให้สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ที่มีนายศรีสุวรรณ จรรยา เป็นเลขาธิการ เตรียมยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รายชื่อ สนช.ชุดนี้ขัดรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 7 หรือไม่ เนื่องจากมาตรา 7 บัญญัติชัดเจนว่า “การถวายคำแนะนำเพื่อทรงแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ให้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ ความหลากหลายของบุคคลจากกลุ่มต่างๆ ในภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม ภาควิชาการ ภาควิชาชีพ และภาคอื่นที่จะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ” โดยสมาคมฯ จะยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินในวันที่ 4 ส.ค.เพื่อขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
2.ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ยันทำหน้าที่ “สื่อ” โดยสุจริต ประกาศหยุดพิมพ์ 1 เดือน ด้าน “จิตตนาถ” ฝากถึงผู้ใหญ่ “อย่ารังแกกันมากเกินไป” !
ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกคำสั่งตักเตือนหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 ก.ค. - 1 ส.ค.2557 โดยอ้างว่าตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่องด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จโดยมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช. ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนประกาศของ คสช. พร้อมเตือนว่า หากฝ่าฝืนอีกจะดำเนินการตามกฎอัยการศึก และส่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังสั่งให้องค์กรวิชาชีพสื่อสอบสวนทางจริยธรรมต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง แล้วรายงานให้ คสช.ทราบโดยเร็ว แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า คำสั่งของ คสช.ไม่ได้ระบุว่า ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ลงข้อความเท็จจุดไหน จากนั้นนายจักร์กฤษ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ให้ คสช.ในฐานะผู้ร้องเรียน แจ้งเป็นหนังสือพร้อมด้วยพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ละเมิดจริยธรรมในเรื่องใด เพื่อให้คณะกรรรมการสอบสวนตามประเด็น
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค. คสช.ได้ส่งหนังสือคำสั่งตักเตือน ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ พร้อมแจ้งจุดที่ คสช.เห็นว่าเป็นข้อมูลเท็จให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ทราบแล้ว จากนั้นวันต่อมา(29 ก.ค.) สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ได้ประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าว ขณะที่ตัวแทนของเอเอสทีวีผู้จัดการที่เข้าร่วมประชุมในฐานะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ยินดีที่จะชี้แจงและจะไม่เข้าร่วมในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว และว่า หากผล ออกมาเช่นไร ก็พร้อมปฏิบัติตาม
ด้านนายจักรกฤษณ์ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ บอกว่า "จากนี้ไปคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์จะส่งข้อร้องเรียนดังกล่าวไปให้หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ เพื่อดำเนินการชี้แจง แก้ไข ตามที่ คสช.ร้องเรียน หากทางหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์พิจารณาแก้ไขและขอโทษผู้ร้องเรียน หากผู้ร้องเรียนพอใจ ถือว่าเรื่องเป็นที่ยุติ"
เป็นที่น่าสังเกตว่า หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ฉบับล่าสุด ฉบับวันที่ 2-8 ส.ค.2557 ได้พิมพ์หน้าปกเป็นสีดำ ไม่มีภาพข่าวใดๆ มีเพียงชื่อหนังสือ พร้อมฉบับวันที่และราคาเท่านั้น ขณะที่เนื้อหาด้านใน นอกจากข่าวที่น่าสนใจและรายงานพิเศษแล้ว ยังมีคำชี้แจงของ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ต่อข้อกล่าวหาของ คสช.ที่ส่งให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ แล้ว ซึ่งมี 3 ข้อ สรุปความได้ว่า ข้อ 1 กรณีที่ คสช.กล่าวหาว่าหน้าปกและหน้า 4 ของ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ฉบับที่แล้ว มีข้อความว่า “ธรรมนูญ “บิ๊กตู่” คสช.พ่อของทุกสถาบัน?” เป็นข้อความเสียดสี และอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่า หัวหน้า คสช.อยู่เหนือสถาบันเบื้องสูงนั้น ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ชี้แจงว่า เนื้อหาเชิงวิเคราะห์ที่พาดหัวดังกล่าว เป็นการกล่าวถึงรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ที่หลายมาตราให้อำนาจ คสช.อย่างมาก เช่น มาตรา 19 วรรค 3 ที่ให้อำนาจ คสช.ปลดนายกฯ ได้ ,มาตรา 42 ให้อำนาจ คสช.ปลด ครม.ได้ และมาตรา 44 ที่ให้อำนาจหัวหน้า คสช.อย่างกว้างขวาง คือมีอำนาจเหนือทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนง ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์มิได้มีเจตนาจะทำให้สังคมเข้าใจว่า หัวหน้า คสช.อยู่เหนือสถาบันเบื้องสูงแต่อย่างใด และไม่ได้มีเนื้อความส่วนใดเอ่ยถึงสถาบันเบื้องสูงแม้แต่น้อย รวมทั้งใน “กราฟิก” ที่นำเสนอประกอบ ก็แสดงให้เห็นโครงสร้างขององค์กรตามรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้สังคมเข้าใจผิดไปว่า หัวหน้า คสช.อยู่เหนือสถาบันเบื้องสูง และที่สำคัญ คำว่า พ่อทุกสถาบันนั้น ก็เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในกลุ่มนักเรียนอาชีวะมาหลายสิบปี และไม่เคยมีใครนึกประหวัดไปถึงสถาบันเบื้องสูงดังที่ คสช.เข้าใจแม้แต่น้อย
ข้อ 2 คสช.กล่าวหาข้อความในคอลัมน์ “สมการการเมือง” ที่ตีพิมพ์ในหน้า 16 ว่ามีข้อความที่เป็นเท็จ คือข้อความว่า “ส่วนคนที่ได้รับอำนาจตรงในการเลือกสรรเครื่องสุขภัณฑ์นั้น ไม่ใช่ “บิ๊ก คสช” อย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นทายาทของ “บิ๊ก คสช.” รายหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเล่นว่า “น้องตาล” ฟังผิวเผินชื่อ “ตาล” คล้ายกับชื่อ “ตู่” ที่มี ต.เต่า เหมือนกัน จนนึกไปว่า “น้องตาล” เป็นลูก “บิ๊กตู่” แต่หากลองคลิกเข้าไปใน “อาจารย์กูเกิล” แล้วคงจะถึงบางอ้อว่า “บิ๊กตู่” มีลูก 2 คน เป็นผู้หญิงทั้ง 2 คน และไม่ได้ชื่อใกล้เคียงกับ “ตาล” เลย แต่ “น้องตาล” กลับเป็นชื่อทายาทของ “บิ๊ก คสช.” ผู้ที่ยังมากบารมี แต่ขอลดบทบาท เพื่อแต่งตัวรอบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า การให้ “น้องตาล” ซึ่งถือเป็นคนรู้ใจมาเลือกสิ่งอำนายความสะดวกใน “ทำเนียบรัฐบาล-ตึกไทยคู่ฟ้า” อาจจะส่งสัญญาณบางอย่างออกมาให้เห็น “บิ๊ก คสช.” ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี อาจจะไม่ใช่ “บิ๊กตู่” อย่างที่คาดเดากัน แต่มี “ตาอยู่” ที่ “บิ๊กตู่” วางใจให้มาสานงานต่อก็เป็นได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คนกันเองใน คสช.นั่นแล”
ซึ่ง ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ชี้แจงว่า ข้อความดังกล่าวเป็นกระแสข่าวที่มีการกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวางในทำเนียบรัฐบาล ไม่ได้เขียนขึ้นมาอย่างเลื่อนลอยและไม่ได้ใช้ข้อมูลเท็จ รวมทั้งเป็นเพียงการคาดการณ์สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น ไม่ใช่ข้อสรุป โดยใช้คำว่า “หรือไม่” และ “อาจ” ซึ่งสุดท้ายสถานการณ์อาจไม่เกิดขึ้นตามที่คาดการณ์ก็ได้ ขณะเดียวกัน ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ก็มั่นใจว่า การนำเสนอข้อมูลดังกล่าวไม่ได้เป็นเรื่องที่สร้างความเสื่อมเสียหรือทำให้ คสช.เสียหายแต่อย่างใด รวมทั้งเชื่อมั่นว่า ผู้อ่านมีวิจารณญาณเพียงพอในการตัดสินใจ
ข้อ 3 คสช.กล่าวหาข้อความในคอลัมน์ “ป้อมพระสุเมรุ” ที่ตีพิมพ์ในหน้า 18-19 ว่ามีข้อความที่เป็นเท็จ คือข้อความว่า “การคัดสรรสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ว่ามีลักษณะเป็นการต่างตอบแทน เอาโควตามาแบ่งเค้ก” ซึ่ง ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบเนื้อหาและผู้เขียนบทความพบว่า เป็นการรายงานตามข้อเท็จจริง โดยระหว่างที่เขียนบทความ มีข้อมูลแพร่สะพัดตามสื่อต่างๆ ทุกสาขาเกี่ยวกับเรื่องผู้ที่จะได้รับเลือกเป็น สนช. ซึ่งรายงานตรงกันว่า มีข้าราชการทหารได้รับการคัดเลือกเข้ามาเป็น สนช.จำนวนมาก และ คสช.ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เป็นการจัดสรรตำแหน่งให้กับบุคคลที่ทำงานให้ คสช.หรือบุคคลที่ใกล้ชิดกับ คสช. ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ คสช.สามารถทำได้ แต่สื่อมวลชนก็มีสิทธิที่จะติติงและท้วงติงโดยสุจริตใจได้ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
พร้อมกันนี้ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ยังยกตัวอย่างด้วยว่า มีสื่ออีกหลายฉบับที่ตั้งข้อสังเกตเรื่องการคัดสรร สนช.ในทำนองเดียวกัน เช่น หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันพุธที่ 30 ก.ค.2557 พาดหัวว่า “เหล่าทัพแบ่งเค้ก สนช.ประจินเผย “ทอ.” ได้โควตา 20 คน/รัฐสภาแต่งห้องรอ” ขณะที่หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันเดียวกัน ก็พาดหัวว่า “ทอ.20 ที่นั่ง สนช.” พร้อมโปรยข่าวด้วยว่า “ประจิน” เผยทัพฟ้าได้โควตา สนช.20 ที่นั่ง” ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติตามจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพที่จะต้องมีการตรวจสอบการทำงานขององค์กรและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศ ดังนั้นการเสนอข่าวของ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ จึงไม่ได้เป็นการนำเสนอข้อมูลเท็จ และไม่ได้มีเจตนาไม่สุจริตเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช.แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เมื่อ คสช.เห็นว่าการกระทำของ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์มีเจตนาไม่สุจริตเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช.และถือว่าเป็นการฝ่าฝืนประกาศของ คสช. ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ก็ขอน้อมรับคำตักเตือนและคำท้วงติงของ คสช.ด้วยความยินดี แต่เมื่อพิจารณาคำสั่งตักเตือนของ คสช.แล้ว เห็นได้ว่า คสช.มีบทสรุปที่ชี้นำเรียบร้อยแล้วว่า ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่องด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จโดยมีเจตนาไม่สุจริต ซึ่งการชี้นำดังกล่าวของ คสช.จะส่งผลให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ทำหน้าที่ด้วยความลำบาก ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ไม่ต้องการให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ต้องแบกรับแรงกดดันจาก คสช.ในการทำหน้าที่และการคงไว้ซึ่งการเป็นองค์กรที่ต้องการความเป็นอิสระ ดังนั้น ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์จึงตัดสินใจจะหยุดการพิมพ์เพื่อยุติปัญหาทั้งมวล แต่ด้วยพันธะความรับผิดชอบต่อสังคม หลังจากหยุดตีพิมพ์เป็นเวลา 1 เดือนแล้ว ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์จะกลับมาทำหน้าที่สื่อที่ตรวจสอบองค์กรผู้มีอำนาจทุกองค์กรเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพอีกครั้ง
ด้านนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือ ASTVผู้จัดการ ให้สัมภาษณ์เปิดใจกรณี คสช.มีคำสั่งตักเตือน ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ พร้อมให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ สอบจริยธรรมวิชาชีพ โดยตอนหนึ่งนายจิตตนาถ ฝากไปถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมืองว่า อย่ารังแกกันมากเกินไป “ผมก็อยากจะฝากถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมือง อยากให้คุณคิดถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก อย่าทำงานแบบผักชีโรยหน้า แล้วก็ไม่ต้องกลัวสื่อ เพราะที่จริงแล้ว ผลงานของท่านจะเป็นกระจกสะท้อนตัวท่านเอง ส่วนสื่อแค่ทำหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์และรายงานตามข้อท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านพูดเอาไว้ดีมากเลย ท่านบอกว่า...คนเรายิ่งใหญ่ ก็ยิ่งต้องทำตัวเล็ก ผมก็อยากเห็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนำคำพูดของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ไปใช้และนำไปปฏิบัติ มันจะได้เกิดภาพที่เป็นมิตรต่อสังคม เป็นมิตรต่อประชาชนมากขึ้น แล้วก็อยากฝากถึงผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยว่า เครือผู้จัดการเราถอยมาเยอะแล้ว ที่ผ่านมาผมพยายามเลี่ยงข่าวการเมืองที่จะขึ้นเป็นประเด็นใหญ่ ปก ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ก็หันไปเล่นเรื่องโค้ชเชบ้าง เรื่องเจนี่บ้าง ขนาดเราเลี่ยงแล้ว แต่เมื่อบางท่านมีความรู้สึกที่เซนซิทีฟต่อเครือ ASTV เนี่ย เลี่ยงอย่างไรก็คงไม่พ้น เราเองเป็นสื่อที่โดนอัดมาตั้งแต่ต้น ASTV ถูกปิดมา 70 กว่าวัน ก็ยังเปิดไม่ได้ ก็อยากเรียนว่า อย่ารังแกกันมากเกินไป”
3.คกก.สืบสวนฯ กกต.มีมติแจ้งข้อกล่าวหา “ยิ่งลักษณ์” และพวก คดีทัวร์นกขมิ้นหาเสียงเลือกตั้ง ชี้ โทษถึงขั้นยุบพรรค!
เมื่อวันที่ 28 ก.ค. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนของ กกต.ได้พิจารณากรณีที่มีการกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคณะ ใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการ ทรัพยากรของรัฐ ไปหาเสียงในลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคและผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยให้ได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 แล้ว และมีมติเอกฉันท์ให้แจ้งข้อกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับพวกอีก 8 คน ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและข้าราชการในขณะนั้น ประกอบด้วย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ,นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ,นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ,นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ,นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ,นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ,นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)
สำหรับข้อกล่าวหาต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์กับพวก คือ เข้าข่ายความผิดฐานฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 181(4) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ใช้ทรัพยากรของรัฐ บุคลากรของรัฐ เพื่อกระทำการใดซึ่งมีผลต่อการเลือกตั้ง จากกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์และ ครม.ในขณะนั้นได้เดินทางไปตรวจราชการ หรือทัวร์นกขมิ้น ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากที่มี พ.ร.ฎ.ยุบสภาแล้วเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2556 และมีการให้ราชการมาต้อนรับ มีป้ายสนับสนุน รวมถึงการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์มอบเงิน 5 ล้านบาทให้ญาตินายตำรวจที่เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุมในวันรับสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2556 โดยมอบให้ที่วัดตรีทศเทพวรวิหาร ซึ่งมี พล.ต.อ.อดุลย์ อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
นายสมชัย เผยด้วยว่า ขั้นตอนต่อไป คณะกรรมการสอบสวนต้องแจ้งให้บุคคลทั้งหมดชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยจะให้โอกาสชี้แจงแสดงหลักฐานอย่างเต็มที่ หลังจากนั้นคณะกรรมการจะสรุป พร้อมเสนอความเห็นให้ กกต.พิจารณาลงมติ คาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นได้ภายใน 2 เดือนนับจากนี้ สำหรับประเด็นการใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้งนั้น นายสมชัย บอกว่า มีทั้งหมด 3 คดี คือ ทัวร์นกขมิ้น ,กรณีช่อง 11 และทีวีพูล เรื่องจำนำข้าว ซึ่ง 2 เรื่องหลังยังไม่แล้วเสร็จ เหตุที่ล่าช้าเพราะที่ผ่านมาการขอข้อมูลพยานหลักฐานไม่สะดวก เนื่องจากมีการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล และสถานที่ราชการ
ทั้งนี้ หากที่สุดแล้ว กกต.มีมติว่า การทัวร์นกขมิ้นดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. มาตรา 137 กำหนดไว้ว่า มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่น-2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และเนื่องจากนายปลอดประสพ และนายจารุพงศ์เป็นกรรมการบริหารพรรค ความผิดดังกล่าวจึงอาจถึงขั้นยุบพรรคได้ เนื่องจากเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 94(2) ที่บัญญัติว่า เมื่อพรรคการเมืองกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. หรือระเบียบ ประกาศของ กกต. ซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม อาจถูกเสนอศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองได้
4.สมุน “โกตี๋” มือบึ้ม 6 จุด ถูกรวบตัวแล้ว ขณะที่มือปาบึ้ม “บรรทัดทอง-อนุสาวรีย์ชัยฯ” ได้ตัวแล้ว 2 ยังลอยนวล 1 !
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำทีมเปิดแถลงข่าวผลการจับกุมนายยงยุทธ บุญดี หรือชินจัง อายุ 26 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด ผู้ต้องหาตามหมายจับศาล จ.นนทบุรี โดยถูกทหารควบคุมตัวได้ที่ จ.เชียงใหม่
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศ เผยว่า การจับกุมนายยงยุทธเป็นการขยายผลมาจากการจับกุมคดีอาวุธสงครามก่อนหน้านี้ ซึ่งนายยงยุทธยอมรับว่า เป็นผู้ร่วมก่อเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่อาคารชินวัตร 3 ,ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่เวที กปปส.แจ้งวัฒนะ ,ขว้างระเบิดอาร์จีดี 5 ใส่เวที กปปส.ระยอง ,ขว้างระเบิดอาร์จีดี 5 ใส่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา ถ.เลียบคลอง 2 ถ.ซาฟารีเวิลด์ ,ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ห้างโลตัส สาขาสุวินทวงศ์ ,ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่บริเวณใกล้ห้างโลตัส สาขาแจ้งวัฒนะ และมีส่วนรู้เห็นการก่อเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่สำนักงาน ป.ป.ช.(สนามบินน้ำ)
ด้านนายยงยุทธ สารภาพว่า ได้ร่วมชุมนุมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่มีนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ เป็นแกนนำ และว่า จากการชุมนุม ทำให้ได้รู้จักนายชัชวาลย์ ปราบบำรุง ผู้ต้องหาคดียิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่สำนักงาน ป.ป.ช. ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ โดยนายชัชวาลย์ชักชวนให้ก่อเหตุ พร้อมยืนยันว่า การยิงระเบิดเอ็ม 79 เป็นการยิงเอง ไม่ได้รับการฝึกฝนใดๆ
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 29 ก.ค. พล.ต.อ.สมยศ ได้นำทีมเปิดแถลงข่าวผลการจับกุมนายณัฐพรรณ์ หลุ่มบางล้า หรือแอ็ด อายุ 40 ปี และนายเจริญ พรมชาติ หรือชาติ อายุ 38 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ซึ่งนายณัฐพรรณ์เป็นเครือข่ายกลุ่มผู้กระทำผิดในคดีความมั่นคง(อาวุธสงคราม) ที่ตำรวจจับกุมได้บางส่วนก่อนหน้านี้หลังจากตรวจพบอาวุธสงครามในพื้นที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยนายณัฐพรรณ์ และนายกฤษดา ไชยแค ไปรับลูกระเบิดอาร์จีดี 5 จากนายอภิชาติ พวงเพ็ชร ที่สำเพ็งสแควร์ 4 ลูก จากนั้นนายกฤษดานำระเบิดไปขว้างใส่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและถนนบรรทัดทองรวม 3 ลูก ก่อนโทรศัพท์แจ้งนายณัฐพรรณ์ว่า ระเบิดที่รับมานั้นได้ขว้างไปแล้ว 3 ลูก ซึ่งหลังก่อเหตุ นายกฤษดาได้หลบหนีไปกบดานที่ประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับนายณัฐพรรณ์ มีอาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างที่วินเพชรบุรีซอย 5 ส่วนนายเจริญขี่วินจักรยานยนต์ที่ย่านพระราม 9 จากการสืบสวนทราบว่า นายเจริญได้รับระเบิดมา 10 ลูก เคยถูกตำรวจ สน.มักกะสันจับกุมเรื่องขว้างระเบิดที่พระราม 9 ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างประกันตัว ทั้งนี้ ตำรวจไมได้นำตัวนายเจริญมาร่วมแถลงข่าวแต่อย่างใด เนื่องจากยังให้การปฏิเสธ
1.โปรดเกล้าฯ 200 สนช.แล้ว พบทหารอื้อ ด้านสมาคมพิทักษ์ รธน.ชี้รายชื่อไม่หลากหลาย ส่อขัด รธน.เตรียมยื่นศาลฯ วินิจฉัย!
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 จำนวน 200 คน ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามคำแนะนำของ คสช. เป็นที่น่าสังเกตว่า รายชื่อ สนช.ที่ออกมา มีข้าราชการทหารทั้งในและนอกราชการมากถึง 105 คน โดยแบ่งออกเป็นกองทัพบก 67 คน ,กองทัพอากาศ 19 คน ,และกองทัพเรือ 19 คน ขณะที่ข้าราชการตำรวจทั้งในและนอกราชการมี 10 คน ที่เหลือเป็นพลเรือน 85 คน ซึ่งมีทั้งอดีตสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ,นักวิชาการ และนักธุรกิจ
ทั้งนี้ ในส่วนของทหารทั้งในและนอกราชการ พบว่า มาจากนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มากถึง 15 คน ขณะที่นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 13 มี 14 คน นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 15 มี 12 คน โดย 1 ในนั้นคือ พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากนี้ยังมีทหารสายบูรพาพยัคฆ์และวงศ์เทวัญจำนวนหนึ่ง
ขณะเดียวกันยังพบว่าเครือญาติและคนสนิทของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษา คสช.และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.ด้วยหลายคน ได้แก่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ที่เคยถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดทั้งทางอาญาและวินัยร้ายแรงกรณีสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ได้มีคำสั่งยกโทษปลด พล.ต.อ.พัชรวาท ออกจากราชการเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าทำตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ทั้งที่ศาลฯ แค่สั่งให้นายกรัฐมนตรีรีบตัดสินใจเท่านั้นว่าจะดำเนินการอย่างไร จะโต้แย้งหรือจะทำตามมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ที่มีมติให้ยกเลิกคำสั่งปลด พล.ต.อ.พัชรวาทออกจากราชการ ขณะที่น้องชายอีกคนของ พล.อ.ประวิตร ก็ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.ด้วย คือ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ อดีต ส.ว.สรรหา รวมทั้งคนสนิทของ พล.อ.ประวิตร อีกหลายคน ก็ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช. ได้แก่ พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ,พล.อ.นพดล อินทปัญญา ที่ปรึกษา คสช. ,พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ อดีต ส.ว.สรรหา เป็นต้น
ในส่วนของตำรวจที่ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.ได้แก่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ,พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.,พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ชัชวาล สุขสมจิตร์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ,พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นต้น
สำหรับอดีต ส.ว. ที่ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.ในครั้งนี้ ได้แก่ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ,นายตวง อันทะไชย ,พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ,นายสมชาย แสวงการ , นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ว่าที่ประธานวุฒิสภาก่อนวุฒิสภาถูกยุบโดยคำสั่งของ คสช. , พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อดีตประธานวุฒิสภา
ส่วนภาคธุรกิจที่ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.ได้แก่ นางกอบกาญจน์ สุริยสัตย์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหารบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ,นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด(มหาชน) ,นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานกรรมการกลุ่มน้ำตาลมิตรผล และนางสุวรรณี สิริเวชชะพันธ์ กรรมการบริหารบริษัท คอลเกต ปาล์มโอลีฟ(ประเทศไทย) จำกัด
สำหรับอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช. พบว่า มี 9 แห่ง ประกอบด้วย อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ,อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ,อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(มศว) ,อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ,อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ,อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น
สำหรับ สนช.ที่อายุมากสุดใน สนช.ชุดนี้ คือ นายสมพร เทพสิทธา อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อายุ 89 ปี ส่วนบุคคลที่คาดว่าอาจได้นั่งตำแหน่งประธาน สนช.ก็คือ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและที่ปรึกษาหัวหน้า คสช. ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พ.ร.ฎ.เรียกประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.
เป็นที่น่าสังเกตว่า เริ่มพบผู้ได้รับแต่งตั้งเป็น สนช.บางคนขาดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่ง สนช.แล้วอย่างน้อย 2 คน คือ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 เพราะมีตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารพรรคและรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 8(1) ระบุคุณสมบัติของ สนช.ต้องไม่เคยดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองในระยะเวลา 3 ปีก่อนได้รับแต่งตั้ง ส่วนอีกคนที่คุณสมบัติมีปัญหา คือ นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี เนื่องจาก พ.ร.บ. การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 7(10) ระบุว่า จุฬาราชมนตรีต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้นหากนายอาศิสจะดำรงตำแหน่ง สนช. ต้องลาออกจากตำแหน่งจุฬาราชมนตรี
ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายอาศิส ได้ทำหนังสือแจ้ง คสช. ไม่ขอรับตำแหน่ง สนช.เมื่อวันที่ 1 ส.ค. โดยให้เหตุผลว่า เป็นเรื่องของความเหมาะสมต่อสถานะของผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามในราชอาณาจักร พร้อมเผยว่า ที่ผ่านมาไม่มีใครทาบทามหรือบอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะเสนอชื่อเป็น สนช. มิเช่นนั้นคงกล่าวปฏิเสธไปแล้วตั้งแต่ก่อนประกาศรายชื่อ
ขณะที่ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร พูดถึงกรณีที่เข้าข่ายขาดคุณสมบัติการเป็น สนช.ว่า หลังจากปรึกษาฝ่ายกฎหมายและบุคคลที่เกี่ยวข้องแล้ว พบว่าตนมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวจริง ดังนั้นจะเดินทางไปยื่นหนังสือลาออกจาก สนช.ในวันที่ 4 ส.ค.นี้ ที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 ส.ค. โดยกล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า รายชื่อ 200 สนช. ส่วนใหญ่เป็นทหารว่า อย่าไปดูบุคคลนี้บุคคลนั้น ไม่มีใครดีที่สุด ไม่ดีที่สุด เอาดีมากกว่าไม่ดี ขอให้ดูผลงานที่เกิดขึ้น อย่าตำหนิกันมากนัก พร้อมยืนยันว่า “สนช.ที่กำหนดมา 200 คน ไม่ใช่ระบบโควต้า ผมไม่อยากให้ใช้คำว่าโควต้า เป็นการให้ทุกพวก ทุกฝ่ายเสนอชื่อมา ถ้าไม่บอกว่าเสนอมา 10 คน 20 คนมาคัดเลือกกัน ก็จะเสนอมาเป็นพันคน”
อย่างไรก็ตาม ผลจากการที่รายชื่อ สนช.เป็นทหารจำนวนมากและอาจดูไม่หลากหลายเท่าที่ควร ทำให้สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ที่มีนายศรีสุวรรณ จรรยา เป็นเลขาธิการ เตรียมยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รายชื่อ สนช.ชุดนี้ขัดรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 7 หรือไม่ เนื่องจากมาตรา 7 บัญญัติชัดเจนว่า “การถวายคำแนะนำเพื่อทรงแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ให้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ ความหลากหลายของบุคคลจากกลุ่มต่างๆ ในภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม ภาควิชาการ ภาควิชาชีพ และภาคอื่นที่จะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ” โดยสมาคมฯ จะยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินในวันที่ 4 ส.ค.เพื่อขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
2.ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ยันทำหน้าที่ “สื่อ” โดยสุจริต ประกาศหยุดพิมพ์ 1 เดือน ด้าน “จิตตนาถ” ฝากถึงผู้ใหญ่ “อย่ารังแกกันมากเกินไป” !
ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกคำสั่งตักเตือนหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 ก.ค. - 1 ส.ค.2557 โดยอ้างว่าตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่องด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จโดยมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช. ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนประกาศของ คสช. พร้อมเตือนว่า หากฝ่าฝืนอีกจะดำเนินการตามกฎอัยการศึก และส่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังสั่งให้องค์กรวิชาชีพสื่อสอบสวนทางจริยธรรมต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง แล้วรายงานให้ คสช.ทราบโดยเร็ว แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า คำสั่งของ คสช.ไม่ได้ระบุว่า ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ลงข้อความเท็จจุดไหน จากนั้นนายจักร์กฤษ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ให้ คสช.ในฐานะผู้ร้องเรียน แจ้งเป็นหนังสือพร้อมด้วยพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ละเมิดจริยธรรมในเรื่องใด เพื่อให้คณะกรรรมการสอบสวนตามประเด็น
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค. คสช.ได้ส่งหนังสือคำสั่งตักเตือน ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ พร้อมแจ้งจุดที่ คสช.เห็นว่าเป็นข้อมูลเท็จให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ทราบแล้ว จากนั้นวันต่อมา(29 ก.ค.) สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ได้ประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าว ขณะที่ตัวแทนของเอเอสทีวีผู้จัดการที่เข้าร่วมประชุมในฐานะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ยินดีที่จะชี้แจงและจะไม่เข้าร่วมในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว และว่า หากผล ออกมาเช่นไร ก็พร้อมปฏิบัติตาม
ด้านนายจักรกฤษณ์ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ บอกว่า "จากนี้ไปคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์จะส่งข้อร้องเรียนดังกล่าวไปให้หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ เพื่อดำเนินการชี้แจง แก้ไข ตามที่ คสช.ร้องเรียน หากทางหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์พิจารณาแก้ไขและขอโทษผู้ร้องเรียน หากผู้ร้องเรียนพอใจ ถือว่าเรื่องเป็นที่ยุติ"
เป็นที่น่าสังเกตว่า หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ฉบับล่าสุด ฉบับวันที่ 2-8 ส.ค.2557 ได้พิมพ์หน้าปกเป็นสีดำ ไม่มีภาพข่าวใดๆ มีเพียงชื่อหนังสือ พร้อมฉบับวันที่และราคาเท่านั้น ขณะที่เนื้อหาด้านใน นอกจากข่าวที่น่าสนใจและรายงานพิเศษแล้ว ยังมีคำชี้แจงของ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ต่อข้อกล่าวหาของ คสช.ที่ส่งให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ แล้ว ซึ่งมี 3 ข้อ สรุปความได้ว่า ข้อ 1 กรณีที่ คสช.กล่าวหาว่าหน้าปกและหน้า 4 ของ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ฉบับที่แล้ว มีข้อความว่า “ธรรมนูญ “บิ๊กตู่” คสช.พ่อของทุกสถาบัน?” เป็นข้อความเสียดสี และอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่า หัวหน้า คสช.อยู่เหนือสถาบันเบื้องสูงนั้น ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ชี้แจงว่า เนื้อหาเชิงวิเคราะห์ที่พาดหัวดังกล่าว เป็นการกล่าวถึงรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ที่หลายมาตราให้อำนาจ คสช.อย่างมาก เช่น มาตรา 19 วรรค 3 ที่ให้อำนาจ คสช.ปลดนายกฯ ได้ ,มาตรา 42 ให้อำนาจ คสช.ปลด ครม.ได้ และมาตรา 44 ที่ให้อำนาจหัวหน้า คสช.อย่างกว้างขวาง คือมีอำนาจเหนือทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนง ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์มิได้มีเจตนาจะทำให้สังคมเข้าใจว่า หัวหน้า คสช.อยู่เหนือสถาบันเบื้องสูงแต่อย่างใด และไม่ได้มีเนื้อความส่วนใดเอ่ยถึงสถาบันเบื้องสูงแม้แต่น้อย รวมทั้งใน “กราฟิก” ที่นำเสนอประกอบ ก็แสดงให้เห็นโครงสร้างขององค์กรตามรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้สังคมเข้าใจผิดไปว่า หัวหน้า คสช.อยู่เหนือสถาบันเบื้องสูง และที่สำคัญ คำว่า พ่อทุกสถาบันนั้น ก็เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในกลุ่มนักเรียนอาชีวะมาหลายสิบปี และไม่เคยมีใครนึกประหวัดไปถึงสถาบันเบื้องสูงดังที่ คสช.เข้าใจแม้แต่น้อย
ข้อ 2 คสช.กล่าวหาข้อความในคอลัมน์ “สมการการเมือง” ที่ตีพิมพ์ในหน้า 16 ว่ามีข้อความที่เป็นเท็จ คือข้อความว่า “ส่วนคนที่ได้รับอำนาจตรงในการเลือกสรรเครื่องสุขภัณฑ์นั้น ไม่ใช่ “บิ๊ก คสช” อย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นทายาทของ “บิ๊ก คสช.” รายหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเล่นว่า “น้องตาล” ฟังผิวเผินชื่อ “ตาล” คล้ายกับชื่อ “ตู่” ที่มี ต.เต่า เหมือนกัน จนนึกไปว่า “น้องตาล” เป็นลูก “บิ๊กตู่” แต่หากลองคลิกเข้าไปใน “อาจารย์กูเกิล” แล้วคงจะถึงบางอ้อว่า “บิ๊กตู่” มีลูก 2 คน เป็นผู้หญิงทั้ง 2 คน และไม่ได้ชื่อใกล้เคียงกับ “ตาล” เลย แต่ “น้องตาล” กลับเป็นชื่อทายาทของ “บิ๊ก คสช.” ผู้ที่ยังมากบารมี แต่ขอลดบทบาท เพื่อแต่งตัวรอบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า การให้ “น้องตาล” ซึ่งถือเป็นคนรู้ใจมาเลือกสิ่งอำนายความสะดวกใน “ทำเนียบรัฐบาล-ตึกไทยคู่ฟ้า” อาจจะส่งสัญญาณบางอย่างออกมาให้เห็น “บิ๊ก คสช.” ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี อาจจะไม่ใช่ “บิ๊กตู่” อย่างที่คาดเดากัน แต่มี “ตาอยู่” ที่ “บิ๊กตู่” วางใจให้มาสานงานต่อก็เป็นได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คนกันเองใน คสช.นั่นแล”
ซึ่ง ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ชี้แจงว่า ข้อความดังกล่าวเป็นกระแสข่าวที่มีการกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวางในทำเนียบรัฐบาล ไม่ได้เขียนขึ้นมาอย่างเลื่อนลอยและไม่ได้ใช้ข้อมูลเท็จ รวมทั้งเป็นเพียงการคาดการณ์สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น ไม่ใช่ข้อสรุป โดยใช้คำว่า “หรือไม่” และ “อาจ” ซึ่งสุดท้ายสถานการณ์อาจไม่เกิดขึ้นตามที่คาดการณ์ก็ได้ ขณะเดียวกัน ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ก็มั่นใจว่า การนำเสนอข้อมูลดังกล่าวไม่ได้เป็นเรื่องที่สร้างความเสื่อมเสียหรือทำให้ คสช.เสียหายแต่อย่างใด รวมทั้งเชื่อมั่นว่า ผู้อ่านมีวิจารณญาณเพียงพอในการตัดสินใจ
ข้อ 3 คสช.กล่าวหาข้อความในคอลัมน์ “ป้อมพระสุเมรุ” ที่ตีพิมพ์ในหน้า 18-19 ว่ามีข้อความที่เป็นเท็จ คือข้อความว่า “การคัดสรรสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ว่ามีลักษณะเป็นการต่างตอบแทน เอาโควตามาแบ่งเค้ก” ซึ่ง ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบเนื้อหาและผู้เขียนบทความพบว่า เป็นการรายงานตามข้อเท็จจริง โดยระหว่างที่เขียนบทความ มีข้อมูลแพร่สะพัดตามสื่อต่างๆ ทุกสาขาเกี่ยวกับเรื่องผู้ที่จะได้รับเลือกเป็น สนช. ซึ่งรายงานตรงกันว่า มีข้าราชการทหารได้รับการคัดเลือกเข้ามาเป็น สนช.จำนวนมาก และ คสช.ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เป็นการจัดสรรตำแหน่งให้กับบุคคลที่ทำงานให้ คสช.หรือบุคคลที่ใกล้ชิดกับ คสช. ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ คสช.สามารถทำได้ แต่สื่อมวลชนก็มีสิทธิที่จะติติงและท้วงติงโดยสุจริตใจได้ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
พร้อมกันนี้ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ยังยกตัวอย่างด้วยว่า มีสื่ออีกหลายฉบับที่ตั้งข้อสังเกตเรื่องการคัดสรร สนช.ในทำนองเดียวกัน เช่น หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันพุธที่ 30 ก.ค.2557 พาดหัวว่า “เหล่าทัพแบ่งเค้ก สนช.ประจินเผย “ทอ.” ได้โควตา 20 คน/รัฐสภาแต่งห้องรอ” ขณะที่หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันเดียวกัน ก็พาดหัวว่า “ทอ.20 ที่นั่ง สนช.” พร้อมโปรยข่าวด้วยว่า “ประจิน” เผยทัพฟ้าได้โควตา สนช.20 ที่นั่ง” ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติตามจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพที่จะต้องมีการตรวจสอบการทำงานขององค์กรและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศ ดังนั้นการเสนอข่าวของ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ จึงไม่ได้เป็นการนำเสนอข้อมูลเท็จ และไม่ได้มีเจตนาไม่สุจริตเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช.แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เมื่อ คสช.เห็นว่าการกระทำของ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์มีเจตนาไม่สุจริตเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช.และถือว่าเป็นการฝ่าฝืนประกาศของ คสช. ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ก็ขอน้อมรับคำตักเตือนและคำท้วงติงของ คสช.ด้วยความยินดี แต่เมื่อพิจารณาคำสั่งตักเตือนของ คสช.แล้ว เห็นได้ว่า คสช.มีบทสรุปที่ชี้นำเรียบร้อยแล้วว่า ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่องด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จโดยมีเจตนาไม่สุจริต ซึ่งการชี้นำดังกล่าวของ คสช.จะส่งผลให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ทำหน้าที่ด้วยความลำบาก ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ไม่ต้องการให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ต้องแบกรับแรงกดดันจาก คสช.ในการทำหน้าที่และการคงไว้ซึ่งการเป็นองค์กรที่ต้องการความเป็นอิสระ ดังนั้น ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์จึงตัดสินใจจะหยุดการพิมพ์เพื่อยุติปัญหาทั้งมวล แต่ด้วยพันธะความรับผิดชอบต่อสังคม หลังจากหยุดตีพิมพ์เป็นเวลา 1 เดือนแล้ว ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์จะกลับมาทำหน้าที่สื่อที่ตรวจสอบองค์กรผู้มีอำนาจทุกองค์กรเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพอีกครั้ง
ด้านนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือ ASTVผู้จัดการ ให้สัมภาษณ์เปิดใจกรณี คสช.มีคำสั่งตักเตือน ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ พร้อมให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ สอบจริยธรรมวิชาชีพ โดยตอนหนึ่งนายจิตตนาถ ฝากไปถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมืองว่า อย่ารังแกกันมากเกินไป “ผมก็อยากจะฝากถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมือง อยากให้คุณคิดถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก อย่าทำงานแบบผักชีโรยหน้า แล้วก็ไม่ต้องกลัวสื่อ เพราะที่จริงแล้ว ผลงานของท่านจะเป็นกระจกสะท้อนตัวท่านเอง ส่วนสื่อแค่ทำหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์และรายงานตามข้อท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านพูดเอาไว้ดีมากเลย ท่านบอกว่า...คนเรายิ่งใหญ่ ก็ยิ่งต้องทำตัวเล็ก ผมก็อยากเห็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนำคำพูดของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ไปใช้และนำไปปฏิบัติ มันจะได้เกิดภาพที่เป็นมิตรต่อสังคม เป็นมิตรต่อประชาชนมากขึ้น แล้วก็อยากฝากถึงผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยว่า เครือผู้จัดการเราถอยมาเยอะแล้ว ที่ผ่านมาผมพยายามเลี่ยงข่าวการเมืองที่จะขึ้นเป็นประเด็นใหญ่ ปก ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ก็หันไปเล่นเรื่องโค้ชเชบ้าง เรื่องเจนี่บ้าง ขนาดเราเลี่ยงแล้ว แต่เมื่อบางท่านมีความรู้สึกที่เซนซิทีฟต่อเครือ ASTV เนี่ย เลี่ยงอย่างไรก็คงไม่พ้น เราเองเป็นสื่อที่โดนอัดมาตั้งแต่ต้น ASTV ถูกปิดมา 70 กว่าวัน ก็ยังเปิดไม่ได้ ก็อยากเรียนว่า อย่ารังแกกันมากเกินไป”
3.คกก.สืบสวนฯ กกต.มีมติแจ้งข้อกล่าวหา “ยิ่งลักษณ์” และพวก คดีทัวร์นกขมิ้นหาเสียงเลือกตั้ง ชี้ โทษถึงขั้นยุบพรรค!
เมื่อวันที่ 28 ก.ค. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนของ กกต.ได้พิจารณากรณีที่มีการกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคณะ ใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการ ทรัพยากรของรัฐ ไปหาเสียงในลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคและผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยให้ได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 แล้ว และมีมติเอกฉันท์ให้แจ้งข้อกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับพวกอีก 8 คน ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและข้าราชการในขณะนั้น ประกอบด้วย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ,นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ,นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ,นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ,นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ,นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ,นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)
สำหรับข้อกล่าวหาต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์กับพวก คือ เข้าข่ายความผิดฐานฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 181(4) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ใช้ทรัพยากรของรัฐ บุคลากรของรัฐ เพื่อกระทำการใดซึ่งมีผลต่อการเลือกตั้ง จากกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์และ ครม.ในขณะนั้นได้เดินทางไปตรวจราชการ หรือทัวร์นกขมิ้น ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากที่มี พ.ร.ฎ.ยุบสภาแล้วเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2556 และมีการให้ราชการมาต้อนรับ มีป้ายสนับสนุน รวมถึงการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์มอบเงิน 5 ล้านบาทให้ญาตินายตำรวจที่เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุมในวันรับสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2556 โดยมอบให้ที่วัดตรีทศเทพวรวิหาร ซึ่งมี พล.ต.อ.อดุลย์ อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
นายสมชัย เผยด้วยว่า ขั้นตอนต่อไป คณะกรรมการสอบสวนต้องแจ้งให้บุคคลทั้งหมดชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยจะให้โอกาสชี้แจงแสดงหลักฐานอย่างเต็มที่ หลังจากนั้นคณะกรรมการจะสรุป พร้อมเสนอความเห็นให้ กกต.พิจารณาลงมติ คาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นได้ภายใน 2 เดือนนับจากนี้ สำหรับประเด็นการใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้งนั้น นายสมชัย บอกว่า มีทั้งหมด 3 คดี คือ ทัวร์นกขมิ้น ,กรณีช่อง 11 และทีวีพูล เรื่องจำนำข้าว ซึ่ง 2 เรื่องหลังยังไม่แล้วเสร็จ เหตุที่ล่าช้าเพราะที่ผ่านมาการขอข้อมูลพยานหลักฐานไม่สะดวก เนื่องจากมีการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล และสถานที่ราชการ
ทั้งนี้ หากที่สุดแล้ว กกต.มีมติว่า การทัวร์นกขมิ้นดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. มาตรา 137 กำหนดไว้ว่า มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่น-2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และเนื่องจากนายปลอดประสพ และนายจารุพงศ์เป็นกรรมการบริหารพรรค ความผิดดังกล่าวจึงอาจถึงขั้นยุบพรรคได้ เนื่องจากเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 94(2) ที่บัญญัติว่า เมื่อพรรคการเมืองกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. หรือระเบียบ ประกาศของ กกต. ซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม อาจถูกเสนอศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองได้
4.สมุน “โกตี๋” มือบึ้ม 6 จุด ถูกรวบตัวแล้ว ขณะที่มือปาบึ้ม “บรรทัดทอง-อนุสาวรีย์ชัยฯ” ได้ตัวแล้ว 2 ยังลอยนวล 1 !
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำทีมเปิดแถลงข่าวผลการจับกุมนายยงยุทธ บุญดี หรือชินจัง อายุ 26 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด ผู้ต้องหาตามหมายจับศาล จ.นนทบุรี โดยถูกทหารควบคุมตัวได้ที่ จ.เชียงใหม่
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศ เผยว่า การจับกุมนายยงยุทธเป็นการขยายผลมาจากการจับกุมคดีอาวุธสงครามก่อนหน้านี้ ซึ่งนายยงยุทธยอมรับว่า เป็นผู้ร่วมก่อเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่อาคารชินวัตร 3 ,ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่เวที กปปส.แจ้งวัฒนะ ,ขว้างระเบิดอาร์จีดี 5 ใส่เวที กปปส.ระยอง ,ขว้างระเบิดอาร์จีดี 5 ใส่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา ถ.เลียบคลอง 2 ถ.ซาฟารีเวิลด์ ,ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ห้างโลตัส สาขาสุวินทวงศ์ ,ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่บริเวณใกล้ห้างโลตัส สาขาแจ้งวัฒนะ และมีส่วนรู้เห็นการก่อเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่สำนักงาน ป.ป.ช.(สนามบินน้ำ)
ด้านนายยงยุทธ สารภาพว่า ได้ร่วมชุมนุมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่มีนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ เป็นแกนนำ และว่า จากการชุมนุม ทำให้ได้รู้จักนายชัชวาลย์ ปราบบำรุง ผู้ต้องหาคดียิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่สำนักงาน ป.ป.ช. ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ โดยนายชัชวาลย์ชักชวนให้ก่อเหตุ พร้อมยืนยันว่า การยิงระเบิดเอ็ม 79 เป็นการยิงเอง ไม่ได้รับการฝึกฝนใดๆ
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 29 ก.ค. พล.ต.อ.สมยศ ได้นำทีมเปิดแถลงข่าวผลการจับกุมนายณัฐพรรณ์ หลุ่มบางล้า หรือแอ็ด อายุ 40 ปี และนายเจริญ พรมชาติ หรือชาติ อายุ 38 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ซึ่งนายณัฐพรรณ์เป็นเครือข่ายกลุ่มผู้กระทำผิดในคดีความมั่นคง(อาวุธสงคราม) ที่ตำรวจจับกุมได้บางส่วนก่อนหน้านี้หลังจากตรวจพบอาวุธสงครามในพื้นที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยนายณัฐพรรณ์ และนายกฤษดา ไชยแค ไปรับลูกระเบิดอาร์จีดี 5 จากนายอภิชาติ พวงเพ็ชร ที่สำเพ็งสแควร์ 4 ลูก จากนั้นนายกฤษดานำระเบิดไปขว้างใส่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและถนนบรรทัดทองรวม 3 ลูก ก่อนโทรศัพท์แจ้งนายณัฐพรรณ์ว่า ระเบิดที่รับมานั้นได้ขว้างไปแล้ว 3 ลูก ซึ่งหลังก่อเหตุ นายกฤษดาได้หลบหนีไปกบดานที่ประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับนายณัฐพรรณ์ มีอาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างที่วินเพชรบุรีซอย 5 ส่วนนายเจริญขี่วินจักรยานยนต์ที่ย่านพระราม 9 จากการสืบสวนทราบว่า นายเจริญได้รับระเบิดมา 10 ลูก เคยถูกตำรวจ สน.มักกะสันจับกุมเรื่องขว้างระเบิดที่พระราม 9 ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างประกันตัว ทั้งนี้ ตำรวจไมได้นำตัวนายเจริญมาร่วมแถลงข่าวแต่อย่างใด เนื่องจากยังให้การปฏิเสธ