นายกฯ เปิดโครงการส่งเสริมการอ่าน หวังสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต เตรียมเร่งผลักดันให้คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 55 พร้อมกำหนดวันที่ 2 เม.ย. เนื่องจากเป็นวันพระราชสมภพพระเทพฯ ให้เป็นวันรักการอ่านแห่งชาติ
วันนี้ (6 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการส่งเสริมการอ่าน เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต และวันที่ระลึกสากลแห่งการเรียนรู้ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในระหว่างการเปิดงานว่า ในกระแสโลกาภิวัตน์ของยุคปัจจุบัน สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง คนเราทุกคนจะต้องมีความสามารถในการปรับตัว เรียนรู้ อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ซึ่งทักษะดังกล่าวเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้แต่ละคนสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมๆ กับการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง โดยทั้งหมดมีความจำเป็นในเรื่องการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตระนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้อย่างมาก จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา โดยมุ่งเน้นสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อสังคมการเรียนรู้ เช่นภาคเศรษฐกิจ ได้เริ่มต้นโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งถือว่าเป็นการผลักดันเศรษฐกิจอย่างสร้างสรรค์ในภาพรวม
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องการเรียนรู้ สำหรับสังคมถือเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ซึ่ง ครม.ได้มีมติเห็นชอบไปแล้ว และการริเริ่มโครงการดังกล่าว ถือเป็นโครงการหนึ่งที่มีความสำคัญมากในการผลักดันให้การปฏิรูปการศึกษาและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ประสบความสำเร็จ เพราะการอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทรงพลังสำหรับทุกคน และเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาตลอดชีวิต และเป็นการสร้างโอกาสที่ดีสำหรับทุกคน
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงประกาศเป็นวาระแห่งชาติและจะประสานกับทุกหน่วยงาน เพื่อให้มีส่วนร่วมในการผลักดันเรื่องนี้ไปสู่ความสำเร็จให้ได้ และจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติหลายครั้งพบว่าการอ่านของคนไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า รัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 2 เม.ย.ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เป็นวันรักการอ่าน เพื่อให้คนไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอ่าน และขวนขวายให้เกิดทักษะการเรียนรู้อย่างมีระบบ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการปฏิรูปการศึกษา และโดยส่วนตัวตนได้สัมผัสคุณค่าของการรักการอ่าน ซึ่งการผลักดันเรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องร่วมมือกัน
นอกจากนี้ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มการอ่านโดยเฉลี่ยของคนไทยให้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ภายในปี 2555 และเด็กที่อยู่ในระบบโรงเรียนที่ยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ก็จะต้องหมดไปภายในปี 2555 เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงหวังว่าทุกภาคส่วนของสังคมจะเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นปัจจัยที่จะชี้ขาดความสามารถของประเทศไทยในอนาคต