xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 20-25 ส.ค. 2550

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show

1."ในหลวง"โปรดเกล้าฯรธน.แล้ว -เผยทรงชื่นชม ส.ส.ร.ที่อุตสาหะ


24 ส.ค.ที่ผ่านมา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 โดยมีนายนรนิติ เศรษฐบุตร ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) นายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ ส.ส.ร. นางสุวิมล ภูมิสิงหราช เลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสนช. พร้อมด้วยข้าราชการระดับสูงของรัฐสภาเข้าร่วมในพิธี ต่อมานายมีชัย พร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปยังพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่อเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย หลังจาก นายมีชัย พร้อมคณะเข้าเฝ้า ทูลเกล้าฯถวายรัฐธรรมนูญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเพื่อทรงพระปรมาภิไธยแล้ว นายมีชัย พร้อมด้วย นายนรนิติ ได้อันเชิญรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่พระบาทสมด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย ทั้ง 3 เล่ม ที่ลงลักษณ์ปิดทองคำเปลวแท้ มาประทับ ณ แท่นที่เตรียมไว้ บริเวณห้องโถงชั้นช่าง อาคารรัฐสภา 1 ต่อมานายมีชัย แถลงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงลง พระปรมาภิไธยในร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่ผ่านความเห็นชอบของประชาชน และพระราชทานคืนมาแล้ว ซึ่งจากนี้ไปจะมีการนำรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อใช้บังคับเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศต่อไป อันหมายความว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2550 เป็นต้นไป สำหรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างขึ้นโดยมีเจตนารมณ์ที่ต้องการนำพาประเทศไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และจัดให้มีการเลือกตั้งได้โดยเร็ว ซึ่งจากคำปรารภในรัฐธรรมนูญฉบับนี้สรุปสาระสำคัญได้ 8 ประการ ดังนี้ 1. ธำรงรักษาไว้ซึ่งเอกสารและความมั่นคงของชาติ 2. ทำนุบำรุงศาสนาทุกศาสนา ให้สถิตสถาพร 3. เทิดทูนพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและเป็นมิ่งขวัญชองชาติ 4. ยึดถือระบอบประชาธิไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 5. คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน 6. ส่งเสริมให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครอง และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม 7.กำหนดกลไกสถาบันทางการเมือง ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ให้มีดุลยภาพและประสิทธิภาพตามวิถีการปกครอง ระบอบรัฐสภา และ 8. มุ่งให้สถาบันศาลและองค์กรอิสระอื่นสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสุจริต เที่ยงธรรม พร้อมเปิดเผยว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชมเชย ส.ส.ร.ว่าอุตสาหะร่างรัฐธรรมนูญจนเสร็จ นายมีชัยได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงสถานภาพของประธาน คมช.ภายหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ในเรื่องการเสนอปลดนายกรัฐมนตรี และเข้าร่วมประชุมครม. ได้หรือไม่ว่า ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญได้ให้คงอำนาจ คมช.ไว้พร้อมๆ กับคณะรัฐมนตรี ตนเชื่อว่าด้วยเจตนารมณ์ที่จะให้ทำหน้าที่ตามที่ คมช.มีอำนาจอยู่ดังเดิม แต่ในเรื่องของการพ้นจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ในรัฐธรรมนูญเดิม ไม่ได้เขียนไว้เพียงแต่ระบุว่าประธาน คมช.เป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ส่วนการทำหน้าที่ของสนช.หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ก็ยังทำหน้าที่ ส.ส. และส.ว. ส่วนการเข้าชื่อเพื่อเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีจะใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 ได้หรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า ต้องดูรัฐธรรมนูญก่อนว่าเจตนารมณ์ทำได้หรือไม่ได้

ในหลวงทรงลงพระปรมาภิไธยรัฐธรรมนูญแล้ว

2."หมัก"ลั่นสู้เพื่อ"แม้ว"- "สนธิ"ชี้ทรท.รวมกลุ่มอีกการเมืองปี51สาหัส

ข่าวฮอตอีกประเด็นหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ กรณีพรรคพลังประชาชน ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1 ซึ่งมีการแสดงวิสัยทัศน์ของ 2 ผู้ชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคฯคนใหม่ด้วย คือ พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว ประธานที่ปรึกษาพรรคพลังประชาชน กับ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะสมาชิกพรรคพลังประชาชน ที่ได้รับการทาบทามจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้มาช่วยกอบกู้ ฟื้นฟู ระบอบทักษิณ ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งในการดีเบตเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ มีแกนนำ และสมาชิกกลุ่มไทยรักไทย มาร่วมคับคั่ง อาทิ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ นายปลอดประสพ สุรัสวดี นายนพดล ปัทมะ นายประเกียรติ นาสิมมา นอกจากนี้ นายสรอรรถ กลิ่นประทุม นายวราเทพ รัตนากร และนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งเป็นแกนพรรคไทยรักไทยเดิม ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ก็ได้เดินทางมาร่วมสังเกตุการณ์ด้วย รวมทั้ง นางพจนีย์ ณ ป้อมเพชร มารดา คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ก็ได้เดินทางมาให้กำลังใจ นายสมัคร ด้วย หลังการแสดงวิสัยทัศน์ ของพ.ต.ท. กานต์ และนายสมัคร ปรากฏว่า นายสมัครได้ 80 คะแนน ขณะที่พ.ต.ท.กานต์ ได้ 33 คะแนน เป็นอันว่า นายสมัคร ได้เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ตามคาด พร้อมกันนี้ ได้มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนชุดใหม่ รวมทั้งสิ้น 37 คน ประกอบด้วย นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค สำหรับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค ประกอบด้วย 1. นายยงยุทธ ติยะไพรัช 2. พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว 3. นายไชยา สะสมทรัพย์ 4.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 5. นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ 6. พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ 7. นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ 8. นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ 9.น.ส.สุภาพร เทียนแก้ว และ10.นายสุวัฒน์ วรรณศิริกุล ส่วนเลขาธิการพรรค คือ นพ. สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และมีรองเลขาธิการพรรคอีก 4 คน ประกอบด้วย 1.นายชูศักดิ์ ศิรินิล 2.นายนพดล ปัทมะ 3.นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ และ4. นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ ตำแหน่งเหรัญญิกพรรค คือ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ และมี ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง เป็นโฆษกพรรค ขณะที่กรรมการบริหารพรรค ประกอบด้วย นายศรีเมือง เจริญศิริ, นายสุธา ชันแสง, นายมงคล กิมสูนจันทร์, พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์, นายทรงศักดิ์ ทองศรี, นายสมาน เลิศวงศ์รัฐ, นายนิสิต สินธุไพร, นายธีระชัย แสนแก้ว, นายวีระพล อดิเรกสาร, นายสุทิน คลังแสง , นายอิทธิ ศิริลัทธยากร, นางมาลินี ภูตาสืบ, น.ส.ปิยะรัตน์ เทียนแก้ว, น.ส.ศรัญญา แสงวิมา, น.ส.มนัสปรียา ภูตาสืบ, น.ส.กาญจน์ณิชา แต้มดี ,นายกิตติกร โล่ห์สุนทร, นายบุญลือ ประเสริฐโสภา และนายพิเชษฐ์ ตันเจริญ โดยนายสมัคร ได้ตอบโต้คมช.ที่กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ 4 ข้อ คือ 1.ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 2 .ทุจริตฉ้อราษฎร์ บังหลวง 3. แทรกแซงองค์กรอิสระ 4 . แทรกแซงสื่อสารมวลชน นอกจากนี้ นายสมัคร ยังได้โจมตีกระบวนการยุบพรรคไทยรักไทยว่าเป็นเรื่องผิดปกติ พร้อมระบุว่า ตนเป็นนักการเมืองที่ปกป้องสถาบันกษัตริย์ด้วยชีวิต สมัยที่คนพวกหนึ่งอยากให้ประเทศปกครองด้วยคอมมิวนิสต์ แต่ตนอยากให้เป็นประชาธิปไตย ส่วนทหารก็ปกป้องสถาบันกษัตริย์ ตนนี่แหละที่อยู่ฝ่ายทหาร ไม่มีทหารคนไหนที่เกลียดตน แต่อาจมีบางคนที่ไม่ชอบ ก็ไม่ว่าอะไร วันนี้มันผิดปกติ เหยียบบย่ำอดีตนายกฯ ว่าไม่จงรักภักดี ถึงขั้นที่บอกว่าจะเปลี่ยนระบอบให้เป็นประธานาธิบดี มันบ้าไปแล้ว ในขณะที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้จัดรายการยามเฝ้าแผ่นดินสัญจรฯ ณ ห้อง Notto, Sotto, Tribeca โรงแรม Hilton Millenium มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า จุดมุ่งหมายของทักษิณก็คือ เขาต้องการกลับมาครองประเทศผ่านนอมินีทางรัฐสภา เขาต้องการครองอำนาจ เพื่อที่จะทำเรื่องผิดให้ถูก ทำเรื่องหนักให้เบา และมองว่าในปีหน้า ปี 2551 วิกฤตการณ์ทางการเมืองจะเกิดขึ้นอีกรอบ แต่ตนคงไม่ยอม เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นก็พร้อมที่จะลุกขึ้นสู้ นายสนธิ ยังกล่าวถึงข่าวสินบนตุลาการ จากกรณีการตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนว่า ตนรู้สึกเป็นห่วงอย่างยิ่งกับข่าวดังกล่าว เนื่องจากข่าวนี้พิสูจน์ให้ประชาชนทั่วไปเห็นว่ากระบวนการทำลายชาติ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ได้รุกคืบเข้าไปถึงศาล ทั้งนี้นายสนธิ กล่าวด้วยว่า สาเหตุที่ออกมากล่าวถึงเรื่องสินบนตุลาการ ก็อันเนื่องมาจากความเป็นห่วงในกระบวนการยุติธรรม และห่วงในประเทศชาติ

ปชป.ชี้ “หมัก”นอมินี“แม้ว”ล้างแค้น คมช. - โหมไฟขัดแย้งลุกโชน
“หมัก” เจ็บกระดองใจ อ้างทนเห็นน้อง “แม้ว” ถูกเหยียบย่ำไม่ไหว


3. “สมศักดิ์”ลั่นลุยเดียวหากเจรจารวมกลุ่มล้มเหลว-“สดศรี”สนใจข้อมูลซื้อเสียง3หมื่นล.ของ“ชัยอนันต์”

ความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะนายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มมัชฌิมาชี้แจงถึงความคืบหน้าในการรวมกลุ่มกับรวมใจไท เพื่อก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ โดยย้ำว่า ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า เพราะต้องรอข้อเสนอจากนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ แกนนำกลุ่มรวมใจไทย ที่จะไปดำเนินการ ประสานงานต่าง ๆ ทั้งเรื่องตัวหัวหน้าพรรค และการดึงกลุ่มการเมือง พรรคการเมือง หรือบุคลากรทางการเมืองมาเข้าร่วมจัดตั้งพรรคใหม่ ส่วนจะใช้ชื่อพรรค “มัชฌิมาธิปไตย” ที่มีข่าวออกทางสื่อนั้น นายประดิษฐ์ จะแถลงข่าวให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามหากข้อเสนอของนายประดิษฐ์ ไม่ตรงกับแนวคิดของกลุ่มมัชฌิมา ก็จะดำเนินการตั้งพรรคเองโดยไม่รวมกับกลุ่มอื่น นายสมศักดิ์ ยังปฏิเสธกระแสข่าวเดินทางไปหารือกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงว่า ตนเองไม่ได้เป็นคนประสาน อย่างไรก็ตาม หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้น ต้องเป็นที่พึงพอใจ ของคนส่วนใหญ่ พร้อมปฏิเสธที่จะให้ความเห็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ การเสนอตัวเป็นโซ่ข้อกลางสร้างความสมานฉันท์ ของ พล.อ.ชวลิต ว่าเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ แต่ก็ขอบคุณที่สนับสนุนการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของกลุ่ม ส่วนการที่นายชัยอนันต์ สมุทวนิช นักวิชาการอิสระออกมาพูดในลักษณะผิดหวังกับกลุ่มมัชฌิมา ที่มองผลประโยชน์สำคัญกว่านโยบายเดิมที่วางไว้นั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ความผิดหวัง เพราะขณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการในขั้นตอนจดทะเบียนตั้งพรรคการเมือง จึงขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นว่า กลุ่มจะเดินไปทิศทางใด พร้อมปฏิเสธว่า การรวมกลุ่มในครั้งนี้ ไม่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ด้านพล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงกลุ่มการเมืองต่างๆ เคลื่อนไหวเพื่อร่วมกันตั้งพรรคการเมืองว่า ขณะนี้คิดว่ามองได้ไม่ชัดเจนยังฝุ่นตลบอยู่ รัฐธรรมนูญยังเพิ่งผ่านการลงประชามติมา คงอีกสักระยะอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์ คงจะเห็นอะไรชัดเจนขึ้น ส่วนมีความกังวลหรือไม่ที่การรวมกลุ่มทางการเมืองยังดูเหมือนจะใช้เงินเป็นปัจจัยต้องดูกันไปจะบอกว่าไม่กังวลคงไม่ใช่ กังวลอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่าทุกคนอยากมีจิตสำนึกที่ดี และอยากเห็นประเทศชาติเดินไปสู่การพัฒนาทางการเมือง และด้านอื่นๆ ต่อไป เมื่อถามว่า กลุ่มอำนาจเก่าพยายาม ไปรวมกลุ่มเพื่อพลิกฟื้นอำนาจของตัวเองให้กลับมานั้น พล.อ.วินัย กล่าวว่า อันนั้นเป็นแนวทางต่อสู้อันหนึ่ง ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กกต.กล่าวถึงกรณีที่ นายชัยอนันต์ สมุทวนิช ออกมาคาดการคาดการณ์ว่า จะมีการใช้เงินซื้อเสียงถึง 3 หมื่นล้านในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า เมื่อมีข่าวออกมาแบบนี้ก็จะนำเข้าหารือกับทุกพรรคการเมืองในการประชุมกับพรรคการเมืองในวันที่ 10-11 ก.ย.นี้ เพื่อสอบถามว่าข่าวที่เกิดขึ้นมีเค้าลาง อย่างไรบ้าง ซึ่งตนก็มองว่านักการเมืองเหล่านั้นก็อาจจะปฏิเสธ แต่ก็อยากรับฟังข้อเท็จจริงและขอความร่วมมือ ขณะนี้ประเทศสมาชิกอียูได้ขอเข้ามาสังเกตการ เลือกตั้งด้วย ดังนั้นหากมีการใช้เงินซื้อเสียงก็จะเป็นเรื่องน่าละอายต่อชาวต่างชาติ ด้านนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยประสบปัญหายิ่งกว่าคลื่นยักษ์สึนามิ เพราะนักการเมืองจำนวนมากยังขาดจิตสำนึก โดยเฉพาะผู้ที่เคยเป็นผู้แทนหรือ ส.ส.ยังไม่มีสำนึกรับผิดชอบชั่วดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ตน เป็นห่วงมาก ยิ่งขณะนี้ไม่มีฝ่ายนิติบัญญัติ แม้จะมีฝ่ายบริหารรักษาการ แต่ไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ให้เกิดการเปรียบเทียบกับกลุ่มอำนาจเก่าได้ และสิ่งสำคัญยังส่งผลให้ประชาชนขาดความสำนึกด้วย เพราะถูกครอบงำ ส่วนที่ว่า หลังการเลือกตั้ง พรรคประชาราชจะวางตัวอย่างไร หรือจะไปจับขั้วการเมืองกับพรรคใด นายเสนาะ กล่าวว่า ยังวิเคราะห์ยาก ตอนนี้ตนมีหน้าที่ดูแลภาคอีสาน เพราะมีต้นทุนสูงที่สุดในชีวิต ตนจะลงไปชี้ผิดชี้ถูกที่อีสานให้เห็นถึงความดีความชั่วและร่วมกันกอบกู้บ้านเมืองร่วมต่อสู้ให้กับแผ่นดินอีกครั้ง จะลงทุนทำซีดีออกมาหลายล้านแผ่น ในรูปแบบรายการ ชื่อว่า “ป๋าเล่าให้ฟัง” แจกประชาชนทั่วประเทศ ให้รู้ถึงความเลวร้ายของอำนาจเก่า และไม่อยากให้ประชาชนไปยืนอยู่ข้างคนผิด ต่อกรณีพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงหลายกลุ่มการเมือง ไม่เชื่อมั่นในความเป็นโซ่ข้อกลางของ พล.อ.ชวลิตนั้น นายเสนาะ กล่าวว่า ทำไม่ได้อยู่แล้ว อยากบอกว่า พล.อ.ชวลิต ออกมาแต่ละ “ช็อต” เรายังแปลไม่ออก แล้วคนทั่วไปจะแปลออกได้อย่างไร ทั้งนี้ขอยืนยันว่า ยินดีที่จะทำงานการเมืองร่วมกับพล.อ.ชวลิต เพราะเรามีการคุยกัน ทานอาหารกันมา แม้จะคุยกันไม่ค่อยรู้ แต่หากถามว่าตนจะยืนอยู่จุดไหน ก็ขอยืนอยู่ที่พรรคประชาราช ด้านนายเกษม วัฒนธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ในฐานะประธาน กกต. ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ แถลงว่า หลังจากผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ มีคะแนนเห็นชอบมากกว่าไม่เห็นชอบ เมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มนักการเมืองอำนาจเก่าที่มีอิทธิพล เรียกประชุมแกนนำและหัวคะแนนนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อเตรียมระดมมวลชนชาวบ้านออกมาขับไล่ตนให้ออกนอกพื้นที่ เนื่องจากไม่พอใจที่พ่ายแพ้การลงประชามติ ตามที่กลุ่มการเมืองอำนาจเก่าต้องการ ทั้งๆ ที่ได้ใช้เงินซื้อเสียงคว่ำร่างรัฐธรรมนูญไปเป็นจำนวนมากแต่ไม่เป็นผล

กกต.นัดถกพรรคการเมือง 10 ก.ย.ย้ำกติกา-ซื้อเสียงโทษหนัก
ควบมัชฌิมา-รวมใจไทยส่อเหลว “สมศักดิ์” แย้มอาจลุยเดี่ยว


4. “บิ๊กบัง” ยันโยกย้ายนายทหารไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง-ไม่มีปฎิวัติแน่

ข่าวโยกย้ายนายทหารประจำปีเป็นอีกประเด็นที่ได้รับความสนใจ โดยเรื่องนี้ พล.อ.วินัย ภัททิยะกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า กำหนดว่าจะทำให้เสร็จก่อนวันที่ 15 ก.ย. ดังนั้น คาดว่า รายชื่อทั้งหมดจะมาถึงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมได้ประมาณช่วงสัปดาห์แรก ของเดือนกันยายน ดังนั้นเมื่อถึงวันที่ 15 ก.ย. แล้วคาดว่าบัญชีรายชื่อน่าจะเสร็จเรียบร้อย พร้อมที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่าจะเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างแคนดิเดทผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกนั้น พล.อ.วินัย ยอมรับว่า ก็วิพากษ์วิจารณ์กันเยอะ พูดไปจะสับสน ส่วนที่มีการมองว่าจะนำไปสู่อุบัติเหตุทางการเมืองนั้น ตนคิดว่าคงไม่มีอะไร ด้านพล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ. บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม ระบุว่า การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองว่า ตนไม่ได้ฟัง ทำให้ไม่แน่ใจว่าอุบัติเหตุคืออะไร ซึ่งการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเมือง ทั้งนี้ ปกติการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารอยู่ในอำนาจของกองทัพ รมว.กลาโหมคงไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง เว้นแต่ว่าจะมีการพูดคุยกันบ้างเพื่อให้ลงตัว เพราะบางคนมีอาวุโสต้องขยับไปหาตำแหน่งที่เหมาะสม ส่วนตำแหน่ง ผบ.ทบ. เป็นปัจจัยที่ทำให้การเมืองไม่นิ่ง ได้หรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า คงไม่เกี่ยวกัน เราต้องแยกการเมืองกับการทหาร ออกจากกัน เพราะเรามุ่งมั่นว่าจะทำการทหาร เพื่อดูแลความมั่นคง ดังนั้นการแต่งตั้งเป็นเรื่องกรอบความมั่นคงเป็นหลัก เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการปฏิวัติจากผู้ที่ผิดหวังในตำแหน่ง ผบ.ทบ. พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เป็นเพียงการวิเคราะห์เท่านั้น แต่ในข้อเท็จจริงคงทำไม่ได้ เชื่อว่ากองทัพมีความสมัครสมานสามัคคีกันดีในเวลานี้ ส่วนที่ว่าหากท่านเล่นการเมืองแล้ว ผบ.ทบ.คนต่อไปจำเป็นต้องสามารถ คุมกองทัพทั้งหมดเพื่อป้องกันเหตุร้าย พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ตนยังไม่คิด เพราะยังไม่ถึงวันนั้น ส่วน ผบ.ทบ.คนต่อไปจะมีลักษณะอย่างไร ตนยังบอกไม่ได้ ส่วนที่นายกรัฐมนตรีระบุว่า ผบ.ทบ. คนต่อไปควรมีอายุราชการ 2 ปีขึ้นไป พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็น และยังไม่ได้คุยกับท่านในเรื่องนโยบายและหลักการ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่ ผบ.ทบ.คนใหม่ต้องเหลืออายุราชการ 2 ปีขึ้นไป เพื่อให้กองทัพนิ่ง พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีหลายท่านที่เหลืออายุราชการ 1 ปี ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย แต่บางคนเหลืออายุราชการ 3-4 ปีก็มีเยอะ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในภาพรวม

“สนธิ” มั่นใจหาจุดลงตัวตั้ง ผบ.ทบ.-ไม่มีปฏิวัติ
รมว.กลาโหมไม่ประกันอุบัติเหตุ ชี้โยกย้ายยังเป็นปัจจัยสำคัญ


5.ได้แล้ว9 ผู้พิพากษาคดี "วัฒนา อัศวเหม" ทุจริตที่ดินคลองด่าน

ข่าวที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ กรณีศาลฎีกามีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกผู้พิพากษา 9 คน เป็นองค์คณะผู้พิพากษา พิจารณาคดีทุจริตโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ คดีที่นายพชร ยุติธรรม อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ จูงใจให้บุคคลใด มอบให้ หรือหามาซึ่งทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ตนเองหรือผู้อื่น โดยหลังจากใช้เวลาในการประชุมนาน 2 ชั่วโมง นายรักเกียรติ วัฒนพงษ์ เลขานุการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกล่าวถึงผลการประชุมว่า การคัดเลือกทำโดยการวิธีลงคะแนนลับ ซึ่งผู้พิพากษา 9 คนที่ได้รับเลือกเป็นองค์คณะ ประกอบด้วย 1.นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย ประธานแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในศาลฎีกา 2.นายสมศักดิ์ เนตรมัย ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา 3.นายทองหล่อ โฉมงาม รองประธานศาลฎีกาคนที่สาม 4. นายมงคล ทับเที่ยง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา 5.นายธีระวัฒน์ ภัทรานวัช ประธานแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา 6.นายจรัส พวงมณี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา 7.นายประพันธ์ ทรัพย์แสง ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา (เคยเป็นองค์คณะผู้พิพากษาและเจ้าของสำนวนที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาให้จำคุก 15 ปี นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรมว.สาธารณสุข ความผิดเรียกรับสินบน 5 ล้านบาท จากบริษัทยา ในการทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ กระทรวงสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังเคยเป็นเจ้าของสำนวนคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องอดีต 9 กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดที่มีพล.ต.อ.วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ เป็นประธาน กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่กรณีออกระเบียบขึ้นเงินเดือนตัวเอง) 8.นายพิชิต คำแฝง ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา และ 9.ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ รองประธานศาลฎีกาคนที่ 2 ซึ่งขณะนี้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งตุลาการรัฐธรรมนูญด้วย หลังจากนี้ องค์คณะ ฯ ทั้ง 9 คน จะกำหนดวันประชุมภายในเพื่อเลือกเจ้าของสำนวนเพื่อมีคำสั่งรับหรือไม่ฟ้องคดีไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป ซึ่งศาลฎีกา ฯ กำหนดนัดฟังคำสั่งคดีนี้ในวันที่ 27 ก.ย.นี้ เวลา 13.30 น. ณ ห้องพิจารณาคดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สำหรับ นายสุวัฒน์ ประธานแผนกคดีทรัพย์สิน ฯ , นายสมศักดิ์ ประธานแผนกคดีพาณิชย์ ฯ, นายทองหล่อ รองประธานศาลฎีกาคนที่สาม 3, นายธีระวัฒน์ ประธานแผนกคดีภาษีอากรฯ , นายประพันธ์ ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และนายพิชิต ประธานแผนกคดีแรงงาน ฯ ซึ่งได้รับเลือกเป็นองค์คณะ ฯ คดีนี้ ผู้พิพากษาทั้ง 6 คน ยังได้รับเลือกเป็นองค์คณะ ฯ พิจารณาพิพากษาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ด้วย

6 ผู้พิพากษาคดีที่ดินรัชดาฯได้รับเลือกพิจารณาคดีทุจริตคลองด่าน

6."ดีเอสไอ"ขอหมายจับ"แม้ว-อ้อ"คดีเอสซีฯ-ศาลนัดฟังคำสั่ง3ก.ย.นี้

23 ส.ค.ที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยื่นคำร้องต่อศาล ขออนุมัติหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ผู้ต้องหาคดีกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ซึ่งมีพฤติการณ์แห่งคดีในการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยในคำร้องพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ ระบุเหตุผลว่า ผู้ต้องหาทั้งสอง มีพฤติการณ์หลบเลี่ยงไม่เข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกในคดีที่ถูกกล่าวหาถึง 2 ครั้ง นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์จากคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก ที่นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีผู้ต้องหาทั้งสอง ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองมีพฤติการณ์ไม่ไปปรากฎตัวต่อหน้าศาลในวันนัดพิจารณาคดีครั้งแรก จนกระทั่งศาลฎีกาฯ มีคำสั่งให้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองแล้ว เชื่อว่าผู้ต้องหาอาจจะมีพฤติการณ์หลบหนีในคดีนี้ด้วย ซึ่งคดีนี้มีอัตราโทษตามที่พนักงานสอบสวนจะยื่นคำร้องขออนุมัติออกหมายจับได้ในชั้นสอบสวน ด้วยความจำเป็นดังกล่าว จึงขอให้ศาลพิจารณาอนุมัติหมายจับตามคำร้องของพนักงานสอบสวนต่อไป ในการยื่นคำร้องขออนุมัติหมายจับครั้งนี้ ปรากฎว่า นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางมายื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลด้วย ซึ่งต่อมา นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้มอบหมายให้ผู้พิพากษาเวร ออกหมาย ไต่สวนคำร้องขออนุมัติหมายจับของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ซึ่งฝ่ายผู้ร้องนำพยานซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนเข้าให้การรวมทั้งสิ้น 2 ปาก ทั้งนี้ ภายหลังไต่สวนพยานผู้ร้องเสร็จสิ้นแล้ว ศาลนัดฟังคำสั่งคำร้องอนุมัติขออกหมายจับในวันที่ 3 ก.ย.นี้ ในวันเดียวกันนี้ นายพิชิฏ ยังได้รับมอบอำนาจ จาก พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ให้เป็นโจกท์ยื่นฟ้อง นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 1,500 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ต่อปี จากกรณีระหว่างวันที่ 19 มิ.ย. – 17 ส.ค.50 ที่นายสุนัย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ชี้นำเกี่ยวกับการสอบสวนคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ด้านนายสุนัย มโนมัยอุดม กล่าวถึงกรณีถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย 1,500 ล้านบาทว่า เรื่องนี้ ตนจะเขียนคำให้การแก้ฟ้องด้วยตนเอง และถ้าจำเป็นต้องนำสืบพยาน ก็จะขอให้ฝ่ายจำเลย นำพยานเข้าชี้แจงต่อศาลว่า มีการหมิ่นประมาทอย่างไร สำหรับตนพยายามวางระบบการทำงานในดีเอสไอ โดยจะนำมาตรฐานของผู้พิพากษามาใช้ โดยเน้นย้ำให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานให้แน่นหนารัดกุม ก่อนจะมีการตั้งข้อกล่าวหากับผู้ใด ซึ่งแนวทางการทำงานดังกล่าว น่าจะเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากกว่าทำให้เกิดความเสียหาย โดยทุกคดีหากผู้ต้องหาไม่สามารถนำพยานเข้าต่อสู้ เชื่อว่าศาลจะพิจารณาลงโทษ อย่างไรก็ตาม การถูกฟ้องไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงาน การฟ้องเป็นเพียงการใช้สิทธิทางศาล ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ แต่ถ้าฟ้องเท็จ ฝ่ายผู้ถูกฟ้องก็สามารถใช้สิทธิฟ้องกลับได้เช่นกัน และหากในการฟ้องร้องพบหลักฐานว่า ทนายความมีเจตนากลั่นแกล้งเจ้าพนักงานของรัฐ ตนจะร้องขอให้ศาลส่งเรื่องให้สภาทนายความพิจารณาเรื่องจริยธรรมของทนายความด้วย ในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ มีกฎหมายคุ้มครองว่า หากปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่ ก็จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ทั้งทางแพ่ง และอาญา ซึ่งตนไม่ถอดใจ แม้จะเป็นอธิบดีดีเอสไอคนแรกที่ถูกฟ้อง แต่จะขอตั้งใจทำงานมากขึ้น อุปสรรคปัญหาทำให้แข็งแกร่งขึ้น

“ทักษิณ” ฟ้อง “ดีเอสไอ” ปูดกลโกงเอสซี แอสเสทเรียก 1,500 ล้าน
“หน้าเหลี่ยม” หัวใส ส่งทนายค้านหมายจับ DSI ศาลนัดฟังคำสั่ง 3 ก.ย.นี้
ดีเอสไออุบหมายจับ “ทักษิณ-พจมาน” หวั่นกองเชียร์ตามป่วน


7.ศคร. สั่ง “พาณิชย์” หาสาเหตุตัวเลขส่งออกก.ค.ดิ่ง-อธิบดีกรมส่งเสริมฯเจรจาสหรัฐขอคืนจีเอสพี

ยังคงต้องเกาะติดกันต่อไปสำหรับปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้ โดยเมื่อ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม (ศคร.) ที่มีนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.อุตสาหกรรมเป็นประธานฯว่า ที่ประชุมได้พิจารณาปัญหาภาคการส่งออกของเดือนกรกฎาคมที่ชะลอตัวลง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มั่นใจในเป้าเดิมของการขยายตัวภาคส่งออกทั้งปีที่ 12.5% โดยที่ประชุมขอให้กระทรวงพาณิชย์ไปศึกษาเชิงลึกว่าในเดือนกรกฎาคมภาคการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารที่ลดลงประมาณ 2% แต่ในช่วง 6 เดือนแรกขยายตัวโดยเฉลี่ยที่ 20% ถือเป็นแนวโน้มที่ไม่ปกติ หากเทียบเป็นเงินบาทก็ยังเป็นบวกแต่เดือนกรากฎาคมกลับลดลงมาก เพราะฉะนั้นกระทรวงพาณิชย์ก็จะต้องเจาะลึกเป็นรายสินค้าว่าสาเหตุที่ลดลงมาจากอะไรเพราะสินค้าบางอย่างพบว่าราคาลดลง เพราะแนวโน้มต่ำลงการส่งออกจะไม่นำไปสู่ช่วง 6 เดือนแรก รมว.คลังกล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้หารือเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนไทย พบว่ายังมีความเชื่อมั่นที่ต่ำ เพราะขีดความสามารถในการแข่งขันยังสู้ได้ลำบาก ซึ่งที่ประชุมให้ความเห็นว่า ส่วนหนึ่งอาจจะพัฒนาเพิ่มขึ้นได้โดยการบริหารจัดการที่ดีขึ้น เช่นรูปแบบการจัดโรงงานที่ยังไม่สามารถพัฒนาได้เท่าที่ควร ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะเข้าศึกษาโดยเฉพาะ ขณะนี้แม้จะมีโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากแต่กลับเป็นโรงงานจากต่างประเทศจึงจะต้องเร่งให้มีการลงทุนอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ให้ออกมาในปี 2550 ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงมาตรการเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่เป็นนิติบุคคลในประเทศเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศว่า กระทรวงการคลังจะไปศึกษา 3 ประเด็น ประกอบด้วย 1.เน้นช่วยเหลือธุรกิจการวิจัยและพัฒนาสินค้าไทยให้มีคุณภาพ 2.ส่งเสริมบริษัทที่ไปลงทุนในต่างประเทศแต่ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากประเทศไทยเพื่อจำหน่ายในต่างประเทศ และ3.ให้ช่วยบริษัทที่ลงทุนในต่างประเทศและนำสินค้าไทยไปจำหน่าย และอาจจะมีการช่วยเหลือให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ ส่วนกองทุนที่เข้าไปช่วยร่วมลงทุนนั้น จะต้องไปศึกษาอีกว่าจะใช้ได้เพียงใด สำหรับตัวเลขการส่งออกเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวลดลงไปนั้น กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าสินค้าเกษตรและอาหาร 3-4 ชนิดหลักที่ลดลงเช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยาง ฯลฯ เป็นตัวที่ทำให้ลดลง แต่ยังพบว่ายอดการส่งออกโดยรวมยังเป็นบวกที่ 5% ทำให้การส่งออกไปสหรัฐฯ และสิงคโปร์ลดลง ในวันเดียวกันนี้นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยภายหลังการหารือกับผู้ส่งออกกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง พลาสติก และสิ่งพิมพ์ ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออก 40-50% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทยว่า ผู้ส่งออกส่วนใหญ่ยืนยันเป้าหมายการส่งออกที่ตั้งไว้ในปีนี้ จะเป็นไปตามนั้น ยกเว้นสินค้าบางรายการ เช่น สินค้าโทรทัศน์ ที่ศักยภาพการแข่งขันลดลง เพราะถูกมาตรการตอบโต้ทุ่มตลาด (เอดี) ถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) จากสหรัฐ และอยู่ระหว่างการปรับปรุงเทคโนโลยี เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้การส่งออกช่วง 7 เดือนแรกลดลง 7.8% โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ลดลง 47.95% ซึ่งกรมฯ กำลังพิจารณาว่ามีสินค้ารายการไหนบ้างที่ส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ลดลง เพื่อนำไปเป็นเหตุผลให้กับกรมการค้าต่างประเทศ เจรจากับสหรัฐขอคืนจีเอสพีให้กับไทย เบื้องต้นพบว่า มีอยู่ 2-3 รายการ เช่น พลาสติกและถุง เม็ดพลาสติก โทรทัศน์ และเครื่องปรับอากาศ ที่มีการส่งออกลดลง โดยสหรัฐฯ จะเปิดให้ประเทศที่ได้รับสิทธิจีเอสพีสามารถส่งข้อมูลมาทบทวนได้ในช่วงเดือนพ.ย. 2550 นี้ ส่วนปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวนั้น ไม่น่าเป็นห่วงอย่างที่กังวล เพราะภาพรวมส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ ของไทยยังใกล้เคียงกับปีก่อน หรือมีสัดส่วนประมาณ 1-2% แต่จะไม่นิ่งนอนใจ โดยจะพิจาณาเป็นรายสินค้าว่ารายการไหนมีการส่งออกลด ก็จะเรียกมาหารือ ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะหารือกับกลุ่มสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปต่อไป

คกก.ขับเคลื่อนฯ สั่งพาณิชย์จับตา "ส่งออก" ใกล้ชิด หลังตัวเลขเดือนก.ค.ทรุด
จับตา คกก.ขับเคลื่อนฯ ถกด่วน วันนี้ แก้ภาพหนี้ครัวเรื่อนพุ่ง-ส่งออกทรุด

กำลังโหลดความคิดเห็น